4

บทที่ 4




4

 

“ข้าเป็นคนโง่ที่สุดต่างหาก ที่เผลอไปหลงชื่นชมเจ้าตอนที่อยู่ในตลาด!”

จิ้นหยางบ่นพึมพำกับตนเองพร้อมสับหมูบนเขียงอย่างรุนแรงเพื่อระบายอารมณ์ “นึกว่าเป็นตงฉิน ที่แท้ก็เป็นกังฉินนี่เอง”

คนครัวปักมีดคาเขียง ยืนเท้าสะเอวสงบอารมณ์ผิดหวังอยู่นาน คราแรกเขานึกว่าหวังรุ่ยเสวียนเป็นขุนนางที่ดีคนหนึ่ง เพราะเป็นอดีตแม่ทัพกอบกู้ต้าหลิว เขาช่วยเหลือชาวบ้านตาดำๆ จากอันธพาลตอนกลางวัน แต่พอตกเย็นกลับรับสินบนจากผู้อื่นร่วมด้วยช่วยกันปิดบังเบื้องสูง และยังมีหน้ามาออกคำสั่งให้เขายกสูตรของหวานให้ใต้เท้ากังฉินที่ไม่รู้ชื่อคนนั้นอีก... ฮึ่ย!

คนครัวนิ่งมองเนื้อหมูที่ถูกสับจนเละ สักพักก็ถอนหายใจยาว “ข้าจะไปคิดมากทำไม ในยุคนี้ไม่มีแมวที่ไม่เคยกินของคาว เหล่าขุนนางล้วนแตะต้องสินบนกันมาบ้างไม่มากก็น้อย”

จิ้นหยางดึงมีดกลับขึ้นมา ควงมันด้วยท่วงท่าน่าหวาดเสียว “อีกไม่นาน... ข้าก็จะหาทางไปจากที่นี่แล้ว”

จากคำพูดที่หลุดออกมาจากปากพ่อบ้านเหวินเมื่อตอนกลางวัน หวังรุ่ยเสวียนคงคิดจะจัดการกับจิ้นหยาง หากมองในมุมของใต้เท้าหวังผู้นั้นก็สมเหตุสมผล เพราะว่าจิ้นหยางเป็นใครมาจากไหนไม่รู้ที่ถูกฮุ่ยอ๋องส่งตัวเข้ามาในจวนของเขา หากเขามีความลับก็ต้องสังหารจิ้นหยางให้ตาย พอคิดเช่นนี้คนครัวก็คิดว่าหวังรุ่ยเสวียนคงจะรับสินบนมาเยอะมาก เลยไม่อยากให้ใครรู้ใครเห็น

คราแรกเขาคงกะจะสังหาร แต่พอดีจิ้นหยางทำตัวเป็นประโยชน์ ช่วยเหลือเขาขึ้นมาเสียก่อน หวังรุ่ยเสวียนเลยเปลี่ยนใจ พอกลับมาเด็กหนุ่มก็ดันเห็นว่าหวังรุ่ยเสวียนรับสินบนเป็นทองคำหีบเบ้อเริ่ม ดูท่าหลังจากนี้จิ้นหยางจะต้องทำตัวน่ารักว่าง่ายและเป็นบ่าวที่ดี ไม่เช่นนั้นจะโดนปิดประตูจวนเชือดทิ้งอย่างแน่นอน

“ก็ลองดูสิ หวังรุ่ยเสวียน... ว่าระหว่างอดีตแม่ทัพอย่างเจ้ากับอดีตสุดยอดองครักษ์ผู้รูปงามล้ำที่สุดในปฐพีอย่างข้า ใครจะมีฝีมือมากกว่ากัน” จิ้นหยางกล่าวอย่างหยิ่งทะนง สักพักก็ต้องชะงัก ในจวนแห่งนี้มีคนของหวังรุ่ยเสวียนอยู่มาก นี่ไม่มีทางเป็นการประมือระหว่างเขากับหวังรุ่ยเสวียนเพียงสองคน

ชาติที่แล้ว สุดยอดองครักษ์อย่างจิ้นหยางก็ตายเพราะหมาหมู่ เขามีบทเรียนให้เห็นแล้ว ย่อมรู้ว่าไม่ควรเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง ดังนั้นแผนการหลบหนีจะต้องคิดให้รอบคอบ

เริ่มจากพรุ่งนี้เลย เขาจะหาข้อมูลเกี่ยวกับคนในลั่วหยางให้มาก ในเมืองหลวงแห่งนี้มีแต่พวกพยัคฆ์ซ่อนมังกรเร้น จะต้องมีสักคนที่พาเขาออกจากลั่วหยางได้

คิดอย่างมั่นใจเสร็จก็ต้องตบหัวตัวเองสักป้าบ มันจะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร! พวกที่อยู่ในเมืองหลวงจะมีใครคอยช่วยเหลือโดยเปล่าประโยชน์ ขอพนันด้วยทองคำหนักสองหีบเลย หากเข้ามาอยู่ในวังวนนี้ ก็มีแต่ต้องเป็นเครื่องมือให้คนอื่นเขาเท่านั้น ดังนั้น... ช่วยตัวเองดีที่สุด!

หวังรุ่ยเสวียนเอ๋ยหวังรุ่ยเสวียน ต่อให้ท่านเป็นคนงามบาดใจขนาดไหน ข้าก็มิอาจอยู่เชยชมท่านได้หรอก

จิ้นหยางตัดสินใจแล้ว พรุ่งนี้จะหนีไปให้ไกล!

 

วันรุ่งขึ้นหวังรุ่ยเสวียนจะต้องเข้าราชสำนัก แม้ว่าเขาจะได้รับอนุญาตให้แต่งกายตามใจปรารถนาได้ แต่หวังรุ่ยเสวียนก็ยังสวมชุดขุนนาง เกล้าผมขึ้นไปอย่างเรียบร้อย จิ้นหยางเห็นแล้วอดกัดชายเสื้อตัวเองด้วยความขัดใจไม่ได้ เขาชอบมองหวังรุ่ยเสวียนตอนปล่อยผมสยาย ดูงดงาม เกียจคร้าน และเย้ายวนแบบนั้นมากกว่า

‘คนงามเอ๋ยคนงาม ข้าก็อยากจะอยู่ชื่นชมความงามของเจ้า แต่เจ้ามันงามอสรพิษ เพื่อชีวิตของข้า ข้าจำต้องจากเจ้าไป’

จิ้นหยางคร่ำครวญในใจ เขาอยากได้คนที่งามแบบหวังรุ่ยเสวียนเป็นเมียจริงๆ

พอหวังรุ่ยเสวียนไปราชสำนัก จิ้นหยางก็ขอพ่อบ้านเหวินออกจากจวนของใต้เท้าหวัง อ้างว่าอยากจะไปซื้อเครื่องปรุงรสที่มากับเรือสินค้าสักหน่อย พ่อบ้านเหวินถอนหายใจ จับบ่าของเขาแล้วกล่าวอย่างจริงจัง

“จิ้นหยาง เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าจวนหลังนี้ เข้าง่ายแต่ออกยาก หน้าที่ของบ่าวรับใช้นั้นคือการซื่อสัตย์ต่อนายเหนือหัว นายท่านเก็บเจ้าเอาไว้ เพราะเห็นความสามารถบางอย่าง หากทุ่มเททำงานให้เขา เขาย่อมดูแลเจ้าเป็นอย่างดี”

“ท่านพ่อบ้านพูดอะไร ข้าแค่จะไปซื้อเครื่องเทศเท่านั้นขอรับ” จิ้นหยางเอ่ยพร้อมรอยยิ้มกว้าง “วันนี้มีเรือสินค้ามาจากแผ่นดินอื่น นายท่านมีร่างกายไม่แข็งแรง การกินเครื่องเทศจะช่วยได้”

พ่อบ้านเหวินเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายก็พยักหน้ารับ “ข้าถือว่าเตือนเจ้าแล้ว สิ่งที่นายท่านหวังชิงชังที่สุดก็คือการทรยศ”

จิ้นหยางยิ้มละไม แลไม่เป็นพิษเป็นภัย แต่พอออกจากจวนของหวังรุ่ยเสวียนได้ เขาก็ตรงรี่ไปอีกเส้นทางหนึ่ง เร่งเข้าห้องน้ำในโรงเตี๊ยมที่มีคนพลุกพล่าน และเอาอุปกรณ์แต่งหน้าทาตาออกมา

องครักษ์ลับทุกคนล้วนได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้เรื่องการแปลงโฉมอย่างไร้ที่ติ การปลอมตัวพื้นฐานนั้นคือการเปลี่ยนสีผิว จิ้นหยางเคยทาหน้าดำไปแล้ว วันนี้จึงผัดแป้งให้ดูเหลืองเล็กน้อย หาอุปกรณ์มาทำเป็นหนวดเครา และตั้งใจจะแต้มไฝที่หางตาด้วย ทว่าขณะที่กำลังวาดคิ้วอยู่นั้น เสียงคุ้นเคยกลับดังขึ้น

“อย่าเจ้าค่ะ ใต้เท้า...!”

จิ้นหยางวาดคิ้วพลาด กลายเป็นลากคิ้วยาวไปจนถึงโคนผม สภาพไม่น่าดูยิ่งนัก เขารีบถุยน้ำลายลงบนผ้าเพื่อเช็ดถ่านดำที่คิ้วของตนเอง

เสียงสนทนาก็แว่วมาอีก

“แม่นางเจียวซิ่งแห่งหอเหมยเฉียงหรือ”

“แม่นางผู้นั้นเป็นคนของใต้เท้าหวังนี่ เหตุใดจึงมีคนรังแกนางได้”

“ข้าก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร อาจจะเป็นคนที่ไม่พอใจใต้เท้าหวังก็ได้”

‘ไม่เกี่ยวกับข้า ไม่เกี่ยวกับข้า ไม่เกี่ยวกับข้า’ จิ้นหยางท่องไว้ในใจ ขณะที่พยายามแต่งหน้าต่อไป ทว่าก็เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เหมือนเจียวซิ่งจะถูกลากเข้ามาในโรงเตี๊ยมที่เขากำลังหลบซ่อนตัวอยู่ เสียงเตะต่อยดังขึ้น หญิงสาวกรีดร้อง

“อย่าทำท่านป้า! ข้าขอละ อย่าทำนางเลย!”

“ยายแก่นี่มีวรยุทธ์!”

ฉุดคร่าสตรี ตบตีคนแก่ แล้วคนของทางการหายหัวไปไหนหมด!

จิ้นหยางคิ้วกระตุกระลอกแล้วระลอกเล่า ดูท่าคนที่ลงมือจะมีอำนาจมากพอสมควร เสียงโวยวายดังลั่นขนาดนี้แต่กลับไม่มีเสียงทหาร

มีเสียงล้มคว่ำของโต๊ะและเก้าอี้ เสียงกรีดร้องของสตรีและเสียงครางของคนแก่ดังขึ้น จิ้นหยางทนไม่ไหว ละมือจากการแต่งหน้าทาตา เปิดประตูออกไป พอเห็นว่ามีสตรีวัยกลางคนที่กำลังกระอักเลือด ผมสีดอกเลายุ่งเหยิง เป็นสตรีที่คอยตามรับใช้เจียวซิ่งอยู่นั่นเอง ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนสี

เจียวซิ่งถูกกระชากขึ้นไปบนชั้นสองของโรงเตี๊ยม นางไม่ยอมไปเลยพยายามเกาะทั้งเสาไม้และราวบันไดเอาไว้แน่น ชายฉกรรจ์ที่ลากนางอยู่เลยหันมาบันดาลโทสะตบเข้าที่ใบหน้างดงาม จิกเส้นผมแล้วลากนางขึ้นไป แต่เจียวซิ่งยอมให้ผมหลุดแต่ไม่ยอมขึ้นไป พลางร้อง

“ข้าปรนนิบัติคุณชายไม่ได้จริงๆ เจ้าค่ะ ข้าต้องรีบกลับไป ตะ...ใต้เท้าหวังจะมาหาข้าวันนี้!”

