5
ตราตรึง
พิมพ์นาราเอนหลังกับพนักเตียงนอนหลังใหญ่ ซุกร่างเปลือยของตัวเองอยู่ใต้ผ้าห่มขนแกะผืนหนา โผล่ออกมาให้เห็นเพียงแค่ใบหน้าหวานที่แดงก่ำ ดวงตากลมโตจับจ้องร่างสูงซึ่งกำลังเดินกลับมาหาที่เตียงอีกครั้งหลังจากเดินไปปิดผ้าม่านสีเทาเข้ม ปิดกั้นแสงจากภายนอกตามที่เธอร้องขอ แต่ธาวินไม่ได้ปิดม่านทั้งหมด เขาเหลือช่องว่างเอาไว้บางส่วนเพื่อให้ภายในห้องยังคงสว่าง
ภาพคนร่างสูงเปลือยครึ่งท่อนเหลือเพียงกางเกงยีนที่ถูกปลดกระดุมออกจนหมดแต่ยังเกาะอย่างหมิ่นเหม่ที่สะโพกสอบนั้น ทำเอาหัวใจดวงน้อยเต้นรัวไม่เป็นส่ำ
พิมพ์นารากัดริมฝีปากล่างของตัวเองแน่น ไม่สามารถห้ามสายตาไม่ให้มองสำรวจเรือนร่างสมบูรณ์แบบของคนตรงหน้าได้ ตอนมีเสื้อผ้าติดตัวเขาก็จัดว่าเป็นผู้ชายที่น่ามองอยู่แล้ว แต่... ตอนเขาไม่มีเสื้อผ้ากลับน่ามองยิ่งกว่า!
“ชอบที่เห็นไหม” เสียงทุ้มดังขึ้นเมื่อเขาเดินมาหยุดข้างเตียง สีหน้าของเขาบอกชัดว่าคำพูดประโยคเมื่อครู่ไม่ใช่คำถาม
เขามั่นใจว่าเธอชอบสิ่งที่เห็น
ธาวินเอื้อมมือไปที่กระเป๋าหลังของกางเกงยีน แล้วใช้ปลายนิ้วชี้กับนิ้วกลางหนีบซองฟอยล์สี่เหลี่ยมเล็กๆ ออกมา
“นั่นมัน!”
“ปลอดภัยไว้ก่อน” เขาพูดเหมือนมันเป็นเรื่องปกติ
แต่มันไม่ปกติสำหรับพิมพ์นารา “คุณพกไอ้นั่นไว้ในกระเป๋าหลังของกางเกงยีน!”
“ใช่ ผู้ชายส่วนใหญ่ก็พกกันทั้งนั้น ทำไมคุณถึงตกใจ”
“เท่าที่ฉันรู้ผู้ชายส่วนใหญ่พกในกระเป๋าเงินหรือไม่ก็ในลิ้นชักเก็บของในรถ ไม่มีใครที่ฉันรู้จักพกถุงยางอนามัยที่กระเป๋าหลังของกางเกงยีน มันอาจจะหล่นออกมาเมื่อไรก็ได้”
“คุณจะตกใจกว่านี้ไหมถ้าผมบอกว่า มันอยู่ในกระเป๋าหลังของกางเกงยีนผมมาสี่วันแล้ว”
คนได้ฟังข้อมูลตกใจอ้าปากค้าง ใบหน้าร้อนผ่าวราวจะมอดไหม้ พิมพ์นารายังไม่ทันจะได้ปรับจังหวะหัวใจจากความตกใจระลอกแรก คนร่างสูงก็ทำให้เธอเกือบจะหัวใจวายอีกครั้งด้วยการดันขอบกางเกงยีนพรวดเดียวลงไปกองอยู่ที่ข้อเท้า และใต้กางเกงยีนนั้นไม่มีอะไรเลย
ไม่มีชั้นในแบบกางเกงขาสั้น หรือแบบแนบเนื้ออะไรทั้งนั้น
ดวงตากลมโตเบิกกว้างยิ่งกว่าเก่า สมองเธอสั่งการว่าไม่ควรจะจ้องเจ้าสิ่งนี้ แต่สายตามันไม่ยอมทำตามคำสั่ง
สายตาและริมฝีปากที่เผยอน้อยๆ ของเธอทำให้ธาวินแทบร้องครางเป็นแมว โชคดีที่เขายังห้ามใจตัวเองเอาไว้ได้ไม่ทำให้ตัวเองขายหน้า ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเปลี่ยนเสียงครางเป็นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำแทน
“หึๆๆ”
เสียงนี้ทำให้พิมพ์นาราได้สติ หญิงสาวรีบดึงสายตาจากสิ่งที่กำลังชี้ตรงมาที่หน้าเธออย่างอุกอาจ!
