3

บทที่ 3



3

 

“หลักการขององครักษ์หน่วยปราบพยัคฆ์มีเพียงอย่างเดียว ถูกผิดอยู่ที่นาย ไม่ว่าฝ่าบาทรับสั่งอะไร หน้าที่ของพวกเราคือทำให้ได้ แม้ต้องแลกด้วยชีวิต

“จิ้นหยาง เจ้าจงจำเอาไว้ ถูกผิดอยู่ที่นาย แม้ต้องตายก็ต้องทำงานให้สำเร็จ!”

“...แม้ว่าดวงวิญญาณของข้าจะต้องกลายเป็นผงธุลี จะขอยอมพลีให้นายท่านแต่เพียงผู้เดียว!”

“เจ้าคนทรยศ!”

จิ้นหยางสะดุ้งตื่น ลุกขึ้นมาจากที่นอน เหงื่อแตกเต็มตัว เขามองฝ่ามือของตนเอง มันเป็นฝ่ามือขาวเนียน ไม่มีเลือดแม้แต่หยดเดียว เด็กหนุ่มหยัดกายลุกอย่างอ่อนแรง เร่งตรงไปที่อ่างล้างหน้า จากนั้นก็วักน้ำขึ้นลูบหน้าตนหลายครั้ง ยืนตั้งสติอยู่ตรงนั้น

เขาเกิดใหม่แล้ว... จะมีชีวิตใหม่

เรื่องในอดีต... ไม่เกี่ยวกับเขาอีกแล้ว

จิ้นหยางตัดสินใจตั้งแต่รู้ว่าเวลานั้นผ่านไปถึงสิบห้าปีแล้ว เขาจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่เพราะบทสนทนาของตนกับหวังรุ่ยเสวียนเมื่อคืนวาน ทำให้เขาฝันถึงเรื่องอดีตขึ้นมา

เขาทรยศนายเหนือหัวที่ตนกรีดเลือดสาบานจงรักภักดี เขาสังหารพี่น้องที่ร่วมฝึกฝนและร่วมเป็นร่วมตายมากับตนเอง... แล้วเขาก็ตาย...

เสียงเคาะประตูดังขึ้น จิ้นหยางสะดุ้ง เดินไปเปิดประตู พ่อบ้านเหวินกวาดตามองใบหน้าขาวซีดของอีกฝ่าย เกิดความสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ทำเพียงออกคำสั่ง

“ตามข้ามา”

จิ้นหยางขออนุญาตเปลี่ยนเสื้อผ้า พอสวมชุดใหม่เขาก็ออกจากห้อง เดินตามพ่อบ้านเหวินไป เมื่อคืนเขานอนที่ห้องว่างในเรือนสือซว่าน วันนี้คงต้องไปหาหวังรุ่ยเสวียน

“ข้าจัดการกับศพของจั่วเฟิงแล้ว” จู่ๆ พ่อบ้านเหวินก็เอ่ยขึ้นมา “นายท่านเป็นผู้ออกคำสั่ง”

จิ้นหยางเข้าใจว่าร่างของจั่วเฟิงนั้นถูกเขามัดเอาไว้บนเตียงของตนเอง เพื่อให้คนอื่นคิดว่าเป็นเขาที่นอนตายบนนั้น แต่เขาดันยังอยู่ที่จวนตระกูลหวัง ดังนั้นหวังรุ่ยเสวียนเลยให้พ่อบ้านเหวินจัดการศพของจั่วเฟิง ให้เหมือนว่าเขาหนีออกจากเรือนคนรับใช้ไม่ทัน

“อะไรนะ! จะขอเขาจากข้าหรือ!”

เสียงแหลมเล็กของซุนหงซิ่วดังออกมาจากห้องที่เขากำลังจะเดินไปถึง จิ้นหยางเริ่มมีลางสังหรณ์ในใจ

“เจ้ากล้าดีอย่างไรคนแซ่หวัง เขาเป็นคนของข้า!” ซุนหงซิ่วกำลังโวยวายอย่างหนัก เผยความเอาแต่ใจอย่างลูกคุณหนูที่ถูกตามใจมาแต่เล็ก นางมองหวังรุ่ยเสวียนด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ขาดแค่ไม่ได้เข้าไปบีบคอสามีตัวเองให้ตายเท่านั้น

หวังรุ่ยเสวียนกล่าวด้วยเสียงเรียบเฉย “ที่นี่คือจวนของข้า”

“เจ้า...!” ซุนหงซิ่วชี้หน้าอีกฝ่าย “เจ้าคนอัปลักษณ์ เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร วันๆ เจ้าเอาแค่ขลุกอยู่กับนางคณิกา แล้วคิดว่าตนใหญ่มาจากไหน รู้เอาไว้ซะว่า หากไม่ได้บิดาของข้า เจ้าจะได้มาเป็นเสนาบดีกรมพิธีการอย่างทุกวันนี้หรือไม่! หัดเจียมตัวเสียบ้าง!”

ได้ยินประโยคนั้นแล้ว จิ้นหยางก็อดขมวดคิ้วสงสัยไม่ได้ หวังรุ่ยเสวียนได้ตำแหน่งในราชสำนักมาเพราะแต่งงานกับซุนหงซิ่วหรอกหรือ

หวังรุ่ยเสวียนไม่สนใจท่าทีของภรรยา เขาคว่ำถ้วยชาสีเขียวของตนเอง แล้วจ้องมองมันจนซุนหงซิ่วต้องหลุบตามองตาม นั่นเหมือนจะเป็น... หมวกเขียว สามีของนางกล่าวอย่างนุ่มนวล

“โทษของสตรีและบุรุษนั้นแตกต่างกัน คุณหนูซุนควรรู้ตัวเอาไว้”

ชายหลายใจกับหญิงมีชู้มีโทษแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ซุนหงซิ่วพลันสะท้านวาบในอก คิดถึงจั่วเฟิงที่ต้องตายอย่างทรมาน และหวังรุ่ยเสวียนก็ย้ำว่าที่นี่คือเรือนของเขา แสดงสัญลักษณ์ของหมวกเขียว หรือว่าเขา... เขาเป็นคนสังหาร

ซุนหงซิ่วสงบปากสงบคำในทันที แม้จะน่าเจ็บใจ แต่ก็เป็นอย่างที่หวังรุ่ยเสวียนบอก บุรุษมีภรรยาได้หลายคน และเที่ยวหอคณิกาได้โดยที่ผู้อื่นมองว่าไม่น่าเกลียด แต่ถ้าสตรีที่แต่งงานแล้วมีชู้ จะต้องถูกจับใส่ตะกร้อถ่วงน้ำ แม้เป็นลูกขุนนางก็ไม่เว้น

ซุนหงซิ่วกัดปาก หยัดกายลุกแล้วรีบเดินออกจากห้องไปอย่างฉุนเฉียว ไม่ได้มองจิ้นหยางที่ถูกพาตัวไปพบสามีของตนเลยสักนิด

จิ้นหยางเข้าไปในห้องก็เห็นหวังรุ่ยเสวียนในตอนนี้สวมชุดสีดำสนิท ปักลายพยัคฆ์ด้วยด้ายทอง หมุนถ้วยชาที่ทำจากหยกเขียวเล่นอยู่ พอเห็นว่าจิ้นหยางมา เขาก็กล่าว

“จากนี้ไป... เจ้าเป็นคนของข้า ไปทำอาหารเช้ามา”

จิ้นหยางขยับปากอยากจะเอ่ยถาม แต่ก็เลือกที่จะเงียบ เดินไปยังห้องครัว เริ่มต้นหยิบเครื่องปรุงออกมาทำอาหาร

อีกฝ่ายหายไปสักพักใหญ่ก่อนจะยกอาหารถ้วยใหญ่มา หน้าตาอาหารแตกต่างจากที่เคยเห็น ทำให้หวังรุ่ยเสวียนและพ่อบ้านเหวินมองจิ้นหยางเป็นตาเดียว

จิ้นหยางกล่าวขึ้น “ซุปขิง”

“ซุป?” พ่อบ้านเหวินทำหน้าสงสัย

จิ้นหยางกล่าว “ของเหลวที่ได้จากพวกเนื้อสัตว์และผัก นำมาปรุงแต่งเติมรสชาติ เกิดจากคนในชนเผ่าหนึ่งที่ยากจนมาก หาอะไรได้ก็เอามาต้มดื่ม และพัฒนาเรื่อยมาจนมีรสชาติดี ซุปมีสองแบบคือ น้ำใสและน้ำข้น ส่วนมากใช้ซดเรียกน้ำย่อย” เขาหยุดพูดพลางมองหวังรุ่ยเสวียน ก็เห็นว่านายท่านคงฟังคำของตนไม่ค่อยรู้เรื่อง จึงอธิบายต่อ

“ซุปขิงจะช่วยขับพิษผ่านทางเหงื่อ รีบซดตอนกำลังร้อนๆ ดีที่สุด คงดีกว่า...” เขาชี้ไปที่น้ำต้มหัวต้นสือซว่าน “นายท่าน หากว่าท่านมีพิษค้างอยู่ในร่าง กินอาหารรสเผ็ดจะช่วยได้มาก”

หากนำส่วนหัวของต้นสือซว่านมาต้มน้ำดื่มจะทำให้คนดื่มอาเจียน จิ้นหยางแอบคิดเอาเองว่าหวังรุ่ยเสวียนคงจะโดนพิษมากมาย และเพื่อช่วยชีวิตตัวเอง เขาจะต้องบังคับให้ตนอาเจียนออกมา ดังนั้นในห้องนี้ถึงมีน้ำต้มสือซว่านเสมอ หากหวังรุ่ยเสวียนโดนพิษเมื่อไร เขาก็จะดื่มมันเมื่อนั้น แน่นอนว่ามันอาจจะช่วยให้อาเจียนเอาพิษออกมา แต่มันก็เป็นพิษ และไม่ดีกับร่างกายสักเท่าไร

หวังรุ่ยเสวีนเป็นคนงาม แต่ซูบซีดมาก หากคนผู้นี้กลับมามีร่างกายแข็งแรงได้ ความงามก็คงจะเจิดจรัสมากกว่านี้

จิ้นหยางแค่อยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ไม่ได้หวังอะไรเลยจริงๆ นะ

คนครัวหยิบช้อนขึ้นมา “ให้ข้าทดสอบพิษซุปขิงนี้ให้ท่านก่อนดีหรือไม่”

หวังรุ่ยเสวียนมองอีกฝ่ายใช้ช้อนคนอาหารที่ทำ ตักเข้าปากสามช้อนแล้วจึงวางช้อนลง จากนั้นก็ยื่นซุปขิงให้หวังรุ่ยเสวียน หวังรุ่ยเสวียนรับมาตักซดไปหนึ่งช้อน นิ่งสักพักก่อนจะตักเข้าปากอีกเรื่อยๆ

