3

บทที่ 3



บทที่ ๓

 

“คุณมานั่งทำอะไรตรงนี้ครับ หรือไปต่อไม่ถูก”

อมราเงยหน้าขึ้นไปมองผู้ที่เป็นดังพระที่มาโปรดคนอย่างเธอในเวลานี้ พร้อมกับโผเข้าไปเกาะแขนอีกฝ่ายไว้เหมือนกลัวว่าเขาจะหนีหายหรือมลายหายไปต่อหน้าต่อตาของเธอ

“คุณ คุณคะ...กระเป๋า กระเป๋าฉัน ฉันวางไว้ตรงนี้กับเป้ แล้วฉันนั่งตรงนี้ หันมามองอีกทีมันก็หายไปแล้ว” หญิงสาวพูดไวราวกับรถด่วนที่เร็วที่สุดในโลกด้วยท่าทางตระหนกตกใจสุดชีวิตจนคนฟังแทบฟังไม่ทัน

“ดะ...เดี๋ยวครับ ช้าๆ ครับ ช้าๆ เอาละ คุณตั้งสติก่อน แล้วค่อยๆ เล่ามาอีกหน” จุลภาคจับแกมบังคับให้หญิงสาวนั่งลงที่เก้าอี้ สายตาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าตื่นๆ ของหญิงสาวที่เขายังไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ แต่กลับลงทุนเดินย้อนกลับมาดูเพราะเกิดความกังวลอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ลางบอกเหตุของเขามันแม่นเกินไปเสียแล้ว “เอาละ สูดลมหายใจเข้าปอดช้าๆ ช้าๆ ไหนเล่ามาซิว่าเกิดอะไรขึ้น”

อมราสูดลมหายใจเข้าปอดตามคำสั่งของชายหนุ่ม มองชายผู้ใจดีที่มานั่งยองๆ อยู่ตรงหน้าเธอ อาการเสียขวัญแทบจะหายไปในบัดดล แต่อาการสั่นยังคงอยู่

“ฉัน...ฉันหาทางไป Sky Train Terminal 2 ไม่เจอค่ะ เลยมานั่งอ่านข้อมูลตรงนี้ กระเป๋าวางตรงนี้” อมราชี้นิ้วไปที่เก้าอี้ตัวข้างๆ “ระหว่างนั้นฉันก็มองหาป้าย พอเจอก็เอื้อมมือไปคว้ากระเป๋าลากกับกระเป๋าเป้ แต่...แต่มันไม่อยู่แล้ว”

คิ้วหนาขมวดเข้าหากันทันที พร้อมกับมองไปรอบๆ บริเวณ

“ที่นี่กฎหมายค่อนข้างรุนแรง น้อยนักที่จะเกิดการขโมยของกันแบบนี้ แถมตรงนี้ก็มีเจ้าหน้าที่อยู่โดยรอบอีก” จุลภาคถอนใจอย่างหนักอก รู้สึกเวทนาหญิงสาวตรงหน้านัก เพราะถ้าให้เขาเดานี่คือการมาท่องเที่ยวต่างประเทศครั้งแรกของอีกฝ่าย และคงเป็นการท่องเที่ยวที่หญิงสาวคงจะจดจำไปอีกนาน และมันคงแย่มากๆ หากทำให้หญิงสาวไม่กล้าเดินทางออกไปท่องเที่ยวที่ไหนอีก “ตอนนี้คุณเหลืออะไรติดตัวบ้าง”

“แค่นี้ค่ะ” อมราทำหน้ายุ่ง “พอดีตอนที่รอกระเป๋า ฉันแยกกระเป๋าเงินกับพาสปอร์ตมาใส่กระเป๋าเล็กใบนี้”

ชายหนุ่มถึงกับปล่อยลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก

“รู้ไหมในความโชคร้ายของคุณก็ยังมีโชคดีอยู่บ้าง เพราะถ้าพาสปอร์ตหายนี่เรื่องใหญ่เลยทีเดียวเชียว ซ้ำร้ายจะยังกลับประเทศไม่ได้ไปจนกว่าสถานทูตจะออกเอกสารให้ ซึ่งก็ยุ่งยากเหลือใจ” จุลภาคลุกขึ้นยืนพร้อมกับมองไปรอบตัวอีกหน “ผมว่าเราต้องไปแจ้งความ แล้วหาตั๋วเครื่องบินให้คุณบินกลับเมืองไทย”