ขณะที่หญิงสาวกำลังปรับจังหวะลมหายใจให้เข้าที่เข้าทาง คนร่างสูงก็สลัดกางเกงยีนให้พ้นจากข้อเท้า ฉีกซองฟอยล์แล้วจัดการสวมเครื่องป้องกันอย่างรวดเร็ว ก่อนจะปีนขึ้นไปบนเตียงพร้อมกับเอ่ยยั่วเย้าด้วยเสียงทุ้มต่ำแหบพร่า
“อดใจเอาไว้หน่อยนะมิสซิสสมิธ หลังจากนี้ผมสัญญาว่าจะให้คุณสำรวจได้ทุกตารางนิ้วเลย”
พิมพ์นาราตวัดสายตามองค้อนใส่ แถมอีกฝ่ายยังฉวยโอกาสตอนที่เธออ้าปากจะตอบโต้กลืนกินทุกคำพูดของเธอไปเสียอีก จูบครั้งนี้ของเขาไม่รุนแรงดุดันเหมือนก่อนหน้านี้ มือหนาข้างหนึ่งของเขารองรับอยู่ที่ท้ายทอยของเธอ อีกข้างเลื่อนลงไปกุมผ้าห่มผืนหนาแล้วค่อยๆ ดึงออกจากร่างบางช้าๆ
อากาศเย็นที่ปะทะผิวทำให้ขนอ่อนในกายพิมพ์นาราลุกชัน หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อย แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะความคิดและความรู้สึกทั้งหมดของเธอถูกริมฝีปากหนาของเขากักขังเอาไว้ทั้งหมด แต่ก็ใช่ว่าความเย็นจะสัมผัสผิวเธอได้นานนัก เพราะมันถูกไออุ่นจากคนร่างหนาแทนที่อย่างรวดเร็ว มือหนาข้างที่ว่างเริ่มลูบไล้สำรวจเรือนร่างนุ่มอย่างช้าๆ
สัมผัสของฝ่ามือที่สากหน่อยๆ นั้นทำให้คนร่างบางสั่นสะท้าน เหมือนจะขยับหนี แต่ก็คล้ายจะเชิญชวนให้เขาสัมผัสยิ่งขึ้น มือน้อยทั้งสองข้างยกขึ้นวางบนไหล่หนาด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ อุณหภูมิร่างกายผ่าวร้อนขึ้นอีกหลายองศา เสียงครางเบาๆ ดังสลับกับเสียงลมหายใจที่สะท้านขาดห้วง
มือหนาของเขากอบกุมทรวงอกนุ่มของเธอเอาไว้ บีบเคล้นเบาๆ เรียกอาการสะดุ้งและเสียงครางพร่าจากเจ้าของร่างได้อย่างดี ผมยาวสีดำกระจายตัวอยู่บนหมอนนุ่ม พิมพ์นาราแหงนหงายศีรษะไปด้านหลัง เปิดทางให้ริมฝีปากของเขาได้สำรวจส่วนอื่นๆ ในร่างเธอ ปลายนิ้วและริมฝีปากของเขาปลุกปั่นจุดเปลวไฟร้อนแรงจนแทบหลงลืมทุกอย่าง
ทุกอย่างเหมือนจะดำเนินไปได้อย่างดี แต่แล้วเมื่อมือหนาของเขาเลื่อนลงไปสำรวจส่วนที่ต่ำกว่า มือน้อยพลันเลื่อนลงไปจับยึดข้อมือเขาเอาไว้แน่น
ธาวินรู้สึกได้ถึงอาการเกร็งของคนใต้ร่าง ศีรษะที่ฝังซบอยู่กับเนินอกอิ่มจึงยกขึ้นช้าๆ
สิ่งที่เห็นคือความสับสนที่เด่นชัดบนใบหน้าหวาน “คุณคงไม่ใช่สาวบริสุทธิ์ใช่ไหม”
พิมพ์นาราคิดอยู่แล้วว่าเขาจะต้องถามคำถามกับเธอ แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะถามคำถามนี้ ทว่าคำถามของเขาก็ทำให้ความตื่นตระหนกลดลงไปกว่าครึ่งเลยทีเดียว
“บอกผมมาตามตรงเถอะนา ถ้าคุณยังเป็นสาวบริสุทธิ์อยู่ ผมรู้ว่ามันสำคัญมากสำหรับผู้หญิงไทย” ธาวินกัดฟันกรอดแล้วสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ก่อนจะเอ่ยต่อ “ถ้าคุณต้องการ ผมจะหยุด”
แต่มันไม่ง่ายหรอก พิมพ์นารารู้ดี เธอรู้สึกได้ว่าหลังของเขาเกร็งแน่น ต้องใช้ความอดทนมากแค่ไหนที่เขายั้งตัวเองเอาไว้ทั้งๆ ที่ทั้งคู่พัวพันกันมาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นคงไม่คิดพูดประโยคนี้ด้วยซ้ำ
“ฉันไม่ใช่สาวบริสุทธิ์” พิมพ์นาราตอบกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวเสียงกระซิบ แก้มกลับมาแดงเรื่ออีกครั้ง ดวงตากลมโตเสมองไปด้านข้างเมื่อเอ่ยประโยคต่อมา “มันก็แค่นานแล้วที่...”