ซุปขิงมีรสเผ็ด ทำให้หวังรุ่ยเสวียนเหงื่อออก แก้มก็แดงเรื่อขึ้นเล็กน้อย พออาหารหมดก็หันไปบอกพ่อบ้านเหวิน “ข้าต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว”

เขาหยัดกายลุกเดินไปยังหลังฉาก พ่อบ้านเหวินรีบไปเตรียมชุดใหม่มาให้เจ้านายของตนเอง จิ้นหยางคิดจะเก็บถ้วยแล้วกลับไปอยู่ในครัว ทว่าจังหวะที่เดินไปทางประตู หวังรุ่ยเสวียนก็ส่งเสียง

“จิ้นหยาง เจ้าอยู่ที่นี่”

จิ้นหยางหยุดเท้าตัวเอง วางถ้วยเปล่าลง ยืนอย่างสงบข้างพ่อบ้านเหวิน เขามองเงาของหวังรุ่ยเสวียนที่กำลังผลัดเสื้อผ้า มองแขนที่ยื่นออกจากหลังฉากเพื่อโยนชุดคลุมของตนทิ้ง เด็กหนุ่มคิดกับตัวเอง

‘ซ่อนรูป’

นั่นเป็นเงาของบุรุษร่างสูงที่มีกล้ามเนื้อแต่พอดี ไม่ใหญ่เกินไปและไม่ได้เล็กลีบ พ่อบ้านเหวินเอาผ้าชุบน้ำ บีบจนหมาดแล้วนำไปยื่นให้เจ้านายเช็ดเนื้อตัวสักหน่อย หวังรุ่ยเสวียนผลัดชุดเสร็จสิ้นก็เดินมานั่งหน้ากระจก หยิบหวีงาช้างมาสางเส้นผมที่ยาวถึงเอว วันนี้เขาไม่จำเป็นต้องเข้าราชสำนัก จึงทำเพียงผูกปลายผมด้วยสายรัดสีทอง ช่างดูเกียจคร้านและเย้ายวน ราวกับเทพซึ่งเพิ่งตื่นนอน พอสวมต่างหูพู่สีทองทั้งสองเสร็จสิ้น เขาก็หันมาหาทั้งสองคน

“ไปกันเถอะ”

“ไปไหนขอรับ” จิ้นหยางอดถามออกมาไม่ได้

“ตลาดและหอเหมยเฉียง” หวังรุ่ยเสวียนบอก พร้อมคว้าข้อมือจิ้นหยางแล้วลากไปขึ้นรถม้า สื่อชัดเจนว่าเขาจะให้พ่อครัวคนใหม่ไปด้วย

พ่อบ้านเหวินโค้งส่งเจ้านาย ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ คิดถึงจิ้นหยางแล้วพึมพำเบาๆ อย่างเสียดาย “ยังเด็กแท้ๆ”

 

จิ้นหยางมองคนที่แต่งกายเต็มยศเพื่อไปตลาดกับเขา สีหน้ามีทั้งความตกตะลึงและความไม่อยากเชื่อสายตา หวังรุ่ยเสวียนไม่สนใจสีหน้าเขายามกล่าว

“ข้าจะให้เจ้าทำอาหารให้เจียวซิ่ง คิดเสียว่าต้องทำอะไร”

จิ้นหยางขมวดคิ้วแล้วลงความเห็นว่าเปลืองสมอง หากต้องเดาใจอีกฝ่าย เขาถามตามประสาพ่อครัว

“แล้วนางชอบกินอะไรเป็นพิเศษหรือขอรับ”

หวังรุ่ยเสวียนเหลือบมองเขา “นางชอบกินปลาเหมือนข้า”

จิ้นหยางยิ้มออกมา เหมือนจะรู้แล้วว่าต้องทำอาหารอะไรดี คราแรกที่เขาต้องทำอาหารในถ้ำนั้น เขาก็ไม่ได้ชอบใจนักหรอก แต่ไปๆ มาๆ กลับตกหลุมรักมันอย่างถอนตัวไม่ขึ้น พอจะต้องทำอาหาร เขาก็รีบใช้จินตนาการครุ่นคิด ออกแบบรายการอาหารของตนทันที

พอรถม้ามาถึงตลาดปลา จิ้นหยางก็รีบวิ่งลงไปอย่างคึกคัก แอบบ่นหวังรุ่ยเสวียนในใจด้วยว่าน่าจะบอกเขาตั้งแต่ตอนเช้าตรู่ เขาจะได้ไปซื้อปลาสดใหม่มา ยามนี้สายแล้วทำให้จิ้นหยางไม่สามารถซื้อปลาสดได้ เขาตัดสินใจจะทำปลาน้ำจืด ขณะที่กำลังเลือกปลาอยู่นั้น เสียงร้องไห้ก็ดังขึ้นที่จุดหนึ่งของตลาด จิ้นหยางหันไปมองตรงแผงลอยหนึ่ง มีคนสวมชุดสีกรมลายทอง แวบแรกเขาไม่ได้สนใจ แต่พอเห็นแล้วก็ต้องตวัดสายตามองอีกครั้งอย่างตกตะลึงไม่ได้

...ชุดขององครักษ์หน่วยปราบพยัคฆ์

‘เดี๋ยวสิ! มิใช่ว่าหน่วยของเขาต้องเป็นความลับหรอกหรือ!’

จิ้นหยางทำหน้างงไปวูบหนึ่ง จนกระทั่งองครักษ์หน่วยปราบพยัคฆ์คนหนึ่งเตะชายหนุ่มมาล้มตรงหน้าเขา ชายชราคนหนึ่งร้องไห้ วิ่งมาประคองลูกชายพร้อมหันไปบอกพวกหน่วยปราบพยัคฆ์

“ใต้เท้า โปรดละเว้นลูกชายของข้าด้วย! เขาสติไม่ดีมาตั้งแต่เล็ก! อย่าถือสาเขาเลย!”

“หากเจ้ารู้ว่าลูกของเจ้าสติไม่ดีก็จับล่ามเอาไว้ที่บ้านสิ!”

จิ้นหยางมองกลุ่มขององครักษ์หน่วยปราบพยัคฆ์ตาแข็งค้าง หน่วยลับมาอยู่ในที่แจ้งนั้นยังน่าตกใจไม่พอ เพราะพวกเขายังมีท่วงท่าของอันธพาลเต็มเปี่ยม สิบห้าปีที่เขาหายไปนั้นเกิดอะไรขึ้น!

“เกิดอะไรขึ้นหรือ” ป้าที่ยืนอยู่ไม่ไกลกระซิบถามแม่ค้าขายปลา

“ก็โกวจื่อน่ะสิ เห็นใต้เท้านักเลงพวกนี้เรียกเก็บเงินบิดาของตนไม่พอ ยังจะหยิบของที่บิดาโกวจื่อขายอยู่ไปโดยไม่จ่ายเงิน เจ้าก็รู้ว่าเด็กคนนั้นอาจจะสติไม่ดี แต่เป็นเด็กดีถึงเพียงนั้น เขาเลยพูดสองสามคำ เจ้าพวกนั้นโมโหจนถึงกับพังร้าน”

จิ้นหยางหันไปมองคนพูดตาเหลือก พลางครุ่นคิดว่าองครักษ์หน่วยปราบพยัคฆ์ในสมัยของเขานั้น ด้วยระยะแค่นี้ย่อมได้ยินคำด่าทอของชาวบ้านทุกคำ แต่โดนคนด่าแล้วอันธพาลยังไม่หันนั้นเป็นเรื่องแปลก หมายความได้ว่าฝีมือคนในหน่วยตกต่ำลงมาก เล่นเอาจิ้นหยางที่เคยฝึกจนเลือดตาแทบกระเด็นในครั้งเก่ารู้สึกอยากร่ำไห้ขึ้นมาทันควัน

‘ตกต่ำยิ่งนัก สังกัดเก่าของข้า!’

“ทางการไม่จัดการอะไรเลยหรือ” ชาวบ้านอีกคนฮึดฮัดขึ้นมา

“ขนาดพวกขุนนางบางคนยังกลัวคนพวกนี้อย่างกับอะไร เพราะหากเจ้าพวกนี้ไม่พอใจก็จะเล่นงานเช่นนี้ ชาวบ้านตาดำๆ อย่างเราคงทำได้แต่ก้มหน้าเท่านั้น”

คนฟังทั้งหลายทำหน้าเจ็บแค้น ขณะที่จิ้นหยางอยากยกมือขึ้นกุมขมับ จริงที่ว่าหน่วยปราบพยัคฆ์ขึ้นตรงต่อฮ่องเต้ สามารถสืบสวนได้โดยวิธีของตนโดยไม่ต้องไว้หน้าใครทั้งนั้น แต่พวกเราไต่สวนเฉพาะขุนนาง ห้ามแตะต้องราษฎร!

จิ้นหยางมองเห็นรุ่นน้องในหน่วยของตนกำลังทำตัวเก่งกล้าสามารถ จับชายหนุ่มสติไม่ดีคนนั้นโขกศีรษะให้ตนเอง ขณะที่บิดาของเขาร้องไห้พร้อมบอกว่าจะยกของในร้านให้ทั้งหมด ในใจเต็มไปด้วยความอึดอัดคับแน่นเหมือนถูกยัดด้วยผ้าขี้ริ้ว

การแสดงความเก่งกาจโดยการทำร้ายผู้ที่อ่อนแอกว่าตนนี้ ทำให้แผงขายของมากมายกระจัดกระจาย ชาวบ้านเดือดร้อนเป็นอย่างยิ่ง เห็นคนเจ็บตัวอ่อนยวบยาบและเลือดไหลเต็มหน้า แต่องครักษ์หน่วยปราบพยัคฆ์หนึ่งในสามนั้นกลับไปคว้าท่อนไม้ไผ่มาถือ ทำท่าจะฟาดอีกครั้งเพื่อโอ้อวดศักดา จิ้นหยางอดไม่ได้ที่จะปราดไปคว้าท่อนไม้ไผ่นั้น ก่อนที่มันจะถึงตัวเด็กหนุ่ม

ใบหน้าที่กำลังหัวเราะอย่างมีความสุขขององครักษ์หน่วยปราบพยัคฆ์แข็งค้าง เหล่าชาวตลาดตกตะลึงพร้อมมองจิ้นหยางเป็นตาเดียว ขณะที่อดีตหน่วยปราบพยัคฆ์รำพึงกับตนเอง

‘ซวยแล้ว’ เลือดรักเกียรติแห่งสถาบันและรักความยุติธรรมดันมาเดือดตอนนี้ แล้วเขาจะหลุดออกจากสถานการณ์นี้ได้อย่างไร

