2

ตอนที่ 2




2

 

ซุนหงซิ่วมีชู้อย่างเปิดเผยในเรือนมู่ตาน ตอนเช้าจิ้นหยางลุกออกไปเข้าครัว ก็เห็นนางเดินออกจากเรือนคนรับใช้ไปอย่างสุขอุรา สาวใช้อีกสองคนที่เดินตามหลังมาเสียอีกกลับก้มหน้าต่ำเหมือนกระดากอาย

สาวใช้ของซุนหงซิ่วมีอยู่สองคน คนหนึ่งชื่อว่าเพ่ยจู อีกคนชื่อเพ่ยหลิน เพ่ยจูค่อนข้างพูดมาก ขณะที่เพ่ยหลินเป็นคนเงียบๆ และยังมีสาวใช้อาวุโสอีกคนชื่อว่าเหนียงเอ่า นางเป็นคนจัดการเรื่องการเงินทองในเรือนมู่ตานแห่งนี้ และอีกคนที่ไม่เคารพไม่ได้โดยเด็ดขาดคือ ‘จั่วเฟิง’ หัวหน้าองครักษ์ประจำตัวและยอดชู้ของซุนหงซิ่ว

จิ้นหยางมองพวกซุนหงซิ่ว แล้วระลึกความจำเงียบๆ พอเห็นสายตาจั่วเฟิงมองมา เขาก็รีบก้มหน้าหลบสายตา หิ้วถัง เตรียมไปตักน้ำในโอ่งเพื่อทำอาหารในตอนเช้า

จั่วเฟิงกับซุนหงซิ่วเพิ่งจะผ่านคืนวันอันสุขสันต์มา พวกเขายังอารมณ์ดีไม่น้อย จั่วเฟิงเห็นจิ้นหยางกำลังมองตน พอเขามอง อีกฝ่ายก็หลบสายตา แล้วรีบยกถังน้ำไปตักน้ำเตรียมทำอาหารด้วยท่าทางงกๆ เงิ่นๆ น่าขัน เขาจึงถามซุนหงซิ่ว

“นี่หรือขอรับ คนครัวคนใหม่ที่นายท่านส่งมา”

“ใช่ หน้าตาไม่ได้เรื่อง แต่มีดีที่หัวไว อีกทั้ง... รู้สึกว่าอาหารของเขาจะต้องใจชินอ๋องไม่น้อย” พอกล่าวถึงหลิวฮั่นจวิน ดวงตาซุนหงซิ่วก็ทอประกาย ความจริง... บุรุษที่นางวางแผนจะแต่งงานด้วยแต่แรกมิใช่หวังรั่วเสวียน แต่เป็นชินอ๋องรูปงามบึกบึนคนนั้นต่างหาก หากได้แต่งให้ชินอ๋อง และเขาได้เป็นองค์รัชทายาท ก็หมายความว่าเป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ชีวิตความเป็นอยู่คงจะดีกว่านี้มาก อย่างน้อยก็คงดีกว่าเป็นภรรยาเอกของตัวขี้เกียจอย่างหวังรุ่ยเสวียน

ยิ่งคิด ซุนหงซิ่วก็ยิ่งรู้สึกว่าสามีของตนนั้นเป็นตัวเกะกะขวางทางความสุขของตน ก็คล้ายไม่เบิกบานขึ้นมา

จั่วเฟิงเป็นคนไม่มีสมองนัก เขาเห็นสีหน้าของซุนหงซิ่วตอนที่กำลังมองจิ้นหยาง ก็หมายใจว่าฮูหยินคนงามที่มอบความมั่งคั่งให้ตนเอง จะต้องไม่พอใจไอ้หนุ่มคนใหม่นี้อยู่แน่ จั่วเฟิงพลันคิดวิธีได้ เลยหันมาถามซุนหงซิ่วอย่างซุกซน

“คุณหนูอยากจะเห็นอะไรสนุกๆ หรือไม่ขอรับ”

“อะไรรึ” ซุนหงซิ่วยิ้มบางๆ

จั่วเฟิงถูมือ เดินไปหาจิ้นหยางที่กำลังตักน้ำขึ้นมาจากตุ่ม เขาเตะถังไม้ที่จิ้นหยางใส่น้ำไว้จนเกือบจะเต็ม คนครัวคิ้วกระตุก แต่พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นจั่วเฟิงก็ต้องยิ้มแล้วโค้งศีรษะ เอ่ยด้วยน้ำเสียงขลาดกลัวเจือประจบเอาใจเล็กน้อย

“สวัสดียามเช้าขอรับนายท่าน”

จั่วเฟิงแค่นหัวเราะ ในสายตาเขา จิ้นหยางนับเป็นตัวอะไรได้ เขากวาดตามองคนมาใหม่ที่ผิวคล้ำ คิ้วผิดรูป และมีไฝที่คาง รูปร่างหน้าตาเช่นนี้ ซุนหงซิ่วไม่มีทางสนใจและดูท่าจะเป็นลูกไล่ที่ดี

“เจ้าชื่ออะไร”

คำว่า ‘นายท่าน’ นั้นสมควรเรียกหวังรุ่ยเสวียนเพียงผู้เดียว แต่จั่วเฟิงกลับรับเอาไว้หน้าชื่นตาบานมาก เห็นชัดว่าเป็นเพราะซุนหงซิ่วให้ท้าย และหวังรุ่ยเสวียนที่เป็นนายตัวจริงไม่สนใจ จิ้นหยางลอบด่าในใจว่าคางคกขึ้นวอ แต่น้ำเสียงที่เอ่ยกลับเจือความนอบน้อมเพิ่มขึ้น

“ข้าน้อยมีนามว่าจิ้นหยางขอรับ”

จิ้นหยางกล่าวจบ จั่วเฟิงก็ไม่กล่าวอะไร ซ้ำยังไม่ยอมเดินจากไปด้วย เด็กหนุ่มคิดว่าใกล้ได้เวลาอาหารเช้าของซุนหงซิ่วและทุกคนในเรือนมู่ตานแล้ว จึงกล่าว “ข้าขออนุญาตนะขอรับ”

เขาเก็บถังขึ้นมาตั้งใหม่ ตักน้ำอีกรอบ กำลังจะตักจนเต็ม จั่วเฟิงก็ถีบถังน้ำอีกครั้ง ถังไม้ล้มคว่ำ น้ำสาดกระจาย ครานี้ได้ยินเสียงหัวเราะคิกของซุนหงซิ่วด้วย

จิ้นหยางลอบกำหมัดแน่น ระงับอารมณ์ และคว้าถังไม้ขึ้นมาตั้ง กำลังจะตักน้ำจากตุ่มอีกครั้ง แต่จั่วเฟิงเหิมเกริม อยากให้ผู้มาใหม่ได้รู้อำนาจของตน จึงชักดาบออกมาจากฝักแล้วแทงเฉียดข้างเอวของจิ้นหยางที่กำลังตักน้ำ ทำลายตุ่มใส่น้ำนั้นทันที

“โอ้ ท่าทางเจ้าต้องไปตักน้ำที่บ่อน้ำแล้ว”

จิ้นหยางมองเสื้อข้างเอวที่ฉีกขาด คิดในใจว่าก่อนจากไป เขาจะต้องจับเจ้าหมอนี่มาซ้อมให้หนักสักหนึ่งครา แม้ในใจจะเป็นเช่นนั้น แต่จิ้นหยางก็ยังทำตัวสั่นงันงก ถือถังน้ำและขันตักน้ำไปยังบ่อน้ำที่อยู่ไม่ไกล

จั่วเฟิงเดินกลับมาซุนหงซิ่ว ซุนหงซิ่วตีเขาเบาๆ อย่างหยอกเย้า กล่าวโทษอย่างไม่จริงจัง “เจ้าช่างรังแกเขานัก!”

“ข้ายังทำให้คุณหนูสนุกได้มากกว่านี้อีก” จั่วเฟิงเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ ก่อนเดินตามจิ้นหยางไปที่บ่อน้ำ

บ่อน้ำแห่งนี้ตั้งอยู่ท้ายเรือน ค่อนข้างกว้างและลึกพอสมควร จิ้นหยางหย่อนถังลงไปในบ่อ พร้อมชะโงกหน้ามองว่าถังตกลงไปถึงก้นบ่อหรือยัง ในตอนนั้นเขาได้ยินเสียงคนที่ย่องมาด้านหลัง จิ้นหยางหรี่ตาลง คิดถึงผลได้ผลเสีย ก่อนจะยอมน้อมรับแต่โดยดี

จั่วเฟิงยกขาถีบจิ้นหยางให้ตกลงไปในบ่อน้ำอย่างชั่วร้าย ทุกคนได้ยินเสียงดังตู้มตามมา ทั้งซุนหงซิ่วและจั่วเฟิง รวมถึงบ่าวคนอื่นหัวเราะเสียงดัง

“อาเฟิง เจ้าใจร้ายยิ่งนัก!” ซุนหงซิ่วร้องบอก โบกผ้าเช็ดหน้า “พอแล้วๆ อย่างไรเขาก็เป็นคนที่พ่อข้าส่งมา เจ้ารังแกเขาเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”

“ขอรับ” จั่วเฟิงหัวเราะอย่างสาแก่ใจ หันไปตะโกนใส่บ่อน้ำ “เจ้าขึ้นมาได้แล้ว!”

จิ้นหยางเนื้อตัวเปียกชุ่ม สาเหตุที่เขายอมตกลงไปในบ่อน้ำทั้งที่ตนหลบหลีกการโจมตีของจั่วเฟิงได้ ถึงขั้นสามารถพลิกกลับมาถีบอีกฝ่ายตกลงไปในบ่อแทนได้ เพราะหนึ่ง... เขาไม่ต้องการให้ใครเห็นว่าเขามีวรยุทธ์ และสอง... จั่วเฟิงคิดจะเล่นงานเขาเพราะถือว่าตัวเองเป็นคนโปรดใช่หรือไม่ ได้! เช่นนั้นเขาจะเล่นงานกลับแบบเดียวกัน!

เดิมจิ้นหยางนั้นอยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มตัวดำ มีคิ้วผิดรูป และมีไฝที่ใต้คางเด่นชัด เป็นรูปลักษณ์ที่ไม่ประทับตราตรึงใจมากนัก แต่พอแช่อยู่ในน้ำ เมื่อใช้มือถูหน้าลบภาพลักษณ์เก่าเสร็จสิ้น จิ้นหยางก็คลานขึ้นมาจากบ่อน้ำ พาเอาเสียงหัวเราะทั้งหลายเงียบกริบในพริบตา

ซุนหงซิ่วนั้นชื่นชอบบุรุษรูปงามยิ่งนัก เห็นเด็กหนุ่มรูปงามขาวราวกับหยก ตัวเปียกโชกปีนขึ้นมาจากบ่อน้ำและคุกเข่าให้นาง เด็กหนุ่มคนนั้นก้มหน้าน้อยๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“จิ้นหยางทำความผิดให้น้ำสกปรกแล้ว ขอคุณหนูซุนลงโทษด้วยขอรับ”

จั่วเฟิงรู้จักนิสัยของซุนหงซิ่วเป็นอย่างดี ใบหน้าจึงเปลี่ยนสีไปในพริบตา แม้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะมิได้มีผิวเข้มและกร้าวแกร่ง ทว่างดงามเปี่ยมเสน่ห์ ดวงตาและคิ้วมีความเย้ายวนเป็นธรรมชาติ เพราะผิวกายเปียกโชก จึงแลดูละมุนละไมเหมือนหยกขาวมันแพะที่ต้องน้ำค้าง

ซุนหงซิ่วหาเสียงของตนเองเจอในที่สุด จึงกล่าวเสียงสั่น “เจ้า... ปลอมตัวตลอดเลยหรือ”

จิ้นหยางทำหน้าเศร้าใจ “แต่เดิมจิ้นหยางไม่คิดปิดบังใคร แต่จนใจที่ครานั้นเกือบถูกฉุดคร่าเข้าหอนายโลม จากนั้นมาจิ้นหยางเลยทาหน้าดำ เขียนคิ้วผิดรูป และติดไฝปลอมขอรับ” เขาโน้มตัวโขกศีรษะ “แม้ไม่ตั้งใจหลอกลวง แต่จิ้นหยางก็ทำผิดไปแล้ว ขอคุณหนูซุนโปรดไว้ชีวิตด้วย”

แม้มิได้งามอย่างดาบที่คมกริบ แต่ก็ละมุนละไมอย่างหยก ซุนหงซิ่วผู้ชื่นชอบบุรุษรูปงาม จิ้นหยางคนนี้อ่อนเยาว์กว่านางอย่างเห็นได้ชัด จะยอมมองอีกฝ่ายโขกศีรษะได้อย่างไร นางเข้ามาพยุงเขา สีหน้าและแววตาเปลี่ยนเป็นหยาดเยิ้มในทันที

“ไม่ต้อง เจ้าเพียงหาทางปกป้องตัวเอง ไม่มีความผิดอะไร...” นางจับแขนเขาแล้วอดลูบเบาๆ ไม่ได้ ยิ่งเห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มรูปงามราวกับเซียนลงจากสวรรค์ ซุนหงซิ่วก็ยิ่งพออกพอใจมากขึ้น คราแรกนึกว่าหิน แต่ที่จริงกลับเป็นเพชรเม็ดงาม

ครั้นเห็นสาวงามมองตนตาหยาดเยิ้ม จิ้นหยางจึงกล่าวอย่างเกรงใจ “คุณหนูซุน น้ำในบ่อ...”