ไม่จำเป็นต้องเอ่ยทั้งประโยค ธาวินก็เดาสิ่งที่หญิงสาวต้องการจะบอกได้ “นานแค่ไหนแล้ว”
“เรื่องความบริสุทธิ์น่าจะสำคัญกว่าไม่ใช่เหรอ”
มือหนาแตะที่ปลายคางมน ดึงใบหน้าของเธอให้หันกลับมามองเขา
“ฟังที่ผมจะพูดให้ดีนะนา ผมไม่สนเรื่องนั้นเลยสักนิด ผมจะกล้าเรียกร้องความบริสุทธิ์จากคุณได้ยังไง ในเมื่อผมเองก็ใช่ว่าจะบริสุทธิ์ผุดผ่องเสียหน่อย ตรงกันข้าม ผมพูดได้อย่างมั่นใจเลยว่าผมมีประวัติโชกโชนมากกว่าคุณเยอะ บางเรื่องถ้าให้เล่าคุณอาจจะหน้าแดงไปสามวันเจ็ดวันเลยก็ได้”
ถ้าไม่ใช่เพราะคนพูดพูดด้วยสีหน้าขรึมเคร่งจริงจังละก็ พิมพ์นาราคงจะตวัดสายตามองค้อนเขาไปแล้ว แต่เพราะสายตาคนพูดจริงจังขนาดนี้ เธอเองก็ปั้นหน้าไม่ถูกเหมือนกัน
“ที่ผมอยากรู้ว่ามันนานแค่ไหนก็เพราะถ้ามันนานมาก ผมจะพยายามควบคุมตัวเองและทำอย่างนุ่มนวล”
ครั้งนี้คำพูดของเขาทำให้หัวใจดวงน้อยสั่นไหว ก่อนที่มันจะถูกเขย่าอย่างแรง เพราะประโยคต่อมาเขาจงใจกระซิบข้างหูเธอ “แต่ถ้าไม่ ผมจะได้จัดการคุณอย่างเต็มที่เลย”
“บ้า!” พิมพ์นาราแว้ดเสียงดังลั่น กำปั้นทุบลงที่ไหล่หนา แต่เพราะท่วงท่านี้ทำให้เธอทุบเขาไม่ถนัด แรงที่ทุบจึงแทบไม่สะเทือนกล้ามเนื้อที่ไร้ไขมันของเขาเลยด้วยซ้ำ
“ใครว่าบ้า ผมจริงจังมากเลยนะ อยากกอดคุณแรงๆ แต่ก็กลัวจะทำให้สาวน้อยไร้เดียงสาอย่างคุณหัวใจวายเอาเสียก่อน” ธาวินพูดพร้อมใช้ฟันขบกัดใบหูเล็กของเธออย่างอดใจไม่ไหว
พิมพ์นาราทั้งโกรธทั้งอาย จึงแก้แค้นเขาด้วยการฝากรอยเขี้ยวเอาไว้ที่ไหล่หนา
“อู้ยยย” คนร่างสูงสะดุ้งเล็กน้อย ธาวินเอี้ยวคอมามองที่ไหล่ตัวเองแล้วต้องประหลาดใจ
หญิงสาวยิ้มกริ่มปลื้มอกปลื้มใจกับผลงานของตัวเองยังไม่ทันถึงสิบวินาที หัวใจก็พลันกระตุกอย่างแรง ร่างบางผวาขึ้นจากที่นอนเพราะคนร่างสูงเอาคืนด้วยการขบกัดเช่นกัน แม้ตำแหน่งที่เขากัดจะใกล้เคียงกัน แต่ความรัญจวนนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง!