คนลงมือทำท่าจะตวาดเพื่อแสดงอำนาจ แต่ผู้ติดตามที่มาด้วยนั้นตาไว เร่งคว้าแขนของหัวหน้าเอาไว้ ส่งสัญญาณให้มองไปด้านหลังจิ้นหยาง

จิ้นหยางหันไปมองด้านหลัง หวังรุ่ยเสวียนลงจากรถม้ามาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เขายืนกางร่มสีดำอยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยว ดวงตาจ้องมองมาที่พวกองครักษ์หน่วยปราบพยัคฆ์เป็นตาเดียว ใต้เท้าคนงามถามเสียงนุ่ม

“เกิดอะไรขึ้น”

องครักษ์หน่วยปราบพยัคฆ์ย่อมรู้จักหวังรุ่ยเสวียน จากการสวมหน้ากากและอุปนิสัยชอบกางร่มแม้ในวันที่ไม่มีแดด คนเป็นหัวหน้ากลุ่มขององครักษ์หน่วยปราบพยัคฆ์ในที่นั้นกล่าวอย่างไร้ซึ่งความเกรงกลัว

“ใต้เท้าหวัง สองพ่อลูกคนนี้ลบหลู่ขุนนางในราชสำนัก สมควรต้องได้รับการลงโทษขอรับ”

หวังรุ่ยเสวียนมองเขานิ่ง และนานเสียจนคนพูดรู้สึกกระดากปาก ในตอนนั้นจิ้นหยางเอ่ยออกมาเบาๆ

“องครักษ์หน่วยปราบพยัคฆ์มีหน้าที่เพียงแค่ไต่สวนและลงโทษขุนนาง ห้ามยุ่งเกี่ยวกับราษฎรที่ไร้เส้นสายกับเหล่าขุนนาง”

คำพูดของเขาอาจจะเบา ทว่าในเมื่อที่ตรงนั้นมีแต่ความเงียบ ทุกคนย่อมได้ยินกันชัดเจน เหล่าแม่ค้าพ่อค้าถึงกับตกตะลึง พวกเขาไร้การศึกษาและไร้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องในราชสำนัก เห็นคนของราชสำนักมาเก็บเงินเช่นนี้ก็ยอมจ่ายให้ แม้จะมากแค่ไหนก็ต้องยินยอมเพราะคิดว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่เคยรู้ว่ามีข้อห้ามนี้ด้วย

หวังรุ่ยเสวียนมองชายหนุ่มสามคนที่หน้าแดงก่ำ สีหน้าคล้ายอยากจะกินเนื้อจิ้นหยางให้ได้ เขาถามหนึ่งในนั้น “เจ้าเป็นบุตรชายของใต้เท้าเจียงใช่หรือไม่”

ชายคนนั้นชะงัก สีหน้าไม่สู้ดีทันที หวังรุ่ยเสวียนกล่าวต่อเหมือนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ “ข้าก็ได้ยินว่ามีบุตรของขุนนางหลายคนอยู่ในหน่วยปราบพยัคฆ์ วันนี้นับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”

บุตรชายอยู่ในตำแหน่งที่ต้องสืบสวนสอบสวนขุนนางทุจริต หากเป็นเช่นนี้ แผ่นดินต้าหลิวจะมีความเป็นธรรมได้อย่างไร

หวังรุ่ยเสวียนเรียก “จิ้นหยาง”

“ขอรับ” จิ้นหยางละมือจากท่อนไม้ไผ่ ประสานมือให้หวังรุ่ยเสวียนอย่างนอบน้อม

“วันนี้คงเป็นเรื่องเข้าใจผิด พวกเขาคงกำลังทำงานของเขา เจ้าไปขัดคอ ยุ่งในเรื่องของคนอื่นเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ดี ดังนั้นเจ้าขอโทษพวกเขาสักคำ แล้วข้าจะไปชี้แจงเรื่องนี้ต่อฝ่าบาทเอง”

“ตะ...ใต้เท้าหวัง...!” คนฟังทั้งสามหน้าเปลี่ยนสีทันควัน

จิ้นหยางยิ้มกริ่ม แล้วหันไปโค้งให้ทั้งสามคนอย่างนอบน้อม “ข้าไร้หัวคิด ต้องขออภัยพวกท่านทั้งสามด้วยขอรับ”

“น้าสาวของข้าเป็นถึงพระสนมคนโปรดของฮ่องเต้...!” คนเป็นหัวโจกประกาศ แล้วก็ถูกพวกพ้องอุดปากในทันที

หวังรุ่ยเสวียนก้มศีรษะ “ข้าจะกราบทูลฝ่าบาทว่ามีหลานชายของหม่ากุ้ยเหรินรวมอยู่ด้วย”

เขารู้แต่แรกแล้วว่าสามคนนั้นเป็นใคร เพียงแค่ไม่พูดออกมาเท่านั้น องครักษ์หน่วยปราบพยัคฆ์ทั้งสามหน้าเปลี่ยนสี ต่างเอาแขนเสื้อปิดหน้าแล้วรีบวิ่งจากไป

จิ้นหยางมองหวังรุ่ยเสวียนที่ยังคงดูงดงามเกียจคร้าน ไม่ทนแดดทนลม และติดจะง่วงนอนนิดๆ ด้วยสายตาใหม่

หวังรุ่ยเสวียนกล่าว “ข้าจะไปรอที่รถม้า”

เสนาบดีกรมพิธีการหยิบเอาก้อนทองสามก้อนออกมาจากถุงผ้า แล้วโยนตรงหน้าชายชราที่กำลังกอดลูกชายน้ำตานอง เห็นสายตาของชายชรา หวังรุ่ยเสวียนก็กล่าว

“พวกเขาอาจจะกลับมาอีก พวกเจ้ารีบไปเสีย”

ชายชราคว้าทองสามก้อนนั้นแล้วโขกศีรษะไล่หลังหวังรุ่ยเสวียน ร้องอย่างตื้นตัน “ขอบคุณใต้เท้าหวัง!”

คนทั้งตลาดปรบมือขึ้นมาทันที แม้แต่จิ้นหยางเองก็อดปรบมือตามไม่ได้ นี่สิ ผู้มีอำนาจของจริง ไม่ต้องใช้กำลังหรือกล่าวให้มากความ ก็สามารถเล่นงานอันธพาลได้!

จิ้นหยางปรบมืออยู่ดีๆ หลายคนก็วิ่งเข้ามาจับตัวเขา พร้อมโยนคำถามใส่ไม่ยั้ง

“น้องชาย เป็นคนของใต้เท้าหวังหรือ”

“นั่นน่ะหรือราชาหมวกเขียวแห่งลั่วหยาง”

“เหตุใดภรรยาของเขาถึงวิ่งออกนอกห้องหอได้ ทั้งที่สามีก็รูปงามและดีขนาดนี้”

“น้องชาย เอานี่ไปสิ! เป็นการขอบคุณสำหรับเรื่องเมื่อครู่!”

“เจ้าอยากซื้อปลาใช่หรือไม่ เลือกที่ร้านข้าสิ ข้ายกให้โดยไม่คิดเงินเลย!”

“...” จิ้นหยางได้แต่นิ่ง

กว่าที่เด็กหนุ่มจะกลับขึ้นมาบนรถม้าได้ ในมือของเขาก็มีลังไม้ขนาดใหญ่สำหรับใส่ของสดเต็มไปหมด หวังรุ่ยเสวียนเห็นแล้วก็อดถามไม่ได้

“อะไรน่ะ”

“พวกเขาฝากมาให้ท่าน ขอบคุณที่ช่วยออกหน้าช่วยสองพ่อลูกนั่น” จิ้นหยางยัดลังไม้เข้าไปในรถม้า แล้วตบเบาๆ “นายท่าน ท่านเป็นที่นิยมมากเลยนะขอรับ”

“...”

หวังรุ่ยเสวียนไม่พูดอะไร ขณะที่จิ้นหยางเริ่มต้นสำรวจของสดที่ได้มา พร้อมครุ่นคิดว่าจะเอาไปทำอาหารอะไรดีอย่างมีความสุข

รถม้าจอดที่หน้าหอเหมยเฉียง เหล่านางคณิกาเห็นรถม้าของแขกประจำมาก็รีบกุลีกุจอออกมาต้อนรับ ช่วยจิ้นหยางยกของไม่พอ ยังคว้าแขนเขาดึงเข้าหาตัว จิ้นหยางต้องเร่งบอก

“ขะ...ข้าเป็นผู้ติดตามใต้เท้าหวัง! ไม่เที่ยวขอรับ!” พูดจบก็รีบดีดตัวมายืนด้านหลังหวังรุ่ยเสวียน อาจจะเพราะออกแรงมากไปหน่อย ใบหน้าเลยทิ่มแผ่นหลังของคนที่สูงกว่า หวังรุ่ยเสวียนเหลียวหน้ามามอง จิ้นหยางช้อนตาขึ้น พอทั้งสองสบตากัน บ่าวรับใช้ก็ขยับเท้าถอยไปยืนสงบด้านหลังของอีกฝ่าย

หวังรุ่ยเสวียนเดินขึ้นไปยังชั้นบนสุด สตรีวัยกลางคนเห็นเขาแล้วก็ยิ้มกว้าง กล่าวอย่างพินอบพิเทา

“ใต้เท้าหวังมาแล้ว คุณหนูกำลังรออยู่เลยเจ้าค่ะ”

สตรีวัยกลางคนผู้นี้มิได้แต่งกายฉูดฉาดอย่างสตรีอื่น ทำเอาจิ้นหยางอดมองซ้ำไม่ได้ ขณะที่หวังรุ่ยเสวียนยกมือขึ้นปัดม่านมุก ร่างอรชรผู้หนึ่งก็ตรงมาทางเขาอย่างรวดเร็วประหนึ่งกำลังรอเขาอยู่

“ซือสือ...” มือขาวนวลของหญิงสาววางที่ข้างแกมที่ไร้หน้ากากของหวังรุ่ยเสวียน ใบหน้างดงามขาวนวลแย้มรอยยิ้มคล้ายรอเวลานี้มานาน

จิ้นหยางลอบพิจารณา ‘เจียวซิ่ง’ สุดรักของหวังรุ่ยเสวียน นางน่าจะอายุมากกว่าหวังรุ่ยเสวียนเล็กน้อย ใบหน้าไม่ได้งามเย้ายวนแบบซุนหงซิ่ว แต่เป็นความงดงามอ่อนหวานบอบบาง ชวนให้รู้สึกสบายตาและสบายใจ ที่สำคัญคือนางดูจะอ่อนแอยิ่งนัก ผิวกายขาวซีด ร่างผอมบางคล้ายจะปลิวลมได้ทุกเมื่อ ชวนให้รักถนอม