กระเป๋าหายยังไม่น่าสะพรึงเท่าคำพูดนี้ของชายหนุ่มผู้ใจดี กลับไปตอนนี้ก็ได้อายน่ะสิ แล้วถ้าใครๆ รู้ว่าเธอมาเสียรู้ถึงต่างประเทศ เธอจะเอาหน้าสวยๆ ของตนเองไปซ่อนไว้ที่ไหนได้ แค่คิดก็สยองแล้ว ไหนจะสายตาของเหล่าเพื่อนสาวที่คงพร้อมใจกันนัดหมายมาแสดงความสงสารในความโชคร้ายของเธออีกล่ะ

“ไม่ ฉันยังไม่กลับค่ะ ฉันจะอยู่เที่ยวต่อ” หญิงสาวบอกแบบไม่ต้องคิด

“ทั้งๆ ที่ข้าวของคุณหายหมดเนี่ยนะ” จุลภาคถามอย่างไม่อยากเชื่อ

อมราพยักหน้ารับทันที

“คือ...คือ...ไหนๆ ก็มาแล้ว แล้วฉันก็เอาเงินเก็บทั้งหมดมาเที่ยวที่นี่ ถ้าเป็นคุณคุณจะรู้สึกแย่ไหมคะ ที่ต้องกลับไปทั้งๆ ที่เท้ายังไม่ได้ย่างออกนอกอาคารสนามบินเลยด้วยซ้ำไป แล้วฉันก็ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าฉันจะเก็บเงินได้มากพอที่จะมาเที่ยวอีกครั้ง”

“แต่ข้าวของของคุณ...”

แม้ใบหน้าจะเศร้าแต่ใจของอมราก็สู้ไม่ถอย “หายไปก็คงต้องซื้อใหม่ แต่ฉันจะไม่ยอมกลับไปตอนนี้แน่ๆ ค่ะ”

“คุณแลกเงินมาเท่าไร...” เสียงนุ่มเริ่มเข้มงวดขึ้นทุกขณะ

“ห้าร้อยดอลลาร์สิงคโปร์ค่ะ” อมราเริ่มหดคอเมื่อใบหน้าสวยขาวกว่าผู้หญิงตีหน้ายักษ์เครียดขรึม ดูดุขึ้นทุกวินาที

“หนึ่งดอลลาร์สิงคโปร์ประมาณยี่สิบสี่บาทไทย ที่นี่ข้าวจานหนึ่งถูกๆ ก็ห้าดอลลาร์เข้าไปแล้ว เงินที่แลกมาจะไปพออะไร รู้ไหมว่าค่าครองชีพที่นี่สูงแค่ไหน”

หญิงสาวส่ายหน้าช้าๆ หน้าเริ่มสลด ‘ก็ไม่อยากกลับนี่’

“แต่ฉันจ่ายเงินซื้อตั๋วออนไลน์เอาไว้หมดแล้วนะคะ ที่ต้องใช้จ่ายก็แค่ค่ากิน ค่าเดินทางเอง” เสียงเบาอุบอิบบอกอย่างดื้อรั้น

“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ เราต้องไปแจ้งความก่อน ระหว่างนี้คุณก็ตัดสินใจเอาว่าจะกลับเมืองไทยหรืออยากจะอยู่ต่อ”

“คุณจะอยู่เป็นเพื่อนฉันใช่ไหมคะ” หญิงสาวถามไว ลืมไปสนิทว่าเธอเพิ่งเจอกับเขายังไม่ถึงวันด้วยซ้ำไป

“ถ้าคุณต้องการ...”

อมราพยักหน้าไว นาทีนี้หญิงสาวเหมือนคนที่ลอยคว้างอยู่กลางทะเลและกำลังจะหมดแรงว่ายต่อ เขาก็เหมือนขอนไม้ที่ลอยเข้ามา และต่อให้เขาเป็นเพียงกิ่งไม้เล็กๆ เธอก็จะคว้ามันเอาไว้

 

กว่าจะจบกระบวนการก็เล่นเอาแทบสลบ แม้ว่าอมราจะนั่งเฉยๆ คอยพยักหน้ารับยามที่ชายหนุ่มใจดีหันมาถามก็ตามที แต่การแจ้งความในต่างประเทศครั้งนี้ก็ดูดเอาพลังชีวิตเธอไปจนเกือบหมด แถมคงจะตราตรึงอยู่ในความทรงจำจนยากจะลืมเลือนแน่นอน