“อ๊ะ!” เสียงอุทานดังลอดออกจากปากก่อนจะกลายเป็นเสียงสำลักลมหายใจขาดห้วง มือน้อยรวบกำผมสีดำสนิทของเขาเอาไว้แน่น ขณะที่ศีรษะแหงนเงยไปด้านหลัง
สมองบอกให้ดึงตัวหนี แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นว่าเธอแอ่นอกเปิดทางให้ริมฝีปากร้ายกาจของเขาได้ทำทุกอย่างที่ต้องการ อกอีกข้างก็ใช่ว่าจะไม่ได้รับการเอาใจใส่ มือหนาข้างหนึ่งของเขากอบกุมมันเอาไว้ ฟอนเฟ้นเคล้นคลึงดูแลอย่างดีไม่แพ้กัน
ธาวินอยากสำรวจเรือนร่างหอมหวานมากกว่านี้ อยากลิ้มรสทุกส่วนของเธอ แต่บางส่วนในร่างกายเขาไม่ยอมให้เขารั้งรอ การเหยียดขยายจนถึงขั้นเกือบเจ็บตึงทำให้ชายหนุ่มจำต้องตัดใจจากแผนการในหัว มือหนาเริ่มสำรวจต่ำลงไปด้านล่างอีกครั้ง ไล้วนรอบสะโพกกลมกลึง บีบเบาๆ อย่างมันเขี้ยวก่อนจะเลื่อนกลับเข้ามาที่ต้นขาด้านใน
ลมหายใจของหญิงสาวสะดุดอีกครั้ง ก่อนที่เสียงต่อมาจะถูกชายหนุ่มกลืนกินเอาไว้ในปากของตัวเอง
ก่อนหน้านี้เขาอาจจะพอหยุดตัวเองได้ แต่เมื่อตอนนี้ปลายนิ้วสัมผัสถึงความเปียกชื้นร้อนผ่าวของเธอ มันก็ยากที่จะยับยั้งแล้ว ตอนนี้ต่อให้กริ่งสัญญาณเตือนไฟไหม้ดัง ธาวินก็ยังไม่แน่ใจนักว่าเขาจะหยุดได้
ร่างบางเกร็งขึ้นอีกครั้งเมื่อรู้สึกถึงสองนิ้วของเขาสอดเข้ามาในตัวเธอ สองขาของเธอหนีบเข้าหากัน แต่มันไม่สามารถหยุดการแทรกลึกของเขาได้ เล็บคมจิกลงบนไหล่กว้าง พิมพ์นาราสะบัดหน้าหนีจูบของเขา อ้าปาก พยายามสูดลมหายใจเข้าลึก
“ผมทำคุณเจ็บหรือเปล่า” ธาวินเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลจากโคนผมบริเวณหน้าผากแล้วหยดลงบนแก้มสีแดงปลั่งของเธอ เขาหยุดการกระทำทั้งหมด ไม่ได้ดันลึกเข้าไปอีก แต่ก็ไม่ยอมถอดถอนออกมาด้วยเช่นกัน
ชายหนุ่มเริ่มกังวลอย่างจริงจัง เพราะเขารู้สึกได้ถึงความคับแคบของเธอ ถ้าเธอไม่ได้บอกเขาก่อนหน้านี้ ธาวินคงคิดว่าเธอเป็นสาวบริสุทธิ์
“นา ตอบผมหน่อยที่รัก” คำพูดสุดท้ายของเขาแทบจะกลายเป็นเสียงครางเมื่อรู้สึกว่านิ้วทั้งสองของเขาถูกความร้อนผ่าวของเธอโอบรัดเอาไว้แน่น
พระเจ้าช่วย ธาวินมีลางสังหรณ์ว่าเขาอาจจะทำเรื่องให้ตัวเองขายหน้า เพราะเขาไม่รู้จริงๆ ว่าจะทนความร้อนแรงนี้ได้ถึงสองวินาทีหรือเปล่า!