หวังรุ่ยเสวียนจับมือที่วางบนหน้าตนเอง ก่อนจะแย้มรอยยิ้มอย่างอบอุ่นอ่อนโยน เหล่าสตรีทุกคนจะต้องอ่อนระทวยเพราะรอยยิ้มนี้ของเขา จิ้นหยางสังเกตว่าซุนหงซิ่วไม่เคยได้เห็นด้านที่งดงามที่สุดของสามีตัวเอง คงเป็นเขาที่ไม่เคยแสดงให้นางเห็น เหมือนว่าหวังรุ่ยเสวียนจะไม่มีใจให้ภรรยาเลยสักนิด

“รอข้านานหรือไม่”

เจียวซิ่งกอดแขนเขา พร้อมพาก้าวไปข้างใน กล่าวอย่างมีความสุข “ไม่เลย วันนี้เจ้าจะค้างที่นี่หรือไม่”

“ข้าจะอยู่กับท่านในราตรีนี้ แต่อีกไม่นานก็คงจะไม่ได้มาหาบ่อยๆ แล้ว” ใกล้การสอบรับขุนนางเข้าราชสำนัก หวังรุ่ยเสวียนจะต้องทำงานหนัก

ใบหน้าของคนฟังฉายแววเหงาขึ้นมาแวบหนึ่งก่อนจะหายไปทันที นางเอียงศีรษะซบบ่าอีกฝ่ายพร้อมส่งเสียง “อือ”

หวังรุ่ยเสวียนคล้ายรับรู้ความรู้สึกของหญิงงาม เขาจึงดึงแขนออกจากการเกาะกุม แล้วเป็นฝ่ายโอบร่างนั้นเอาไว้แทน พร้อมทั้งลูบศีรษะปลอบประโลม ก่อนชายหนุ่มจะเอ่ย “วันนี้... ข้าพาพ่อครัวมาหาท่านด้วย”

เจียวซิ่งชะงัก ก่อนจะหันไปเห็นจิ้นหยางที่ยืนอยู่ตรงประตู จิ้นหยางโค้งให้นางอย่างสุภาพ หวังรุ่ยเสวียนกุมมือสาวงามพลางบอก

“ท่านกินอาหารหรือยัง”

เจียวซิ่งส่ายหน้า “ข้ารอกินพร้อมกับเจ้า”

หวังรุ่ยเสวียนยิ้มบางๆ “เช่นนั้น... พวกเราไปห้องครัวกันเถอะ”

จิ้นหยางขมวดคิ้วเล็กน้อย เขานึกว่าหวังรุ่ยเสวียนจะให้เขาทำอาหาร แล้วยกมาให้ที่ห้องเสียอีก แต่แทนที่จะโอ้โลมหญิงงาม นายท่านกลับจะพาหญิงงามเข้าครัวเพื่อไปดูเขาทำอาหาร

แต่เมื่อหวังรุ่ยเสวียนต้องการ จิ้นหยางก็ไม่ขัดศรัทธา วันนี้เจ้านายสร้างความประทับใจให้เขามาก ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงคิดจะตอบแทนที่เขามาช่วยตนเอาไว้

“คารวะแม่นางเจียวซิ่ง ข้าน้อยมีนามว่าจิ้นหยางขอรับ” จิ้นหยางคารวะสาวงามอย่างนอบน้อม เขาถามพร้อมรอยยิ้ม “แม่นางเจียวซิ่งอยากกินอาหารอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ขอรับ”

เจียวซิ่งทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มบาง “ข้าอยากกินปลา”

จิ้นหยางยิ้ม ทั้งที่ในใจคิดอย่างสงสัย ดวงตาของเขามองออกว่าผู้อื่นชอบหรือไม่ชอบกินอะไร และเขาเห็นว่าเจียวซิ่งคนนี้ไม่ได้ชอบปลาอย่างที่หวังรุ่ยเสวียนกล่าว คนที่ชอบกินปลานั้นคือหวังรุ่ยเสวียนต่างหาก แต่นางบอกเขาว่านางชอบปลา นั่นหมายความว่านางอยากให้หวังรุ่ยเสวียนได้กินของที่ชอบ

หวังรุ่ยเสวียนเจรจาขอใช้ห้องครัวของหอเหมยเฉียง ไม่รู้ว่าเขาพูดจาอย่างไร จึงได้ยัดถุงเงินให้คนของหอเหมยเฉียง และคนในหอจึงได้ไล่แขกทุกคนออกไปจนหมด

จิ้นหยางมองคนที่ปิดหอคณิกาเพียงเพื่อกินอาหารกับคนงาม แล้วก้าวเข้าไปในห้องครัว เปิดดูวัตถุดิบอะไรทั้งหลาย เขาก้มลงใต้โต๊ะที่วางลังไม้ที่ได้มาจากตลาด เขาแบ่งเอาของที่จำเป็นออกมาจากห้องครัวของเขาด้วย ดังนั้นนอกจากอุปกรณ์บางอย่าง เขาไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องปรุงของห้องครัวนี้เลย

หวังรุ่ยเสวียนเป็นคนยกเก้าอี้ให้เจียวซิ่งด้วยตนเอง ใช้มือปัดฝุ่นบนเก้าอี้ ล้างมือ และรินน้ำชาให้นาง ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งมองจิ้นหยางที่วุ่นวายอยู่หน้าเตา

จิ้นหยางต้มน้ำแกงโครงไก่ แล้วจึงวางเขียงลงตรงหน้าหวังรุ่ยเสวียนและเจียวซิ่ง เขาหยิบมีดขึ้นมาชำแหละปลาอย่างรวดเร็ว เนื้อปลาถูกสับจนละเอียดก่อนผสมกับแป้งมัน พักไว้ในถ้วยอย่างดี วางในลังน้ำแข็งที่ได้มาจากตลาด จากนั้นเด็กหนุ่มก็ทำไส้เกี๊ยวด้วยหมูและกุ้งที่สับละเอียด แล้วจึงเอาเนื้อปลาบดมาแผ่ให้เป็นแผ่น การทำอาหารแปลกใหม่นี้ทำให้เจียวซิ่งอดถามไม่ได้

“ท่านกำลังจะทำอะไรหรือเจ้าคะ”

“ทำเกี๊ยวปลาขอรับ”

จิ้นหยางยิ้มออกมา เกี๊ยวนั้นถือกำเนิดแล้ว แต่การใช้เนื้อปลาแทนแผ่นเกี๊ยวเช่นนี้ เจียวซิ่งเพิ่งเคยเห็น จึงมองอย่างสนใจยิ่งนัก พอเด็กหนุ่มห่อเกี๊ยวเสร็จ ก็เอาเกี๊ยวไปต้มในน้ำเดือด ระหว่างนั้นก็เจียวกระเทียม และทำน้ำจิ้มที่เน้นความเปรี้ยว เค็ม และเผ็ด พอเกี๊ยวปลาสุกก็ยกขึ้นมาวางในจาน ก่อนหั่นเส้นแป้งที่ทำจากปลาลงไปต้มต่อ พอเส้นสุกก็ตักใส่ถ้วย เทน้ำแกง โรยผักชี ยกจานที่มีทั้งเกี๊ยวปลาและน้ำแกงใส่ปลาเส้นวางไว้ตรงหน้าหวังรุ่ยเสวียนและเจียวซิ่ง

จิ้นหยางรู้นิสัยหวังรุ่ยสวียน เลยตักอาหารแต่ละอย่างกินให้ดูหนึ่งคำเป็นการทดสอบพิษ เจียวซิ่งหันไปมองหวังรุ่ยเสวียนคล้ายเป็นคำถาม แต่เขาไม่ตอบ ทำเพียงคีบอาหารใส่จานของนาง

“ลองดู... ว่าถูกปากท่านหรือไม่”

เจียวซิ่งเงยหน้ามองจิ้นหยางที่หันไปวุ่นวายกับปลาตัวใหม่แล้ว ก่อนจะหยิบตะเกียบคีบเกี๊ยวปลาขึ้นมาเป่า แล้วกัดไปคำเดียวก็อุทานออกมาเบาๆ

“อร่อย”

จิ้นหยางหันมายิ้มด้วยความภาคภูมิใจทันที “หากแม่นางชอบ คราหน้าข้าจะทำเกี๊ยวมงคลสิบประการให้นะขอรับ”

“เกี๊ยวมงคลสิบประการหรือ มันคืออะไรเจ้าคะ” เจียวซิ่งทำหน้าฉงน

จิ้นหยางกระแอมเล็กน้อยก่อนกล่าว “แต่เดิมเกี๊ยวนั้นเกิดขึ้นเพราะเตียต๋งเก็งต้องการช่วยเหลือชาวบ้านที่เป็นโรคหิมะกัดหู เขาจึงเอาเนื้อแพะไปตุ๋นกับยาจีน แล้วเอามาใส่ในแป้ง ห่อขึ้นมาเป็นเกี๊ยวที่คล้ายใบหู ก่อนเอาไปตุ๋นกับน้ำแกงยาจีนอีกที คนกินเข้าไปก็เลือดลมไหลเวียน ตอนนั้นอยู่ในช่วงตรุษจีน ทุกคนจึงนิยมกินเกี๊ยวกันในช่วงนั้น

“อีกหนึ่งตำนานก็คือเมื่อเจ้าแม่หนี่วาปั้นมนุษย์ ด้วยกลัวว่าหูของมนุษย์จะหลุด เจ้าแม่จึงนำด้ายมาร้อยหูเข้ากับปากของพวกเรา พวกเราจึงกินเกี๊ยวเพื่อระลึกถึงเจ้าแม่ นอกจากจะมีรูปลักษณ์คล้ายใบหูแล้ว ยังเหมือนเงินง้วนป้อด้วย จึงเป็นหนึ่งเหตุผลที่เราเอาเกี๊ยวไปไหว้เทพแห่งความร่ำรวย และมีความเชื่อว่ากินเกี๊ยวในวันตรุษจีนจะร่ำรวยเงินทอง

“เกี๊ยวจะต้องมีไส้ และเมื่อเป็นอาหารมงคล เราก็เลยยัดไส้เกี๊ยวด้วยสิ่งที่มีความหมายมงคลต่างๆ เกี๊ยวมงคลสิบประการก็จะมีหนึ่ง... ไส้ขึ้นฉ่ายพ้องเสียงกับ ‘ขึ้นไฉ่[1]’ หมายถึงเงินทองไม่ขาดมือ สอง... กู่ช่าย พ้องเสียงกับคำว่า ‘กู่[2]’ คือมีทรัพย์สมบัติยืนยาว สาม... ผักกาดขาว (แปะฉ่าย) พ้องเสียงกับคำว่า ‘แปะไฉ่[3]’ คือมีทรัพย์หลากหลายชนิด สี่... เห็ดหอม (เฮียงโกว) พ้องเสียงกับคำว่า ‘โกว[4]’ เพื่อมีทรัพย์เพิ่มพูน ผักกาดดองเปรี้ยว (ซึงฉ่าย) พ้องเสียงกับคำว่า ‘ซึงไฉ่’ คือมีของล้ำค่าสมบัติให้นับ ผักกวางตุ้ง (อิ๋วฉ่าย) พ้องเสียงกับคำว่า ‘อิ๋วไช่’ หมายถึงมีทรัพย์