นางพยายามอ้างชื่อหวังรุ่ยเสวียนมาข่มขู่ให้คนพวกนั้นหยุดทำร้าย ชายฉกรรจ์ตวาดออกมาเสียงดังลั่น

“มีอันใดที่เจ้าปรนนิบัติไม่ได้! เจ้าเป็นนางคณิกา! หากพวกข้าจ่ายเงินแล้วไม่ว่าจะสั่งให้เจ้าไปปรนนิบัติคนเทกระโถนหรือว่าคนเลี้ยงม้า! เจ้าก็ต้องทำ!”

“คะ...คุณหนู...” สตรีวัยกลางคนครางเสียงสั่น พยายามคลานไปทางเจียวซิ่ง แต่ถูกชายคนหนึ่งเหยียบร่างเอาไว้

“ยายแก่นี่ยังไม่สิ้นฤทธิ์!”

ขณะที่ทุกคนกำลังตกใจและนิ่งอึ้งกับความรุนแรงที่เห็น ชายฉกรรจ์ที่ดูทรงว่าจะเป็นพวกเดียวกับคนพวกนั้น ซึ่งอยู่ในโรงเตี๊ยมก็ตะคอกใส่แขก หรือแม้แต่เสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี๊ยมนั้น

“ออกไป! ออกไปให้หมด!”

ทุกคนรู้ว่าจะต้องเป็นเรื่องระหว่างขุนนางแน่ จึงรีบออกจากร้านตามเสียงตะคอกนั่น สร้างความฮึกเหิมให้เหล่าชายฉกรรจ์พวกนั้นยิ่งนัก จิ้นหยางเผลอกำหมัดแน่น เพราะเขาตัวเล็กและอยู่ในมุมอับสายตา จึงไม่เป็นจุดสังเกต

เหมือนว่าคนที่ลากเจียวซิ่งจะหมดความอดทนกับนาง จึงได้ถีบนางตกลงบันได ในตอนนั้นห้องชั้นบนมีเสียงเปิดประตู

จิ้นหยางเงยหน้าขึ้นไป ก็เห็นว่าเป็นองครักษ์หน่วยปราบพยัคฆ์ที่วันนั้นมีเรื่องกับหวังรุ่ยเสวียนนี่เอง เขาแทบกระอักเลือด พวกเจ้าทำให้หน่วยปราบพยัคฆ์เสื่อมเสียชื่อเสียง!

“นี่หรือเจียวซิ่งแห่งหอเหมยเฉียง” ชายหนุ่มคนหนึ่งเอ่ย เดินลงมาแล้วจับคางเจียวซิ่งให้เงยหน้าขึ้น

“หม่าเจา ข้าว่าเราพอแค่นี้เถอะ หวังรุ่ยเสวียนรักใคร่นางอย่างกับอะไร บิดาของข้าบอกว่า...” เด็กหนุ่มที่อยู่ด้านหลังเอ่ยเสียงเบา

หม่าเจาหันไปถลึงตาใส่อีกฝ่าย “เจ้าจะกลัวอะไรกับแค่เจ้าคนอัปลักษณ์นั่น!...”

จิ้นหยางคิดในใจ ‘ไม่ เขารูปงามกว่าเจ้าเยอะ!’

หม่าเจากล่าวต่อ “...เจ้าไม่แค้นหรือ ที่เขาทำให้พวกเราต้องออกจากหน่วยปราบพยัคฆ์ ซ้ำยังโดนบิดาสั่งลงโทษ อีกอย่าง... นางก็เป็นแค่นางคณิกาเท่านั้น ท่านพ่อข้าบอกว่าถึงหวังรุ่ยเสวียนจะเป็นที่โปรดปราน แต่เขาเป็นคนโลภมาก ยัดเงินให้เขา เขาก็ไม่ทำอะไรแล้ว!”

“ถูกต้อง!” คุณชายอีกคนหนึ่งกล่าวรับเป็นลูกคู่ “เจ้าไม่โกรธหรือที่ตนถูกบิดาตัดเบี้ยเลี้ยง! พี่หม่าทำถูกแล้ว! หวังรุ่ยเสวียนคนนั้นรังแกพวกเรา ทั้งยังเอาเงินของท่านพ่อไปอีก! พวกเราจะต้องได้มากกว่าเสีย!”

คำพูดนี้จิ้นหยางแอบพยักหน้า หนึ่งพอใจที่สามคนนี้ออกจากหน่วยของตน สองคือเห็นด้วยที่หวังรุ่ยเสวียนคนนั้นโลภมาก คนงามผู้นั้น แม้แต่ก้อนเงินของเขายังเอาไป ฮึ!

“คุณชาย ได้โปรดเถิดเจ้าค่ะ ข้าไม่... ข้าไม่...” เจียวซิ่งเร่งร้องอ้อนวอน พร้อมส่ายหน้าทั้งน้ำตา

หม่าเจาตวัดมือตบใบหน้านางอย่างแรง “ไม่อะไร! เหตุใดกับเจ้าอัปลักษณ์นั่น เจ้าจึงเต็มใจปรนนิบัติมันทุกวัน! วันนี้กลับปฏิเสธข้า! เด็กๆ กระชากเสื้อผ้าของนางออก!”

“เดรัจฉาน!” จิ้นหยางอุทานเบาๆ

เจียวซิ่งถูกลากไปที่กลางห้อง ถูกชายฉกรรจ์หลายคนรุมล้อม กระชากเสื้อผ้าออกจากร่างของนาง พริบตาเดียวทรวงอกขาวราวกับหิมะก็เปิดเปลือย เห็นประกายตาของลูกน้อง หม่าเจาหัวเราะก่อนบอก

“ในเมื่อนางไม่ยอมปรนนิบัติข้า เช่นนั้นก็ยกให้พวกเจ้าแล้วกัน”

“ขอบคุณคุณชาย!” ชายฉกรรจ์ทั้งหลายหันมาประสานมือรับ

เจียวซิ่งเป็นสาวงามที่มีค่าตัวสูงยิ่งนัก แม้จะเป็นนางคณิกา แต่ก็เทียบได้กับดอกฟ้า หากเปรียบกับองครักษ์พวกนี้ เห็นชายฉกรรจ์มีดวงตาดุจสัตว์ร้ายกรูเข้ามา สองคนยึดร่างของนางเอาไว้ พร้อมพยายามกระชากกระโปรงที่อยู่ด้านล่าง เจียวซิ่งก็กรีดร้องเสียงดัง

มีดปังตอเล่มหนึ่งพุ่งเข้าไปปักกลางหน้าผากของหนึ่งในชายฉกรรจ์ ที่กำลังนวดเฟ้นทรวงอกของสาวงามอย่างหื่นกระหาย ทำเอาทุกอย่างหยุดชะงัก รอยยิ้มของคุณชายทั้งสามก็แข็งค้าง

เจียวซิ่งและสตรีวัยกลางคนที่บาดเจ็บหนักทอดสายตามองไปทางคนกระทำ ต้องเพ่งสักหน่อยจึงจะแยกแยะออกว่าชายหน้าเหลืองคนนั้นเป็นใคร ขณะที่จิ้นหยางกลอกตา ช่วยคนงามของหวังรุ่ยเสวียนก่อนจากไป หวังรุ่ยเสวียนอาจจะถือเป็นบุญคุณไม่ตามจับตัวเขากลับมาก็ได้ เขาคิดเข้าข้างตัวเองเพื่อจะได้ทำอย่างที่ใจต้องการ

“เจ้า!” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งเห็นสหายถูกสังหารต่อหน้า จึงพุ่งตรงเข้าไปพร้อมดาบในมือ

จิ้นหยางมองประเมินเขาแวบหนึ่ง คนพวกนี้มีวรยุทธ์ระดับกลาง ทว่าองครักษ์เทียบกับอดีตองครักษ์ลับหน่วยปราบพยัคฆ์ที่ถูกฝึกมาอย่างเข้มงวดแล้วเป็นอะไรได้ ถึงเขาจะเคยห่างจากการฝึกมานานสิบห้าปีก็ตาม

ชายฉกรรจ์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าดาบหายไปจากมือเมื่อไร เขารู้สึกเจ็บที่ช่วงเอวที่ถูกตัดจนขาด เลือดสีแดงสาดกระจายเต็มพื้น ภาพนั้นทำให้เหล่าคนมองหน้าเปลี่ยนสี จิ้นหยางยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดเลือดที่ข้างแก้ม เขาเดาะนิ้วที่คมดาบ

“ที่จริงข้าเก่งการเลาะกระดูก แต่ถ้าพวกเจ้าอยากให้ข้าตัดกระดูกก็ไม่เสียหาย...” จิ้นหยางตวัดสายตามองใบหน้าแต่ละคนแล้วแย้มรอยยิ้ม “เอาละ จะเริ่มจากผู้ใดก่อนดี”

ชายฉกรรจ์นี้มีประมาณยี่สิบคนเห็นจะได้ พวกเขาส่งสายตากัน ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปในหาเด็กหนุ่มคนนั้น

ดาบใหญ่ของคนที่เข้ามาใกล้ถูกจิ้นหยางใช้มือซ้ายแย่งมา จากนั้นศีรษะของศัตรูสามคนก็กระเด็นหลุดจากบ่า

ในหมู่ขององครักษ์ลับหน่วยปราบพยัคฆ์ จิ้นหยางนั้นนับได้ว่ามีความว่องไวและความแข็งแกร่งเป็นเลิศ ถึงแม้จะห่าจากงการฝึกไปสิบห้าปี กว่าจะได้ย้ายวิญญาณมาอยู่ในร่างใหม่ แต่พอได้ร่างใหม่แล้ว จิ้นหยางก็ไม่เคยละเลยการฝึกฝน ถึงปัจจุบันความเร็วและความแข็งแกร่งของเขาอาจจะด้อยกว่าร่างเก่าที่แข็งแกร่งกว่านี้ไปบ้าง แต่ก็ถือว่ามีวรยุทธ์เหนือชั้นกว่าคนพวกนี้

เหล่าชายฉกรรจ์เป็นคนที่ถูกจ้างวานมาเพื่อคอยดูแลคุณชายน้อย ความสามารถนั้นมีไม่มาก อาศัยใช้พวกมากเข้าทำการใหญ่ และเมื่อมีเจ้านายเป็นคนใหญ่คนโต ผู้อื่นจึงไม่กล้าสู้ พวกเขากินดีอยู่ดี ละเลยการฝึกวรยุทธ์ พอเห็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหน่วยของตนถูกตัดเป็นชิ้นๆ เหล่าคนอ่อนแอก็แหกปาก

“ไม่เอาแล้ว! ข้าไม่เอาแล้ว!”