“นา...คุณคงจะไม่เปลี่ยนใจใช่ไหม”
พิมพ์นาราไม่ได้ตอบเขา ใบหน้าหวานเอียงซบกับหมอนเนื้อนุ่ม ลมหายใจของเธอยังคงขาดห้วง เปลือกตายังปิดสนิท
ธาวินมองใบหน้าหวานแล้วได้แต่ลอบกลืนน้ำลาย เขาลดตัวลง ฝังศีรษะลงกับหมอน ข้างซอกคอหอมกรุ่นของเธอ เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วินาที แต่สำหรับธาวินแล้วความทรมานนี้เหมือนจะกลายเป็นชั่วนิรันดร์ ชายหนุ่มพยายามตั้งสติอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ย
“ผมทำคุณเจ็บหรือเปล่านา” หางเสียงของธาวินฟังดูท้อแท้ แต่มันช่วยไม่ได้ เพราะตอนนี้เขาแทบจะขาดใจแล้วจริงๆ
ถ้าเธอยังไม่ตอบเขา ธาวินคงจะต้องคิดถึงเรื่องการใช้มืออีกข้างของตัวเอง
“ไม่ค่ะ...คุณไม่ได้ทำ” นานทีเดียวกว่าพิมพ์นาราจะเอ่ยตอบ สิ่งที่เกิดขึ้นเธอแค่ตกใจเท่านั้น เธอเว้นกิจกรรมนี้มาเกือบสี่ปีแล้ว แม้จะเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ล่วงหน้า แต่ก็ยังอดตื่นตระหนกไม่ได้อยู่ดี
“คุณแน่ใจนะ”
แทนการให้คำตอบ มือน้อยที่ยึดข้อมือเขาเอาไว้แน่นก่อนหน้านี้เปลี่ยนเป็นกดน้ำหนักลง ส่งผลให้นิ้วทั้งสองของเขาดันลึกเข้าไปในตัวเธอเพิ่มขึ้นอีกนิด พร้อมกับที่ด้านในก็บีบรัดเขาอย่างเร้าใจ ธาวินทดสอบด้วยการเคลื่อนไหวช้าๆ รับรู้ได้ถึงความเปียกชื้นและผ่อนปรนทีละน้อย
ลมหายใจของหญิงสาวยังคงขาดห้วง สะโพกไม่ได้เกร็งแน่นแข็งทื่ออีกแล้ว ทว่าตอนนี้มันกำลังสอดประสานกับการเคลื่อนไหวของเขา ทำให้หน้าท้องแบนเรียบขยับไหว ก่อแนวคลื่นน้อยๆ ที่เย้ายวนใจ
เธอพร้อมแล้ว และเขาก็มาถึงขีดสุดของความอดทนแล้วเหมือนกัน!
เสียงครางห้าวลึกดังขึ้นพร้อมกับฟันที่ขบแน่น ธาวินยันตัวขึ้นนั่งบนเข่าทั้งสองข้าง มือหนาแยกต้นขาของหญิงสาวออกจากกัน ดึงมือออก แล้วแทนที่ด้วยสิ่งที่ใหญ่และร้อนแรงยิ่งกว่า ผลักดันทั้งหมดของเขาเข้าไปในเธอด้วยการเคลื่อนไหวทรงพลังเพียงครั้งเดียว
เสียงกรีดร้องดังขึ้นทันที ขาเรียวทั้งสองข้างของเธอเหยียดเกร็ง หลังม่านดวงตากลายเป็นสีขาวพร่างพราย ขณะที่ร่างกายภายในบีบรัดสิ่งที่เหยียดขยายอย่างเป็นจังหวะ
“ผมจะแก้ตัวทีหลัง” เสียงทุ้มแหบพร่าดังขึ้นที่ข้างหู แต่หญิงสาวในตอนนี้ไม่สามารถแปลสารจากข้อความนี้ได้ เธอยังคิดอะไรไม่ออกด้วยซ้ำเมื่อคนร่างสูงเหนือร่างเริ่มกำหนดจังหวะเคลื่อนไหวของตัวเอง
สิ่งที่เกิดขึ้นกินเวลาไม่นานนัก แต่ทุกวินาทีของมันแทบจะแผดเผาทั้งคู่ให้หลอมละลายได้เลยทีเดียว ทุกจังหวะการเคลื่อนไหวของเขาหนักหน่วงชัดเจนจนไม่มีทางที่เธอจะไม่รู้สึกถึงตัวเขา มันเป็นเวลาสั้นๆ แต่กลับเต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกมากมาย
เหงื่อจากตัวเขาหยดลงบนตัวเธอ เธอสูดลมหายใจจากลมหายใจของเขา อ้อมแขนเขากอดรัดเธอ ขณะที่แขนของเธอก็เกาะเกี่ยวบนตัวเขา เมื่อทุกอย่างมาถึงจุดสิ้นสุด เสียงกรีดร้องของเธอก็ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับเสียงคำรามห้าวลึกของเขาเช่นกัน