“เกี๊ยวไส้ปลาคือมีเงินทองเหลือใช้ เกี๊ยวไส้วัวหมายถึงฐานะมั่นคง เกี๊ยวไส้แพะหมายถึงมีเงินทองแผ่ไพศาล และสุดท้าย... เกี๊ยวหวานคือมีเงินทองเพิ่มขึ้น รวมกันแล้วเป็นเกี๊ยวมงคลสิบประการขอรับ”

ความรู้ที่อัดแน่นทำเอาเหล่าคนที่กินเกี๊ยวโดยไม่รู้ความหมายนั่งเงียบทั้งคู่ หวังรุ่ยเสวียนตบหลังมือเจียวซิ่งพลางกล่าว

“เขาก็พูดมากเช่นนี้แหละ ท่านอย่าใส่ใจเลย”

จิ้นหยางแทบกระอักเลือด จึงเอ่ยตัดบท “เอาเป็นว่าพวกท่านรีบกินก่อนที่จะหายร้อน เดี๋ยวไม่อร่อยนะขอรับ”

เจียวซิ่งได้สติ ประสานมือพร้อมเอ่ยอย่างเลื่อมใส “คุณชายจิ้นหยางรอบรู้ลึกซึ้ง ข้าน้อยเลื่อมใสเจ้าค่ะ”

“ไม่กล้ารับขอรับ” จิ้นหยางหัวเราะ ลองมาเป็นวิญญาณติดอยู่ในห้องครัวและต้องทำอาหารซ้ำๆ เป็นเวลาสิบห้าปี แม้บางอย่างไม่อยากจะรู้ก็ต้องพยายามรู้เพื่อให้ผ่านการทดสอบ จิ้นหยางก็เพียงแค่อยากทำอาหารโดยเข้าใจความหมายของพวกมันเท่านั้น

เจียวซิ่งคีบเกี๊ยวปลาจิ้มน้ำจิ้มแล้วใส่ปาก รสชาติของน้ำจิ้มเคล้ากับรสชาติของเกี๊ยวทำให้นางยิ้มหวานไม่หุบ ไม่ลืมหันไปป้อนคนที่นั่งมองอยู่ด้านข้างด้วย หวังรุ่ยเสวียนเองก็รู้สึกว่าอาหารสองชนิดนี้ไม่เลว

เกี๊ยวปลาหนึ่งจาน น้ำแกงปลาเส้นหนึ่งถ้วย คนกินอาหารสองคน พริบตาเดียวอาหารทั้งสองอย่างก็หมด

“ชอบหรือไม่” หวังรุ่ยเสวียนถามอย่างใส่ใจ

เจียวซิ่งยิ้มให้เขา “ชอบ แต่... น้อยไปหน่อย”

“เป็นเพียงของกินเรียกน้ำย่อยเท่านั้นขอรับ อาหารหลักของพวกท่าน ข้ากำลังจะทำให้” จิ้นหยางมองคนทั้งคู่แล้วจัดการแล่ปลาให้เหลือเพียงส่วนเนื้อ ใช้สันมีดบดให้กลายเป็นเนื้อยุ่ยๆ แล้วหันไปตำขิง ซอยต้นหอม และตีไข่ไก่ให้แหลกละเอียด ผสมคลุกเคล้ากับเหล้าจีน เนื้อปลานั้นใสสีละมุนมากยามที่เขากำลังนวด

จิ้นหยางหยุดมือกลางคัน หันมาเช็ดมือให้สะอาด หยิบเอาเต้าหู้ ผักกวางตุ้ง หน่อไม้ และสาหร่ายเส้นผมขึ้นมา สุดท้ายก็เป็นหมูแฮมที่ทำเอาเจียวซิ่งตาโต

“อะไรเจ้าคะ”

“เป็นเนื้อหมู... สูตรพิเศษของข้าขอรับ” เขาหั่นส่วนน้อยออกมาสามชิ้น แบ่งให้ทั้งสองคนตรงหน้า แล้วโยนเข้าปากชิ้นหนึ่ง “อองอินอ่อนอออั๊บ อากไอ่อ๊อบ อ๊าอะไอ้ไอ่” (ลองกินก่อนขอรับ หากไม่ชอบ ข้าจะไม่ใส่)

“เจ้าเคี้ยวให้หมดปากก่อน ค่อยพูดกับพวกเรา” หวังรุ่ยเสวียนกล่าว

เจียวซิ่งหัวเราะ พอเอาหมูชิ้นนั้นเข้าปาก นางก็รู้สึกได้ถึงรสเค็มและมีกลิ่นหอม ดวงตาของหญิงสาวส่องประกายในทันที รอยยิ้มก็ผลิบานงดงาม หวังรุ่ยเสวียนเห็นสีหน้าเช่นนั้นจึงลองกินบ้าง

จิ้นหยางถามอย่างคาดหวัง “ชอบหรือไม่ขอรับ”

พอเห็นสายตาประมาณ ‘ชอบละสิ ข้ารู้นะ อิๆ’ ของอีกฝ่าย หวังรุ่ยเสวียนก็รู้สึกเหมือนถูกรังแกจนแอบเสตามองไปทางอื่น เจียวซิ่งหัวเราะก่อนจะตอบ

“เขาชอบมากเจ้าค่ะ”

จิ้นหยางยิ้มอย่างภาคภูมิใจ พอหันมาเห็นของทั้งหมดแล้ว ก็ลอบสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะเริ่มหั่นทุกอย่างยกเว้นสาหร่ายเส้นผมให้กลายเป็นเส้นที่เล็กมาก กระทั่งเจียวซิ่งต้องอุทาน เมื่อหั่นเสร็จก็เอาวัตถุดิบทุกอย่างไปแช่ในน้ำสะอาด ตั้งเตาใส่น้ำโครงไก่ที่ปรุงรสแล้ว จากนั้นค่อยๆ หยิบทุกอย่างใส่ลงไปต้ม พอวัตถุดิบลอยขึ้นมาก็นำไปใส่ในถ้วย เอาตะเกียบคนเป็นวงกลมให้อาหารที่มีเส้นแสนละเอียดนั้นเหมือนดอกไม้ที่ผลิบาน

เด็กหนุ่มหันไปยังเนื้อปลาที่เตรียมเอาไว้ พอหม้อที่ใส่น้ำสะอาดเดือดก็บีบเป็นลูกชิ้นกลมๆ ใส่ลงไป ลูกชิ้นนั้นก็ลอยน้ำทันที ทั้งที่ปกติของที่ยังไม่สุกจะจมลงไปในน้ำ ลูกชิ้นขาวนวลดุจไข่มุกที่สุกแล้วถูกคีบขึ้นมาใส่ในถ้วยน้ำแกงเต้าหู้ มันช่างดูละเมียดละไมยิ่งนัก

“เต้าหู้เหวินซือและลูกชิ้นลอยน้ำ... ได้แล้วขอรับ พวกท่านยกขึ้นซดได้เลย”

เจียวซิ่งหรือจะกล้ายกขึ้นซด นางตักน้ำแกงเข้าปากทีละช้อนจนหมดในเวลาไม่ช้า เมื่อหมดแล้วก็เอ่ยอย่างตื่นตาตื่นใจ “ลูกชิ้นอร่อยมากเจ้าค่ะ เนื้อเนียนมาก ไม่รู้สึกว่าต้องเคี้ยวเลย แทบจะลื่นลงไปในท้อง ข้าไม่เคยกินลูกชิ้นที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน”

จิ้นหยางยิ้มให้นาง “ท่านอยากฟังประวัติของลูกชิ้นหรือไม่ขอรับ”

เจียวซิ่งพยักหน้าหลายครั้งพร้อมรอยยิ้ม เหมือนเด็กสาวที่กำลังซุกซนคนหนึ่ง

จิ้นหยางนึกสนุกเลยเล่าให้นางฟัง “เขาว่ากันว่าจิ๋นซีฮ่องเต้นั้นโปรดปรานการเสวยปลามากขอรับ และจะต้องเสวยปลาทุกวัน ที่ลำบากก็คือพระองค์เป็นฮ่องเต้ที่โหดเหี้ยมอำมหิตที่สุด ดังนั้นหากคนครัวทำปลาออกมาไม่ดี มีก้างแม้แต่นิดเดียวย่อมถูกตัดหัว คนครัวรับแรงกดดันมาก รู้สึกอับจนหนทางไม่รู้จะทำอย่างไร ซ้ำยังแค้นไอ้ปลาที่เขาต้องอยู่กับมันทุกวันมาก เลยคว้าสันมีดมาทุบ! ทุบ! ทุบ! เนื้อปลาเลยเละยุ่ยแบบนี้ ประจวบเหมาะกับตอนนั้นมีคนประกาศว่าได้เวลาตั้งเครื่องเสวยแล้ว คนครัวตกใจไม่รู้จะทำอย่างไร เลยเอามาปั้นเป็นก้อนแล้วโยนลงในหม้อ จากนั้นลูกชิ้นจึงถือกำเนิดขอรับ”

เจียวซิ่งหลุดหัวเราะออกมากับท่าทางของเขาอีกครั้ง นางกล้าหาญมากขึ้นจึงกล่าว “ทำมาอีกเจ้าค่ะ ข้ายังรู้สึกเหมือนกินไม่พอเลย”

“ขอรับ จานต่อไปมาแล้วขอรับ” จิ้นหยางยิ้มให้นาง “นี่คือคำขอบคุณที่ใต้เท้าหวังช่วยเหลือชาวตลาดเอาไว้ขอรับ”

เจียวซิ่งมองไปที่หวังรุ่ยเสวียนซึ่งนั่งนิ่ง จิ้นหยางหยิบเอาห่อยาจีนขึ้นมา เขาชะงักทันทีที่เห็นบางอย่าง ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะขยำมันทิ้ง แล้วหยิบเครื่องยาจีนที่ตนเอาออกมาจากห้องครัวมาถือเอาไว้เสียเอง จากนั้นจึงเปิดกระปุกเกลือในห้องครัวเป็นครั้งแรก พอเห็นสิ่งที่อยู่ในกระปุก จิ้นหยางก็เอาตัวบังสายตาคนอื่น ขยับกระปุกเกลือแยกออกจากเครื่องปรุงอื่น เขาไล่เปิดดูเครื่องปรุงทั้งหลายของหอคณิกา และกวาดบางส่วนไปรวมกับกระปุกเกลือ ขณะเดียวกันเจียวซิ่งก็ถามขึ้น