“ไม่กลับเมืองไทยแน่ๆ ใช่ไหมครับ” จุลภาคถามย้ำอีกครั้งเมื่อเดินออกมาจากห้องกระจกใสที่อมราไม่คิดอยากจะเข้าไปอีก

อมราส่ายหน้าปฏิเสธทันทีเมื่ออยู่ๆ คนหน้าหวานก็ทำเสียงเข้มงวดถามเธอ

            “แล้วคุณพักที่ไหน”

อมรารีบเปิดสมุดเล็กในมืออีกหน รีบบอกชื่อโรงแรมออกไปอย่างรวดเร็ว “ฉันต้องไปขึ้นรถไฟแล้วไปลงสถานี Tanah Merah เปลี่ยนขบวนมาขึ้นฝั่งไป Joo Koon แล้วก็ลงที่สถานี Outram Park เปลี่ยนไปสายสีม่วง แล้วก็ลงสถานี Chinatown ออกทาง Pagoda Street”

ยิ่งได้ฟังเขาก็ยิ่งไม่วางใจ เพราะท่าทางเธอมันเงอะงะน่าดู ดูอย่างไรก็ไม่น่าจะรอดไปจนถึงที่พัก

“ยังไงๆ ผมก็แนะนำว่าคุณควรกลับเมืองไทย”

อมราทำหน้ายุ่งทันที พร้อมกับส่งสายตาอ้อนวอนไปที่อีกฝ่าย “ฉันขอบคุณคุณมากๆ เลยนะคะที่เข้ามาช่วยเหลือฉัน แต่ฉันไม่อยากกลับตอนนี้จริงๆ ค่ะ แม้จะโชคร้ายเจอกับเรื่องแบบนี้เข้า แต่มันก็ขวางฉันไม่ได้ ในเมื่อฉันมาถึงที่นี่แล้ว ฉันก็ต้องทำตามสิ่งที่ตั้งใจไว้ให้สำเร็จ”

“คุณนี่ดื้อจริงๆ ถ้าเป็นคนอื่นป่านนี้เขาหาตั๋วกลับเมืองไทยกันแล้ว”

“ฉันเข้าใจว่าคุณหวังดีและห่วงฉันในฐานะคนไทยด้วยกัน อยากจะขอบคุณคุณจริงๆ นะคะ ถ้าคุณไม่เข้ามาทักฉัน ฉันคงทำอะไรไม่ถูก แต่ฉันไม่กลับค่ะ ฉันยืนยัน ว่าแต่ตอนนี้คุณช่วยอะไรฉันอีกสักอย่างสองอย่างได้ไหมคะ”

“อะไรครับ” จุลภาคหันมามองหญิงสาว ตาสบกับดวงตาโตๆ ที่แสดงความกระตือรือร้นจนเขาเอ่ยปฏิเสธไม่ได้

“ฉันต้องซื้อซิมกับไปขึ้นรถไฟ คุณพาฉันไปหน่อยได้ไหมคะ”

“นี่คุณ...” จุลภาคยอมใจหญิงสาวคนนี้จริงๆ แต่ทำไมเขาถึงห่วงหญิงสาวคนนี้เป็นพิเศษ ทำไมต้องคะยั้นคะยอให้อีกฝ่ายกลับเมืองไทย...ชายหนุ่มนิ่งไปทันทีเมื่อมีคำถามเกิดขึ้นกับตนเอง จุลภาคจ้องมองหญิงสาวตัวเล็กแต่งเนื้อแต่งตัวกึ่งๆ จะเป็นทอมบอย สิ่งที่โดดเด่นบนใบหน้าของหญิงสาวคือดวงตาใสแจ๋วที่สบตาคู่สนทนาทุกครั้งไม่มีหลบหลีก แสดงถึงนิสัยตรงไปตรงมา กล้าหาญ และที่เขารู้สึกก็คือผู้หญิงคนนี้...ดื้อ