ชายฉกรรจ์บางคนวิ่งไปที่ประตู ขยับมืออย่างลนลาน หมายจะยกดาลไม้ขึ้นเพื่อเปิดประตู ทว่าในตอนนั้นดาบใหญ่เล่มหนึ่งพุ่งมาเสียบที่ไม้ดาลประตู ผนึกพวกตนเอาไว้ด้านใน จิ้นหยางเหลือดาบเดียวในมือ ก่อนฟันร่างของชายคนหนึ่งลงไปกองกับพื้นแล้วกล่าว

“อย่าเพิ่งไปสิ สนุกกับข้าก่อน ข้าไม่ได้ฆ่าคนจนสะใจมานานแล้ว”

“อย่าเข้ามานะ!” เมื่อเห็นว่าพวกตนไม่มีทางสู้ คนผู้หนึ่งก็คว้าตัวของเจียวซิ่งเอาไว้ พร้อมพาดดาบที่คอของนาง “หากเจ้าเข้ามา ข้าจะ...!”

ดาบในมือของจิ้นหยางพุ่งไปแทงทะลุศีรษะของอีกฝ่ายอย่างไร้ซึ่งความลังเล เจียวซิ่งกรีดร้องเสียงดัง และสลบล้มพับไป จิ้นหยางถอดเสื้อคลุมตนออก เดินไปเอาเสื้อห่อกายของนาง แล้วอุ้มมาให้สตรีวัยกลางคนที่มองเขาอย่างตกตะลึง

“ดูแลนางให้ดี”

จิ้นหยางหันไปมองคุณชายที่เหลือเพียงสามคน แต่ละคนแม้จะมีวรยุทธ์ แต่ก็เรียนเอาไว้เพื่อข่มเหงรังแกผู้อื่น งานหนักล้วนให้ลูกน้องจัดการ เห็นคนตายมากมายต่อหน้า ดวงตาก็ฉายแววหวาดผวา บางคนถึงกับทรุดฮวบลงกับพื้น ถ่ายเบาออกมาด้วยความตกใจ

“หม่าเจา” จิ้นหยางเดินไปยังคุณชายหม่าเป็นคนแรก อีกฝ่ายเห็นเขาเดินเข้ามาก็ถอยหลัง สะดุดเท้าตนเองจนล้มลง แล้วคลานหนีพลางร้องเหมือนคนบ้า

“อย่าเข้ามา! อย่าเข้ามา! อย่าเข้ามา!”

“หุบปาก!” จิ้นหยางตวาด ละเลยอีกสองคน ไปลากชายหนุ่มที่พยายามหลบหนี จิกเส้นผมอีกฝ่ายแล้วลากไปหาพวกเจียวซิ่ง “ข้าจะสอนเจ้าในฐานะรุ่นพี่ องครักษ์มีเกียรติและศักดิ์ศรี ผู้แข็งแกร่งไม่รังแกผู้อ่อนแอ บุรุษไม่รังแกสตรีที่ไร้ทางสู้ และยิ่งไม่ทำร้ายคนชรา อือ... มีอะไรอีกนะ อ้อ องครักษ์หน่วยปราบพยัคฆ์องอาจห้าวหาญ ไม่ใช้พวกมากรังแกพวกน้อย และเป็นหน่วยที่มีฝีมือแข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดิน”

“...เจ้าทำเช่นนี้ไม่ได้! เจ้ารู้หรือไม่ว่าบิดาของข้านั้นคือใคร!” หม่าเจาร้องไห้

“รู้สิ เมื่อวานข้ายังเจอบิดาของเจ้าอยู่เลย” จิ้นหยางหัวเราะ โยนเขาไปตรงหน้าพวกเจียวซิ่ง “แล้วบิดาของเจ้าอยู่ไหนหรือ หากตอนนี้ข้าตัดมือ ตัดลิ้น ควักลูกตา เฉือนไอ้นั่นของเจ้า อ๊า...” เด็กหนุ่มยิ้มเหมือนกำลังเล่นสนุก “บิดาของเจ้าจะมาช่วยเจ้าหรือไม่”

หม่าเจาหน้าเปลี่ยนสี ส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปที่คนอื่น ทว่าคนของตนล้วนหวาดกลัวจนขี้ขึ้นสมองทั้งสิ้น อยากช่วยชีวิตตนเองมากกว่าช่วยเขา

จิ้นหยางหันไปกวักมือเรียกกลุ่มคนที่ต้องการเปิดประตูเมื่อครู่ “มานี่ ข้ามีหนทางรอดให้พวกเจ้า ไม่ทำอะไรพวกเจ้าหรอก”

เป็นที่น่าขบขันยิ่งนัก เพราะชายฉกรรจ์ที่ตัวสูงใหญ่กว่าจิ้นหยางล้วนกำลังตัวสั่นเทา ไม่กล้าแม้แต่จะขยับกาย จนกระทั่งใบหน้าของจิ้นหยางเปลี่ยนสี คว้าดาบอีกเล่มหนึ่งพุ่งไปเสียบคอหอยคนหนึ่งแล้วตวาดดุ

“ข้าบอกให้พวกเจ้ามานี่ ไม่ได้ยินหรือ!”

ครั้นเห็นสหายตายตกต่อหน้าไปอีกคน ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่อีกคนหนึ่งตกใจแต่ยังพอครองสติได้ เร่งเดินมาหาจิ้นหยางพร้อมโขกศีรษะให้

“ท่านจอมยุทธ์เมตตาด้วย! ท่านจอมยุทธ์เมตตาด้วย! ขะ...ข้าแค่ทำตามคำสั่งพวกเขาเท่านั้น! ไม่ได้... ไม่ได้...”

จิ้นหยางตะปบไหล่หนาของอีกฝ่ายโดยเร็ว วรยุทธ์ที่แทรกลงไปสะบั้นเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อจนอีกฝ่ายร้องโหยหวน ใบหน้าของเด็กหนุ่มคล้ายมีน้ำแข็งปกคลุม

“ไม่ต้องโกหก ข้าไม่ได้หูหนวกตาบอด เจ้าเก่งรังแกคนอ่อนแอนักใช่หรือไม่ มา! ข้าจะให้เจ้าทำ...” เขายัดดาบเล่มหนึ่งใส่มืออีกฝ่าย และจับชายคนนั้นหันไปทางหม่าเจา “หากทำถูกใจ ข้าจะปล่อยเจ้าไป”

หม่าเจาส่ายหน้า “อย่านะ พะ...พ่อของข้าจะต้องรู้ว่าเจ้าทำ!”

“จะรู้ได้อย่างไร เขาคือหนึ่งในองครักษ์ หากเรื่องราวเป็นเช่นนี้เล่า” จิ้นหยางยิ้ม “เขาผู้นี้ต่อสู้สังหารพวกพ้องเพื่อปกป้องนายเหนือหัว ทว่าน่าเสียดาย... เขาไม่สามารถปกป้องเจ้าโดยสมบูรณ์ได้ เจ้าเจอเรื่องหนักหนา หวาดกลัวจนสติไม่ดี อือ... ข้าว่าบิดาของเจ้าจะต้องชมเชยพร้อมให้รางวัลแก่เขาแน่ ขอเพียงแค่ทำให้เจ้าขาดสติ หวาดกลัวจนพูดอะไรไม่ได้เท่านั้น”

จิ้นหยางกระซิบบอกชายฉกรรจ์อีก “ขอแค่ทำให้เขาขาดสติ หวาดกลัวจนพูดอะไรไม่ได้เท่านั้น เจ้าย่อมไม่เป็นอันตราย”

คำพูดนั้นราวกับสะกดจิตคนที่หวาดกลัวความตายอย่างถึงที่สุด ดวงตาของชายฉกรรจ์ที่เหลือเพียงคนเดียวกลอกไปมา ใช่แล้ว หากคุณชายทั้งสามเพียงแค่เสียสติ เขาก็ไม่ต้องตาย...

“ยะ...อย่านะ เจ้าอยากได้อะไรข้าให้หมดเลย! ข้าไม่ทำอะไรพวกนางแล้วก็ได้! อยากได้อะไร เจ้าบอกข้าสิ!” หม่าเจาร้องเสียงหลง โหยหวนปานจะถูกทำร้าย

จิ้นหยางยิ้ม “เห็นหรือไม่ การข่มขู่เขาได้ผล อย่างแทงเขาเบาๆ แล้วบอกไม่ให้เขาบอกใคร”

ชายฉกรรจ์ตัวสั่นสะท้าน พอถูกจิ้นหยางผลักก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว “เจ้าจะไม่บอกใคร”

“ไม่บอก! ไม่บอก! อย่าทำข้าเลย!” หม่าเจาคลานถอยหลัง สหายทั้งสองของเขาเห็นเขาคลานมาทางตัวเอง ก็รีบจะวิ่งหนีขึ้นบันได แต่จิ้งหยางขว้างดาบไปปักตรงหน้าพวกเขา ส่งผลให้ทั้งสองชะงัก สะดุดล้มแล้วกลิ้งตกลงมา

“แทงทีละคน ค่อยๆ เฉือนจนกว่าจะเสียสติ” จิ้นหยางเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม

ชายฉกรรจ์ถือดาบตรงไปที่หม่าเจาคนแรก ตอนนั้นกลิ่นอุจจาระก็ลอยมาเตะจมูก หม่าเจาถึงกับเผลอถ่ายหนักด้วยความกลัว

ปัง!

บานประตูถูกกระแทกให้เปิดออก ทหารของทางการพุ่งตัวเข้ามา คนที่ดูท่าจะเป็นหัวหน้าตวาดลั่น

“หยุดนะ!”

หม่าเจาได้สติ หันไปร้องโหยหวน “ท่านผู้ตรวจการ ช่วยข้าด้วย!”

กล้ามเนื้อบนหน้าของจิ้นหยางกระตุกอย่างแรง ตอนคนดีถูกรังแกละไม่โผล่หัวมา พอเขาจะทำร้ายคนชั่วผดุงความเป็นธรรมกลับเสนอหน้า สมแล้วที่เป็นคนของทางการ!

จิ้นหยางก่นด่าระบบทางการในใจ หันมาก่นด่าตัวเองที่ไม่เชือดทุกคนทิ้งให้เร็วกว่านี้ เหล่าหน่วยลาดตระเวนพอเห็นสภาพอาบไปด้วยเลือดของห้องนั้นก็ถึงกับตะลึง จิ้นหยางเลยฉวยโอกาสเคลื่อนไหวในพริบตา หนีออกไปด้านหลังโรงเตี๊ยม สตรีวัยกลางคนหันไปเห็นเช่นนั้นก็ขยับปากอยากจะเอ่ยอะไร

วิชาตัวเบาล้ำเลิศยิ่งนัก!

เหล่าทหารลาดตระเวนเห็นเช่นนั้นก็ถึงกับตะลึงพรึงเพริด

“มาช่วยข้าเร็ว!” หม่าเจาร้องโวยวายขึ้นมา ทหารจึงได้สติ เร่งไปประคองเขากับคุณชายอีกสองคน

จิ้นหยางกำลังพุ่งตัวไปตามแนวหลังคาอย่างแผ่วเบา และรวดเร็วดุจแมวป่าตัวหนึ่ง ในตอนนั้นกลับมีธนูดอกหนึ่งพุ่งเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว อดีตองครักษ์ลับยั้งเท้า คว้าเอาลูกธนูนั้นก่อนที่มันจะแทงเข้าที่หน้าอกของตน ตวัดสายตาไปมองคนลงมือ

หน่วยองครักษ์ปราบพยัคฆ์!