“จะยากอะไร” ซุนหิงซิ่วยังไม่ยอมละมือจากมือของหนุ่มรูปงาม ก่อนหันไปสั่งจั่วเฟิงเสียงเฉียบขาด “เจ้าไปซื้อน้ำมาให้เขาทำอาหาร แล้วก็เติมน้ำในตุ่มให้เต็มด้วย เข้าใจหรือไม่”

จั่วเฟิงไม่คิดว่าผลจะเป็นเช่นนี้ มองจิ้นหยางที่มองเขาพร้อมรอยยิ้มบางๆ ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นไม่น่าดู แต่เมื่อเห็นสายตาของซุนหงซิ่วที่กำลังหมายปองของใหม่ เขาก็กัดฟันประสานมือรับ

“ขอรับ”

ในอกของจั่วเฟิงคล้ายถูกยัดด้วยผ้าขี้ริ้ว ขณะที่จิ้นหยางอยากจะหัวเราะใส่หน้าจั่วเฟิง ‘หึๆ แข่งอะไรก็แข่งได้ แต่จะมาแข่งเรื่องความงามของข้าหรือ อย่าหวัง! หน้าตาของเราห่างชั้นกัน เจ้าเข้าใจหรือไม่จั่วเฟิง เรามันห่างชั้น!’

จิ้นหยางลุกขึ้นตามแรงประคองของซุนหงซิ่ว แล้วก้าวถอยห่างอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วและนุ่มนวล “ข้าน้อยสกปรก ไม่อยากทำให้คนงามอย่างคุณหนูซุนแปดเปื้อน ขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้านะขอรับ”

จิ้นหยางหลบหนีจากมือปลาหมึกของซุนหงซิ่วได้อย่างรวดเร็ว พลางครุ่นคิดว่า วันข้างหน้าเขาจะทำอย่างไรต่อไปดี

 

นายของเรือนมู่ตานนั้นคือซุนหงซิ่ว ดังนั้นจิ้นหยางย่อมต้องทำอาหารเพื่อเอาใจอีกฝ่าย เหมือนว่าความงามของจิ้นหยางจะทำให้ซุนหงซิ่วติดตาตรึงใจ จึงได้มานั่งอยู่ในครัวเพื่อมองเขาทำอาหาร คนครัวก็ยกกามารินน้ำสีขาวนวลให้

ซุนหงซิ่วกำลังมองอย่างเคลิบเคลิ้ม เห็นน้ำสีขาวมุกก็งุนงงขึ้นมาวูบหนึ่ง จึงเอ่ยปากถาม “นี่อะไร”

“เรียนคุณหนู นี่คือเห่งหยิ่งเต๊ขอรับ” จิ้นหยางยิ้มให้นาง

ซุนหงซิ่วขมวดคิ้ว ก็ไม่แปลกใจนักเพราะในเวลานี้ เมล็ดซิ่ง[1] ยังไม่แพร่หลาย และเห่งหยิ่งเต๊นี้ก็ยังไม่ถูกค้นพบ จิ้นหยางจึงกล่าวต่ออีก

“เรียนคุณหนู นี่คือน้ำที่ได้จากการปรุงเมล็ดชนิดหนึ่ง มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า ในแคว้นหนึ่งมีสตรีผู้หนึ่งที่เลอโฉมมาก นางเคยเป็นพระชายาถึงสามครา และเป็นฮูหยินถึงเจ็ดครา มีอายุยืนเป็นร้อยปี แม้ยามสิ้นชีพ นางก็ยังมีผิวพรรณเต่งตึงเปล่งปลั่ง ทั้งหมดเพราะนางดื่มเห่งหยิ่งเต๊ทุกวัน นอกจากจะทำให้ผิวพรรณดีแล้ว ยังช่วยให้เรือนร่างขับกลิ่นหอมจรุง ชายใดก็ยากจะต้านทานขอรับ”

ซุนหงซิ่วเป็นคนรักสวยรักงาม ได้ยินเช่นนี้ก็ก้มหน้าจิบน้ำสีขาวนี้เล็กน้อย พบว่ามีรสชาติถูกปากนางพอสมควร จึงกล่าว “เจ้ามีน้ำนี่มากเท่าไร”

“มากเท่าที่คุณหนูต้องการขอรับ” จิ้นหยางยิ้มให้นาง

“ดี เช่นนั้นปรุงมาให้ข้าดื่มทุกวัน” ซุนหงซิ่วออกคำสั่ง “เจ้ามีความรู้มาก”

“ข้าน้อยเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ ย่อมพบเห็นและได้ยินอะไรมามากมายขอรับ” ข้าโดนเทพอินเทอร์เน็ตเปิดโลกใหม่มานานแล้ว

“เช่นนั้น...” ซุนหงซิ่วลูบหลังมือของจิ้นหยางเบาๆ “เจ้าลองทำอาหารอะไรที่คิดว่าข้าน่าจะชอบออกมาซิ”

จิ้นหยางมองอีกฝ่าย ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาอย่างมั่นใจ แวบหนึ่งที่ทำให้ซุนหงซิ่วใจเต้นรัวเร็ว นางชอบบุรุษที่สูงใหญ่ องอาจสง่างามก็จริง แต่ก็มิใช่ว่าบุรุษรูปงามเกลี้ยงเกลาราวกับหยกสลักจะไม่สามารถสั่นคลอนใจของนางได้

จิ้นหยางหุงข้าวสวย แต่ยามที่กำลังหุงข้าวเขากลับใส่เครื่องปรุงรส และใช้น้ำซุปกระดูกหมูในการหุงข้าว ตั้งเตาทำน้ำซุปกระดูกหมู ใส่หัวไชเท้ากับปลาหมึกแห้ง เริ่มใช้มีดหั่นทั้งเนื้อเค็ม บ๊วยดอง เห็ดหูหนูดำ และต้นหอมญี่ปุ่นเตรียมเอาไว้ เมื่อข้าวสุกก็ตักข้าวที่ปรุงรสแล้วกับข้าวที่ยังไม่ปรุงรสมาคลุกให้เข้ากันโดยระวังไม่ให้ข้าวเละ ก่อนตักใส่จาน จัดวางด้วยเนื้อเค็มที่หั่นเป็นชิ้นบางๆ เห็ดหูหนูดำหั่นฝอย และบ๊วยเค็ม หลังจากนั้นก็ใส่สาหร่ายต้มลงไป ก่อนจะรินน้ำซุปแล้ววางถ้วยลงตรงหน้าซุนหงซิ่ว

“เชิญขอรับ”

ซุนหงซิ่วมองข้าวหน้าตาประหลาด ลังเลเล็กน้อยก่อนจะใช้ช้อนตัก

ข้าวขาวไม่ได้ปรุงรสหากผสานกับน้ำแกงรสอ่อนก็ให้ความรู้สึกนุ่มละมุนละไม ขณะข้าวที่ปรุงรสต้องน้ำแกงก็ยิ่งรู้สึกถึงความเข้มข้น เพราะว่าข้าวทั้งสองแบบคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน ทำให้รับรสสัมผัสที่ไม่สม่ำเสมอ พาให้คนกินรู้สึกตื่นเต้น เนื้อเค็มหั่นชิ้นบางกินกับสาหร่ายรสจืดและเห็ดหูหนูดำ ช่างเข้ากันได้เป็นอย่างดี ที่กระตุ้นความอยากอาหารมากที่สุดก็คือบ๊วยดอง ซุนหงซิ่วไม่รู้ตัวว่ากินจนหมดเมื่อไร แต่นางรู้สึกว่ายังไม่พอ

“ขออีกถ้วยได้หรือไม่”

จิ้นหยางยิ้มให้นางพร้อมทำให้อย่างรวดเร็ว ขณะที่เพ่ยหลินและเพ่ยจูค่อนข้างตกใจ นายหญิงไม่ชอบกินข้าวเช้า แต่วันนี้กินข้าวแล้วยังขออีกถ้วยเป็นครั้งแรก ชวนให้พวกนางรู้สึกอยากลิ้มรสอาหารเช้าในวันนี้มากนัก

จานที่สอง จิ้นหยางเพิ่มเนื้อปลาย่างซอสมาให้ด้วย เป็นปลาที่เขาย่างเอาไว้ในห้องครัวเมื่อคืน นำมาบี้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยคลุกกับข้าวทั้งสองอย่าง

ซุนหงซิ่วเจอรสชาติแปลกใหม่ประเดประดังเข้ามา ก็กินจนหมด ซ้ำยังเลียปากอยากจะกินอีก ทว่านางอิ่มเต็มทนแล้ว

“อาหารจานนี้เรียกว่าอะไร” ซุนหงซิ่วถามอย่างอดไม่ได้

“สูตรนี้ข้าปรับปรุงมาจากข้าวน้ำชาขอรับ” จิ้นหยางยิ้ม “เป็นอาหารของเกาะแห่งหนึ่ง อาจจะเปลี่ยนจากน้ำแกงเป็นน้ำชาก็ย่อมได้ และเครื่องที่แต่งหน้าข้าวก็ปรับเปลี่ยนได้ตามใจผู้กิน ข้าทราบว่าท่านชอบรสเค็ม จึงได้เตรียมเนื้อเค็มมาให้ ครั้งที่สองข้ากลัวว่าคุณหนูจะเบื่อ จึงได้คลุกเนื้อปลาย่างกับเครื่องปรุงสูตรพิเศษให้ด้วย หวังว่าคุณหนูจะชอบ”

“ข้าชอบมาก” ซุนหงซิ่วเช็ดปาก ยิ้มอย่างพอใจ “กลางวันทำข้าวน้ำชาอีกนะ แล้วข้าจะรอ”

จิ้นหยางประสานมือให้อีกฝ่าย

 

จั่วเฟิงได้ยินว่าซุนหงซิ่วไปนั่งดูจิ้นหยางทำอาหารก็หงุดหงิด หลังจากใช้ผู้อื่นเติมน้ำจนเต็มโอ่ง จั่วเฟิงจึงมาที่ครัวเพื่อจัดการให้จิ้นหยางรู้ว่าที่นี่ใครเป็นผู้มีอำนาจที่สุด

จิ้นหยางก็พอจะเดาออกว่า จั่วเฟิงจะต้องมาหาเรื่องเขาอย่างแน่นอน ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ เขาจึงใช้วิชาขององครักษ์ลับแอบซ่อนตัว ไม่ให้จั่วเฟิงหาเขาพบ ยกเว้นแต่จะมีคนอื่นมายังโรงครัว จิ้นหยางถึงจะเผยตัว

จิ้นหยางรู้ว่าจั่วเฟิงจะต้องอยู่ข้างกายซุนหงซิ่วตลอดเวลาที่อีกฝ่ายตื่นนอน ทั้งเพื่อรักษาความปลอดภัยและประจบเอาใจนายหญิงของตน และเป็นอย่างที่เขารู้ พอซุนหงซิ่วตื่นจากการนอนกลางวัน จั่วเฟิงก็รีบวิ่งไปหาอีกฝ่าย คนครัวก็โผล่ออกมาจัดการเก็บกวาดโรงครัวที่ถูกจั่วเฟิงอาละวาดเอาไว้ เขากำลังจะเตรียมทำอาหารกลางวันให้ซุนหงซิ่ว ในตอนนั้นกลับมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลัง

จิ้นหยางหันไปมอง เห็นชายชราท่าทางเข้มงวดผู้หนึ่งกำลังมองเขาอยู่ ชายชราคนนี้กวาดตามองเขารอบหนึ่ง ก่อนจะถาม

“เจ้าเป็นพ่อครัวคนใหม่ของเรือนมู่ตานหรือ”