“ท่านหาอะไรเจ้าคะ”

“ข้าเจอพอดีขอรับ” จิ้นหยางหยิบเอากระปุกใส่อะไรบางอย่างมาถือไว้มั่วๆ เดินมายังเตาที่อุ่นน้ำแกงจนเริ่มร้อน ใส่ยาจีนและดอกไม้สีขาวลงไปในนั้น

ดวงตาของจิ้นหยางประสานกับสายตาของหวังรุ่ยเสวียนที่จ้องมองเขาอยู่ จิ้นหยางไม่กล่าวอะไร เพียงเอาปลาตัวหนึ่งมาแล่ให้บางจนมองทะลุได้ จัดบนจานสีดำขนาดใหญ่เป็นรูปนกกระเรียน แล้วแกะสลักผักเสริมลงไปเป็นรูปดอกไม้บาน วางน้ำจิ้มให้เจียวซิ่ง พอน้ำแกงยาจีนเดือด เขาก็เอาใส่ในหม้อเล็กที่จุดเตาเล็กไว้ตลอดเพื่อให้น้ำแกงอุ่นเสมอ ก่อนบอก

“หากพวกท่านอยากจะกินแบบสุก ก็เอาจุ่มในนี้ได้นะขอรับ” จิ้นหยางยิ้มให้พวกเขา “ข้าทำน้ำจิ้มไว้หลายแบบ ดอกไม้ที่อยู่ในหม้อนี้กินได้” เขาหยิบปลาตัวหนึ่งขึ้นมาแล่ “ต่อไปนี้... ข้าจะทำอาหารซูโจขอรับ”

เจียวซิ่งละสายตาจากการกระทำของจิ้นหยางไม่ได้ เขาแล่ปลาประหลาดมาก หลังจากเอาก้างออกจนหมดแล้วก็หั่นและบั้ง พอจับส่วนปลายตรงหางปลาขึ้นมาทำให้เห็นเนื้อปลาที่ถูกบั้งและหั่น พอคลี่ออกจากกันกลับเหมือนดอกไม้บาน

จิ้นหยางเอาเนื้อปลาไปคลุกแป้ง ตั้งกระทะทอด พอตักขึ้นมาก็เอาน้ำปรุงสูตรพิเศษของตนราด เนื้อปลาโดนความร้อนเหมือนดอกเบญจมาศกำลังผลิบาน วางอยู่ตรงหน้าพวกเขา เด็กหนุ่มตักข้าวให้ทั้งสองคน ส่วนตัวเขาหันไปล้างถ้วยชามและหม้อทั้งหลายให้เรียบร้อย

เจียวซิ่งกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ปกตินางไม่ค่อยชอบอาหารเกี่ยวกับปลา แต่วันนี้นางกลับตกหลุมรักอาหารฝีมือจิ้นหยางอย่างถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว ตักเข้าปากจนลืมตักใส่จานให้หวังรุ่ยเสวียน พอรู้สึกตัวก็เห็นว่าเขากำลังอมยิ้มมองนางอย่างพอใจ เจียวซิ่งนึกละอายก็เลยหัวเราะเบาๆ

“คุณชายจิ้น ดอกไม้นี้คืออะไรเจ้าคะ” เจียวซิ่งดื่มน้ำแกงแล้วตักดอกไม้ขึ้นมาด้วยความสนใจ

“ดอกเบญจมาศขาวขอรับ มีตำนานด้วยนะ แม่นางเจียวซิ่งอยากจะฟังหรือไม่” จิ้นหยางหันไปถามพร้อมรอยยิ้ม

“อยากฟังเจ้าค่ะ” เจียวซิ่งพยักหน้ารับ

จิ้นหยางยิ้มให้นาง “มีตำนานเล่าว่าเด็กชายคนหนึ่งชื่ออางู้ อาศัยอยู่กับแม่ที่เป็นช่างทอผ้า เพราะพ่อด่วนจากไป แม่ของเขาต้องทอผ้าและทำงานหนักมาก จนดวงตาเริ่มไม่ดีเหมือนเก่า ลูกชายทนไม่ได้ พอเขาอายุสิบสาม จึงได้บอกให้นางเลิกทำงาน และเขาจะดูแลแม่เอง แต่โรคตาของแม่นั้นไม่สามารถรักษาได้ แม้ว่าอางู้จะทำงานหนักที่บ้านเศรษฐีแซ่เตีย รวมทั้งงานอื่นๆ อีก แต่ก็ไม่พอกับค่ายาที่จะนำมารักษาดวงตาของแม่ ทำให้ดวงตาของนางบอด อางู้เสียใจมาก

“ในตอนนั้นก็มีเทพธิดามาบอกทางเขาในฝัน ให้ไปหาต้นเบญจมาศสีขาวต้นหนึ่ง ซึ่งมันจะบานในเทศกาลฉงหยาง พอเจอแล้วให้นำกลับมาปลูกที่บ้าน ต้มดอกไม้บานให้มารดาดื่มวันละหนึ่งถ้วย อางู้จึงย้ายต้นเบญจมาศมาปลูกที่บ้าน หมั่นรดน้ำพรวนดิน และนำดอกไม้บานมาต้มให้แม่ดื่มทุกวัน พอถึงวันที่เจ็ด แม่ดื่มน้ำจากดอกไม้ดอกที่เจ็ด ดวงตาของนางก็หายบอด

“เศรษฐีแซ่เตียรู้เรื่องปาฏิหาริย์นี้ จึงได้มาแย่งชิงเอาต้นเบญจมาศจากอางู้ ทำให้ต้นเบญจมาศสีขาวเสียหาย อางู้เสียใจมาก คืนนั้นเขาฝันถึงเทพธิดาองค์นั้นอีกครั้ง นางบอกว่าให้เขานำรากของมันไปปลูก และดอกเบญจมาศสีขาวก็เกิดขึ้นมาอีกครั้ง”

เจียวซิ่งเป็นสตรีที่ชอบเรื่องราว นางฟังแล้วแย้มรอยยิ้ม เร่งตักน้ำแกงใส่ในถ้วยของหวังรุ่ยเสวียนพลางกล่าว “ได้ยินหรือไม่ ดื่มไปเยอะๆ เจ้าต้องทำงานหนักเสมอ ดื่มน้ำแกงแล้วดวงตาจะได้แข็งแรง”

หวังรุ่ยเสวียนดื่มตามใจนาง จิ้นหยางจัดการเก็บกวาดเรียบร้อย หันมาช่วยเสริม

“ใช่แล้วขอรับ น้ำแกงนี้มีเครื่องยาจีนที่ช่วยบำรุงร่างกายของนายท่านโดยเฉพาะ ใบหน้าของพวกท่านซีดเกินไปแล้ว จะต้องกินอาหารบำรุงร่างกายเพื่อสุขภาพ ข้ารับรองได้ว่าหากใบหน้าของท่านมีสีสันขึ้นมา จะต้องงามละมุนละไมกว่านี้แน่ เอ่อ... ขออภัยขอรับ”

หวังรุ่ยเสวียนมองจิ้นหยางแวบหนึ่ง หลังจากกินอาหารอิ่ม เจียวซิ่งก็ตาปรือคล้ายจะหลับ ชายหนุ่มจึงประคองนางไปพักผ่อนด้วยตัวเอง

จิ้นหยางแอบเทเกลือของหอคณิกาใส่ในห่อผ้าของตน แล้วตามขึ้นไปด้านบน มองหวังรุ่ยเสวียนช่วยเจียวซิ่งล้างหน้าบ้วนปาก ก่อนก้มลงถอดรองเท้าและประคองเจียวซิ่งนอนบนเตียง หญิงสาวลูบใบหน้าเขาพร้อมบอกอย่างงัวเงีย

“เจ้าจะอยู่ตอนที่ข้าตื่นมาใช่หรือไม่”

“อยู่” หวังรุ่ยเสวียนยิ้มให้นาง ห่มผ้าห่มให้ และนั่งอยู่ข้างเตียงรอจนนางหลับสนิท

สตรีวัยกลางคนที่รับใช้เจียวซิ่งเข้ามาจุดกำยานให้พวกเขา ก่อนจะออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ จิ้นหยางรอสักพัก จึงคว้าเตากำยานนั้นขึ้นมาอุ้มเอาไว้

หวังรุ่ยเสวียนหันไปมองเขา เห็นสิ่งที่เขาทำก็ถามขึ้น “มีอะไร”

จิ้นหยางกวักมือเป็นเชิงให้ใต้เท้าหวังตามตนไปเงียบๆ ตอนออกจากห้องของเจียวซิ่ง อดีตองครักษ์กวาดตามองโดยรอบ เห็นว่าไม่มีคนตรงทางเดินก็รีบตรงเข้าไปในห้องที่ไม่น่าจะมีคนอยู่หรือสนใจ แล้วกวักมือเรียกหวังรุ่ยเสวียนให้เข้าไปด้วย

จิ้นหยางเลือกห้องผิดไปหน่อย เพราะนี่คือห้องเก็บของ ของทั้งหลายมีมากพอจะแทบล้มทับเขาทันทีที่เปิดประตู คนครัวทำตัวเองเป็นผู้เสียสละที่ดี ยัดเตากำยานใส่ในมือของหวังรุ่ยเสวียน แล้วใช้ร่างของตนดันของทุกสิ่งกลับเข้าไปด้านในโดยไม่ให้เกิดเสียงโครมคราม ซ้ำยังยืนเอาตัวยันไว้ด้วย

“เสียงอะไรน่ะ”

เสียงของนางคณิกาคนหนึ่งดังขึ้นจากในห้อง บานประตูห้องพักกำลังจะเปิดออก จิ้นหยางใช้มือข้างหนึ่งและแผ่นหลังดันสิ่งของเอาไว้ แล้วดึงหวังรุ่ยเสวียนเข้าไปแอบในห้องนั้นด้วยกัน

พอเขากับหวังรุ่ยเสวียนเข้าไปในห้องนั้น ก็เหลือที่ว่างน้อยมากในการคุยเรื่องลับ จมูกของจิ้นหยางจิ้มกับเสื้อของหวังรุ่ยเสวียน พอขยับตัว หน้าผากก็แทบจะถูกับคางของอีกฝ่าย

คนตัวสูงกว่าจับเอวเขาเอาไว้ให้หยุดดิ้น สักพักจึงค่อยๆ หาทางขยับให้ทั้งสองฝ่ายมีช่องว่างระหว่างกันมากขึ้น โดยที่ร่างของจิ้นหยางยังแบกข้าวของทุกอย่างไว้เหมือนเดิม

“มีอะไร” หวังรุ่ยเสวียนถาม

จิ้นหยางเกาศีรษะ “ความจริงข้าก็มิได้เชี่ยวชาญเรื่องพิษหรอกนะ” เขาหยิบเอาห่อผ้าที่ใส่เกลือขึ้นมา แล้วเทใส่เตากำยานที่หวังรุ่ยเสวียนถืออยู่ เกลือนั้นค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเขียว กลิ่นและควันฟุ้งกระจายในห้องแคบๆ

หวังรั่วเสวียนเร่งปิดจมูกด้วยชายแขนเสื้อ ถามเสียงอู้อี้ “เจ้าจะฆ่าข้าหรือ”

“ข้าลืมคิดไป” จิ้นหยางอุดจมูกตัวเองแน่น เห็นควันมากมายถึงเพียงนั้นก็อยากจะดับไฟ จึงกล่าวอย่างเสียสละ “นายท่านหันไป เดี๋ยวข้าฉี่ดับไฟให้”

หวังรุ่ยเสวียนละมือลงจากจมูกตัวเองมาดีดหน้าผากจิ้นหยางที่กำลังแกะสายคาดเอวเตรียมปลดกางเกง เด็กหนุ่มชักสีหน้าใส่

“นี่ข้าช่วยท่านนะ! หากเปิดประตู ความลับก็แตกสิ!”