ชายหนุ่มถอนใจดังเฮือก แล้วพยักหน้ารับในที่สุดทั้งๆ ที่มีสิ่งที่ทำให้เขาเกิดความลังเลและอยากให้เธอกลับเมืองไทยเสียเดี๋ยวนี้ซึ่งนั่นคือท่าทางเงอะงะ พูดภาษาไทยห้าคำภาษาอังกฤษหนึ่งคำของอีกฝ่าย แม้แต่การเปลี่ยนซิมโทรศัพท์ง่ายๆ ยังดูงงงวย แม้แต่บัตรโดยสารรถไฟเจ้าหล่อนก็ไม่รู้จะเริ่มอย่างไรหรือใช้อย่างไร และก็เป็นเขาอีกที่ต้องสอนหญิงสาว เบ็ดเสร็จกว่าจะพาหญิงสาวเดินมาถึงสถานีรถไฟเขาก็เสียเวลาเกือบสามชั่วโมง

“คุณเลยต้องมาเสียเวลากับฉันเลย” อมราพูดเบาๆ ด้วยความละอายและสำนึกในบุญคุณของอีกฝ่ายระหว่างรอรถไฟ

“ไม่เป็นไรครับ เราคนไทยด้วยกัน เป็นคุณ คุณก็คงทำแบบผม”

‘เหรอ’ อมรานึกฉงน เธอน่ะหรือจะทำแบบเขา เธออาจไม่สนใจใครเลยด้วยซ้ำหากไม่มีอะไรผิดพลาด หญิงสาวลอบพินิจชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกายผ่านผนังกระจกกั้นระหว่างตัวสถานีกับรางรถไฟ

“รถไฟมาแล้ว คุณจำได้ใช่ไหมว่าต้องขึ้นลงสถานีไหน”

อมราสะดุ้งเบาๆ เพราะมัวแต่พิจารณาอีกฝ่ายเลยลืมสิ้นทุกอย่างที่อยู่รอบตัว

“เอ่อ คือ ฉันต้องไปขึ้นรถไฟแล้วไปลงสถานี Tanah Merah เปลี่ยนขบวนมาขึ้นฝั่งที่ไป Joo Koon แล้วก็ลงที่สถานี Outram Park เปลี่ยนไปสายสีม่วง แล้วก็ลงสถานี Chinatown ออกทาง Pagoda Street”

อมราท่องให้อีกฝ่ายฟังแบบไม่มีผิดเพี้ยนราวกับนกแก้วนกขุนทอง ในขณะที่ขบวนรถไฟเคลื่อนเข้ามาจอด พอจอดสนิทประตูก็เปิดออก หญิงสาวหันไปมองชายหนุ่มหน้าหวานผู้มีน้ำใจต่อเธออีกครั้ง

“ไม่เปลี่ยนใจนะ” เขาถามย้ำอีกครั้ง

“ไม่เปลี่ยนใจค่ะ” หญิงสาวที่มีดวงตากลมโตสุกใสยืนยันความตั้งใจของตนเองท่าทางแน่วแน่

จุลภาคส่งยิ้มและโบกมือให้อีกฝ่าย ก่อนมองร่างเล็กๆ นั้นก้าวราวกับกระโดดขึ้นไปอยู่บนรถไฟ แม้ลึกๆ จะรู้สึกห่วง แต่เป็นหล่อนเองไม่ใช่หรือที่ตัดสินใจแบบนี้

“เดี๋ยวค่ะ...” อมราหันกลับไปแต่ไม่ทัน ประตูรถไฟปิดลงเสียแล้ว “ชื่อคุณ...”

รถไฟเคลื่อนออกไป ในขณะที่อมรามองชายหนุ่มหน้าหวานผู้แสนใจดีของเธอจนไม่สามารถมองเห็นได้อีก

“ทำไมเฟอะฟะแบบนี้นะหน่อย แม้แต่ชื่อก็ไม่ได้ถาม เขาช่วยเธอเอาไว้ขนาดนั้นแท้ๆ” หญิงสาวทำหน้าเศร้า รู้สึกเหมือนค้างคาอยู่ในใจ แต่ก็ต้องปล่อยให้มันผ่านไปเพราะคงย้อนกลับไปถามไม่ได้แล้ว

ถึงกระนั้นเธอก็ไม่ลืมยกโทรศัพท์ขึ้นมาเซลฟีเพื่อเก็บภาพไปฝากเพื่อนๆ ว่าเธอมาถึงที่นี่แล้วจริงๆ และมันก็ตื่นเต้นเร้าใจจนหัวใจแทบจะวายตั้งแต่ก้าวลงมาจากเครื่องบิน มีใครจะดวงตกเคราะห์ร้ายแบบเธอบ้างไหม แม้จะเป็นประเทศที่มีกฎหมายรุนแรงแต่เธอกลับโดนลองของเข้าแบบเต็มๆ