จิ้นหยางประสานมือให้อีกฝ่าย “ข้าน้อยมีว่านามจิ้นหยางขอรับ”

ชายชราคนนั้นลูบเคราขาวของตนเองขณะกล่าว “เจ้าตามข้ามา”

“เอ่อ...” จิ้นหยางลังเล “ข้าต้องทำอาหารกลางวันให้... ฮูหยิน” เมื่อวานเขาถูกพาเดินรอบเรือนมู่ตาน ไม่เคยเห็นชายชราคนนี้ คาดว่าน่าจะเป็นคนของอีกเรือน

“ข้าจะไปแจ้งฮูหยินเอง” ชายชราผงกศีรษะแล้วเดินนำไป

จิ้นหยางวางมือจากทุกสิ่ง เดินตามชายชราคนนั้นไป เขาคาดว่าชายชราคนนี้อาจจะเป็น ‘เหล่าเหวิน’ พ่อบ้านใหญ่ของจวนเสนาบดีกรมพิธีการ แม้ว่าจะเป็นพ่อบ้านใหญ่ แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายอะไรในเรือนมู่ตานแห่งนี้ ด้วยหวังรุ่ยเสวียนกับซุนหงซิ่วถือคติว่าน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง คนของเรือนสือซว่านไม่ยุ่งกับคนเรือนมู่ตาน และคนของเรือนมู่ตานก็จะไม่ยุ่งกับคนของเรือนสือซว่าน

แต่หวังรุ่ยเสวียนก็ยังคงเป็นหัวหน้าตระกูล ใครจะเข้ามาอยู่ใต้การปกครองของเขา เขาย่อมต้องได้พบหน้าสักครั้ง จิ้นหยางเดินตามชายชรากระทั่งเข้าไปในเขตเรือนสือซว่าน

ชายชราพาเขาเข้าไปในเรือนใหญ่ พอเปิดประตูเข้าไป กลิ่นดอกสือซว่านก็ปะทะหน้าของจิ้นหยาง เขาถูกพามาคุกเข่าตรงพื้นทางเดิน โดยหันหน้าเข้าไปในห้องหนึ่ง ม่านมุกสีขาวห้อยระย้าลงมาตรงกรอบประตู หากมองเข้าไปในห้องที่ประดับด้วยเตากำยาน ตำราที่วางกองเป็นชั้นสูง และแจกันที่มีดอกสือซว่านปักเอาไว้อย่างลวกๆ ที่เหลือก็ไม่มีอะไร

ในห้องนั้น ตรงพื้นห้องมีใครคนหนึ่งกำลังเอนกายนอนตะแคงหันหลังให้พวกเขา มือขาวจนแทบซีดเรียวสวยดุจสตรีข้างหนึ่งใช้ยันศีรษะ อีกข้างยื่นไปจับดอกสือซว่านด้วยท่วงท่าเกียจคร้าน คล้ายจะไม่ไยดีกับสิ่งใดทั้งสิ้น

‘มิใช่ว่าเขาเรียกข้ามาพบหรอกหรือ’ จิ้นหยางลอบคิดในใจ

เขาอดลอบพินิจชายหนุ่มตรงหน้าไม่ได้ เหมือนว่าจะเป็นคนสูง ผอม ผิวขาวซีด คนผู้นี้สวมเสื้อคลุมตัวนอกเป็นสีดำ มีลวดลายดอกสือซว่านสีแดงขอบทองร่นมากองที่ข้อพับแขนข้างหนึ่ง เผยให้เห็นเสื้อตัวกลางสีแดง และที่ขอบคอมีเสื้อตัวในสีขาวสะอาด ผมสีดำขลับยาวสยายจนเลยเอวถูกปล่อยให้รุ่ยร่าย และเพราะเขากำลังนอนตะแคงโดยยกศีรษะขึ้นจากพื้น ทำให้เห็นลำคอขาวเล็กน้อย ใบหูที่ประดับด้วยต่างหูทองคำเป็นพู่ระย้าห้อยตามแรงโน้มถ่วง ไม่ไกลจากเขามีหน้ากากครึ่งเสี้ยวสีทองประดับอัญมณีสีแดงวางอยู่

พ่อบ้านกระแอมเสียงหนัก มือที่กำลังคลอเคลียเกสรดอกสือซว่านชะงัก จิ้นหยางรีบก้มหน้าลงต่ำ แม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินทำไมจึงดูอ่อนแอซูบซีดถึงเพียงนี้

จิ้นหยางหันไปเห็นหม้อดินเผาที่ตั้งอยู่ไม่ไกล ในนั้นมีส่วนหัวของต้นสือซว่านที่ถูกต้มวางเอาไว้ คนครัวคนใหม่คิ้วกระตุก ฤทธิ์ของน้ำต้มส่วนหัวของต้นสือซว่านคือจะทำให้คนกินอาเจียน ใต้เท้าหวังผู้นี้มีแต่ปริศนาจริงๆ

ครั้นเห็นเจ้านายรู้ตัวในที่สุด พ่อบ้านเฒ่าก็กล่าว

“เรียนใต้เท้าหวัง พ่อครัวคนใหม่ของฮูหยินขอรับ”

จิ้นหยางไม่ได้มองชายหนุ่มคนนั้นอีกต่อไป เขาหลุบตาลงต่ำ ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มถามเบาๆ

“ชื่ออะไร”

จิ้นหยางสงบใจยามกล่าว “เรียนใต้เท้า ข้าน้อยมีนามว่าจิ้นหยางขอรับ”

คนฟังชะงักค้างครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้นยืน จิ้นหยางได้ยินเสียงสวบสาบของเนื้อผ้าที่เสียดสีกัน เหมือนว่าใต้เท้าหวังกำลังจัดการกับชุดของตนเอง เขาหลุบตามองต่ำตลอด จึงเห็นเท้าขาวซีดแสนสะอาดคู่หนึ่งก้าวมาหยุดตรงหน้า กลิ่นของดอกสือซว่านยิ่งแรงมากขึ้น หลังคอเย็นวาบ รู้สึกได้ว่ากำลังถูกจับจ้องจากเบื้องบน เสียงทุ้มนุ่มนั้นถามอีกครา

“จิ้นหยาง... แปลว่าอะไร”

จิ้นหยางรู้สึกได้ถึงแรงกดดันบางอย่าง ทั้งที่อีกฝ่ายมีข่าวเสียหายและไม่สามารถควบคุมคนในจวนของตนได้ เป็นพยัคฆ์ที่ถูกถอดเขี้ยว ก็ควรจะดูไร้ค่ากว่านี้แท้ๆ แต่พอเขาได้สัมผัสกลับรู้สึกถึงความน่าเกรงขามที่แผ่ขจายออกมา ใต้ฝ่ามือหลั่งเหงื่อเย็นอย่างที่ไม่รู้ว่าทำไมต้องหวาดกลัว

...อาจจะเป็นสัญชาตญาณในสมัยที่เขายังเป็นองครักษ์ลับ

คนผู้นี้อันตราย

“นายท่านถามเจ้าน่ะ” พ่อบ้านเฒ่าหันมาเอ่ยย้ำ

จิ้นหยางสูดลมหายใจลึก พลางท่องในใจ ‘ขายหน้าแล้ว’ เขาตอบด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ ‘จิ้น’ แปลว่าความซื่อสัตย์ ส่วน ‘หยาง’ นั้นแปลว่าต่างแดน ข้าเป็นคนซื่อสัตย์ผู้มาจากต่างแดนขอรับ”

เจ้าของเท้าเรียวค่อยๆ ย่อกายลง มือขาวเรียวดุจสตรีคว้าคางของจิ้นหยางเอาไว้ แล้วบังคับให้เงยหน้าขึ้น ฝ่ามือนี้ทรงพลังสมกับเป็นอดีตแม่ทัพจริงๆ จิ้นหยางได้เปิดหูเปิดตาแล้วว่า รูปร่างไม่มีผลต่อเรี่ยวแรงและฝีมือ

ดวงตาของจิ้นหยางปะทะกับดวงตาสีดำเข้มล้ำลึกคู่นั้น เขาก็มีอายุไม่น้อยและผ่านเรื่องมามาก แต่เขากล้าบอกว่าแม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังไม่มีแววตาที่อ่านยากถึงเพียงนี้

หน้ากากสีทองประดับอัญมณีสีแดงอันเป็นของพระราชทานนั้นประดับปกปิดหน้าผากเพียงครึ่งหนึ่ง ผิวตรงจมูก โหนกแก้มข้างหนึ่ง และแก้มอีกหนึ่งส่วน ยังพอจะเห็นใบหน้าที่เหลือที่นับได้ว่าเป็นชายรูปงาม แม้ผิวนั้นจะขาวซีด ทว่าคนงามก็ยังเป็นคนงาม คิ้วเข้มราวกับน้ำหมึกได้รูป ดวงตาทั้งงดงามและคมกริบ ริมฝีปากแดงเรื่อแลดูชุ่มชื่น รูปหน้าเรียวได้สัดส่วน ชวนให้มองแล้วมองอีกอย่างไม่รู้เบื่อ

หากให้เทียบกับชินอ๋องที่ท่าทางดุดันแกร่งกร้าว เขาคนนี้ดูนุ่มนวลละมุนละไมกว่า หากเทียบกับฮุ่ยอ๋องที่ส่งจิ้นหยางเข้ามาในจวนแห่งนี้ เขาก็ดูไร้ชีวิตชีวา ทว่างามซึ้งกว่า หากเทียบกับร่างนี้ของจิ้นหยาง เขาคนนี้ก็คมเข้มกว่า และสิ่งที่เพิ่มเข้ามาซึ่งผู้อื่นไม่อาจจะต่อกรได้ นั่นคือความมีเสน่ห์... เป็นเสน่ห์เฉพาะตัวที่เกิดจากความเป็นปริศนา แม้ใบหน้าจะปิดไปครึ่งเสี้ยว ทว่าความงามก็ยังเป็นความงาม จิ้นหยางอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมซุนหงซิ่วจึงได้หมางเมินคนผู้นี้

หวังรุ่ยเสวียนมิได้อัปลักษณ์ แต่เขามีตำหนิ แต่ตำหนินั้นก็บั่นทอนความงามได้เพียงส่วนน้อย สำหรับจิ้นหยาง มันชวนให้ปวดใจยิ่งนัก อยากจะถามเทพอินเทอร์เน็ตว่าจะรักษาใบหน้านี้ได้หรือไม่ เขาอยากจะเห็นจริงๆ ว่าหากใบหน้านี้ไร้ที่ติจะล่มบ้านล่มเมืองขนาดไหน

“ฮะแอ้ม” พ่อบ้านเฒ่ากระแอมอีกครั้ง ส่งสายตาประมาณว่า ‘พวกท่านจะพินิจโฉมของกันและกันอีกนานหรือไม่’

จิ้นหยางกลับรู้ตัวตอนที่ดวงตาของอีกฝ่ายกะพริบช้าๆ หวังรุ่ยเสวียนละมือจากปลายคางเด็กหนุ่ม หมุนกายกลับไปอย่างไม่ช้าไม่เร็ว ทิ้งคำพูดแค่เพียง...