หวังรุ่ยเสวียนเอื้อมมือมาจิ้มหน้าผากอีกฝ่าย ท่วงท่าคล้ายกำราบสัตว์ตัวน้อยก็ไม่ปาน จากนั้นเขาจึงหยิบขวดใส่น้ำต้มหัวต้นสือซว่านที่มีติดตัวตลอดมาเทใส่เตากำยาน ทำให้ควันพวยพุ่งออกมามากขึ้น

กลิ่นนี้ให้ความรู้สึกแย่ยิ่งนัก จิ้นหยางถอดเสื้อที่สวมเพียงตัวเดียวมาพันเตากำยาน เพื่อไม่ให้ควันและกลิ่นกำจายออกมาอีก แต่กลิ่นที่ยังเหลืออยู่ในห้องนี้ก็ทำเอาเขาต้องกลั้นลมหายใจจนหน้าดำหน้าแดง

หวังรุ่ยเสวียนใช้มือหนึ่งปิดจมูกตัวเอง ส่วนอีกมือยื่นมาใช้แขนเสื้อปิดจมูกให้จิ้นหยาง จิ้นหยางคว้าชายแขนเสื้อของหวังรุ่ยเสวียนเอาไว้มาอุดจมูก หายใจผ่านเนื้อผ้าอย่างไม่เกรงใจเจ้าของเสื้อ พวกเขาอยู่ในท่านั้นนานจนควันค่อยๆ จางหาย

จิ้นหยางดึงมือของหวังรุ่ยเสวียนออกจากจมูกของตน กล่าวพึมพำ “เป็นพิษเช่นนั้นจริงๆ ด้วย”

“พิษอะไร” หวังรุ่ยเสวียนถามเสียงเครียด

“นายท่านรู้จัก ‘หอมสงบวิญญาณ’ หรือไม่” จิ้นหยางถามกลับ

พอได้ยินชื่อหอมสงบวิญญาณ ประกายตาของหวังรุ่ยเสวียนก็เย็นเยียบ จิ้นหยางจึงกล่าว

“เป็นยาพิษต้องห้ามที่มีแต่ฮ่องเต้เท่านั้นจะมีสิทธิ์สั่งให้ใช้ได้ กลิ่นจะเหมือนเครื่องหอมหรือธูป พอสูดดมไปสิบวันจะตายโดยไม่รู้ตัว”

หวังรุ่ยเสวียนหรี่ตาลงอย่างอันตราย จิ้นหยางกระซิบบอก

“ทั้งนี้ ข้าไม่คิดว่านี่คือผงหอมสงบวิญญาณ อย่างที่บอก เครื่องหอมมรณะนั้นมีแต่ฮ่องเต้เท่านั้นที่จะออกคำสั่งให้ใช้ได้ และลักษณะก็ไม่เหมือนเช่นนี้ เพียงความสามารถของมันใกล้เคียงกันมาก คาดเดาว่าวัตถุดิบที่ใช้ในการปรุงคงจะคล้ายกัน แต่เพราะว่าเจ้าของไม่ใช่คนที่มีฐานะมากพอจะเข้าถึงวัตถุดิบทำพิษร้ายพวกนั้น หรือว่าอาจจะเป็นมือสมัครเล่นที่ปรุงมันขึ้นมา ดังนั้น... ฤทธิ์ของมันจึงอ่อนกว่ามาก แต่ข้าคิดว่าข้างกายนายท่านคงจะมีหมอมากฝีมือใช่หรือไม่ เขาจึงสะกดพิษเอาไว้ได้ เสียแต่เขาไม่รู้ว่าพิษที่ท่านได้รับคือพิษอะไร จึงขจัดพิษออกจากตัวท่านไม่หมด”

จิ้นหยางหยุดมองหน้าหวังรุ่ยเสวียน “นายท่านมาอยู่ที่นี่ กินอาหารกับแม่นางเจียวซิ่ง ทำให้ท่านต้องพิษนี้เข้าไปทีละน้อย... ทีละน้อย ท่านกินพิษอ่อนๆ และถูกกลิ่นกำยานกระตุ้นเข้าไป ดังนั้นจึงง่วงนอนบ่อยๆ พวกที่โดนผงหอมสะกดวิญญาณก็มีลักษณะคล้ายเช่นนี้แหละขอรับ ท่านเอาเตากำยานนี้ไปให้หมอคนนั้นหาทางแก้ เดี๋ยวก็ขจัดพิษในตัวได้หมดเอง”

จิ้นหยางล้วงห่อยาจีนสำหรับทำอาหารออกมา จุ๊ปากเบาๆ “นายท่านเป็นที่นิยมกว่าที่ข้าคิดอีกนะขอรับ เพียงแค่ชั่วพริบตา มีคนแอบเอายาพิษอ่อนๆ ใส่ในห่อยาจีนมารวมกับของที่ชาวบ้านให้ ใครกันนะที่เป็นคนทำ”

หวังรุ่ยเสวียนมองอีกฝ่าย รับห่อยาจีนมา สักพักจึงถาม “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามีพิษอยู่ในเครื่องปรุง ยาจีน และเตากำยาน”

จิ้นหยางทำหน้าภาคภูมิใจ “ข้าอาจจะไม่รู้เกี่ยวกับพิษทุกชนิด แต่ขอแค่ได้มองข้าก็รู้ว่าอะไรที่มีพิษบ้าง” เทพเจ้าอินเทอร์เน็ตมอบพรอันประเสริฐให้เขามีดวงตาที่มองเห็นว่าอาหารชนิดใดมีพิษ อีกทั้งยังมีความรู้เก่าในตอนที่เป็นองครักษ์ลับอีกด้วย

หวังรุ่ยเสวียนมองเขานิ่งๆ จิ้นหยางแอบหวังว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกตื้นตันใจจนปล่อยตัวเขาไป แต่หวังรุ่ยเสวียนเพียงกล่าว

“แอบเอาเตากำยานออกไป อย่าให้ใครเห็น”

เขาสั่งจบก็หมุนตัวเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว จิ้นหยางอ้าปากค้าง ชี้แผ่นหลังของอีกฝ่าย ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ หันไปหากล่องขนาดพอเหมาะเพื่อใส่ทั้งเตากำยานที่ถูกเสื้อของตนคลุมจนมิด ใส่เข้าไปในห้องครัวส่วนตัวของตนเองแล้วก้าวออกไป ครุ่นคิดอะไรบางอย่างจึงเอาชาดแดงมาถูที่ริมฝีปากและข่วนหน้าอกกับแผ่นหลังของตนจนเป็นรอยเล็บเล็กน้อย

พอหวังรุ่ยเสวียนกลับเข้าไปในห้อง เจียวซิ่งก็ปรือตาขึ้นมา หวังรุ่ยเสวียนกล่าวว่าตนมีเรื่องที่ต้องทำ วันนี้คงไม่อาจค้างด้วยได้ เจียวซิ่งพยักหน้ารับ โอบกอดเขา ชายหนุ่มลูบแผ่นหลังของนางคล้ายปลอบประโลม กระซิบบอก

“ข้าจะช่วยท่านออกไปให้ได้”

เจียวซิ่งกอดเขาแน่นขึ้น ก่อนจะหักใจปล่อยให้ชายหนุ่มจากไป ตอนหวังรุ่ยเสวียนเห็นสภาพจิ้นหยางที่เหมือนจะเพิ่งไปรบกับสตรีสักคนมาก็เลิกคิ้วสงสัย พอสตรีทั้งหลายมองมา จิ้นหยางก็แสร้งฟ้อง

“ดูสินายท่าน นางทั้งฉีกเสื้อและข่วนหลังข้าจนแสบไปหมดเลย”

หวังรุ่ยเสวียนเข้าใจในทันที มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย พอก้าวออกจากหอเหมยเฉียง รถม้าที่พาพวกเขามาก็ไม่อยู่แล้ว จิ้นหยางขมวดคิ้ว หวังรุ่ยเสวียนบอก

“ข้าบอกเขาว่าจะค้างที่นี่ และให้เงินเขาไปเที่ยว พรุ่งนี้ค่อยมารับข้า” หวังรุ่ยเสวียนบอก “เดินกลับก็ได้”

จิ้นหยางยกมือขึ้นปิดหน้า เสียใจอย่างสุดซึ้งที่ตัดสินใจเล่นละครเช่นนี้ ต้องเดินเปลือยอก ทั้งที่เนื้อตัวมีรอยเล็บและชาดแดงติด ใครเห็นก็ต้องหัวเราะเยาะอย่างแน่นอน ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดว่าควรจะทำเช่นไรดี เสื้อสีดำตัวหนึ่งก็คลุมลงมาปิดร่างของเขา เด็กหนุ่มมองเสื้อที่คลุมทับร่างของตนเอง และหวังรุ่ยเสวียนที่ผูกเชือกที่คอให้เขา แล้วหันไปพยักหน้าให้สตรีวัยกลางคนที่เอาเสื้อคลุมมาให้

เสื้อคลุมนี้มีกลิ่นของดอกสือซว่าน แสดงว่าเป็นของหวังรุ่ยเสวียนที่เก็บเอาไว้ในหอคณิกาแห่งนี้ จิ้นหยางมองคนข้างกายที่กางร่มสีดำของตนเอง ขยับมือโอบบ่าเขาเข้ามาใกล้พลางกล่าว

“กลับกันเถอะ”

จิ้นหยางมุมปากกระตุก “นายท่าน ยามนี้เย็นแล้ว ไม่มีแดดและไม่มีฝน ท่านไม่ต้องกลัวแดดร้อนกระมัง”

“ข้ากลัวของที่น่ากลัวกว่าแดดและฝน” หวังรุ่ยเสวียนตอบ

จิ้นหยางพลันคิดถึงสิ่งน่ากลัวที่อาจมาจากด้านบน หวังรุ่ยเสวียนโดนวางยาจนร่างกายเป็นเช่นนี้ ไม่แปลก หากจะมีธนูหรืออาวุธลับพุ่งลงมาเจาะศีรษะ อดีตองครักษ์ลับแย่งร่มจากอีกฝ่ายมาถือเอาไว้พร้อมกล่าว

“ข้าเป็นบ่าว ท่านเป็นนาย ดังนั้นข้าถือร่มให้ท่านดีกว่า!”