มือที่ล้วงกระเป๋ากางเกงกำกระดาษแผ่นเล็กๆ แน่น...จุลภาคมองตามขบวนรถไฟที่แล่นออกไปจนลับสายตา ก่อนจะเดินทางไปยังจุดหมายของตนเองบ้าง

 

ดวงตากลมโตมองไฟสีส้มที่ปรากฏตรงสถานีต่างๆ ที่รถไฟแล่นผ่าน ดีที่เคยขึ้นรถไฟฟ้าที่ไทยอยู่บ้าง มาที่นี่เลยไม่ยากเท่าไร และแม้จะเงอะงะไปสักเล็กน้อยแต่สุดท้ายอมราก็มาถึงจนได้ หลังจากเช็กอินด้วยภาษาอังกฤษแบบไก่กา สุดท้ายเธอก็ได้ห้องพักเล็กๆ ที่มีแต่เตียงและห้องน้ำเล็กๆ มาหนึ่งห้อง ซึ่งก็เหมาะสมกับราคาที่จ่ายไป

“ก็ยังดี” หญิงสาวบอกตนเอง แล้วเข้าไปอาบน้ำชำระร่างกายให้คลายร้อน ก่อนออกมาอีกครั้งในชุดเก่าที่เริ่มมีกลิ่นตุ่ยๆ

อย่างแรกที่เธอต้องทำเลยคือการหาเสื้อผ้าแบบถูกๆ สักชุดสองชุดเอาไว้สำหรับใส่พรุ่งนี้ และช่างเป็นโชคดีของเธอเหลือเกินที่ย่านที่พักเป็นแหล่งร้านค้า ร้านขายของที่ระลึกมากมาย รวมถึงร้านอาหารต่างๆ หากจะให้เปรียบเทียบก็ประมาณถนนข้าวสารที่เมืองไทย

หลังจากที่ได้เสื้อยืดเนื้อนุ่มสองตัว กางเกงขายาวผ้าพลิ้วแบบที่หาได้ที่เชียงใหม่มาอีกสองตัว อมราก็เลยหาซื้อกระเป๋าผ้าใบใหญ่มาใส่ข้าวของอีกหนึ่งใบ และแวะกินข้าวผัดกะเพราที่ร้านอาหารไทยอีกหนึ่งจาน กินไปก็สมเพชตนเองไปที่ถ่อมากินอาหารพื้นๆ แต่ขึ้นชื่อของเมืองไทยถึงประเทศสิงคโปร์ ตอนนี้เงินในกระเป๋าเลยพร่องไป แต่ถ้าฉุกเฉินหมดเงินอย่างไรเธอก็มีบัตรเครดิตอีกใบ แต่ต้องใช้ยามฉุกเฉินจริงๆ เพราะวงเงินมันเหลืออยู่น้อยนิดนัก

‘ตรงนั้นอะไร’ หญิงสาวร่างบอบบางเดินเลาะไปตามรั้ว ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าที่พักของเธออยู่ใกล้วัดแขกในสิงคโปร์ เมื่อผ่านซุ้มประตูสีแดง เลี้ยวขวามาก็เจอกับทางเข้าวัดศรีมาริอัมมันต์ ที่ตรงทางเข้ามีซุ้มประตูสูงๆ เป็นสถาปัตยกรรมอันงดงาม ประดับด้วยรูปเทวดาแกะสลักจำนวนมากสูงไล่ระดับขึ้นไปจนต้องแหงนหน้ามอง จากข้อมูลการท่องเที่ยวที่อมราค้นหามา ธรรมเนียมการเข้าไปไหว้พระที่วัดแขกสิงคโปร์นั้นต้องล้างมือล้างเท้าให้สะอาดเสียก่อน หลังจากนั้นให้เคาะระฆังก่อนเข้าวัดเพื่อเป็นการบอกพระเจ้าให้ช่วยประทานพรที่ต้องการ แล้วให้ทุบมะพร้าวที่มีแขวนไว้ที่ประตูทางเข้าวัดเพื่อทำลายอัตตาของตน แต่เนื่องจากผู้คนมากมายหลั่งไหลมากราบไหว้ขอพรแม้จะใกล้เวลาปิดรอบสองแล้วก็ตามที อมราเลยยกมือขึ้นพนม หลับตาขอพรอยู่ตรงหน้าวัด เธอไม่รู้ว่าที่นี่ศักดิ์สิทธิ์ด้านใดเพราะข้อมูลในเว็บบอร์ดไม่ได้บอกไว้ เลยภาวนาขอพรที่ต้องการมากที่สุดในตอนนี้เพียงข้อเดียวเท่านั้น...