“ดูแลคุณหนูให้ดี”

เขาไม่เรียกภรรยาของตนว่า ‘ฮูหยิน’ คงไม่คิดว่านางเป็นภรรยาของตนเช่นเดียวกัน หากมิได้มีสัมพันธ์ทางกายและทางใจ ก็มิต่างกับคนแปลกหน้าที่อยู่ร่วมบ้านกัน

จิ้นหยางค้อมกายลงตอบรับ หวังรุ่ยเสวียนกลับไปนอนเหยียดกายอย่างเกียจคร้านต่อ ตอนที่พ่อบ้านเฒ่าให้เขาเดินตามออกจากเรือนสือซว่าน จิ้นหยางเห็นคนงามผู้นั้นใช้มือยันศีรษะของตนให้เหนือพื้น อีกมือหยิบเอาดอกสือซว่านสีแดงสดมาแตะริมฝีปาก เพราะหันด้านข้างจึงเห็นเพียงใบหน้าด้านที่ไร้รอยตำหนิ ทั้งแนวกรามสวยได้รูป ริมฝีปากแดงเรื่อที่ต้องกลีบแดงของดอกไม้งาม จมูกโด่งรับกับดวงตาสีดำขลับซึ่งประดับด้วยแพขนตายาวหนา หวังรุ่ยเสวียนตวัดตามองเขาอีกครั้ง แล้วบานประตูเรือนก็ปิดลง

 

เดินออกจากเรือนสือซว่านมาไกลแล้ว พ่อบ้านเฒ่าก็ถามเบาๆ

“เจ้าคิดว่านายท่านเป็นเช่นไร”

จิ้นหยางยังคงคิดถึงสายตาสุดท้ายที่หวังรุ่ยเสวียมองเขา พอถูกโยนคำถามนี้ก็คล้ายตื่นจากภวังค์สักเล็กน้อยก่อนกล่าว

“งดงามมากขอรับ”

ชายชราหยุดชะงัก หมุนกายมามองเขา ส่งเสียงครางเป็นเชิงให้เขาอธิบาย จิ้นหยางกล่าว

“ข้าไม่อยากเชื่อว่าฮูหยินจะไม่ชอบนายท่าน”

จิ้นหยางสงสัยว่าซุนหงซิ่วต้องตาต่ำขนาดไหนหนอที่ไม่แยแสสามีของตนเอง แล้วไปคว้าเอาอันธพาลจั่วเฟิงคนนั้นมากกกอด เขาคิดไปถึงเรื่องที่ซุนหงซิ่ววิ่งหนีออกมาจากห้องหอ หรือว่าภายใต้หน้ากากของหวังรุ่ยเสวียนจะน่ากลัวจนมิอาจทนมองได้จริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นองค์ประกอบสามในสี่ของใบหน้าก็ยังงดงามมากนี่นา หรือเพราะแสงสลัวของเรือนสือซว่าน จิ้นหยางเลยรู้สึกว่าหวังุร่ยเสวียนเป็นคนงาม

หากเขาเป็นสตรี จิ้นหยางจะต้องรีบให้แม่สื่อไปขอแต่งงานมาเปิดร้านอาหารด้วยกันแน่

“นี่เจ้าฟังที่ข้าพูดอยู่หรือไม่!” เสียงตวาดของผู้เฒ่าทำเอาจิ้นหยางเงยหน้าขึ้นมาอย่างงุนงง

“อะไรนะขอรับ”

“...”

ผู้เฒ่าคนนั้นนับหนึ่งถึงสิบในใจ จากนั้นจึงกล่าวช้าๆ และนุ่มนวล “เจ้าเป็นคนครัวคนใหม่ มีหน้าที่ไปซื้อวัตถุดิบและปรุงอาหาร ข้าย่อมต้องเตือนเจ้า เรื่องบางเรื่องสามารถเอ่ยในจวนได้ แต่ต้องมีขอบเขต ขณะที่เรื่องบางเรื่องห้ามไปเอ่ยนอกจวนโดยเด็ดขาด ห้ามทำให้ชื่อเสียงของใต้เท้าหวังเสียหาย และสุดท้าย...”

ผู้เฒ่าคนนั้นจับบ่าจิ้นหยางพลางเอ่ยเสียงนุ่ม “ห้ามทำการใดที่เป็นการทำร้ายนายท่านเป็นอันขาด”

จิ้นหยางรู้สึกได้ถึงน้ำหนักผิดปกติที่โถมลงมาที่บ่าของตนเอง เขาแสร้งทรุดลงกับพื้น ในฐานะคนที่ไม่เป็นวรยุทธ์ย่อมต้องมีท่าทีเช่นนี้ ต่อหน้าผู้เป็นวรยุทธ์ เขาตัวสั่นงันงกยามกล่าว “ขอรับ”

ผู้เฒ่าคนนั้นพยุงจิ้นหยางขึ้น “เรียกข้าว่าพ่อบ้านเหวิน จากนี้ไปหากมีเรื่องที่ต้องติดต่อกับเรือนสือซว่าน ให้มาติดต่อข้า เข้าใจหรือไม่”

“ข้าน้อยทราบแล้วขอรับ” จิ้นหยางก้มหน้าต่ำ ท่าทางว่าง่ายยิ่งนัก พ่อบ้านเหวินวางใจ หมุนตัวกลับไปยังเรือนสือซว่าน ขณะที่จิ้นหยางเดินกลับเรือนมู่ตานเพื่อทำอาหารกลางวันให้ซุนหงซิ่ว

 

ความงามของจิ้นหยางมีผลเป็นอย่างมาก ไม่ว่าเขาจะแย้มรอยยิ้มน้อยๆ หรือว่าปั้นหน้าจริงจังเวลาลงมีด ก็พาให้ซุนหงซิ่วมองไม่มีเบื่อ มิหนำซ้ำเขายังรู้เรื่องเกี่ยวกับอาหารหลายชนิด ว่าสิ่งนี้กินมากจะมีผลต่อความงาม สิ่งนี้ช่วยเสริมความงามได้ ถึงเวลาทำอาหารเมื่อไร ซุนหงซิ่วก็จะเข้ามาในครัวเพื่อนั่งมองคนครัวรูปงามคนใหม่ในชุดขาวสะอาดตากำลังทำอาหารให้นาง จิ้นหยางเห็นเช่นนั้นเลยถือโอกาสแสดงฝีมือการทำอาหาร ให้ซุนหงซิ่วรู้สึกอยากอาหารมากกว่าเก่าเสียเลย

เพียงแค่วันที่สาม ซุนหงซิ่วที่ติดใจในรูปโฉมและรสมือของจิ้นหยาง ก็สั่งให้เขาย้ายเข้าไปในห้องพักใหม่ที่โอ่อ่ากว่าเดิม แทบจะเทียบเคียงกับจั่วเฟิง แต่จิ้นหยางกลับมักน้อยกล่าวอย่างสุภาพ

“ข้าน้อยเพิ่งมาใหม่ ไม่ได้ทำความดีความชอบอะไร ไม่อาจรับรางวัลนี้ได้หรอกขอรับ” จิ้นหยางกล่าวอย่างสุภาพ “หากคุณหนูอยากให้รางวัลข้าน้อย พอกินอาหารของจิ้นหยางแล้วช่วยยิ้มหวานๆ ให้กำลังใจข้าน้อยหน่อย ข้าน้อยก็... รู้สึกดียิ่งแล้วขอรับ”

คำหวานนั้นทำเอาซุนหงซิ่วถึงกับยิ้มระรื่นทั้งวัน พอคนครัวถูกใจ ได้กินอาหารรสชาติถูกใจ นางก็ตกรางวัลก้อนใหญ่อย่างไม่คิดเสียดาย จิ้นหยางเองก็เป็นคนรู้กาลเทศะ เงินมากมายเช่นนี้เขาไม่ควรจะหวงเอาไว้คนเดียว จึงนำส่วนหนึ่งไปให้เหนียงเอ่าที่เป็นสาวใช้อาวุโสคอยดูแลซุนหงซิ่วมาโดยตลอด เพ่ยจู และเพ่ยหลิน อีกทั้งคนที่ช่วยเหลือเขาอย่างไม่เสียดาย ทำเอาทุกคนถึงกับยิ้มหน้าบาน

ตอนที่จั่วเฟิงได้รางวัล เขาขี้เหนียวกับผู้อื่นมาก และถือตัวว่าเป็นคนโปรด จึงไม่เกรงใจใครหน้าไหนทั้งนั้น แตกต่างกับจิ้นหยางราวฟ้ากับเหว อีกทั้งจิ้นหยางยังเป็นคนทำอาหารให้คนทั้งเรือน ดังนั้นชีวิตของพวกเขาย่อมอยู่ในมือของจิ้นหยางส่วนหนึ่ง แม้ว่าต่อหน้าจั่วเฟิง คนอื่นๆ จะไม่มีกิริยาใดกับจิ้นหยาง แต่ลับหลังจั่วเฟิง พวกเขาล้วนแอบช่วยเหลือจิ้นหยางทุกอย่าง เพ่ยจูเป็นคนปากหวาน เวลาใดที่นางปรนนิบัติซุนหงซิ่ว จะคอยชมอาหารของจิ้นหยางให้นายหญิงฟังเสมอ ช่วยให้ซุนหงซิ่วคิดถึงจิ้นหยางบ่อยๆ และดีกับเขามากขึ้นเรื่อยๆ

คนที่หงุดหงิดกลับเป็นจั่วเฟิง เขารู้สึกว่าฐานะของตนกำลังสั่นคลอนอย่างน่ากลัว ซุนหงซิ่วโปรดปรานเขาน้อยลง เวลาเขาทำอะไรไม่ดี นางก็ไม่ได้มองว่าเขาน่ารักอีกแล้ว ถึงขั้นออกปากตำหนิเขาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จั่วเฟิงเห็นว่าจิ้นหยางได้รางวัลมากมาย คิดว่าอย่างน้อยที่สุดก็ต้องยึดเอาของที่เคยเป็นของเขามาเป็นของตัวเอง ทว่าทุกครั้งที่แอบไปรื้อค้นห้องของจิ้นหยาง อีกฝ่ายไม่มีอะไรเลยนอกจากชุดขาวที่สวมประจำ ชุดนอน กับชุดที่สวมยามไปตลาดในตอนเช้าเท่านั้น

สมบัติที่ซุนหงซิ่วมอบให้หายไปไหนก็ไม่รู้ พอวางยาในอาหาร อีกฝ่ายก็รู้ทันอีก พอจะแอบกระทืบจิ้นหยางในที่ลับตาคนเพื่อระบายอารมณ์ เพียงแค่จิ้นหยางเดินเลี้ยวตรงหัวมุมก็หายวับไปกับตาอย่างน่าตกใจ

จิ้นหยางลบจิตตนเอง แอบอยู่บนหลังคาของเรือนมู่ตาน มองจั่วเฟิงที่ฟืดฟาดไม่พอใจเดินกลับไปแล้วเหยียดริมฝีปากออก “ช่วยไม่ได้ ฝีมือของเราสองคนมันคนละชั้นกัน”

จิ้นหยางเข้าไปในห้องครัวส่วนตัว มองเงินเก็บที่มีแต่เพิ่มพูนแล้วยิ้มกว้าง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พอเขาหนีออกจากลั่วหยาง ก็จะมีทุนสำหรับเปิดร้านอาหารของตัวเอง เด็กหนุ่มคิดอย่างสบายใจ นอนกระดิกเท้าด้วยความสำราญ

คนครัวอยู่บนหลังคา เขามองเห็นหวังรุ่ยเสวียนกำลังขึ้นรถม้าเพื่อเดินทางไปหอเหมยเฉียง

ใต้เท้าหวังเป็นคนที่สูงมากจริงๆ ตอนจิ้นหยางเดินเคียงกับพ่อบ้านเหวิน เขาสูงกว่าพ่อบ้านเหวินนิดหน่อย และตอนนี้พ่อบ้านเหวินกำลังเงยหน้าคุยกับหวังรุ่ยเสวียน ตอนที่จิ้นหยางประจันหน้ากับหวังรุ่ยเสวียน รายนั้นยืน เขาคุกเข่า รายนั้นนอน เขาเดินจากไป หากให้มาเทียบความสูงกันจริงๆ เขาก็คงสูงเท่าปลายคางของอีกฝ่าย

‘แต่ใต้เท้าหวังเป็นคนที่รูปงามมากจริงๆ นะ’ จิ้นหยางครุ่นคิดในใจ เขานั้นชอบทั้งหญิงและชาย มองหวังรุ่ยเสวียนแล้วแอบย้อนมองตัวเอง เขาคิดว่าร่างนี้ของเขารูปงาม แต่เป็นความงามที่เต็มไปด้วยความนุ่มนวล ทว่าหวังรุ่ยเสวียนมีทั้งความนุ่มนวลและความคมเข้มในตัว จะไม่ให้เขาอิจฉาได้อย่างไร

‘ฮือๆๆ อยากได้คนที่มีหน้าตาเช่นนี้เป็นเมียจริงๆ’

กำลังคิดอะไรเพลินๆ ก็มีลูกหินดีดขึ้นมาจากด้านล่างกระทบแขนของจิ้นหยางอย่างแรงจนเขาถึงกับสะดุ้ง มองหาที่มาของลูกหินก็พบว่าเป็นพ่อบ้านเหวินที่เดินข้ามทางเดินมาจ้องมองเขา ด้วยสายตาประมาณว่าไปทำอะไรบนหลังคา

จิ้นหยางเหงื่อตก ก่อนคลานไปเกาะกิ่งไม้ จากนั้นก็ค่อยๆ ไถลงมาด้วยท่าทางทุลักทุเลอย่างคนไม่เป็นวรยุทธ์ แล้วนั่งคุกเข่าต่อหน้าพ่อบ้านเหวินอย่างนอบน้อม

“เจ้าทำอะไร” พ่อบ้านเหวินถามอย่างสงสัย

จิ้นหยางทำท่าให้อีกฝ่ายเงียบเสียง คลานมาใกล้แล้วกวักมือให้อีกฝ่ายโน้มใบหน้าลงมาฟังเขา “ท่านพ่อบ้าน ระวังสิขอรับ เดี๋ยวองครักษ์จั่วก็เห็นข้าพอดี!”