จิ้นหยางนิ่งค้างเหมือนต้องสาป เมื่อเห็นคนที่มานำกองกำลังมาดักรอเขาที่หลังคา “พี่กู้”

ชายหนุ่มรูปร่างสูงสง่างาม ดวงตาคมกล้าดุจพญาเหยี่ยว เขาคือหนึ่งในสามองครักษ์ปราบพยัคฆ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในอดีต... หลิวกู้

“โจรชั่ว! ยอมมอบตัวเสียดีๆ แล้วพวกข้าจะปรานี!”

จิ้นหยางมุมปากกระตุกไม่หยุด ในอดีตหน่วยปราบพยัคฆ์มีสามผู้ยิ่งใหญ่ ถูกจัดอันดับว่าแข็งแกร่งที่สุดในหน่วยองครักษ์ลับ จิ้นหยางคือที่สอง หลิวกู้คือที่สาม... พวกเขาเคยคุกเข่าสาบานต่อฟ้าดินว่า จะทำให้หน่วยองครักษ์ลับกลายเป็นเงาพยัคฆ์ ยิ่งใหญ่เกรียงไกรไม่สนใจชื่อเสียง

หลิวกู้เป็นหนึ่งในพี่ชายร่วมสาบานของเขา

จิ้นหยางยกมือขึ้นพร้อมคุกเข่าลง ในอดีตเขาอาจจะชนะหลิวกู้ ทว่าเขาตายไปสิบห้าปีก่อนจะได้ร่างใหม่ ไม่เคยทำอย่างอื่นนอกจากอาหาร ฝีมือย่อมถดถอย ขณะที่หลิวกู้มีเวลาฝึกฝนฝีมือเพิ่มขึ้นสิบห้าปี พี่ชายคนนี้จะต้องแข็งแกร่งกว่าเก่าจนเขาทาบไม่ติดอย่างแน่นอน

องครักษ์หน่วยปราบพยัคฆ์พริบตาเดียวก็มาจับกุมตัวจิ้นหยางเอาไว้ หลิวกู้เคลื่อนกายมายืนใกล้ๆ ครั้นจิ้นหยางเงยหน้าขึ้น ก็เห็นอีกฝ่ายยืนท่ามกลางแสงตะวัน หลิวกู้ถามเสียงเครียด

“วรยุทธ์ของเจ้า ไปฝึกมาจากที่ไหน”

จิ้นหยางเหยียดยิ้มให้อีกฝ่าย “หน่วยองครักษ์ปราบพยัคฆ์ตกต่ำลงถึงเพียงนี้แล้วหรือ อดีตลูกน้องของเจ้าฉุดคร่าสตรี ตบตีคนชรา รีดไถชาวบ้าน พอพวกเราสังหารเพื่อป้องกันตัว เจ้าก็ปกป้องพวกเขา คุณธรรมของพวกเจ้าถูกสุนัขกินไปแล้วหรือ”

ใบหน้าของหลิวกู้กระตุก พริบตาเดียวก็ตวัดขาเตะที่ท้องของจิ้นหยาง เด็กหนุ่มเตรียมรับการกระแทกอยู่แล้ว ความจริงเขาไม่ควรเจ็บมาก น่าเสียดายที่วรยุทธ์หลิวกู้นั้นดีขึ้นมาก แม้จะใช้วรยุทธ์ของตนป้องกัน แต่จิ้นหยางก็ถึงกับกระอักเลือดออกมา

“เอาตัวไป” หลิวกู้กล่าว

จิ้นหยางถ่มเลือดที่อยู่ในปากออก ร่างปวกเปียกเพราะความเจ็บปวดถูกหิ้วไป อดลอบชมอีกฝ่ายในใจไม่ได้ สิบห้าปีนี้ไม่สูญเปล่า ดูท่าวรยุทธ์ของหลิวกู้จะเหนือกว่าเขาแล้วกระมัง โชคดีแล้วที่ตัดสินใจไม่ปะทะ

 

จิ้นหยางนั่งเดินลมปราณอยู่ในคุกรอเวลาประหารในอีกสามวันข้างหน้า ใช่แล้ว เขาถูกจับขึ้นศาลเมื่อครู่ พวกหม่าเจาถึงกับด่ากราดเขากลางศาล มีใต้เท้าที่เคยพบหน้าผ่านๆ ที่จวนของหวังรุ่ยเสวียนมาเป็นกำลังใจ และชาวบ้านทั้งหลายก็สามัคคีกันบอกว่าพวกหม่าเจามิได้ฉุดคร่าหญิงงาม

คนเดียวที่ยืนกรานให้เขาก็คือเจียวซิ่ง จิ้นหยางแอบดีใจที่นางฉลาดพอจะไม่พูดชื่อของจิ้นหยางออกมา พูดแต่ว่าน้องชายท่านนี้มาช่วยเหลือ แต่ชาวบ้านธรรมดานั้นไม่อาจงัดข้อกับอำนาจของขุนนางฉันใด คำพูดของนางคณิกาก็ยิ่งไม่มีน้ำหนักฉันนั้น ยิ่งใต้เท้าผู้ตัดสินคดีความยิ่งแล้วใหญ่ ฮึ! เขาประจบเอาใจคุณชายทั้งสามกับใต้เท้าพวกนั้นอย่างออกนอกหน้า ถึงกับสั่งตบปากสั่งสอนเจียวซิ่งที่เอ่ยเพื่อจิ้นหยางด้วย

ฮึ่ม หากหลิวกู้ไม่มาฟังคำตัดสินด้วยแล้ว จิ้นหยางก็คงจะเผาศาลแห่งนี้ให้วอดวาย แต่เพราะหลิวกู้มายืนทำหน้าทะมึนอยู่ จิ้นหยางเลยได้แต่ชูนิ้วกลางให้พวกเขา

หลังจากคิดว่าร่างกายกลับมาดีกว่าเดิมแล้ว จิ้นหยางจึงนั่งนับก้อนเงินที่ได้จากพี่น้องในคุก คนคุกที่อยู่มาก่อนหน้าจิ้นหยางพวกนี้รับเงินมาจากพวกคุณชายทั้งสามนั้นอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ให้จัดการทำอะไรก็ได้ให้จิ้นหยางตกนรกทั้งเป็นในคุก และบังเอิญว่าเจ้าคนคุกพวกนี้ดันไม่แบ่งแยกชายหญิง มาถึงก็จับก้นจิ้นหยาง คนครัวเลยต้องฝืนออกแรงกำราบเพื่อนร่วมห้องขังนิดหน่อย จากนั้นก็รีดไถค่าเสียหายอย่างละม่อม เขาไม่ได้ฆ่าคนคุกพวกนี้ เพราะอีกเดี๋ยวก็จะทำการแหกคุก จะต้องให้คนพวกนี้วิ่งหนีกระจัดกระจายออกไป ล่อสายตาของพวกองครักษ์หน่วยปราบพยัคฆ์ด้วย

เพราะจิ้นหยางโมโหที่หลิวกู้กลับกลายเป็นคนเช่นนั้น เขาเลยลงมือหนักไปหน่อย ตอนนี้พวกคนคุกเอาแต่กุมใบหน้าบอบช้ำ แขน และขาที่หัก ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะมองจิ้นหยางเลย

“นี่...” จิ้นหยางส่งเสียง “รู้หรือไม่ว่าทำไมองครักษ์หน่วยปราบพยัคฆ์ถึงได้มาทำคดีนี้” ไอ้หน่วยงานเก่าของเขาควรมีไว้เพื่อจัดการกับพวกขุนนางไม่ใช่หรือ เหตุใดมาช่วยเหล่าขุนนางรังแกชาวบ้านเช่นนี้

เหล่าคนคุกอึกอัก พอจิ้นหยางถลึงตาใส่จึงรีบตอบ

“หน่วยองครักษ์ปราบพยัคฆ์จะมีส่วนกับทุกคดีที่มีขุนนางเกี่ยวข้องขอรับ”

“ลูกพี่มาจากต่างเมืองก็เลยไม่รู้ใช่หรือไม่ องครักษ์หน่วยปราบพยัคฆ์นั้นมีอยู่สองหน่วย หนึ่งคือหน่วยจับกุม ส่วนอีกหน่วยคือหน่วยลาดตระเวน”

หน่วยลาดตระเวนคือหน่วยที่เดินไปทั่วเมืองเพื่อดูความเรียบร้อย เห็นความอยุติธรรมที่ไหนก็จัดการทันที แต่หน่วยจับกุมนั้นจะเคลื่อนไหวทำตามคำสั่งของเบื้องบน หรือก็คือขุนนางขั้นสองขึ้นไป ตลอดจนฮ่องเต้ และเชื้อพระวงศ์ ตอนนี้หน่วยองครักษ์ปราบพยัคฆ์ก็อยู่ใต้การปกครองของขุนนางคนหนึ่ง

จิ้นหยางได้ยินเช่นนั้นแล้วอยากจะหัวเราะขมขื่น “ดี! ดี! ดีเหลือเกิน! ผ่านมาสิบห้าปี เจ้าพวกนั้นกลายเป็นสุนัขรับใช้ไปเสียแล้ว!”

ในยุคที่ไม่มีขุนนางคนไหนไม่รับสินบน องครักษ์หน่วยปราบพยัคฆ์ต้องรับคำสั่งขุนนางเช่นนี้ ไม่เท่ากับเอาตัวไปรับใช้คนชั่วหรืออย่างไร ถึงแม้คติที่หน่วยของเขายึดถือก็คือ ‘ผิดถูกอยู่ที่นาย’ แต่ก็ใช่ว่าหลิวกู้จะไร้หัวคิด จิ้นหยางอัดอั้นตันใจจนอยากกระอักเลือดออกมาอีกคำ!

ขณะที่จิ้นหยางหันไปเกากำแพงด้วยความหงุดหงิด ไฟของคุกแห่งนั้นก็ดับมอดไป วูบเดียวเท่านั้น คนครัวรู้สึกถึงการมาของใครบางคน เขาหันไปมองก่อนจะสบกับดวงตาเรืองรองในความมืดเหมือนเสือร้าย

จิ้นหยางหยุดอาการกราดเกรี้ยวของตนทันที ลงไปนั่งพับเพียบเรียบร้อยพร้อมยิ้มประจบ “นายท่าน...”