มันเป็นกิจกรรมที่ใช้เวลาไม่นานเหมือนที่เธออ่านในนิยาย แต่พิมพ์นารากลับรู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรงจนไม่อยากขยับตัว เธอรู้สึกได้ว่าคนร่างหนาทิ้งน้ำหนักลงบนตัวเธอ ผิวของทั้งคู่ชื้นเหงื่อ มันควรทำให้เธอรู้สึกไม่สบายตัว แต่น่าแปลกที่เธอกลับไม่รู้สึกแบบนั้น ตรงกันข้าม เธอกลับชอบกลิ่นเหงื่อจากคนคนนี้มากเหลือเกิน
พิมพ์นาราห้ามตัวเองไม่ให้ซุกปลายจมูกกับซอกไหล่ของเขาไม่ได้
“อื้มมม” เสียงครางอย่างพึงพอใจดังขึ้น ก่อนที่มันจะกลายเป็นเสียงครางอย่างหงุดหงิด
ธาวินขยับตัวเล็กน้อยเพื่อดึงส่วนที่อ่อนนุ่มลงแล้วของตัวเองออกจากรังไหมร้อนผ่าว แม้จะสวมเครื่องป้องกัน แต่การดึงดันจะนิ่งค้างอยู่แบบนี้ย่อมทำให้เปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นได้เหมือนกัน เพราะอุบัติเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ
ทั้งสองไม่พูด ไม่ขยับตัวอยู่หลายนาที จนกระทั่งชายหนุ่มสำนึกได้ว่าเขาอาจจะทำให้คนร่างเล็กขาดอากาศหายใจได้ จึงค่อยๆ ขยับ ใช้ศอกข้างหนึ่งยันรับน้ำหนักตัวเองเอาไว้
“ผมทำคุณเจ็บหรือเปล่า”
สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นทำให้พิมพ์นารากระดากอายเกินกว่าจะมองสบตาเขา หญิงสาวจึงได้แต่ส่ายศีรษะแทนการเอ่ยตอบ
“ผมกลัวจะทำให้คุณเจ็บ คุณแน่นมาก ไม่ต่างจากสาวบริสุทธิ์เลย”
แล้วเขาจำเป็นต้องพูดมันออกมาด้วยหรืออย่างไร! หญิงสาวได้แต่กรีดร้องอยู่ในใจ
“ถ้าคุณไม่เจ็บ งั้นเรามาทำกันต่ออีกรอบได้ไหม”
ครั้งนี้พิมพ์นาราหันกลับมามองคนพูดทันทีพร้อมกับดวงตากลมโตที่เบิกกว้าง
ธาวินส่งยิ้มอย่างจนใจไปให้หญิงสาว สารภาพเสียงอ่อยออดอ้อน “ผมไม่อยากให้คุณคิดว่าผมเป็นพวกวิ่งระยะสั้น ให้โอกาสผมแก้ตัวหน่อยนะ”
ขอกันหน้าด้านๆ แบบนี้แล้วเธอควรจะตอบอย่างไร!
แต่ความจริงก็คือพิมพ์นาราไม่ทันได้ตอบ เพราะคนขอไม่ได้สนเลยสักนิดว่าเธอจะให้โอกาสเขาไหม เขาก็แค่ทำในสิ่งที่ตั้งใจเท่านั้น และหญิงสาวก็ไม่สามารถที่จะต่อต้านแรงกระตุ้นเร่าร้อนนี้ได้เลย
แสงสุดท้ายกำลังจะลาลับจากขอบฟ้าแล้ว แสงสีแดงอมส้มย้อมบนผิวน้ำในทะเลสาบให้กลายเป็นสีน้ำเงินอมม่วงชวนให้หลงใหล ลำแสงบางส่วนส่องผ่านรอยแยกระหว่างผ้าม่านผืนหนาเข้ามาถึงเตียงนอนหลังใหญ่กลางห้อง ทำให้คนร่างบางที่หลับลึกหลังการออกกำลังกายอย่างหนักต่อเนื่องหลายชั่วโมงขยับร่างกายที่ยังอ่อนล้าอย่างไม่เต็มใจนัก
เปลือกตาบางขยับไหวเล็กน้อย ก่อนจะเปิดลืมขึ้นเพียงครึ่งเดียว ดวงตากลมโตฉายแววง่วงงุนมึนงงอย่างชัดเจน คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเมื่อรู้สึกว่าทั้งแขนขาล้าไปทุกส่วน ใบหน้าหวานยับยุ่งเพราะความเมื่อยขบที่กระจายไปทั่วร่าง แต่เมื่อเธอขยับพลิกตัวหนีลำแสงจากดวงอาทิตย์ พิมพ์นาราก็ต้องสะดุ้งเพราะความเจ็บระบมในส่วนที่ไม่คุ้นเคย และรับรู้ถึงสภาพเปลือยเปล่าของตัวเองใต้ผ้าห่มผืนหนา
พลันความทรงจำเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นพร้อมๆ กับที่แก้มเนียนทั้งสองข้างของหญิงสาวแดงก่ำขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
ดวงตากลมโตของพิมพ์นาราเบิกกว้าง ด้านที่เธอนอนตะแคงหันหน้ามองอยู่ไม่มีเงาของใครคนนั้น ดังนั้นหญิงสาวจึงกลั้นลมหายใจแล้วค่อยๆ ยกศีรษะขึ้น เอี้ยวมองข้ามไหล่ตัวเองไปยังที่นอนอีกด้าน แล้วพบว่าที่นอนด้านนี้ก็ว่างเปล่าไม่ต่างกัน
เมื่อบนเตียงไม่มีใคร พิมพ์นาราจึงค่อยๆ ยันตัวขึ้นจากที่นอนช้าๆ กวาดสายตามองไปรอบห้องพบแต่ความว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เงาของเจ้าของห้อง ทิ้งเอาไว้เพียงกลิ่นอายของเขาเท่านั้น แต่ถึงแม้เจ้าตัวจะไม่อยู่ เธอก็ไม่มีทางคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงฝันรัญจวนคืนหนึ่งแน่ๆ
มันไม่มีทางเป็นอย่างนั้นไปได้หรอก เพราะส่วนลึกในตัวเธอยังรู้สึกถึงใครคนนั้นได้อย่างชัดเจนอยู่เลย ความคิดนี้ทำให้แก้มเนียนร้อนผ่าว พิมพ์นาราขยับลุกขึ้นมานั่งบนที่นอน มือข้างหนึ่งรวบผ้าห่มผืนหนาให้ติดตัวเอาไว้ตลอด แล้วกวาดมองไปรอบห้องอีกครั้ง แต่กลับไม่พบอะไรเลย
บนพื้นห้องที่ปูพรมหนา ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลย แม้แต่ถุงเท้าสักข้างก็ยังไม่เหลือให้เห็น!
ตอนนี้พิมพ์นาราเริ่มขยับตัวอย่างตื่นตระหนก เธอไม่ได้สวมเสื้อผ้าแม้แต่ชิ้นเดียว เสื้อผ้าที่เธอสวมตอนเข้ามาในห้องนี้ก็ไม่เหลือร่องรอยสักนิดให้เห็นว่ามันหายไปไหน ก็ใช่ว่าจะเดาไม่ได้หรอกนะ แต่มันน่าอายเมื่อคิดว่าเสื้อผ้าชิ้นไหนบ้างที่เขาเก็บไป
หญิงสาวมองนาฬิกาแขวนผนัง เข็มนาฬิกาบอกเวลาเกือบสามทุ่มแล้ว ไม่แปลกที่ท้องฟ้าด้านนอกกำลังเปลี่ยนสี เพราะภูมิประเทศที่ตั้งอยู่ใต้เส้นศูนย์สูตรทำให้ในฤดูร้อนช่วงเวลาในตอนกลางวันจะยาวนานกว่าตอนกลางคืน ขณะเดียวกันในฤดูหนาวช่วงเวลากลางวันจะสั้น แค่ห้าโมงเย็น พระอาทิตย์ก็โบกมือลาลับขอบฟ้าไปแล้ว
พิมพ์นาราไม่แน่ใจนักว่าเธอหลับลึกไปนานเท่าไร น่าจะสักสามชั่วโมงเป็นอย่างน้อย และเพราะทั้งวันเธอกินเพียงมื้อเช้าไปมื้อเดียวเท่านั้น แถมยังต้องทำกิจกรรมที่ใช้กำลังกายอย่างหนักหน่วง ผลก็คือกระเพาะกำลังส่งเสียงร้องประท้วง
ตอนนี้แม้ไม่อยากจะลุกก็ต้องลุก แต่จะให้ออกไปด้วยสภาพนี้พิมพ์นาราก็กระดากใจเกินกว่าจะทำ แต่มันไม่มีทางเลือกอื่น คนร่างสูงอยู่ข้างนอกหรือออกไปไหนเธอเองก็ไม่รู้ ถ้าไม่หาทางออกไป เธอก็ต้องแขวนท้องรอเขาอย่างนี้ต่อไป
อย่างไร้จุดหมาย เมื่อตัดสินใจแล้ว พิมพ์นาราก็ขยับลุกจากที่นอนด้วยท่าทางทุลักทุเล เพราะสองมือของเธอต้องคอยดึงผ้าคลุมเตียงมาห่อพันร่างเปลือยเปล่าเอาไว้ด้วย