พ่อบ้านเหวินพอจะรู้เรื่องในเรือนมู่ตานอยู่บ้าง เห็นรูปโฉมของจิ้นหยาง ก็พอจะเดาได้ว่าซุนหงซิ่วต้องถูกใจอีกฝ่ายไม่น้อย และหากเป็นเช่นนั้น เด็กคนนี้ก็ต้องมีปัญหากับจั่วเฟิงแน่

พ่อบ้านเหวินไม่พอใจนายหญิงนัก ที่บังอาจมาสวมหมวกเขียวให้นายของเขา ถึงแม้คนเป็นนายจะไม่ทุกข์ร้อน เพราะก็ประกาศฐานะชัดเจนว่ากำลังติดพันเจียวซิ่งแห่งหอเหมยเฉียงอยู่ และไม่แยแสภรรยาที่แต่งมาสักเท่าไร

คนของเรือนสือซว่านไม่ยุ่งกับคนของเรือนมู่ตาน พ่อบ้านเหวินได้ยินเช่นนี้ก็เพียงแค่คลายความสงสัย และบอกให้จิ้นหยางขึ้นไปแอบบนหลังคาต่อไป ส่วนตนกลับไปจัดการเรื่องในเรือนสือซว่าน

จิ้นหยางคิดว่าเรื่องที่พ่อบ้านเหวินรู้ ใต้เท้าหวังก็น่าจะรู้ แม้ว่าทุกเดือนจะส่งเบี้ยเลี้ยงมาให้อย่างสม่ำเสมอ แต่ก็หมางเมินภรรยาของตนเช่นเดียวกัน เด็กหนุ่มอยากจะรู้จริงๆ ว่า เหตุใดคนทั้งคู่ไม่ก่อกำแพงระหว่างเรือนสือซว่านกับเรือนมู่ตานไปเสีย แต่พอใคร่ครวญอีกที เขาก็ถูกส่งเข้ามาในเรือนนี้เพราะว่าต้องสมานรอยร้าวของคนทั้งคู่

เมื่อมองรถม้าที่เคลื่อนออกไป ตรงถนนที่อยู่ตรงกลางระหว่างสองเรือน จิ้นหยางก็ครุ่นคิดว่าเขาจะสมานรอยร้าวอันเบ้อเริ่มได้อย่างไร ฮุ่ยอ๋องเหลวไหลจริงๆ สั่งอะไรไม่สั่ง ดันมาสั่งอะไรที่เป็นไปไม่ได้

 

ซุนหงซิ่วชอบสิ่งสวยงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง... บุรุษรูปงามคือสิ่งที่นางโปรดปรานมากที่สุด จิ้นหยางไปซื้อของที่ตลาด และชอบแวะที่โรงน้ำชาแห่งหนึ่ง หลังจากตีสนิทได้ อาแปะที่ร้านผู้อยู่เมืองหลวงมาแสนนานก็กระซิบบอกเรื่องราวที่ตนรู้ให้จิ้นหยางฟังเบาๆ

“ใครๆ ก็รู้ว่าคุณหนูใหญ่จวนเสนาบดีกรมโยธานั้นเป็นพวกมักมากในกาม”

“ข้าก็รู้ขอรับ” จิ้นหยางกระซิบบอก “คงจะเป็นเพราะสามีไม่เหลียวแลนาง นางจึงเป็นเช่นนั้น” เขาลองเอ่ยหยั่งเชิง

อาแปะโรงน้ำชาทำหน้าไม่เห็นด้วยอย่างถึงที่สุด “นางเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่อยู่จวนตระกูลซุนแล้ว ข้ารับใช้รอบกายนางล้วนแล้วแต่เป็นบุรุษหน้าตาดีทั้งนั้น ใต้เท้าซุนกลุ้มใจทุกวัน เพราะทุกคนในเมืองหลวงรู้กิตติศัพท์ของนาง อายุของนางมากถึงสิบเก้าปี แต่ไม่มีใครกล้าสู่ขอ สุดท้ายใต้เท้าซุนต้องขอสมรสพระราชทาน นางถึงได้แต่งให้ใต้เท้าหวัง ตอนนั้นมีแต่คนเสียดายใต้เท้าหวัง เจ้าคิดดูสิ ขุนนางที่บุ๋นก็ได้บู๊ก็เก่ง ต้องมาอยู่ร่วมกับสตรีเช่นนี้...”

 อาแปะทอดถอนใจ ราวกับตนเป็นบิดาของหวังรุ่ยเสวียนก็ไม่ปาน “เป็นบุญทำหรือกรรมสร้างหนอ นางหวาดกลัวใต้เท้าหวังจนไม่กล้าเข้าห้องหอ”

จิ้นหยางใคร่ครวญก่อนถาม “แล้วเพราะอะไรฮ่องเต้ถึงทรงยินยอมพระราชทานสมรสนี้แก่ใต้เท้าหวังเล่าขอรับ” กิตติศัพท์ของซุนหงซิ่วขึ้นชื่อลือชา ฮ่องเต้จะไม่ทรงทราบได้อย่างไร

“เขาว่ากันว่า... ฮ่องเต้หวาดกลัวใต้เท้าหวังผู้นั้นน่ะสิ” อาแปะโรงน้ำชาขยับเข้าไปใกล้อีกนิด ชะโงกหน้ามองไปโดยรอบ พอไม่เห็นทหารยามก็เอ่ย “ซุนหงซิ่วผู้นั้นขึ้นชื่อเรื่องบนเตียง พระองค์เลยมุ่งหวังว่านางจะทำให้ใต้เท้าหวังลุ่มหลงมัวเมาจนกลายเป็นคนไม่เอาไหน ถึงใต้เท้าหวังจะคืนตราพยัคฆ์ไปแล้ว แต่ในสายตาของทหารทุกนาย แม้แต่แม่ทัพคนล่าสุด มีใครบ้างไม่นับถือเขา ตอนเขาคืนตราพยัคฆ์ ก็มีแม่ทัพนายกองมากฝีมือลาออกจากราชการไปเป็นคนรับใช้ส่วนตัวของเขา พวกทหารน่ะนับถือใต้เท้าหวังยิ่งกว่าฮ่องเต้เสียอีก!”

อำนาจทางการทหารคืออำนาจที่ทำให้ฮ่องเต้หวาดกลัวที่สุด ดังนั้นจึงคิดใช้แผนสาวงามซื้อใจคน ต่อให้ซุนหงซิ่วเหลวไหลแค่ไหน ทว่าใต้เท้าซุนเป็นคนของฮ่องเต้ และนางก็ได้ชื่อว่าเป็นสาวงามแห่งเมืองลั่วหยาง ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะฮ่องเต้ไม่รู้ว่าแท้จริงใต้เท้าซุนเป็นคนของฮุ่ยอ๋อง

จิ้นหยางวิเคราะห์ให้ดี ฮ่องเต้เองก็เหมือนจะหวาดกลัวใต้เท้าหวังจริงๆ ไม่เช่นนั้นคงไม่ยื่นยาทำลายวรยุทธ์ให้หวังรุ่ยเสวียน เรียกได้ว่าฮ่องเต้ซุนหลิงตี้ทั้งหวาดกลัว แต่ขณะเดียวกันก็อยากจะได้เขาเป็นพวกด้วย

“หากอยากซื้อใจใต้เท้าหวัง ทำไมพระองค์ไม่มอบเจียวซิ่งแห่งหอเหมยเฉียงให้ใต้เท้าเล่า” จิ้นหยางสงสัยข้อนี้เหลือเกิน “นางเป็นรักแท้ของใต้เท้าหวังนี่”

หวังรุ่ยเสวียนกลายเป็นแขกประจำของหอเหมยเฉียง เขาอยู่กับนางคณิกานามว่าเจียวซิ่งมากกว่าอยู่บ้านเสียอีก จิ้นหยางจำได้ว่าฮ่องเต้ซุนหลิงตี้อาจจะเลอะเลือนไปบ้าง แต่ก็มิได้โง่งมขนาดซื้อใจผู้อื่นไม่เป็น ในราชสำนักตอนนี้พระองค์สามารถถ่วงดุลอำนาจของขุนนางแต่ละพวกได้ ทำให้ท่านอ๋องและองค์ชายทั้งหลายมีอำนาจในมือแบบพอเหมาะสม ย่อมหมายความว่าพระองค์ก็มีฝีมืออยู่บ้าง หรือไม่ก็เป็นไทเฮาที่เคยเป็นผู้ว่าราชการหลังม่านในอดีตเป็นผู้ลงมือ

“นางคณิกาที่ใดแลล้วนซื้อได้ทั้งสิ้น แต่มิใช่นางคณิกาในหอเหมยเฉียง” อาแปะคนนั้นทอดถอนใจอีกครั้ง “เจ้าเพิ่งจะมาอยู่ลั่วหยาง คงไม่รู้กระมังว่านางคณิกาในหอนั้นแลล้วนเป็นลูกของกบฏแผ่นดิน ที่ถูกบังคับให้ขายร่างกายชดใช้ความผิดของวงศ์ตระกูล ดังนั้นพวกนางจึงไม่มีทางไถ่ตนออกไปได้”

จิ้นหยางนิ่งงันและเข้าใจในทันที เพราะเหตุนี้หวังรุ่ยเสวียนจึงไม่ได้ไถ่ตัวเจียวซิ่งมาอยู่ที่จวนตระกูลหวัง ครอบครัวของเจียวซิ่งตายเพราะฮ่องเต้ซุนหลิงตี้ แล้วฮ่องเต้ซุนหลิงตี้จะเสี่ยงให้นางมาเป่าหูขุนนางของพระองค์ได้อย่างไร

เมื่อถึงเวลากลับจวน จิ้นหยางก็ประสานมือพร้อมกล่าว

“ขอบคุณท่านลุงมากที่บอกเรื่องนี้แก่ข้า”

อาแปะคนนั้นโบกมือพร้อมบอก “ต้องขอบคุณเจ้ามากกว่าที่มอบสูตรของว่างให้ข้า บัดนี้ร้านของข้ากลายเป็นร้านดังด้วยสูตรขนมไชเท้าจากเจ้า”

จิ้นหยางยิ้มหวานละลายใจให้อีกฝ่าย จากนั้นจึงหอบวัตถุดิบทำอาหารกลับจวนตระกูลหวัง

วันนี้ซุนหงซิ่วบอกให้จิ้นหยางไปซื้อขนมไชเท้าที่กำลังโด่งดังในเมืองหลวง จิ้นหยางเลยได้ไปคุยกับเจ้าของโรงน้ำชาที่เขาให้สูตรการทำขนมไชเท้าไป พอกลับมาถึง เพ่ยจูก็แย้มรอยยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร แอบกระซิบว่าให้จิ้นหยางเข้าไปหาซุนหงซิ่วได้เลย

จิ้นหยางคิ้วกระตุก อาจจะเป็นสัญชาตญาณบางอย่าง เขาอาจจะปากหวานใส่ซุนหงซิ่วเพื่อรับทรัพย์ และจะได้อยู่ในเรือนมู่ตานอย่างสะดวกสบาย แต่ว่าเขาไม่เคยมีความคิดเกินเลยกับซุนหงซิ่ว ไม่ใช่แค่เพราะมันไม่เหมาะไม่ควร แต่หลังจากพบหวังรุ่ยเสวียนคนนั้นแล้ว จิ้นหยางก็รู้สึกว่าใต้เท้าหวังน้ำนิ่งไหลลึก เขาอาจจะมีทีท่าเกียจคร้านคล้ายไม่แยแสสิ่งใด แต่ถ้าวันไหนเขาคิดลงดาบใส่ชู้รักของภรรยา คงจะน่ากลัวไม่น้อย

คนครัวคิดอะไรได้บางอย่างเลยกวักมือเรียกเด็กรับใช้คนหนึ่ง สั่งให้เขาเอาของบางอย่างไปให้จั่วเฟิงโดยเร็ว ขณะที่เขาสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วเดินเข้าไปในเรือนของซุนหงซิ่ว

จิ้นหยางได้ยินเสียงน้ำ ทำเอาจินตนาการของคนหนุ่มเตลิด นอกเหนือจากนั้นคือเขาอดชมตัวเองไม่ได้ว่าช่างคาดการณ์เก่งกาจอะไรเช่นนี้ เด็กหนุ่มลงไปนั่งคุกเข่าเรียบร้อยอยู่ตรงประตู ก่อนร้องเรียก

“คุณหนูซุนขอรับ”

“อาหยางมาแล้วหรือ” ซุนหงซิ่วส่งเสียงหวาน “เข้ามาสิ”

จิ้นหยางเข้าไปด้านใน ก็พบว่าซุนหงซิ่วกำลังอาบน้ำอยู่ในอ่างไม้ขนาดใหญ่ที่มีกลีบดอกไม้ลอยอยู่ เด็กหนุ่มรีบเบือนหน้าหนี ในหัวมีแต่คำว่า ‘ว่าแล้วเชียว! ว่าแล้วเชียว! ว่าแล้วเชียว!’

เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มเบือนหน้าหนีด้วยท่าทางเขินอาย ซุนหงซิ่วก็หัวเราะออกมาอย่างเอ็นดู

จิ้นหยางกล่าว “คุณหนูคงไม่สะดวก เดี๋ยวข้าน้อยจะมาใหม่นะขอรับ”

“เดี๋ยวสิ เจ้าจะไปไหน!” ซุนหงซิ่วรู้สึกหงุดหงิด นางออกอาการถึงเพียงนี้ ทำไมเด็กหนุ่มยังทึ่มทื่ออยู่อีก จะต้องรีบกระโจนมาหานางสิ หญิงสาวจึงออกคำสั่ง “หยุดเดี๋ยวนี้!”

สำหรับซุนหงซิ่ว ชู้รักมีค่ากว่าสามีที่ตบแต่งกันมาอย่างหวังรุ่ยเสวียน แต่ชู้รักอย่างจั่วเฟิงก็ยังไม่มีค่ามากเท่าคนที่อยากกิน แต่นางยังไม่ได้กินแบบจิ้นหยาง จึงตั้งปณิธานเอาไว้แล้วว่า วันนี้นางจะต้องจับจิ้นหยางกินทั้งตัวให้ได้ พอลุกจากอ่างไม้เผยให้เห็นร่างกายขาวนวลเย้ายวนเปล่าเปลือย หญิงสาวก็เดินตรงเข้าไปหาจิ้นหยางพร้อมเอ่ย

“เจ้ามานวดให้ข้าหน่อย”

จิ้นหยางรู้สึกถึงลางร้ายอย่างน่ากลัว เขาก็เป็นบุรุษคนหนึ่ง เห็นเรือนร่างสตรีจะไม่ให้หวั่นไหวได้อย่างไร บอกตามตรงว่าคุณหนูงดงามปานดอกมู่ตานเช่นนี้ ชวนให้เขาอยากจะขย้ำให้สาแก่ใจ แต่เมื่อรู้สึกเคลิบเคลิ้มก็ต้องรีบคิดถึงหวังรุ่ยเสวียนและศีลธรรมอันดีงามซึ่งเขาไม่ค่อยจะมี

‘ไม่ได้ ไม่ได้ นี่เมียชาวบ้าน เมียชาวบ้านไม่พอ ยังเป็นเมียใต้เท้าหวัง! ถึงรายนั้นไม่ออกอาการ แต่ถ้าวันดีคืนดีคิดอยากกำจัดชู้ของภรรยา ก็คงจะทำได้ไม่ยาก! ข้าอุตส่าห์เก็บชีวิตมาได้จากในถ้ำนั้น ก็อยากจะอยู่อย่างเรียบง่ายมีความสุขไปชั่วชีวิต!’

จิ้นหยางคิดในใจซ้ำไปซ้ำมา แต่ใบหน้ากับใบหูของเขาแดงซ่านอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ซุนหงซิ่วรู้สึกว่าเขาน่ารักนักหนา นางรีบดึงมือของอีกฝ่ายมาที่เตียงด้วยความรู้สึกเหมือนไม่อยากรออะไรอีกแล้ว

จิ้นหยางถูกผลักลงบนเตียงก็สะท้านไปทั้งตัว ก่อนร้องบอก “คุณหนูมิได้สั่งให้ข้านวดให้หรือ!”

“ช่างมัน! ข้าจะนวดให้เจ้าเอง!”

ซุนหงซิ่วเอ่ยพร้อมประทับจูบที่กลีบปากของอีกฝ่ายอย่างอดใจไม่อยู่ มือเรียวนิ่มตะปบเข้าที่กลางลำตัวของร่างนั้น พร้อมบดเบียดทรวงอกลงไป เล่นเอาจิ้นหยางอ่อนยวบไปทั้งตัว

“อ๊ะ... อ๊ะ... อย่า...” จิ้นหยางตัวสั่นเทา ถูกนวดกระตุ้นเร้าจากสาวงามที่ช่ำชองเช่นนี้ ทำเอาเขาตื่นตัวได้ไม่ยาก

ซุนหงซิ่วเห็นอาการของเขาก็ยิ่งยิ้มกว้าง ทั้งแก้สายคาดเอวและพยายามดึงรั้งกางเกงสีขาวนั้นให้ร่นลง จับมือของจิ้นหยางไปที่หน้าอกเปลือยเปล่าของตนเอง

สมองของจิ้นหยางปั่นป่วนเพราะการปลุกปั่นของสาวงาม ในตอนนั้นใครบางคนก็รีบร้อนเข้ามาในห้อง 

...เป็นจั่วเฟิงนั่นเอง

ทันทีที่เห็นซุนหงซิ่วกำลังคร่อมร่างเปล่าเปลือยอยู่บนร่างของจิ้นหยางที่มีสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ย ใบหน้าของจั่วเฟิงก็ดำทะมึนในพริบตา เขากับนายหญิงมีความสัมพันธ์กันมานาน จนรู้สึกว่าตนเป็นสามีของซุนหงซิ่ว

“อาเฟิง อย่านะ!” ซุนหงซิ่วร้อง เมื่อเห็นว่าจั่วเฟิงชักดาบที่เหน็บข้างกาย พร้อมพุ่งตัวเข้ามา

จิ้นหยางได้สติ รีบถีบร่างของซุงหงซิ่วตกจากเตียง แล้วขยับตัวหลบดาบที่ฟันลงมานั้นอย่างรวดเร็ว อดีตองครักษ์ดีดตัวอย่างว่องไว พุ่งตัวออกไปนอกหน้าต่าง ขณะที่ซุนหงซิ่วแค้นที่ปลาใหญ่หลุดจากแหไปได้ กำลังจะตวาด จั่วเฟิงก็กระโดดตามออกไปด้วยความอาฆาต วันนี้เขาจะต้องสังหารจิ้นหยางให้ได้!

“หยุดเดี๋ยวนี้นะไอ้ชู้ชั่ว!”

“เจ้าสิเป็นชู้!”

จิ้นหยางตะโกนด่ากลับ เขาอยู่ที่เรือนมู่ตานและแอบดูจนรู้ว่าพ่อบ้านเหวินจะอยู่ที่เรือนในเวลานี้ มิเช่นนั้นเขาคงไม่คิดแผนการนี้ขึ้นมาหรอก ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำคือวิ่งไปเกาะแข้งเกาะขาขอร้องให้พ่อบ้านเหวินช่วยตัวเองให้ได้

จั่วเฟิงโกรธจนหน้ามืด เห็นอะไรเกะกะขวางทางก็ฟันทิ้งอย่างรวดเร็ว แต่จิ้นหยางว่องไวอย่างกับลูกลิง วิ่งหนีได้ไวไม่พอ ยังรู้จักหลอกล่อให้เขาฟันต้นไม้ต้นหนึ่งเต็มแรงจนดาบปักคาต้น ส่วนตัวจิ้นหยางนั้นรีบวิ่งไปทางเรือนสือซว่าน

“ช่วยด้วย...!”

จิ้นหยางวิ่งไปพลางหันมองจั่วเฟิงไปพลาง อีกฝ่ายดึงดาบออกเป็นผลสำเร็จ ก่อนจะขว้างดาบใส่เขา ดาบพุ่งตรงมาที่แผ่นหลังของจิ้นหยาง ในตอนนั้นเขาชนกับใครบางคนที่คว้าร่างของเขาเอาไว้

จิ้นหยางมองเห็นเสื้อคลุมสีดำ เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นหวังรุ่ยเสวียนตรงหน้า ดาบของจั่วเฟิงพุ่งเข้ามา หวังรุ่ยเสวียนเพียงจับตัวจิ้นหยางโยกหลบ ดาบพุ่งไปปักอยู่ที่เสาเรือนสือซว่าน

จั่วเฟิงวิ่งมาเห็นหวังรุ่ยเสวียนก็ชะงักค้าง จิ้นหยางที่อยู่ใกล้หวังรุ่ยเสวียนมากที่สุดเกร็งจนเหงื่อแตกพลั่กๆ คนที่เป็นชู้และคนที่เกือบได้เป็นชู้คุกเข่าลงต่อหน้าสามีของซุนหงซิ่วเสียงดังตุ้บ!

หวังรุ่ยเสวียนกวาดตามองพวกเขาอย่างเย็นชารอบหนึ่ง พ่อบ้านเหวินเดินไปดึงดาบออกจากเสา แล้วนำมามอบให้นายท่านอย่างนอบน้อม ตอนที่หวังรุ่ยเสวียนจับดาบ ทั้งจิ้นหยางและจั่วเฟิงถึงกับสั่นพั่บๆ ถึงหวังรุ่ยเสวียนจะเสียวรยุทธ์ไป แต่คนรอบข้างเขาเป็นวรยุทธ์ และชายผู้นี้ก็เคยฆ่าคนมาก่อน แรงกดดันจึงน่ากลัวยิ่งนัก

จั่วเฟิงเร่งร้องบอก “นายท่านโปรดฟังก่อน! เจ้าสารเลวนี่มันลวนลามคุณหนู!”

“ไม่จริง!” จิ้นหยางเร่งร้องบอก ‘คุณหนูของเจ้าต่างหากที่ลวนลามข้า!’

พ่อบ้านเหวินกระแอมเบาๆ ทำให้ทั้งจั่วเฟิงและจิ้นหยางหุบปากในทันที จิ้นหยางก้มหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก หลังจากวันนี้ทั้งจั่วเฟิงและเขาคงไม่อาจอยู่ร่วมเรือนกันได้ จึงทำใจกล้าเอื้อมมือไปจับชายเสื้อคลุมของหวังรุ่ยเสวียน ปั้นหน้าตาน่าสงสารแบบมีน้ำตาคลอเบ้าหน่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกล่าวเสียงสั่น

“นายท่าน... ได้โปรดช่วยข้าด้วยขอรับ”

จิ้นหยางแอบคิดเอาเองว่า ระหว่างเขาที่เข้ามาใหม่กับจั่วเฟิงที่เป็นชู้มาแสนนาน หวังรุ่ยเสวียนก็น่าจะเอนเอียงมาทางเขาหน่อยๆ ไม่คาดคิดว่าหวังรุ่ยเสวียนจะโน้มตัวลงมาดึงแขนเสื้อคลุมกว้างสีดำตัวนอก และแขนเสื้อตัวกลางสีแดงของตนเองขึ้น แล้วใช้ชายแขนเสื้อสีขาวด้านในเช็ดริมฝีปากของเขาอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็ชูให้เห็นรอยชาดแดง

“...”

จิ้นหยางจบสิ้นแล้ว

เขานึกด่าซุนหงซิ่วในใจ ‘สตรีบ้าอะไร อาบน้ำทั้งที่ปากแต้มชาดอยู่!’