หวังรุ่ยเสวียนในตอนนี้น่ากลัวยิ่งนัก เขากับพ่อบ้านเหวินจับกุมคนมาสามคน ตัวหวังรุ่ยเสวียนนั้นเหมือนคนอ่อนแอไม่มีแรงแม้แต่จะกินข้าวต้ม แต่ตอนนี้มือหนึ่งหิ้วคอชายหนุ่มคนหนึ่ง อีกมือก็ลากคอชายอีกคน เห็นชัดว่าร่างสูงโปร่งนั้นแฝงไว้ด้วยกำลังกายและวรยุทธ์มหาศาล

“เปิดประตู”

น้ำเสียงของหวังรุ่ยเสวียนยังคงทุ้มนุ่มชวนให้จิ้นหยางใจสั่น... สั่นในที่นี้หมายถึงสั่นกลัว จิ้นหยางเหงื่อแตกพลั่กๆ หรือว่าชายหนุ่มจะมาสังหารเขาปิดปาก ไม่ให้เขาพูดออกไปว่าใต้เท้าหวังเคยรับสินบนหรือว่ามีวรยุทธ์

จิ้นหยางคิดไปมากมาย แต่พอเห็นชายหนุ่มที่หวังรุ่ยเสวียนลากมาด้วย เขาก็ชะงัก นั่นคือลูกของใต้เท้าทั้งสามอยู่ในชุดซอมซ่อเหมือนนักโทษ คนครัวอ้าปากค้างเมื่อพ่อบ้านเหวินเปิดประตู หวังรุ่ยเสวียนก็โยนพวกเขาเข้ามาในกรงขัง จากนั้นจึงเดินเข้ามาด้วย

ชายหนุ่มทั้งสามถูกมัดปากเอาไว้ แล้วถูกหิ้วมาเหมือนลูกสุนัขตัวหนึ่ง จิ้นหยางมองให้ดีก็เห็นว่าพวกเขาดูอ่อนโรยแรงผิดปกติ หวังรุ่ยเสวียนยืนตระหง่านในความมืด ทั้งน่ากลัวและน่าขนลุกจนจิ้นหยางแอบขยับตัวหนีเขา

“จิ้นหยาง” หวังรุ่ยเสวียนเอ่ยเสียงนุ่ม “พูดมาว่าเจ้าพวกนี้ทำอะไรเจียวซิ่งบ้าง”

จิ้นหยางก้มหน้าต่ำอย่างนอบน้อม “เรียนนายท่าน คุณชายหม่าสั่งให้ชายฉกรรจ์รวมยี่สิบคนไปฉุดกระชากแม่นางเจียวเข้าไปในโรงเตี๊ยม จากนั้นพวกเขาก็ตบตีนาง...”

เด็กหนุ่มลอบมองสีหน้าของคนทั้งสาม ด้วยความโมโหที่มีอยู่แต่เดิม จึงตั้งใจรายงานเรื่องการกระทำของคนพวกนี้ละเอียดเสียยิ่งกว่าสาธยายเรื่องอาหารที่ตนทำเสียอีก ใบหน้าของหวังรุ่ยเสวียนเยือกเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งตอนที่จิ้นหยางเล่าว่าหม่าเจาเป็นผู้สั่งให้ฉีกเสื้อผ้าของเจียวซิ่ง และให้ชายฉกรรจ์ทั้งหลายรุมย่ำยีนาง โชคยังดีที่เขาอยู่ตรงนั้น พวกคนพาลเลยไม่ได้แตะต้องนางไปมากกว่านวดเฟ้นทรวงอก

“เหตุใดเจ้าจึงไปอยู่ที่โรงเตี๊ยมนั้น” หวังรุ่ยเสวียนถามพลางเหลือบตามองจิ้นหยางที่ก้มหน้างุด

“ได้ยินเสียงร้องคุ้นเคย ได้ยินชื่อของคนรู้จักผ่านปากของชาวบ้าน จิ้นหยางย่อมตามไป...” เขาโขกศีรษะหนึ่งที “...จิ้นหยางมิได้กลับจวน ขอให้นายท่านลงโทษด้วย”

หวังรุ่ยเสวียนหัวเราะเยือกเย็นขึ้นมาเสียงหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำไมจิ้นหยางถึงตัวสั่นและเหงื่อแตกพลั่กขึ้นมาได้ ใต้เท้าหวังกล่าวอย่างอ่อนใจด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“หยางหยาง ข้าจะทำเช่นไรกับเจ้าดี”

“ให้อภัยทุกความผิดพลาด และดูแลจิ้นหยางเป็นอย่างดี เมตตารักใคร่หยางหยางให้มากๆ” จิ้นหยางตอบอย่างลื่นไหล

รอยยิ้มแขวนตรงมุมปากของหวังรุ่ยเสวียน “ดี เช่นนั้น... นับจากนี้ไปเจ้ามานอนห้องเดียวกับข้า ติดตามข้าไปทุกที่”

“นายท่าน ท่านรูปงามถูกใจข้าเช่นนี้ จิ้นหยางอาจอดใจไม่ไหว” จิ้นหยางแทบกระอักเลือด ขณะที่ทำท่าขวยเขิน

“ไม่เป็นไร ตราบใดที่เจ้ายังมีฝีมือ ข้าย่อมเก็บเอาไว้ใกล้ตัว” ใต้เท้าหวังบอก “แต่บางอย่างจำเป็นต้องขัดเกลาเสียบ้าง” เขามองไปยังพ่อบ้านเหวิน “เทออกมา”

พ่อบ้านเหวินพยักหน้า ชายชราผู้นี้ดูจะมีกำลังมหาศาลเช่นเดียวกัน มือหนึ่งลากชายหนุ่ม อีกมือลากกระสอบขนาดใหญ่ พอได้ยินคำสั่งของหวังรุ่ยเสวียน พ่อบ้านเหวินก็แก้มัดปากกระสอบ แล้วเทชิ้นส่วนมนุษย์มากมายออกมาตรงหน้าคุณชายทั้งสาม

จิ้นหยางเคยเห็นภาพนี้มาก่อนย่อมไม่รู้สึกอะไรเท่าไร แต่ทั่วทั้งห้องขังเกิดเสียงโหยหวนขึ้นมาทันที เสียงนั้นดังมาจากพวกนักโทษทั้งหลาย แม้แต่คุณชายทั้งสามนั้นจะถูกมัดปากเอาไว้ แต่ก็ส่งเสียงอู้อี้อยู่ในคอคล้ายกำลังกรีดร้อง พ่อบ้านเหวินฟาดฝ่ามือใส่ผนังพร้อมคำราม

“เงียบ!”

จิ้นหยางมองชิ้นส่วนมนุษย์ให้ดี ก็พบว่าเป็นชายคนที่จิ้นหยางไม่ได้สังหาร แต่กล่อมให้เขาเล่นงานคุณชายทั้งสามนี่เอง หวังรุ่ยเสวียนเดินไปทางคุณชายทั้งสามพร้อมกล่าวเสียงนุ่มนวล

“รู้หรือไม่ว่าข้าต้องแล่เนื้อบุรุษผู้นี้เป็นกี่ชิ้น มันถึงจะตาย...” หวังรุ่ยเสวียนคว้าศีรษะของชายฉกรรจ์ชูขึ้นมา ใบหน้าเหล่านั้นบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด เขาตั้งส่วนศีรษะตรงหน้าคุณชายทั้งสาม “คุณชายทั้งสามน่าจะฟังคำเตือนของบิดาท่าน อย่าได้มายุ่งกับข้าจะดีที่สุด”

หวังรุ่ยเสวียนปรายตามองจิ้นหยาง คนครัวหยัดกายลุกไปช่วยเปิดปากคุณชายทั้งสาม คนทั้งสามนั้นได้เปล่งเสียงสมใจก็พูดไม่หยุด

“ใต้เท้าหวัง! พวกเราสำนึกผิดแล้ว! ท่านปล่อยพวกเราไปเถอะ!”

“พวกเราจะไม่แตะต้องนางอีก และจะไม่บอกใครด้วยว่าท่านเป็นวรยุทธ์!”

“ใต้เท้าหวังโปรดเห็นแก่เรื่องในอนาคต หากพวกเราเป็นอะไรขึ้นมา! ในอนาคต... ท่าน...!”

หวังรุ่ยเสวียนหัวเราะออกมาเบาๆ หยุดเสียงขอร้องของคนทั้งสามได้ทันที พลางหันไปมองจิ้นหยาง “พวกเขาอยากให้เจียวซิ่งของข้าถูกชายฉกรรจ์พวกนั้นทำอะไรนะ”

“เขาต้องการให้ชายฉกรรจ์พวกนั้นย่ำยีนางขอรับ” จิ้นหยางกล่าวอย่างสุภาพ ถอยไปยืนสงบข้างพ่อบ้านเหวิน

หวังรุ่ยเสวียนกวาดตามองคนคุก “เหมือนว่าในห้องนี้จะมีคนไม่พอ ท่านลุงเหวิน ช่วยไปเชิญคนคุกคนอื่นมาให้ข้าหน่อยสิ”

พ่อบ้านเหวินประสานมือรับ จิ้นหยางขยับตัว แต่หวังรุ่ยเสวียนเรียกเขาเอาไว้

“จิ้นหยาง เจ้ามาช่วยข้า”

ชายหนุ่มถอดเสื้อคลุมสีดำตัวนอกสุดออก พับอย่างดีแล้ววางไว้ตรงพื้น บัดนี้ในมือของหวังรุ่ยเสวียนมีดาบสั้นเล่มหนึ่ง เพียงเห็นคมดาบที่เปื้อนเลือดในมือของใต้เท้าหวัง ชายหนุ่มทั้งสามก็ตัวสั่นเทา ถดกายหนีไปที่มุมคุก

“ตะ...ใต้เท้าหวัง!” หม่าเจาเร่งร้อง “...ท่านจะทำอะไร?! ข้า... พ่อของข้าจะต้องไม่ปล่อยท่านแน่!”

หวังรุ่ยเสวียนจับเท้าอีกฝ่าย บีบโดยแรงจนจิ้นหยางได้ยินเสียงกระดูกหัก เขาลากอีกฝ่ายมาตรงกลางห้องขัง จากนั้นจึงกรีดที่เป้ากางเกง จิ้นหยางมาช่วยจับตัวของหม่าเจาอย่างรู้ทันความคิดของเขา หม่าเจาเร่งร้อง

“นางก็แค่นางคณิกาคนหนึ่ง! นางเป็นลูกของขุนนางต้องโทษด้วย! ควรหรือที่เจ้าจะยอมเสี่ยงชีวิตในราชสำนักเพื่อนาง!”

เสียงกรีดเนื้อผ้าดังขึ้น หวังรุ่ยเสวียนคว้าแกนกายกลางลำตัวของอีกฝ่าย ก่อนจะทาบปลายดาบลงไป หม่าเจาร้องโหยหวน

“อ๊าก...!”

มันเป็นการค่อยๆ แล่อย่างอ้อยอิ่ง จิ้นหยางรู้สึกขนหัวลุกวาบตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า ที่เสียวที่สุดก็คือจุดยุทธศาสตร์ของตนเอง หวังรุ่ยเสวียนคงจะไม่ทำกับเขาเช่นนี้ด้วยกระมัง

คุณชายอีกสองคนเห็นเช่นนั้นก็กรีดร้องโหยหวน วิ่งไปรวมกลุ่มกับนักโทษตัวใหญ่หนาอย่างไม่รังเกียจ พยายามซ่อนตัวเองในฝูงชนนั้น จิ้นหยางแอบคิดว่าหวังรุ่ยเสวียนจะต้องเล่นกลอะไร จึงทำให้ไม่มีใครมายังคุกแห่งนี้

หม่าเจาเสียของสำคัญไป นอนเลือดไหลเป็นทางอยู่ในคุก ใบหน้าของเขาประหนึ่งคนได้รับความเจ็บปวดที่สุดในชีวิต หวังรุ่ยเสวียนหันไปหาอีกสองคน จิ้นหยางรู้ได้ทันที จึงไปลากหนึ่งในพวกเขาออกมา

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ เลือดก็ยิ่งไหลนองเต็มพื้นห้องไปหมด หวังรุ่ยเสวียนเนื้อตัวมีแต่กลิ่นเลือด ขยับกายออกห่างจากเหยื่อทั้งสาม ในตอนนั้นคนคุกทั้งหลายเข้ามาในห้องขัง ใต้เท้าหวังจึงกล่าว

“หากพวกเจ้าไม่อยากเป็นอย่างคุณชายทั้งสาม หรือ...” เขาเอาเท้าเขี่ยเศษเนื้อมนุษย์ที่อยู่เกลื่อนห้องด้วยแววตาวาววับ “...ปรนนิบัติคุณชายทั้งสามให้ดี ข้าจะยืนดู”

“ไม่...” หม่าเจาได้สติในตอนนั้น เห็นชายฉกรรจ์ทั้งหลายตรงเข้ามาหาเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่พวกคนคุกกลัวที่สุดคือหวังรุ่ยเสวียนที่ยืนมองอยู่

หม่าเจาร้อง “...สังหารข้าเสียเถิด อย่า...”