แต่เพราะความสูงของเขาและหวังรุ่ยเสวียนนั้นต่างกัน พอจิ้นหยางแย่งร่มมาถือ ศีรษะของผู้เป็นนายก็โขกกับร่มเสียงดังโป๊ก

จิ้นหยางถือร่มแล้วจึงรู้ว่ามันทำจากเหล็ก ต้องใช้กำลังภายในจึงจะถือได้อย่างมั่นคง เขามองหวังรุ่ยเสวียนที่ลูบศีรษะตัวเอง บอกเสียงเบาเจือแววสำนึกผิด

“ขออภัย เจ็บหรือไม่”

“...”

 

ตอนที่กลับมายังจวนตระกูลหวัง จิ้นหยางเห็นรถม้าแปลกหน้าจอดอยู่ในจวน เขาเดาได้ทันทีว่าในจวนเสนาบดีกรมพิธีการมีแขกมาเยือน และแขกผู้นั้นก็ไม่ยอมกลับจนกว่าจะได้เจอหวังรุ่ยเสวียน

“ไปเตรียมของหวานมาให้แขก” หวังรุ่ยเสวียนบอกจิ้นหยางเพียงสั้นๆ

จิ้นหยางลอบมองก็เห็นว่ามีสามคน ก่อนจะแยกกับหวังรุ่ยเสวียนไปที่ห้องครัว พ่อบ้านเหวินเห็นเขาก็ผงะไปครู่หนึ่ง ก่อนพึมพำออกมา

“ทำไมเจ้ายังไม่ตาย”

‘ปากหรือนั่น!’

พอเห็นสีหน้าจิ้นหยาง พ่อบ้านเหวินรู้ว่าหลุดปากพูดไม่ดีไปจึงรีบก้มหน้าก้มตา ยกน้ำชาไปให้แขกอย่างรวดเร็ว ขณะที่เด็กหนุ่มเดินเข้าไปในครัวแล้ว ไสน้ำแข็งที่มีเก็บไว้ในจวน ทำขนมออกมาสี่ถ้วย ยกไปเตรียมจะมอบให้แขก ระหว่างนั้นเขาก็ได้ยินน้ำเสียงนอบน้อม

“ขออภัยจริงๆ ใต้เท้าหวัง ลูกของข้าไม่รู้ดีชั่ว...”

ที่แท้มาเพื่อขออภัยให้บุตรชายตนเอง จิ้นหยางหรี่ตาลงเล็กน้อย สงสัยว่าคนพวกนี้คงเป็นบิดาของพวกรุ่นน้องของเขากระมัง

“ใต้เท้ากล่าวหนักไปแล้ว เพียงแค่เรื่องเล็กน้อย ข้าแทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำ” นั่นคือเสียงของหวังรุ่ยเสวียน

จิ้นหยางคิ้วกระตุก การที่องครักษ์หน่วยปราบพยัคฆ์รีดไถชาวบ้านตาดำๆ ทั้งที่จิ้นหยางจำได้แม่นยำว่าพวกเขาไม่สิทธิ์ทำเช่นนั้น นี่คือการโกงกินบ้านเมืองชัดๆ และเป็นการหมิ่นพระเกียรติของฮ่องเต้อย่างสูง เพราะเด็กพวกนั้นคือองครักษ์หน่วยพิเศษที่ขึ้นตรงต่อฮ่องเต้!

นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย!

เหมือนใต้เท้าผู้มาใหม่จะหัวเราะอย่างผ่อนคลายเมื่อหวังรุ่ยเสวียนไม่ติดใจอะไร พ่อบ้านเหวินถอนตัวออกมา เห็นจิ้นหยางก็รีบโบกมือให้เขานำของหวานไปมอบให้แขก จิ้นหยางข่มความสงสัยระคนหงุดหงิด นำของว่างมาวางให้แขกแต่ละคน และลอบจำหน้าอีกฝ่ายเอาไว้ สายตาเลื่อนไปพบเห็นหีบใส่ทองคำแท่งที่ถูกนำมาวางตรงหน้าหวังรุ่ยเสวียน เขาชะงักไปเล็กน้อย

ครั้นเห็นจิ้นหยางมีอาการแข็งค้าง หวังรุ่ยเสวียนก็กล่าว

“จิ้นหยาง ของหวานนี้คืออะไร”

จิ้นหยางได้สติ กล่าวอย่างนอบน้อม “จิ้นหยางไสน้ำแข็งเป็นเกล็ด ราดน้ำที่แช่ด้วยโม่ลี่ฮวา[5] ส่วนผสมพิเศษ และใส่เกาลัดขอรับ”

หวังรุ่ยเสวียนยิ้มน้อยๆ “ใต้เท้าทั้งหลายเชิญลองสิ ฝีมือพ่อครัวคนใหม่ของข้าไม่เลวนะ”

ใต้เท้าทั้งหลายลองตักของหวานนั้นเข้าปาก วันนี้อากาศอบอ้าว น้ำแข็งเย็นๆ ช่วยดับกระหาย น้ำกะทินี้มีความเค็ม มัน และหวานเล็กน้อย ตัดกับรสหวานจัดของเกาลัดที่คั่วอย่างดี กลิ่นของโม่ลี่ฮวาอบอวลทั่วปาก ของหวานถ้วยนี้เล็กนัก ตักเพียงสามคำก็หมดเสียแล้ว ทิ้งความสดชื่นหวานฉ่ำที่น่าอาวรณ์เอาไว้

“สมเป็นคนครัวของใต้เท้าหวัง ของหวานนี้ไม่เลวเลยจริงๆ”

“ดีกว่าที่ข้าไปกินที่เหลาสุราอื่นเสียอีก” ใต้เท้าอีกคนที่ดูเป็นผู้นำชมชอบรสหวานเอ่ยขึ้นขณะมองไปที่จิ้นหยาง “ใต้เท้าหวัง พ่อครัวของท่านมีฝีมือทีเดียว หากข้าจะขอสูตรไปถวายหม่ากุ้ยเหรินจะได้หรือไม่”

หวังรุ่ยเสวียนมองจิ้นหยาง ก่อนออกคำสั่ง “เขียนให้ใต้เท้าหม่า”

จิ้นหยางก้มหน้า ถอยออกไปอย่างรวดเร็ว ในใจเกิดความไม่ยินยอมขึ้นมา แต่สุดท้ายเขาก็ถูกพ่อบ้านเหวินพาตัวไป เขียนสูตรของว่างนี้ให้ใต้เท้าคนนั้นจนได้ เด็กหนุ่มเกิดความหมั่นไส้ แทนที่จะเขียนว่ากะทิก็บอกว่าน้ำมะพร้าว เกาลัดคั่วก็กลายเป็นเกาลัดต้ม และไม่บอกด้วยว่าต้องเติมเกลือและน้ำตาลลงไปด้วย

พอจิ้นหยางกลับเข้ามาในห้องก็ได้ยินเสียงไอแห้งๆ ของหวังรุ่ยเสวียน เหล่าใต้เท้าทั้งหลายขอตัวลา กลับไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส และทิ้งหีบใส่ทองเอาไว้

“ใต้เท้าหวังไม่ค่อยสบาย พวกข้าต้องขออภัยจริงๆ ที่มารบกวน”

ใต้เท้าคนหนึ่งพยุงหวังรุ่ยเสวียนที่ลุกขึ้นเพื่อเดินไปส่ง

“ไม่ต้องส่งหรอก ใต้เท้า”

หวังรุ่ยเสวียนยิ้มบางๆ ก่อนกล่าว “ต้องให้ผู้ใหญ่พยุงคนหนุ่มเช่นข้า ขายหน้าแล้ว ขอบคุณใต้เท้าทั้งหลาย”

พวกเขาประสานมือให้กัน ก่อนที่เหล่าใต้เท้าทั้งสามจะจากไป สีหน้าเต็มไปด้วยความโล่งอก จิ้นหยางเอากระดาษจดวิธีทำของว่างไปให้พวกเขา ใต้เท้าที่ขอสูตรไปนั้นยื่นเงินก้อนให้เขา เด็กหนุ่มรับมาก่อนมองสามคนนั้นขึ้นรถม้าแล้วจากไป

หวังรุ่ยเสวียนเดินไปยืนเคียงจิ้นหยาง “ไม่เลวใช่หรือไม่ พวกเขาแต่ละคนล้วนมีน้ำใจ”

จิ้นหยางกระตุกยิ้มบาง ‘หากเจ้าเรียก ‘สินบน’ ว่า ‘น้ำใจ’

เขายื่นเงินก้อนที่ตนได้รับมาเมื่อครู่ให้หวังรุ่ยเสวียนพร้อมกล่าว “เชิญนายท่าน”

“อะไร” หวังรุ่ยเสวียนมองเขา

“จิ้นหยางเป็นคนของนายท่าน ทุกอย่างของจิ้นหยางก็เป็นของนายท่าน ค่าสูตรการทำของว่างนี้ จิ้นหยางไม่กล้ารับเพราะมันคือของนายท่าน”

หวังรุ่ยเสวียนได้ยินคำพูดนั้นก็ยิ้มออกมา เป็นครั้งแรกที่จิ้นหยางต้องลอบขนหัวลุกด้วยรอยยิ้มของคนตรงหน้า เงินก้อนในมือถูกหวังรุ่ยเสวียนหยิบไปแล้ว นายท่านของจิ้นหยางกล่าว

“เจ้าเป็นคนฉลาด”

จิ้นหยางหลุบตาลงต่ำ “มิกล้ารับ


[1] ความมั่งคั่ง

[2] ยืนยาว

[3] หลากหลาย

[4] เพิ่มพูน

[5] ดอกมะลิ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น