ในตอนนั้นซุนหงซิ่วแต่งกายอย่างลวกๆ วิ่งตรงเข้ามา พอเห็นว่าหวังรุ่ยเสวียนยืนอยู่ตรงนั้น นางก็นิ่งค้าง

หลังจากที่ไล่สามีตัวเองออกจากห้องหอ ซุนหงซิ่วก็ไม่เคยได้พบเขาอีกเลย เขามอบเงินทองและสถานที่ให้นางทำตามใจ แม้จะอยู่ร่วมจวนกัน แต่นางก็แทบจะลืมไปแล้วว่าหวังรุ่ยเสวียนมีหน้าตาเช่นไร

วันนี้เห็นสามีอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์อย่างหายาก ผมดำดุจนกกา ผิวขาวราวกับหิมะ เครื่องประดับทองคำ ชุดดำที่มีลวดลายดอกสือซว่านแดงขอบทอง เครื่องหน้าค่อนข้างคมชัดทั้งงดงามและคมเข้ม ทำให้เขาดูลึกลับทรงเสน่ห์ยิ่งนัก ความปรารถนาที่ยังไม่ได้รับการเติมเต็มร้อนเร่าขึ้นมาอีกครั้ง แต่นางก็ตระหนักได้ว่า ที่นั่งอยู่ตรงนั้นคือชายที่นางมีความสัมพันธ์และคนที่เกือบมีความสัมพันธ์ ทำให้อดหน้าม้านเมื่ออยู่ต่อหน้าสามีไม่ได้

ก่อนที่ซุนหงซิ่วจะเอ่ยปากอะไร หวังรุ่ยเสวียนก็ขว้างดาบออกไป ดาบนั้นปักลงพื้นเฉียดร่างของจั่วเฟิงไปไม่เท่าไร ทำเอาจั่วเฟิงขนลุกชัน หวังรุ่ยเสวียนเพียงกล่าว

“อย่าให้มีอีก”

เขาหมุนกายกลับเข้าเรือนของตนเอง สายตาไม่ได้เหลือบแลภรรยาเลยสักนิดเดียว จิ้นหยางลอบมองการกระทำของสองสามีภรรยาคู่นี้เงียบๆ รู้สึกอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง

 

เพราะทำให้นายหญิงอารมณ์เสียอย่างหนัก ทั้งเรื่องไม่ได้กินเนื้อที่ตนอยากกิน และยังต้องขายหน้าต่อหน้าสามีอีก จั่วเฟิงเลยถูกสั่งให้คุกเข่าถึงสองชั่วยาม ขณะที่จิ้นหยางนั้นดีขึ้นมาหน่อย ในฐานะที่เป็นอาหารที่ซุนหงซิ่วอยากกิน เขาจึงแค่ถูกตักเตือน แต่เพ่ยหลินมาแอบเตือนเขาว่าให้ระวังเอาไว้ ชู้รักคนอื่นที่มาหลังจั่วเฟิงล้วนถูกจั่วเฟิงแอบฆ่าตาย

จิ้นหยางนวดขมับตัวเองอย่างใช้ความคิด คงจะถึงเวลาที่เขาต้องไปแล้วจริงๆ หากจั่วเฟิงมาทำร้ายเขา เมื่อหมดทางเลือก เขาก็ต้องแสดงฝีมือของตัวเองออกมา และความลับของเขาก็จะแตก แม้จะเร็วไปหน่อย แต่ตอนนี้เด็กหนุ่มไม่มีทางเลือกแล้ว

จิ้นหยางวางแผนทีละขั้นอย่างรวดเร็ว เขานั่งรออย่างใจเย็น จนกระทั่งถึงเวลาที่จั่วเฟิงได้รับการอภัย และเป็นอย่างที่คิด เขาได้ยินเสียงคนเดินมาที่ห้องของเขา แม้จะพยายามให้แผ่วเบา ทว่าเสียงนั้นก็ไม่อาจจะผ่านหูของอดีตองครักษ์ไปได้

จั่วเฟิงเปิดประตูเข้ามาในห้องที่มืดมิด ตามความคิดของเขา จิ้นหยางคงจะหลับไปแล้ว วันนี้เขาต้องคุกเข่าอดข้าว ทั้งปวดเมื่อยและโมโหหิว เขาจะระบายทุกความคับแค้นใจที่จิ้นหยางคนนี้

จั่วเฟิงมองไปที่เตียงนอนของจิ้นหยาง เห็นเงาคนที่กำลังทอดกายอยู่ จึงคว้าเอาเชือกเส้นใหญ่ตรงเข้ารัดที่ลำคอของร่างนั้นทันที

ทว่าสัมผัสที่แปลกประหลาดทำให้จั่วเฟิงตกใจ ก้มมองก็เห็นหมอนที่โชกชุ่มไปด้วยน้ำมัน จั่วเฟิงตกตะลึง ในตอนนั้นเขาถูกใครบางคนสกัดจุดจากด้านหลังทันที

“จะ... นี่เจ้า!”

ตอนที่จั่วเฟิงจะตวาด จิ้นหยางก็เอื้อมมือมาปิดปากเขาเอาไว้

เด็กหนุ่มถอนหายใจยาว ยัดผ้าใส่ปากอีกฝ่าย จับจั่วเฟิงมัดด้วยเชือกเส้นที่เจ้าตัวคิดจะใช้มันรัดคอเขา แล้วโยนขึ้นไปนอนบนเตียงของตนเองอย่างง่ายดาย จากนั้นก็จุดไฟพร้อมกล่าว

“ที่จริงข้าก็ไม่อยากทำเช่นนี้เลย แต่ใครใช้ให้เจ้าคิดอยากสังหารข้าเล่า” จิ้นหยางยื่นเชิงเทียนติดไฟไปเผาที่นอนพร้อมบอก “ไปนะ”

จั่วเฟิงเห็นไฟที่ลุกลามไปบนเตียงอย่างรวดเร็ว ก็ครางร้องอู้อี้อย่างทรมาน ตนสังหารคนมาตั้งมาก แต่เขาฉลาดที่รังแกแต่คนที่อ่อนแอกว่า ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันนี้ ที่ต้องเสียทีให้คนที่เขาคิดว่าด้อยกว่าตนเอง บทเรียนครั้งนี้มีค่าเท่าชีวิต

จิ้นหยางเดินไปที่ห้องของจั่วเฟิงอย่างว่องไว เก็บของมีค่าและสิ่งแทนตัวของจั่วเฟิงทุกชิ้น เขาจะทำเป็นเหมือนจั่วเฟิงฆ่าเขาแล้วหนีไปในคืนนี้ ตอนที่จิ้นหยางใช้ความมืดหลบออกมา เขาเพิ่งจะได้ยินคนร้องตะโกน

“ไฟไหม้!”

จิ้นหยางสวมชุดดำ ใช้ความมืดพรางกาย หลบหนีสายตาของคนอื่นๆ ที่วิ่งออกจากเรือนมาดูเปลวไฟที่ลุกโชนที่เรือนของคนรับใช้ จากนั้นจึงกระโจนไปที่กำแพง ไต่หนีออกจากจวนไปอย่างสบายใจ

เขาจะหนีออกจากเมืองลั่วหยางในคืนนี้ และจะไปเริ่มชีวิตใหม่ที่เมืองใหม่

ตอนที่กำลังเกาะขอบกำแพง จิ้นหยางรู้สึกเหมือนถูกมือใครตะปบแล้วกระชากลงจากกำแพง คนที่ไม่ทันระวังตัวตกลงกระแทกกับพื้น เบิกตากว้าง หนำซ้ำยังถูกสกัดจุดไม่ให้ขยับตัวได้ด้วยความว่องไว จิ้นหยางได้แต่นอนพังพาบ พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นคนที่ไม่สมควรจะยืนอยู่ตรงนี้ที่สุด

หวังรุ่ยเสวียนยืนอยู่ตรงนี้ เจ้าตัวงามจับตาตอนที่ต้องแสงจันทร์ ทั้งดูงดงามและเยือกเย็นจนจิ้นหยางหนาวสั่นไปทั้งตัว

 

ด้านนอกมีคนรับใช้มากมายโหวกเหวกโวยวายเรื่องไฟไหม้ ด้านในเรือนสือซว่าน จิ้นหยางถูกจับมัดนั่งคุกเข่าตรงหน้าหวังรุ่ยเสวียน เสนาบดีกรมพิธีการรินชาใส่ในถ้วย แล้วยกขึ้นดื่มอย่างเงียบๆ เด็กหนุ่มถูกอากัปกิริยางดงามแช่มช้อยนั้นทำให้กลัวจนตัวสั่น

“นายท่าน” เสียงเรียกของพ่อบ้านเหวินดังขึ้น

หวังรุ่ยเสวียนปรายตามองเงาวูบไหวที่ประตู พ่อบ้านเหวินถาม

“ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่ขอรับ”

“ข้าสบายดี” หวังรุ่ยเสวียนตอบ “เจ้าไปจัดการข้างนอกให้เรียบร้อยเถอะ”

พ่อบ้านเหวินได้ยินเช่นนั้นก็ถอยออกไป หวังรุ่ยเสวียนเลื่อนสายตากลับมามองจิ้นหยางที่จ้องมองเขาอยู่ คนถูกจับกล่าว

“นายท่านมิได้เสียวรยุทธ์ไปใช่หรือไม่”

“เจ้าก็มิใช่คนครัวธรรมดา ใช่หรือไม่”

คำถามของหวังรุ่ยเสวียนทำให้จิ้นหยางถอนหายใจยาว

“หากข้าบอกว่า... ข้าเป็นพ่อครัวธรรมดา อาจจะมีวรยุทธ์นิดหน่อย ท่านจะเชื่อหรือไม่”

หวังรุ่ยเสวียนไม่ตอบ รินชาให้ตนเองอีกครั้งพลางถาม “เจ้าเป็นคนของใคร”

จิ้นหยางใช้ความคิดอย่างหนัก จากที่เขาได้ยินมา หวังรุ่ยเสวียนคนนี้มิใช่คนโง่ เขาเคยเป็นแม่ทัพมาก่อน ความโหดเหี้ยมและแรงกดดันจึงเป็นไปโดยธรรมชาติ เขาปกปิดเรื่องวรยุทธ์ของตน เด่นชัดว่าเป็นคนเจ้าเล่ห์พอสมควร จิตใจยากแท้หยั่งถึง หนำซ้ำยังกล้าโกหกฮ่องเต้ว่าตนไร้วรยุทธ์แล้ว ช่างกล้าหาญยิ่งนัก

คนเช่นนี้อาจจะสืบประวัติของเขามาก่อนแล้วก็เป็นได้ วันนี้เจ้าตัวไปดักเขาได้ อาจจะหมายความว่าหวังรุ่ยเสวียนจับตามองเขาอยู่ เขาผู้นี้รับมือยาก ผิดกับฮุ่ยอ๋องที่ถือดี มีแต่จะต้องเสี่ยงดวง

“ข้ามีนามว่าจิ้นหยาง เข้ามายังเมืองลั่วหยางเพราะอยากจะเริ่มต้นชีวิตใหม่”

หวังรุ่ยเสวียนละสายตาจากถ้วยชามามองเขา พลางหมุนถ้วยชาในมือเล่นอย่างเงียบๆ จิ้นหยางจึงกล่าวต่อ

“พอเข้าเมืองลั่วหยาง ข้าก็เข้าประลองแข่งการทำอาหาร และมีเหตุผลหนึ่งทำให้ข้าไม่ได้ลงประลองรอบสุดท้าย เหตุผลนั้นก็คือการประลองถูกกำหนดตัวผู้ชนะเอาไว้แล้ว และเฟิงไท่แห่งภัตตาคารเฟิงฉวี่ก็ไม่ยอมให้เด็กไร้หัวนอนปลายเท้าอย่างข้าได้รับชัยชนะ เขาส่งคนมาวางยาข้า ข้าก็เลย... เอาคืนให้ภัตตาคารของเขาจนเกิดเรื่องนิดหน่อย”

หวังรุ่ยเสวียนกระตุกยิ้มเป็นครั้งแรก ทำให้จิ้นหยางรู้ว่าเขารู้เรื่องที่ภัตตาคารเฟิงฉวี่ถูกปิดเพราะมีเนื้อมนุษย์ในอาหาร เด็กหนุ่มเล่าต่อ

“ตอนที่ข้าออกมาจากภัตตาคาร ฮุ่ยอ๋องมาพบข้าเข้า เขาจับตามองข้า เพราะอาหารของข้าถูกใจชินอ๋อง ตอนแรกคิดจะบังคับให้ข้าเข้าไปเป็นสายสืบในจวนชินอ๋อง แต่เพราะว่าข้าไม่ยอมลงประลองรอบสุดท้าย ดังนั้นหากส่งข้าเข้าจวนชินอ๋องก็คงจะผิดสังเกต” จิ้นหยางสังเกตสีหน้าอีกฝ่าย

“แล้วเขาก็บอกว่าเขามีลูกพี่ลูกน้องอยู่ในจวนนี้ ไม่เป็นที่ชอบพอของสามี ให้ข้ามาช่วยสานสัมพันธ์ แต่ภรรยาของท่านสนใจในตัวข้า จั่วเฟิงเป็นชู้รักของนางเลยไม่พอใจข้า เขาจะสังหารข้า ข้าก็เลยต้องสังหารเขา แล้วอำพรางศพ ก่อนจะหนีไป ทำเช่นนี้ข้าถึงจะตบตาฮุ่ยอ๋องได้”

“แค่นี้หรือ” หวังรุ่ยเสวียนเลิกคิ้ว “เจ้าจะไม่บอกหรือว่าทำไมฮุ่ยอ๋องจึงใช้งานเจ้าได้”

“เขาจับสามีภรรยาตระกูลหลินที่ข้าเคยทำงานด้วยเป็นตัวประกัน แต่เขาไม่รู้ว่าข้าไม่มีใจให้พวกเขา ข้ายอมเข้ามาในจวนนี้ ก็เพราะเห็นว่าฮุ่ยอ๋องจับตามองข้า ถ้าหนีเขาจะต้องตามหาข้า แล้วสังหารข้าแน่ เลยว่าจะยอมเข้ามาในจวนนี้ และหนีออกไปในตอนที่เขาเผลอ แต่ข้าโดนจั่วเฟิงบีบเสียก่อน”

จิ้นหยางตัดสินใจบอกความจริงแก่อีกฝ่าย เท่าที่เขารู้ เรื่องที่ฮุ่ยอ๋องกับพ่อตาของคนตรงหน้าเป็นพันธมิตรกันไม่มีใครรู้ ยิ่งว่าเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับซุนหงซิ่วยิ่งไม่มีใครรู้ แต่ใต้เท้าหวังทำเหมือนไม่แปลกใจเลยสักนิด หมายความว่าเรื่องที่คนอื่นไม่รู้ คนผู้นี้รู้!