“โอ้ เจ้าไม่ต้องการปรนนิบัติผู้อื่นหรือ” หวังรุ่ยเสวียนยิ้มบางๆ “ในที่นี้ข้าใหญ่ที่สุด เจ้ากล้าไม่ทำตามคำสั่งของข้าหรือ เจ้าเป็นแค่นักโทษ ข้าอยากให้เจ้ารองรับอารมณ์ของพวกเขา เหตุใดเจ้าจึงไม่ทำ”

หม่าเจาตัวสั่นสะท้าน หวังรุ่ยเสวียนพยักหน้ารับ

“เอาเถิด ไม่ต้องก็ได้” เขารับไม้ท่อนหนึ่งมาจากพ่อบ้านเหวิน โยนไปตรงหน้าเหล่าชายฉกรรจ์พวกนั้น เพียงแค่เห็น ดวงหน้าของคนมองก็เปลี่ยนสี ท่อนไม้นั้นเหมือนอวัยวะเพศบุรุษไม่มีผิด

“ใช้สิ่งนี้ปรนนิบัติคุณชายทั้งสามสิ หากใครไม่ทำ... พวกเจ้าจะเป็นเหมือนพวกเขา”

‘พวกเขา’ ในที่นี้... ไม่รู้ว่าหวังรุ่ยเสวียนหมายถึงคุณชายทั้งสามหรือเจ้าของชิ้นส่วนมนุษย์ที่กระจายอยู่ที่พื้น

จิ้นหยางลอบมองหวังรุ่ยเสวียน เหมือนคราวนี้เจ้าตัวจะโกรธโดยแท้จริง และไม่มีความปรานีเลยสักนิดเดียว เขาเห็นพวกหม่าเจาถูกเหล่านักโทษจับแยกขาออก แล้วพยายามดันแท่งไม้นั้นเข้าไปในร่างอย่างไม่มีการเบิกทาง พวกคุณชายทั้งสามได้แต่ร้องไห้ ทั้งยังร้องขอให้ตนได้รับความเมตตา ดูแล้วก็น่าเวทนาไม่น้อย จิ้นหยางยกมือขึ้นห้าม

“ช้าก่อน”

หวังรุ่ยเสวียนหันไปมองเขา เหล่านักโทษก็ดึงเอาแท่งไม้ออกจากรูคับทั้งที่ยังเข้าไปได้ไม่เท่าไร จิ้นหยางจึงบอกผู้เป็นนาย

“นายท่าน ข้าว่าเรารีบหนีดีกว่า”

“สงสารพวกเขาหรือ” หวังรุ่ยเสวียนถามอย่างเย็นชา “ตอนพวกเขาทำเจียวซิ่งของข้า หากไม่มีเจ้าอยู่ตรงนั้น พวกเขาจะเมตตานางหรือไม่”

จิ้นหยางคิดถึงภาพครั้งเก่า “จะว่าไปก็เป็นเหตุเป็นผลดี แต่ว่า... พวกเขาร้องเหมือนสุกรโดนเชือดเช่นนี้ จะต้องมีคนสงสัยแน่ และตอนนี้... ที่จวนพวกเขาก็น่าจะตามหาตัวพวกเขาอยู่ นายท่านไม่คิดว่าเราควรจะรีบจบเรื่องหรือขอรับ”

หวังรุ่ยเสวียนมองคนที่พยายามโน้มน้าวเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับ พ่อบ้านเหวินคลี่เสื้อคลุมสีดำลายดอกสือซว่านมาคลุมบ่านายท่าน พริบตาเดียวพวกเขาทั้งสามก็ก้าวออกจากห้องขังนั้น จิ้นหยางรวดเร็วที่สุด รีบขังนักโทษทั้งหมดไว้ในห้องขัง ทำเอาเหล่านักโทษเบิกตากว้าง

จิ้นหยางเดินไปทางหนึ่ง ก่อนจะหยิบถังใส่น้ำมันออกมาราดจนทั่วห้องขังก่อนจะจุดไฟ หวังรุ่ยเสวียนหัวเราะ

“เจ้ามีน้ำมันมากแค่ไหน”

“เผาได้ทั้งลั่วหยาง” จิ้นหยางเอ่ยอย่างอารมณ์ดี พวกเขาทั้งสามเดินออกจากที่นั่น ขณะที่เหล่านักโทษร้องคำราม

“ใต้เท้า! ท่านกลับมาช่วยพวกเราก่อน!”

“พวกข้าจะทำตามคำสั่งท่าน! ได้โปรดช่วยพวกเราด้วย!”

มีนักโทษบางคนหัวไว เข้าใจได้ในทันที หากมิใช่เพราะคุณชายทั้งสามคนนี้สร้างเรื่อง หวังรุ่ยเสวียนหรือจะมาที่นี่ และเพราะพวกตนเห็นการกระทำของหวังรุ่ยเสวียนแล้ว ใต้เท้าหวังย่อมไม่ยอมปล่อยให้พวกนักโทษรอดไปได้แม้แต่คนเดียว!

นักโทษหันไปมองคุณชายทั้งสามที่เจ็บจนหลั่งน้ำตาดุจสตรี พวกเขาโมโหเลยหยิบท่อนไม้ที่หวังรุ่ยเสวียนทิ้งเอาไว้ เงื้อขึ้นกลางอากาศแล้วทุบลงไปเต็มแรง

“เพราะพวกเจ้า! พวกเจ้าพาความซวยให้พวกข้า!”

“ใช่แล้ว!”

หวังรุ่ยเสวียนได้ยินเสียงเหล่าคนทุบเนื้ออยู่ด้านหลัง จึงหันไปบอกพ่อบ้านเหวิน “หากมีใครรอดจากที่นี่ สังหารแล้วโยนเข้ากองไฟให้หมด อ้อ เอาดินปืนที่เก็บเอาไว้ออกมาด้วย”

“ขอรับ” พ่อบ้านเหวินไปจัดการอย่างรวดเร็ว

จิ้นหยางยังคงราดน้ำมัน ขณะที่เผาศาลนั้นอย่างสบายใจ ศาลยุติธรรมที่ไร้ความยุติธรรมเช่นนี้ เขาอยากเผามานานแล้ว คนครัวเห็นว่าพ่อบ้านเหวินโยนถึงอะไรบางอย่างลงไปตรงบันไดสู่คุกใต้ดิน แล้วมีเสียงระเบิดตามมา พริบตาเดียวหวังรุ่ยเสวียนก็หิ้วคอเขาเหมือนหิ้วลูกแมวตัวหนึ่ง ก่อนสับเท้าออกจากที่นั่นอย่างรวดเร็ว

จิ้นหยางมองเปลวไฟที่ลุกท่วมจากที่ไกลๆ ทำให้เหล่าชาวบ้านแตกตื่น เร่งหาน้ำมาดับไฟ เขามองหวังรุ่ยเสวียน ชุดคลุมสีดำของอีกฝ่ายโบกพลิ้วยามค่ำคืน ปกปิดชุดคลุมสีแดงตัวกลางที่เปื้อนเลือด ดอกสือซว่านแห่งความตายบนเสื้อคลุมนั้นเบ่งบาน สีทองที่หน้ากากและต่างหูเปล่งประกาย ช่างงดงามจับตาจริงๆ

แต่พอจิ้นหยางคิดถึงภาพของอีกฝ่ายค่อยๆ แล่... ของพวกหม่าเจาอย่างอ้อยอิ่ง ก็เริ่มรู้สึกว่าหวังรุ่ยเสวียนไม่ได้งดงามสักเท่าไร ค่อนไปทางน่าหวาดผวาด้วยซ้ำ เข้าตำราคนงามมรณะ เด็กหนุ่มคิดอะไรบางอย่างจึงกระซิบบอก

“นายท่าน ท่านมาช่วยชีวิตข้า ข้าซาบซึ้งยิ่งนัก ยินดีติดตามรับใช้นายท่านตลอดไป...” ...จนกว่าข้าจะหาทางหนีได้ “...แต่หวังว่าท่านคงไม่ทำกับข้าเหมือนหม่าเจาคนนั้น”

หวังรุ่ยเสวียนทำเพียงเหลือบตามองแต่ไม่ตอบ

จิ้นหยางทำหน้าเศร้า “นายท่าน แม้ว่าข้าจะชื่นชมความงามของท่านแค่ไหน แต่ข้าก็ยังอยากได้ลูกหลานสืบสกุลอยู่นะ ดังนั้นแล้ว...”

“พูดมาก กลับได้แล้ว” หวังรุ่ยเสวียนเอ่ยตัดบท

 

ก่อนที่จิ้นหยางจะร่วมห้องกับหวังรุ่ยเสวียน พ่อบ้านเหวินก็ลากเขามานั่งอบรมสั่งสอนเสียยกหนึ่ง จิ้นหยางถามอย่างเหนียมอาย

“ท่านจะให้ข้าอาบน้ำก่อนใช่หรือไม่ขอรับ”

พ่อบ้านเหวินสำลักอากาศ “เจ้าคิดอะไรของเจ้า”

จิ้นหยางหัวเราะ “ข้าแค่ล้อเล่นหรอกขอรับ”

“เห็นภาพเช่นนั้น เจ้ายังมีแก่ใจล้อเล่นได้ มีอดีตความเป็นมาอย่างไรกัน หือ?” พ่อบ้านเหวินถาม

‘ก็ถูกฝึกเป็นนักรบเดนตายไร้ความรู้สึก เห็นเลือด เห็นคนตาย ได้เรียนรู้การทรมานผู้อื่นโดยไม่รู้สึกผิดบาป อะไรทำนองนั้น’ จิ้นหยางตอบในใจ แต่กล่าวอย่างเศร้าๆ “เพราะกลัวมากเลยพยายามเปลี่ยนบรรยากาศขอรับ”

พ่อบ้านเหวินถอนหายใจเฮือกใหญ่ จับบ่าจิ้นหยางพร้อมบอก “ข้ามีคำเตือนหนึ่งข้อให้เจ้า ทุกคนที่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของนายท่าน มีความเป็นไปอยู่สองแบบ หนึ่งคือไม่ตายดี สองคือมีชีวิตอยู่เพื่อนายท่าน ดังนั้น... เจ้าเลือกเอาแล้วกัน”

พูดจบก็ตบบ่า แล้วพาจิ้นหยางหอบหมอนกับผ้าห่มเข้าไปในห้องของหวังรุ่ยเสวียน จิ้นหยางโดนคำพูดพวกนั้นจนยืนตัวเกร็งอยู่ตรงหน้าประตูเล็กน้อย ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วก้าวเข้าไป พอเห็นว่าหน้ากากสีทองคำถูกแขวนเอาไว้ เขาก็ทำหน้าเจ็บปวด

‘ถึงจะเคยอยากเห็น แต่ถ้าให้เลือกระหว่างไม่ตายดีกับมีชีวิตข้างกายคนงามมรณะนั่น ขอเลือกไม่เห็นดีกว่า’

“ทำอะไรอยู่ตรงนั้น ไม่เข้ามาเล่า”

เสียงของหวังรุ่ยเสวียนทำเอาจิ้นหยางสะดุ้งเฮือก เสียงน้ำดังขึ้น ดูท่าเจ้าตัวกำลังอาบน้ำชำระคาวเลือด

จิ้นหยางหันไปมองแวบหนึ่ง ก่อนจะปิดตาตัวเอง ‘อูย นายท่านของข้า ท่านขาวเหลือเกิน ขาวจนแทบซีดเหมือนคนตาย มีเสน่ห์แบบนี้ โดนใจ แค็กๆ’

จิ้นหยางยกมือขึ้นตบบ้องหูตัวเองเพื่อเรียกสติ คนงามมรณะนั้นคือกลุ่มคนที่ไม่ว่าใครเข้าไปผูกสัมพันธ์ล้วนไม่ตายดีด้วยกันทั้งนั้น และหวังรุ่ยเสวียนนี่ก็น่าจะถูกจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ด้วย ต่อให้เขาอยากมีเมียหน้าตาเหมือนใต้เท้าหวังมากแค่ไหนก็ต้องตั้งสติ อย่าเผลอไปกับความงามของดอกสือซว่าน นี่คือดอกไม้แห่งความตาย!