หลังจากเข้าร้านสะดวกซื้อเพื่อซื้อของใช้ส่วนตัวอีกนิดหน่อย อมราก็เดินกลับมาที่โรงแรมซึ่งเป็นที่พัก แล้วส่งรูปต่างๆ ที่ตนเองถ่ายไว้เข้าไปในกลุ่มไลน์ให้เพื่อนๆ ทุกคนได้เห็นว่าแม้เธอจะมาคนเดียวแต่ก็เที่ยวแบบเปรี้ยวๆ ได้เช่นกัน และวันนี้ก็เป็นวันที่มันสุดๆ ไปเลยสำหรับเธอ

“เป็นไง เดินทางเรียบร้อยไหม”

ฮาร์ทถามมาทันทีที่รูปสุดท้ายถูกส่งไป

“เรียบร้อยดี เพิ่งเข้าที่พัก ออกไปเดินเที่ยวแล้วก็หาอะไรกินมา”

“หน่อย เราขอโทษ” เป้มาร่วมสนทนาอีกคน

“ไม่เป็นไรเป้ เราสบายมาก เดินทางเรียบร้อยสุดๆ ขึ้นรถไม่มีหลง หาอะไรกินเรียบร้อย นี่ก็ว่าจะพักละ เพลียมากเลย”

“งั้นพักเถอะ แล้วส่งรูปมาให้ดูเรื่อยๆ นะ” ฮาร์ทว่า

“ใช่ๆ อย่าหายไปนะ” เป้ย้ำ

“ได้เลย” หน่อยรับคำพร้อมกับโยนโทรศัพท์ลงไปบนเตียงนอน ขดตัวนอนหลับตานิ่งอยู่อย่างนั้นด้วยความเพลีย ตั้งใจว่าจะอยู่นิ่งๆ สักพักแล้วลุกไปอาบน้ำอีกหน

ขณะที่กำลังเคลิ้มๆ เกือบจะหลับอยู่นั้นเอง เสียงโทรศัพท์มือถือของหญิงสาวก็ดังขึ้นจนผู้ที่เป็นเจ้าของสะดุ้งโหยง ตาลีตาเหลือกลุกขึ้นมานั่งจ้องโทรศัพท์ด้วยความตกใจ

“ใครโทร. มาฟะ” หญิงสาวเกิดความกังวลไม่กล้ารับ เพราะเธอเปลี่ยนมาใช้ซิมโทรศัพท์ของที่นี่แล้ว และที่สำคัญหากเธอรับโทรศัพท์แล้วฝ่ายโน้นรัวภาษาอังกฤษใส่เธอล่ะ แบบนั้นไม่รับดีกว่า

อมรามองโทรศัพท์ราวกับว่ามันเป็นสัตว์ประหลาดตัวเล็กๆ ที่ชวนสยอง หญิงสาวรอจนเสียงโทรศัพท์เงียบไปจึงต่อสายชาร์จที่ซื้อมาพร้อมกับตอนที่ซื้อซิมเข้ากับตัวเครื่อง แล้วเดินหายเข้าไปทำธุระในห้องน้ำ

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกสองครั้ง แต่อมราก็ไม่คิดจะรับสาย พอออกจากห้องน้ำมาได้ก็ล้มตัวลงนอนโดยทันที ไม่มีการประโคมเครื่องสำอางสารพัดอย่างที่สาวๆ คนอื่นๆ เขาทำกัน หญิงสาวหลับสนิทแทบจะทันทีที่หัวถึงหมอน เลยไม่เห็นว่ามีข้อความส่งมาอีกหลายข้อความ

 

การประชุมวันนี้เป็นเรื่องของการวิจัยและความก้าวหน้าด้านศัลยกรรม รวมถึงการนำเสนอเครื่องไม้เครื่องมือใหม่ๆ เพื่อช่วยให้แพทย์ทำงานได้ง่าย สะดวก และลดขั้นตอนการผ่าตัด รวมทั้งมีบริษัทจากหลากหลายประเทศมาออกบูท พร้อมใบเสนอราคาพิเศษที่คงหาได้เฉพาะที่งานนี้เท่านั้น