หวังรุ่ยเสวียนถาม “วรยุทธ์ของเจ้า... เรียนมาจากไหน”

จิ้นหยางไม่ตอบ จะพูดได้อย่างไรว่าวรยุทธ์นี้ถ่ายทอดกันเฉพาะในหน่วยลับเท่านั้น หวังรุ่ยเสวียนเห็นเขาเม้มริมฝีปากแน่นก็ถามต่อ

“คราแรกเจ้าบอกว่าต้องการเริ่มต้นชีวิตใหม่ แล้วชีวิตเก่านั้นคืออะไร”

จิ้นหยางหลุบตาลงเล็กน้อย “...องครักษ์”

หวังรุ่ยเสวียนหรี่ตาลง เห็นจิ้นหยางก้มหน้าเลยเอื้อมมือไปเชยคางอีกฝ่ายขึ้นเพื่อสบสายตา แล้วถาม “องครักษ์เป็นอาชีพที่ต้องรับใช้นายของตนจนตาย เพราะเหตุใดเจ้าจึงได้จากนายของตนมาเล่า”

“ข้าทรยศ” จิ้นหยางเม้มริมฝีปากแน่น “เขาสั่งให้ข้าสังหารผู้มีพระคุณของข้า แต่ข้า... ข้าทำไม่ได้ อีกอย่าง... ข้าอยากจะเปิดร้านอาหาร พอเก็บเงินได้ก้อนหนึ่งข้าก็เลยหนี”

ดวงตาของหวังรุ่ยเสวียนทอประกายบางอย่าง เขาละมือจากปลายคางอีกฝ่าย ในตอนนั้นจิ้นหยางคลายจุดของตนเองสำเร็จแล้ว และกำลังปลดเชือกที่มัดตนเอาไว้ กำลังจะหลุดออกไปอยู่แล้ว หวังรุ่ยเสวียนกลับกล่าว

“ทำอาหารให้ข้าจานหนึ่ง”

จิ้นหยางงงเป็นไก่ตาแตก หวังรุ่ยเสวียนจึงกล่าวอีก

“มิใช่ว่าเจ้า... อยากเป็นคนครัวหรอกหรือ คงจะฝึกฝนฝีมือของตนมาดีใช่หรือไม่”

จิ้นหยางมองคนตรงหน้า ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะตัดสินใจดึงเชือกออกจากร่างกายของตนเอง หวังรุ่ยเสวียนหรี่ตามองจิ้นหยางที่หยัดกายลุกขึ้น แล้วเดินไปทางห้องครัว

จิ้นหยางเดินเข้ามาในครัวของเรือนสือซว่านเป็นครั้งแรก เขารวบผมหางม้าขึ้นสูง จากนั้นจึงเปิดโถสำรวจวัตถุดิบทั้งหมดเพื่อสำรวจว่า เขาจะทำอาหารอะไรได้บ้าง พอหันกลับมาก็เห็นหวังรุ่ยเสวียนยืนอยู่ด้านหลัง จิ้นหยางลอบสะดุ้งน้อยๆ

‘เจ้าหมอนี่เป็นแมวหรืออย่างไร ฝีเท้าเงียบกริบ!’

จิ้นหยางทราบว่าฝีมือของหวังรุ่ยเสวียนไม่ธรรมดาเลยสักนิด ไม่รู้ว่าระหว่างเขากับอีกฝ่าย หากต่อกรกันจริงๆ ขึ้นมา ผู้ใดจะชนะ

คนครัวล้างมือจนสะอาด จากนั้นจึงเลือกเอาเป็ดตัวใหญ่ ไก่ นกพิราบ และวัตถุดิบอื่นๆ ออกมา

จิ้นหยางคิดจะทำเป็ดสามชุด ความจริงแล้วจะต้องใช้เป็ดเชอร์รี เป็ดบ้าน และนกพิราบ ทว่าเขาไม่กล้าเอาเป็ดเชอร์รีออกมาจากห้องครัวส่วนตัวของตนเองต่อหน้าหวังรุ่ยเสวียน แต่เขาจำต้องดื้อดึงทำอาหารชนิดนี้ เพราะมันจะแสดงให้หวังรุ่ยเสวียนเห็นว่าเขาเป็นพ่อครัวตัวจริง มิได้เป็นองครักษ์อีกต่อไป

เขาติดเตาทำน้ำซุปในหม้อขนาดใหญ่สองหม้อ ต้มน้ำแกงทั้งสองด้วยโครงไก่ จากนั้นจึงหยิบมีดขึ้นมา แล้วหันไปทางวัตถุดิบหลัก

เป็ดตัวใหญ่ถูกลงมีดเปิดคอด้านในพอประมาณ กรีดลงไปถึงกระดูก เอาสันมีดเคาะกระดูกที่อยู่ในส่วนลึกคือตรงปลายคอติดกับหัวและตรงปีก จากนั้นจึงใช้มีดเลาะกระดูกโดยไม่ทำให้หนังด้านนอกเสียหาย เลาะจนเอาโครงกระดูกด้านในออกมาโดยที่หนังเป็ดยังคงรูปเดิม ไม่เสียหายนอกจากส่วนที่ตนกรีดเปิดทางเอาไว้ หั่นตรงส่วนกระดูกขาและตีนทิ้ง พอทำเสร็จก็จะเหมือนได้ชุดหนังเป็ดที่ไร้กระดูก วางแบบนจานขาวยังเห็นเป็นตัวเป็ด จากนั้นก็ทำเช่นเดียวกันกับไก่และนกพิราบ

ทักษะการใช้มีดที่หวังรุ่ยเสวียนเห็นนั้นคือ ทักษะการใช้มีดชั้นสูง หากมิใช่พ่อครัวที่ฝึกฝนมาอย่างยาวนานจะไม่สามารถทำได้

พอจัดการกับวัตถุดิบทั้งสามเสร็จ จิ้นหยางก็ปลิ้นเอาด้านในของเป็ดกลับออกมาด้านนอก แล้วตักน้ำซุปที่เริ่มเดือดราดเพื่อให้ทั้งเป็ด ไก่ และนกพิราบคงรูป แน่นอนว่าต้องกะให้ดี ไม่ให้ด้านในสุกเกินไป จนมีปัญหายามปลิ้นด้านในกลับเข้าไป พอทำเสร็จแล้วจึงยัดนกพิราบใส่ในตัวไก่ แล้วยัดพวกมันใส่ในตัวเป็ด คนกินจะเห็นเป็ดตัวใหญ่ ที่ตรงลำคอมีหัวไก่และหัวนกโผล่ออกมา จากนั้นเขาจึงเอาพวกมันไปตุ๋นในหม้อใส่น้ำซุปอีกหนึ่งหม้อที่เตรียมเอาไว้ ตามด้วยเครื่องปรุง ขณะที่กำลังรอจนอาหารสุก พ่อบ้านเหวินก็รีบเปิดประตูเข้ามาด้วยสีหน้าแตกตื่น

“นายท่าน! จิ้นหยางตายแล้วขอ...!”

พอเห็นหวังรุ่ยเสวียนและจิ้นหยางอยู่ด้วยกัน พ่อบ้านเหวินก็อ้าปากค้างน้อยๆ มองนายของตนที มองพ่อครัวที อยากจะเอ่ยปากถามว่าศพที่พบเจอนั้นคือใคร

หวังรุ่ยเสวียนออกคำสั่ง “ออกไป”

“ขอรับ” พ่อบ้านเหวินปิดประตูแล้วถอยออกไปเงียบๆ

จิ้นหยางหันไปเลาะกระดูกเพื่อเอาเนื้อตรงน่องไก่ ใช้สันมีดทุบให้นิ่ม แล้วหั่นแบบพอดีคำ ก่อนเอาเครื่องปรุงรสมาผสมกันเป็นน้ำที่มีรสเปรี้ยวหวานนิดๆ หั่นพริกแห้ง พริกหอม ขิง กระเทียม และต้นหอม จากนั้นจึงเอาไปผัดโดยใช้ไฟแรง ใส่พริก เนื้อไก่ ขิง กระเทียม และต้นหอมตามลำดับ จิ้นหยางใส่ถั่วลิสงเป็นอย่างสุดท้าย แล้วยังผัดพร้อมเขย่ากระทะ คอยเติมน้ำซุปกระดูกและสุรา พอได้ที่ก็ตักใส่จาน วางตรงหน้าหวังรุ่ยเสวียน

หวังรุ่ยเสวียนถาม “นี่อะไร”

“กงเป่าจีติง[2]” จิ้นหยางยิ้มบาง “นานมาแล้วมีคนผู้หนึ่ง มีนามว่าติงเป่าเจิน ได้รับการยกย่องอย่างมาก เขาชอบกินอาหารที่ทำจากเนื้อไก่ผัดกับพริก อาหารจานนี้เลยถูกคิดค้นขึ้น และตั้งชื่อตามชื่อของเขา มันก็เป็นแค่เรื่องเล่าเพื่อให้อาหารแลดูมีสีสัน นายท่านลองกินฝีมือของข้าดู ข้าคิดว่าท่านน่าจะชอบ”

หวังรุ่ยเสวียนคนนี้ซีดมาก กินเผ็ดให้แก้มแดงเสียหน่อยคงจะดูดีขึ้นเยอะ ชั่วขณะหนึ่งจิ้นหยางลืมไปว่าเขาควรระวังคนตรงหน้าเอาไว้ หันไปตักเป็ดสามชุดใส่ในถ้วยขนาดใหญ่ แล้วปรุงน้ำแกงนั้นด้วยมะนาวดอง ก่อนจะตักข้าวสวยมาวางตรงหน้าหวังรุ่ยเสวียนอย่างเอาใจ

“น้ำแกงเป็ดสามชุดนี้ที่จริงควรจะเป็นน้ำแกงธรรมดา แต่ข้าคิดว่านายท่านคงจะกินอาหารเย็นแล้ว อาจจะไม่ค่อยอยากอาหาร รสชาติของมะนาวดองน่าจะช่วยท่านได้”

เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำเพียงจับตะเกียบ และมองอาหารแต่ละจานอย่างพิเคราะห์ จิ้นหยางลอบถอนหายใจ หยิบตะเกียบคู่หนึ่งขึ้นมาคีบอาหารแต่ละอย่างเข้าปาก หวังรุ่ยเสวียนมองท่าทางคล้ายพ่อครัวกำลังทดสอบพิษเพื่อแสดงความจริงใจให้เขา ก็อดชื่นชมจิ้นหยางในใจไม่ได้ว่าคนผู้นี้ค่อนข้างหัวไว หวังรุ่ยเสวียนจึงกล่าว

“หากเจ้าหิวก็นั่งกินด้วยกันสิ”

“หือ?” จิ้นหยางทำหน้างง

หวังรุ่ยเสวียนบอก “ข้ากินคนเดียวไม่หมดหรอก”

‘เขายังไม่ไว้ใจข้าสินะ’

จิ้นหยางลอบกลอกตา ยอมนั่งด้วยอย่างไม่เกรงใจ ตักข้าวเพิ่มอีกจาน แล้วกินอาหารร่วมกับอีกฝ่ายเป็นครั้งแรก เหมือนว่าเขาจะกินมากกว่าหวังรุ่ยเสวียนด้วยซ้ำ


[1] เมล็ดอัลมอนด์

[2] ไก่ผัดพิทักษ์วัง

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น