“เหตุใดทำเหมือนไม่กล้ามองข้าเสียเล่า เจ้ามิใช่ชอบแอบมองข้ากระนั้นหรือ” หวังรุ่ยเสวียนถามเบาๆ

จิ้นหยางยกขึ้นกุมอก อยากกระอักเลือดออกมาอีกหนึ่งคำ ก่อนกล่าว “ข้ากลัวจะอดใจไม่ไหว กระโดดลงไปหาท่านในอ่างอาบน้ำน่ะสิขอรับ”

หวังรุ่ยเสวียนผ่อนลมหายใจ เสียงน้ำดังขึ้น พร้อมด้วยชุดสีขาวถูกกระชากออกจากราวแขวน ชายหนุ่มหายเข้าไปหลังฉาก ทำให้จิ้นหยางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ฉวยโอกาสนี้เร่งไปปูที่นอนของตนเอง เอาให้ห่างจากหวังรุ่ยเสวียนประมาณหนึ่ง

ขณะที่กำลังปูที่นอนอย่างดี จู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงหยดน้ำที่หยดใส่หลังฝ่ามือของตนเอง จิ้นหยางเงยหน้าขึ้น พอเห็นใบหน้าไร้การปกปิดที่พิลาศลักษณ์ราวกับภาพวาดที่พราวไปด้วยหยาดน้ำ เขาก็แข็งค้าง

หวังรุ่ยเสวียนทรุดกายลงข้างเขา ขณะที่จดจ้องที่ใบหน้าของจิ้นหยาง เด็กหนุ่มก็เผลอยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าอีกฝ่าย พลางพึมพำออกมาเบาๆ

“ฮูหยิน...”

หวังรุ่ยเสวียนคว้ามือซุกซนนั้นมาลูบเบาๆ ก่อนจะหักมืออย่างไร้ความปรานี จิ้นหยางได้สติก่อนร้องโหยหวน

“นายท่านหยุด! หยุด! ทำอะไรขอรับ! มิรู้หรือว่าสำหรับคนทำอาหาร มือคือของสำคัญนะ!” คนครัวน้ำตารื้นขณะกุมมือตนเอง

หวังรุ่ยเสวียนกล่าว “เมื่อครู่... เจ้าเรียกข้าว่าอะไร”

จิ้นหยางจึงรู้ตัวว่าหลุดปาก ได้แต่หัวเราะแก้เก้อแล้วบอก “ขออภัยขอรับ พอดีว่านายท่านหน้าตาคล้าย... คนผู้หนึ่งที่ข้ารู้จัก ก็เลย... เผลอไปหน่อย”

คนตัวเล็กกว่าแลบลิ้นก่อนจะแข็งค้าง เมื่อครู่หวังรุ่ยเสวียนไม่สวมหน้ากาก เขาหันไปมองเสี้ยวหน้างดงามของอีกฝ่ายอีกครา มุมปากกระตุกไม่หยุด

“เช็ดผม” หวังรุ่ยเสวียนออกคำสั่ง เดินไปนั่งที่หน้าคันฉ่อง

จิ้นหยางตั้งสติ เดินไปหยิบเอาผ้ามาเช็ดเส้นผมสีดำขลับที่ยาวเหยียดจดบั้นเอวของอีกฝ่าย หวังรุ่ยเสวียนหลับตาลงให้เขาปรนนิบัติ อดีตองครักษ์ลับกระซิบถามเบาๆ

“นายท่าน... ท่านทำอะไรกับคุณหนูซุนตอนพวกท่านเข้าหอกันหรือ”

หวังรุ่ยเสวียนยิ้มบาง “เจ้าไม่อยากรู้หรอก”

จิ้นหยางเช็ดปลายผมที่ชุ่มน้ำของอีกฝ่าย “ข้าว่านะ หากคุณหนูซุนเห็นท่านในตอนนี้ นางจะต้องอยากขย้ำท่านแน่ๆ นายท่าน... ท่านไม่อยากแต่งงานกับนางใช่หรือไม่ จึงได้เล่นกลให้นางมองท่านเป็นชายอัปลักษณ์จนหนีออกจากห้องหอ”

หวังรุ่ยเสวียนจ้องมองจิ้นหยางผ่านคันฉ่อง “เจ้าลองเดาดูสิ”

“อือ...” จิ้นหยางลากเสียงยาว “ท่านเคยเป็นแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดิน ปราบปรามเผ่าซงหนู มีอำนาจบารมีในกองทัพมาก ฝ่าบาททรงหวาดกลัวท่าน ดังนั้นเพื่อรักษาชีวิต ท่านจึงคืนตราพยัคฆ์แด่ฮ่องเต้...”

เขาลอบสังเกตสีหน้าของหวังรุ่ยเสวียน “...แต่อำนาจบารมีของท่านยังมีอยู่ ดังนั้นท่านจึงยอมกินยาทำลายวรยุทธ์ของตนเอง ฝ่าบาทที่เคยหวาดกลัวจึงหันมาสำนึกเสียใจ มอบสิ่งดีๆ มากมายให้ท่าน ทว่าพระองค์ก็ยังเกรงในความสามารถอยู่ จึงให้ท่านแต่งกับสตรีที่ได้ชื่อว่ามักมากที่สุดในลั่วหยาง หวังให้ท่านลุ่มหลงนาง แต่ท่านไม่”

“มิใช่ฝ่าบาทเลือก แต่เป็นใต้เท้าซุนขอสมรสพระราชทานต่างหาก” หวังรุ่ยเสวียนพูดขึ้นมา “เหมือนว่าเจ้าจะฟังเรื่องเล่าลือในลั่วหยางมามาก ทั้งที่เพิ่งจะมาอยู่ได้ไม่นาน”

จิ้นหยางรู้สึกว่าตนพลาดไปนิดหน่อย เลยแลบลิ้น “เช่นนี้... ใต้เท้าซุนก็คงจะไม่ถูกกับฝ่าบาทกระมัง ท่านจึงต้องแสดงให้ฝ่าบาทเห็นว่าท่านไร้ใจให้คุณหนูซุน พวกท่านไม่มีใจต่อกัน ใต้เท้าซุนก็ไม่สามารถชักจูงให้ท่านทำอะไรได้ ส่วนฝ่าบาทเห็นว่าท่านลุ่มหลงแม่นางเจียวซิ่ง ก็จะไม่ระแวงท่านมาก”

หวังรุ่ยเสวียนหันไปมองจิ้นหยาง แย้มรอยยิ้มงดงามราวกับบุปผาแย้มกลีบ ดวงตาคมซึ้งทอประกายลุ่มลึก “ว่าต่อไปสิ”

จิ้นหยางทำหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ท่านรู้ว่าฝ่าบาทไม่ไว้ใจท่าน จึงพยายามรักษาวรยุทธ์ของตนเองเอาไว้ แต่ขณะเดียวกัน ท่านก็ไม่ได้คิดร้ายกับฝ่าบาท แต่ก็มิได้เข้ากับฝักฝ่ายใด ท่านมีตำแหน่งสำคัญในราชสำนัก มีหลายคนอยากได้ตำแหน่งนี้ จึงคิดกำจัดท่าน...”

หวังรุ่ยเสวียนไม่เอ่ยอะไร จิ้นหยางจึงสรุป “...และมีหลายคนที่อยากจะรู้เรื่องการเคลื่อนไหวของท่าน เผื่อว่าจะใช้ท่านเป็นตัวหมาก หรือไม่ก็... กำจัดท่านเสีย อย่างฮุ่ยอ๋องที่ส่งข้าเข้ามาในจวน”

หวังรุ่ยเสวียนจับปลายผมของตนมามัดเอาไว้ เอ่ยอย่างเกียจคร้าน “แล้วจุดยืนของเจ้า”

คราวนี้จิ้นหยางคิดหนัก สัญชาตญาณของเขาบอกว่า หากคำนี้ไม่ตอบให้ดี เขาก็คงจะไม่มีชีวิตรอดไปจนถึงวันพรุ่งนี้

“ข้า... ขอเลือกติดตามนายท่านขอรับ”

หวังรุ่ยเสวียนเหลือบตามองเขา จิ้นหยางจึงกล่าว

“ข้าไม่ได้ชอบฮุ่ยอ๋องที่ข่มขู่ข้า ไม่ชอบชินอ๋องที่รับสินบน และบอกตามตรง... ข้าไม่ชอบฮ่องเต้ซุนหลิงตี้สักเท่าไร” เขากับฮ่องเต้องค์นั้นมีอดีตที่ไม่ดีต่อกันจริงๆ แม้จะเป็นนายเก่า แต่ก็เป็นนายเก่าประเภทที่จิ้นหยางไม่อยากรับใช้เขาอีก “ฮ่องเต้อ่อนแอ กังฉินจึงผงาด กดข่มตงฉิน ดังนั้นคงจะยาก... หากจะรักษาชีวิตในราชสำนักได้โดยไม่ล่วงเกินฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง นายท่านปิดบังตัวตนได้ถึงเพียงนี้ นับว่ามีปัญญาเฉียบแหลม และหากเราตกลงกันได้ วันหนึ่งท่านยอมปล่อยข้าไป ข้าจะ... ไม่หวนกลับมาลั่วหยางอีก ระหว่างนี้ข้ายอมทำงานให้ท่าน แลกกับอิสรภาพในวันข้างหน้า”

หวังรุ่ยเสวียนมองคนตรงหน้า “รู้ใช่หรือไม่ว่าข้าเคยคิดจะสังหารเจ้า”