จุลภาคเดินชมนิทรรศการและบอร์ดงานวิจัยที่น่าสนใจ วันนี้หัวข้อที่เขาสนใจมีการอภิปรายไปจนหมดแล้วช่วงสายจึงว่าง เลยว่าจะขึ้นไปพักผ่อนที่ห้องเสียหน่อย แต่พอมือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วเจอกับโทรศัพท์มือถือเขาก็นึกถึงใครบางคนขึ้นมาทันที

 

หน้ายุ่งๆ กับคิ้วที่ขมวดเข้าหากันจนชิด มองบอร์ดเส้นทางเดินรถอันใหญ่ในสถานีรถไฟใต้ดิน...วันนี้อมราตั้งใจจะไปสวนสนุกชื่อดังที่ใครๆ ก็คิดอยากจะได้ไปสักครั้งหนึ่ง

“ต้องไปสถานี Harbour Front ออกที่ห้าง Vivo City เดินตามป้ายไป Sentosa Express แล้วนั่งรถ Monorail ข้ามไปฝั่งเกาะเซ็นโตซา อืม...ดูไปก็ไม่น่าจะยากเพราะนั่งสายสีม่วงยาวไปจนสุดสาย” หญิงสาวพึมพำ ทำหน้ายุ่งๆ วันนี้ก็ดันตื่นเสียสายโด่ง ลืมไปว่าที่นี่เวลาเร็วกว่าเมืองไทยประมาณหนึ่งชั่วโมง เลยทำให้โปรแกรมการท่องเที่ยวรวนไปหมด

            หญิงสาวทำเสียงจึ๊กจั๊กเมื่อโทรศัพท์เธอดังอีกแล้ว แถมยังเป็นหมายเลขเดิมเสียด้วยที่โทร. หาเธอตั้งแต่เมื่อวาน รวมถึงส่งข้อความมาหา แต่อมราก็ไม่ได้สนใจที่จะเปิดดู อมราถอนใจก่อนกดรับสายอย่างไม่เต็มใจ กระแอมในคอกะว่าจะตอบรับเป็นภาษาอังกฤษกลับไปเต็มที่ แต่ก็ต้องอ้าปากหวอเมื่อได้ยินเสียงที่ส่งมา...

“สวัสดีครับ นี่ผมเองนะ”

“คุณ!” อมราอุทานออกมาเสียงดัง กระโดดขึ้นด้วยความยินดี ก่อนจะรีบเอามือปิดปาก มองไปรอบตัว เสียงนี้เธอจำได้และจำได้เป็นอย่างดีด้วย “สะ...สวัสดีค่ะ”

เสียงหัวเราะนุ่มๆ ดังกลับมา อีกฝ่ายคงขำที่เธออุทานออกไปดังขนาดนั้น เป็นใครก็คงรู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไร...อมรายิ้มเขินอยู่คนเดียว นานๆ จะมีผู้ชายโทร. หาก่อน เอ๊ะ! แล้วเขารู้เบอร์เธอได้อย่างไร

“คุณรู้เบอร์ฉันได้ยังไงคะ” อมราถามออกไปตามที่ใจคิด

“ผมเป็นคนซื้อซิมให้คุณ ทำไมผมจะไม่รู้ล่ะครับ ว่าแต่คุณเถอะ เป็นยังไงบ้างครับ ผมพยายามโทร. หาคุณตั้งแต่เมื่อวาน แต่คุณไม่ได้รับสาย”

‘ต้องคิดอะไรแน่ๆ เขาต้องคิดอะไรกับเราแน่ๆ ช่วยไม่ได้เนอะ คนมันสวย’ สายตาเจ้าเล่ห์เหลือบไปยังเส้นทางเดินรถอีกหน

            “เมื่อวานตอนแยกจากคุณมาก็หลงค่ะ เดินหาโรงแรมอยู่นานจนเกือบจะร้องไห้ กว่าจะเจอก็เหนื่อยแทบตาย” อมราบีบเสียงออดอ้อน ใส่จริตเต็มที่...บางครั้งมันก็ต้องมารยากันบ้าง “พอถึงห้องก็หมดแรงเลยค่ะ คงหลับสนิทจนไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ของคุณ”

            “แล้ววันนี้เป็นไงครับ วางโปรแกรมจะไปเที่ยวที่ไหน”

            “อยากไปสวนสนุกค่ะ” หญิงสาวทำเสียงอ่อยๆ เริ่มวางแผนการร้ายในใจ โอกาสแบบนี้มีตกมาถึงเธอบ่อยๆ ที่ไหน ชาติหนึ่งจะมีสักกี่ครั้ง “แต่ก็กลัวไปไม่ถูก...”