พิมพ์นาราใช้เวลาสำรวจภายในห้องนอนนี้ไม่นานนัก แม้พื้นที่จะกว้างขวาง แต่กลับไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรนัก มีเพียงเตียงนอนขนาดคิงไซซ์พร้อมชุดตู้ลิ้นชักขนาดเล็กขนาบสองด้านของหัวเตียง กับโซฟาแบบปรับนอนได้ตั้งอยู่ริมประตูกระจกที่เชื่อมต่อออกไปยังระเบียงด้านนอกเท่านั้น วิวอลังการที่เห็นจากเตียงนอนทำให้เธอประทับใจมากแล้วก็จริง แต่พอเดินสำรวจเข้าไปถึงส่วนที่เป็นห้องแต่งตัวกับห้องน้ำ พิมพ์นาราก็แทบจะอ้าปากค้าง
ห้องแต่งตัวกับห้องน้ำถูกกั้นห้องแยกออกมาจากส่วนของห้องนอน ตู้เสื้อผ้าแบบฝังผนังกินพื้นที่ผนังด้านหนึ่งของห้องขนาดสิบสองตารางเมตร หนึ่งในสามตู้มีผ้าขนหนูสีขาวสะอาดพับจัดเรียงเอาไว้ตั้งแต่ชั้นบนจนถึงชั้นล่าง ตู้ถัดมามีเสื้อผ้าผู้ชายแขวนและพับเอาไว้พร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบเล็ก ตู้สุดท้ายนอกจากหมอนสีขาวสะอาดในห่อพลาสติกแล้วก็ไม่มีอะไร
ถัดจากส่วนแต่งตัวคือส่วนห้องน้ำที่มีประตูกระจกติดฟิล์มสีขาวขุ่นที่ครึ่งล่าง ส่วนครึ่งบนเป็นกระจกใสที่มองทะลุไปเห็นด้านในอย่างชัดเจน ชักโครกตั้งอยู่ใกล้ส่วนของประตูกระจก มีอ่างล้างหน้าตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม ส่วนสิ่งที่เด่นที่สุดในห้องนี้ก็คืออ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ด้านในสุด ซึ่งผนังด้านที่ติดกับอ่างอาบน้ำถูกออกแบบให้เป็นหน้าต่างที่สามารถเปิดออกไปชมวิวของทะเลสาบด้านนอกได้!
พิมพ์นาราอึ้งกับสิ่งที่เห็นจริงๆ ก่อนหน้านี้เธอไม่ทันสังเกต เห็นแค่ห้องนอนเธอก็ยังไม่คิดอะไรมาก แต่เมื่อมาเห็นห้องน้ำที่อลังการงานสร้างแบบนี้แล้ว หญิงสาวก็อดคิดถึงคนที่เป็นเจ้าของที่นี่ไม่ได้
การมีบ้านที่มีวิวหรูหราแบบนี้ ฐานะของเขาคงไม่ใช่ธรรมดาแน่
แต่คิดไปตอนนี้ก็ใช่ว่าจะมีประโยชน์อะไรสักหน่อย อย่างไรเธอก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ทำความรู้จักอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้งอยู่แล้ว พิมพ์นาราบอกตัวเองแล้วสลัดเรื่องตรงหน้าออกจากหัว เธอกลับไปเปิดตู้เสื้อผ้า ค้นหาผ้าเช็ดตัวใหม่หนึ่งผืนแล้วไปเปิดตู้อีกบาน ก่อนจะตัดสินใจหยิบเสื้อยืดสีเทากับกางเกงวอร์มแล้วเดินเข้าไปในส่วนที่เป็นห้องน้ำ
ห้องน้ำนี้ถูกออกแบบมาให้ผู้ใช้เพลิดเพลินกับการใช้เวลาเสพสุขอยู่ในนี้ แต่ตอนนี้พิมพ์นาราจำต้องมองข้ามมันไปก่อน เธอวางแผนที่จะนอนแช่ในอ่างอาบน้ำพร้อมกับจิบไวน์แดงเอาไว้แล้ว หญิงสาวอาบน้ำสระผมด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ พยายามไม่ไปใส่ใจกับรอยแดงเล็กๆ ที่กระจายอยู่แทบทุกตารางนิ้วบนผิวกายแล้วรีบแต่งตัว เสื้อยืดของเขายาวเลยต้นขาเธอไปกว่าครึ่ง แต่เพราะเธอไม่มีชั้นในทั้งตัวบนและล่าง จึงต้องสวมกางเกงวอร์มที่พับขาขึ้นมาถึงสี่ทบ ดึงเชือกที่เอวกางเกงถูกดึงจนแทบสุดเพื่อที่มันจะสามารถรั้งอยู่บนสะโพก ไม่ทำให้เธอขายหน้าระหว่างเดินไปไหนมาไหนก่อนจะได้ชั้นในมาสวมใส่
พิมพ์นาราสำรวจตัวเองอีกครั้ง สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเปิดประตูห้องนอนออกไปด้านนอก
ความคิดเห็น |
---|