“หากข้าเป็นท่าน ข้าก็ทำ เพราะว่าข้ามันไร้ที่มา ถูกพ่อตาท่านส่งมา มีวรยุทธ์ของเหล่ามือสังหาร ท่านไม่คิดกำจัดข้าสิแปลก” จิ้นหยางกล่าว “ข้ารู้ว่าท่านชิงชังการทรยศ และข้าก็มิใช่คนที่ภักดีกับนายเหนือหัวปานนั้น ข้ารู้จักท่าน ท่านมองข้าออก ดังนั้นมันคงจะดีกว่าหากเราเปิดเผยความจริงใจต่อกันและทำข้อตกลงกัน”

จิ้นหยางสืบมาแล้ว หวังรุ่ยเสวียนนั้นเป็นคนชอบคนมีความสามารถ เขามั่นใจว่าตนมีความสามารถมากพอให้อีกฝ่ายสนใจ และที่สำคัญคือเขานิสัยไม่เลว ถึงจะทรยศนายเก่าแต่เขามีเหตุผล และที่สำคัญที่สุดคือ เขาเปิดเผยความคิดของตนกับหวังรุ่ยเสวียน

ใช่แล้ว จิ้นหยางกำลังวางเดิมพัน

ชายหนุ่มรูปงามให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในห้วงฝันผู้นี้จะมองจิ้นหยางเป็นเหยื่อหรือเป็นหมากให้หยิบวางบนกระดาน วังวนอำนาจในวังหลวงเป็นวังวนที่เข้าง่ายแต่ออกยาก เมื่อไม่ตั้งใจเข้า แต่ต้องเข้ามาแล้ว มีหนทางเดียวจะช่วยชีวิตตนเองได้ นั่นคือการเลือกนาย

หวังรุ่ยเสวียนจ้องมองจิ้นหยางอยู่นาน สักพักจึงถามเบาๆ “อยากได้อะไร”

“อิสระ... แบบมีชีวิต”

จิ้นหยางเขย่ากำปั้นในใจ

 

หวังรุ่ยเสวียนช่วยรักษาจิ้นหยาง โดยการใช้ลมปราณที่แข็งแกร่งของตนเอง ตอนที่มืออุ่นเรียวนั้นทาบที่ผ่านหลังและส่งพลังมา คนตัวเล็กจึงรู้สึกได้ว่าใต้หวังผู้นี้มีพลังวรยุทธ์ที่แข็งแกร่ง แม้ตอนนี้จะมีท่วงท่าเหมือนแมวขี้เกียจ ทว่าก็เห็นเงาของพญาเสือได้จากการช่วยเขาเดินลมปราณครั้งนี้

จิ้นหยางไอเอาเลือดคั่งออกมา ก่อนหันไปประสานมือ “ขอบคุณนายท่าน” เด็กหนุ่มยกแขนเสื้อขาวขึ้นซับเลือดที่มุมปาก

“ผู้ใดกระทำ” หวังรุ่ยเสวียนถาม

“หลิวกู้แห่งหน่วยองครักษ์ปราบพยัคฆ์” จิ้นหยางนึกถึงพี่ชายร่วมสาบานคนนั้นแล้วแค้นใจ “หากเป็นข้าในอดีตนะ”

จิ้นหยางเคยมีวรยุทธ์เหนือหลิวกู้ แต่เพราะก่อนหน้านี้ถูกขังไว้ในห้องครัว ต้องทำอาหารถวายพระเจ้าอินเทอร์เน็ต การฝึกปรือวรยุทธ์จึงลดถอยลง เหมือนว่าจะล้าหลังหลิวกู้อยู่สองขั้น

หวังรุ่ยเสวียนเหยียดยิ้มออกมาบางๆ คล้ายกำลังเยาะหยัน พอเห็นว่าจิ้นหยางกำลังหายใจลำบาก เขาจึงสั่นกระดิ่งเรียกพ่อบ้านเหวิน ให้ต้มยามาถ้วยหนึ่ง ระหว่างรอยา หวังรุ่ยเสวียนก็กล่าว

“หากพบกันอีกครา เขาจะจำเจ้าได้หรือไม่”

“ตอนนั้นข้าทาหน้าจนเหลือง วาดคิ้วผิดแผก เขาเห็นก็อาจจะดูคุ้นอยู่บ้าง แต่ไม่มีทางจำได้แม่นปานนั้นแน่” จิ้นหยางยิ้ม เรื่องการแปลงโฉม เขานับได้ว่าเป็นที่หนึ่งในหมู่องครักษ์ลับ มิเช่นนั้นชาติก่อนคงไม่หนีการตามล่าได้นานถึงเพียงนั้น

หวังรุ่ยเสวียนพยักหน้า ในตอนนั้นพ่อบ้านเหวินนำถ้วยยามา จิ้นหยางจึงรับมาดื่ม อดชมในใจไม่ได้ว่าใต้เท้าหวังคนนี้ยังดีกว่าฮุ่ยอ๋อง รายนั้นเลี้ยงน้ำชาผสมยาพิษให้เขา ก่อนจะยัดเขาเข้ามาในจวนแห่งนี้

หวังรุ่ยเสวียนมองคนที่กินยาอย่างว่าง่ายก่อนตอบ

“อาบน้ำซะ พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าเข้าวัง”

วันนี้เป็นวันแรกที่ได้นอนกับคนงาม จิ้นหยางไปอาบน้ำจนตัวหอมฉุย อยากจะซาบซึ้งในวาสนาสักหน่อย แต่สมองเจ้ากรรมดันไปจำถึงตอนที่คนงามกรีดกางเกง แล้วเฉือนความเป็นชายของคนพวกนั้นเสียได้ คนครัวเลยนอนหนีบขาขวัญผวาทั้งคืน

 

“อย่า...”

เสียงครางแหบพร่าดังมา จิ้นหยางเป็นคนที่ถูกฝึกให้ประสาทสัมผัสไวจึงลืมตาขึ้น เขาหันไปมองหวังรุ่ยเสวียนที่นอนอยู่ไม่ไกล เหมือนว่าเพื่อบุกเข้าไปชิงตัวคุณชายทั้งสาม เข้าไปในศาลยุติธรรมประจำเมืองลั่วหยาง และใช้วรยุทธ์ช่วยบรรเทาอาการบาดเจ็บให้เขา จะทำให้หวังรุ่ยเสวียนเหนื่อยหนักจนถึงขั้นฝันร้าย

จิ้นหยางชะโงกหน้าไปมองคนงามที่เหงื่อแตกไปทั้งตัว กำผ้าห่มแน่น คิ้วได้รูปขมวดมุ่น

หวังรุ่ยเสวียนกล่าวอย่างทรมาน “ท่านพ่อ...”

เขาเดินมานั่งใกล้ๆ แต่หวังรุ่ยเสวียนกลับไม่รู้สึกตัว คนครัวจับคางอย่างครุ่นคิด บิดาของใต้เท้าหวังตายในสงคราม แต่เดิมคนผู้นี้ไม่ควรจับอาวุธ แต่ควรจะเป็นบัณฑิตผู้หนึ่ง สอบเลื่อนฐานะเชิดชูวงศ์ตระกูลอย่างที่บิดาของเขาตั้งใจ ใต้เท้าหวังถึงกับทิ้งตราแม่ทัพเพื่อสานฝันของบิดา หมายความว่าเขากับบิดาของเขาจะต้องมีความสนิทสนมรักใคร่กันลึกซึ้ง

“ข้ากลัว...”

จู่ๆ นายท่านก็เผยความอ่อนแอเช่นนี้ออกมา จิ้นหยางยกมือขึ้น อยากจะเขย่าปลุก แต่หวาดเกรงว่าพอหวังรุ่ยเสวียนตื่นจะไม่สบอารมณ์ เพราะเจ้าตัวต้องรู้แน่ว่าจิ้นหยางเห็นสภาพที่ไม่น่าดูของตนเอง เด็กชายละเมอเพ้อหาผู้เป็นบิดา ช่างไร้เดียงสายิ่งนัก

ไม่ได้... จิ้นหยางจะไม่ทำลายความภาคภูมิใจของหวังรุ่ยเสวียน เขาตัดสินใจกระแอมเล็กน้อย ก่อนจะดัดเสียงเป็นชายวัยกลางคน

“โอ้ เสวียนเอ๋อร์ อย่ากลัวเลย บิดาจะปกป้องเจ้า... แอ้ก!”

หวังรุ่ยเสวียนตวัดขาเตะก้านคอจิ้นหยางให้นอนหน้าหงาย ขณะที่นายท่านของเขาตวัดกายขึ้นมานั่งทับพร้อมตะปบคอ สายตาของคนงามก็สื่อเป็นเชิงว่า ‘บิดาของข้า ใช่คนที่เจ้าจะเอามาล้อเล่นได้หรือ’

“นายท่าน... แค็กๆ” ถ้าจะตื่นแล้วทำไมไม่บอกเล่า!

คืนแรกของการร่วมห้องจบลงด้วยการที่จิ้นหยางถูกอัปเปหิออกไปนอนนอกห้อง คนครัวได้แต่ทำปากคว่ำ นายคนใหม่ช่างเอาใจยากจริงๆ

 

เช้าวันต่อมา จิ้นหยางตื่นก่อนหวังรุ่ยเสวียน เพื่อเข้าครัวทำอาหารให้นายท่านของตนเอง วันนี้ที่ห้องครัวใหญ่มีปลาตัวใหญ่มาส่งทั้งที่ไม่ได้สั่ง จิ้นหยางสงสัยเลยแล่ปลาตัวนั้น ก็พบถุงหนังที่เขียนสารลับส่งมาถึงคนครัวเช่นเขา

 

สืบเรื่องของหวังรุ่ยเสวียนมาให้ข้า และนำความลับของเขาไปซ่อนที่รากต้นไห่ถัง หน้าหอเหมยเฉียง ไม่เช่นนั้นพิษกำเริบ เจ้าตาย

 

จิ้นหยางทำปากคว่ำใส่กระดาษแผ่นนั้น สงสัยว่าฮุ่ยอ๋องยังคิดว่าในร่างกายของเขาจะยังมีพิษอยู่ คนครัวจัดการทำข้าวต้มปลา และสอดกระดาษไว้ใต้ถ้วย หวังรุ่ยเสวียนรับไปทั้งสองอย่างก่อนกล่าว

“ฝนหมึก”

จิ้นหยางเดินไปฝนหมึกอย่างว่าง่าย หวังรุ่ยเสวียนจับชายแขนเสื้อเผยให้เห็นมือและข้อมือขาวราวกับหยก เขาจับพู่กันเขียนอักษรอย่างงดงาม

 

เจ้าโดนพิษหรือ

 

จิ้นหยางรับพู่กันมาเขียนตาม

 

ข้ารู้ทันเขา เลยแค่แสร้งโดนพิษ

 

บ่าวตัวน้อยเห็นสายตาของหวังรุ่ยเสวียน เขายิ้มหวานพลางแสร้งขยิบตาให้อีกฝ่าย

 

ข้ามีสายตาเฉียบคมเรื่องพิษ ชมข้าสิ

 

หวังรุ่ยเสวียนยกมือขึ้นดีดหน้าผากคนหลงตัวเองไปทีหนึ่ง แล้วเขียนข้อความ

 

หมั่นไส้

 

จิ้นหยางทำปากคว่ำใส่อีกฝ่าย มองหวังรุ่ยเสวียนกวาดกระดาษพวกนั้นใส่โถและเผาทิ้ง จากนั้นจึงหันมาแบ่งข้าวต้มปลากับคนครัวของตนเอง

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น