อมราลากเสียงยาวให้ดูน่าสงสาร นาทีนี้ได้ก็เอา ไม่ได้ก็อด แม้ในใจจะกังวลเพราะแอบกลัวว่าชายหนุ่มหน้าหวานยิ้มสวยคนนี้จะเป็นแบบชาญอีกคน แต่ในเมื่อตอนนี้เธอยังไม่มั่นใจในความเป็นสาวของอีกฝ่ายก็อ่อยไปก่อนละกัน เผื่อฟลุก...

“คุณอยู่ที่ไหนล่ะ เผื่อผมจะแนะนำทางให้” 

“ไชน่าทาวน์ ตรง Pagoda Street ค่ะ” อมรากัดริมฝีปากแน่น ก่อนจะตัดสินใจพูดสิ่งที่ตนคิดออกไป “ว่าแต่...คุณว่างจะไปเป็นเพื่อนกับฉันไหมคะ”

พอพูดไปแล้วก็ต้องหลับตาปี๋ ลุ้นน่าดูเพราะอีกฝ่ายเงียบไปพักหนึ่ง จนอมราคิดไปว่าเขาจะปฏิเสธแน่ๆ

            “โอเคครับ คุณรอผมอยู่ตรงนั้น เดี๋ยวผมจะไปหา” ทันทีที่คำพูดหลุดออกจากปากไป จุลภาคก็นึกแปลกใจตนเองว่าสิ่งใดกันที่ดลใจให้เขาตอบกลับหญิงสาวไปแบบนั้น เป็นเพราะช่วงบ่ายเขาว่างหรือ หรือเป็นเพราะรอยยิ้มสดใสกับดวงตากลมโตคู่นั้นกันแน่

            “ค่ะ...” ง่ายแบบนี้เชียว! ร่างเล็กกระโดดดึ๋งๆ แบบไม่อายใครทันทีที่อีกฝ่ายตอบรับกลับมาเพราะเก็บอาการดีใจเอาไว้ไม่ไหว

‘ได้ทั้งชาย แถมยังได้คนเก่งภาษาพาเที่ยวอีก ในความโชคร้ายยังมีความโชคดีอยู่ด้วยเห็นไหม เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวจะถ่ายรูปคู่เอาไปอวดแม่พวกสาวๆ ให้ได้ร้องหูหากันบ้าง’ อมรากระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ แม้จะต้องรออีกฝ่ายเป็นชั่วโมงเธอก็ยอม...

           

            ทันทีที่เห็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เดินมาแต่ไกล อมราก็อ้าปากค้างน้ำลายแทบไหลออกมาจากมุมปาก แต่หญิงสาวรู้ตัวเสียก่อนเลยรีบหุบปาก แล้วรีบจัดท่าจัดทางให้ตัวเองดูดีทันทีที่เห็นชายหนุ่มร่างสูงเดินเด่นตรงมาหาเธอ

            คนอะไรออร่ากระจายขนาดนั้น แม้จะอยู่ในชุดสบายๆ เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีฟ้า กางเกงสแล็กลำลองขาสั้นสีน้ำตาลอ่อน อวดท่อนขาขาวสวยเรียวงามประหนึ่งหญิงสาว อมราก้มหน้ามองขากระดำกระด่างของตนเองที่ขาวเนียนไม่ได้ครึ่งของอีกฝ่ายทันที นี่ยังไม่นับใบหน้าขาวผ่องเป็นยองใยและกลิ่นตัวหอมๆ ที่โชยมาให้ดอมดมจนชื่นใจ รู้สึกว่าเขามีความเป็นผู้หญิงมากมายกว่าเธอเสียอีก อมราก้มมองตนเองอีกหน ‘มอซอสิ้นดี’ แต่ถึงกระนั้นหญิงสาวก็มีแก่ใจเงยหน้าส่งยิ้มแฉ่งไปทักทายอีกฝ่ายทันทีที่เขาเดินมาถึง

“สวัสดีค่ะ รู้ไหมคะ เรายังไม่รู้จักชื่อกันเลย”

หญิงสาวกล่าวทักทายพร้อมหยอกเย้า เรียกรอยยิ้มจากอีกฝ่ายได้เช่นกัน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น