5

บทที่ 5


5

 

หวังรุ่ยเสวียนสวมชุดขุนนาง เกล้าผมขึ้น จากนั้นจึงสวมหน้ากากทองคำ ท่าทางสง่างามของเขาเปลี่ยนเป็นท่วงท่าของคนขี้โรคที่พยายามให้ตนดูเข้มแข็ง จิ้นหยางลอบคารวะเขาอยู่ในใจ ที่ใจกล้าขนาดตบตาฮ่องเต้เช่นนี้ แต่ถ้าเขาไม่ใจกล้า ในอดีตคงไม่ได้เป็นแม่ทัพพิทักษ์ต้าหลิว

หวังรุ่ยเสวียนและจิ้นหยางขึ้นรถม้าด้วยกัน ตรงเข้าวังหลวงที่ยิ่งใหญ่โอ่อ่า จิ้นหยางเห็นวังหลวงเพียงแวบเดียวก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา ทั้งที่พยายามหลีกหนีสถานที่แห่งนี้และคนในสถานที่แห่งนี้ แต่สุดท้ายเขาก็ยังหนีไม่พ้นวังต้องห้ามอยู่ดี

“ไม่ชอบวังหลวงหรือ” หวังรุ่ยเสวียนถามขึ้น

“สถานที่กลืนกินวิญญาณเช่นนี้... ไม่ชอบ” ความจริงจิ้นหยางอยากจะบอกด้วยว่า นอกจากสตรีมักใหญ่ใฝ่สูงและกลุ่มคนผู้หวังผลประโยชน์ ผู้ใดจะชอบวังหลวงกัน

หวังรุ่ยเสวียนไม่ได้บอกว่าจิ้นหยางจะต้องวางตัวอย่างไร พอถึงวังหลวง เขาก็ยัดร่มใส่ในมือคนครัว บ่าวตัวน้อยกางร่มให้ใต้เท้าหวัง เดินพานายของตนเข้าไปส่งถึงท้องพระโรง ก่อนจะเข้าไปในท้องพระโรง เหล่าขุนนางที่รวมตัวกันอยู่พอเห็นหวังรุ่ยเสวียนเดินเข้ามา พวกเขาก็หยุดเอ่ยคำ

ที่ทางเดินมีหลังคา จิ้นหยางจึงหุบร่มแล้วถือเอาไว้กับตัว เอื้อมมือมาประคองหวังรุ่ยเสวียนที่หน้าขาวซีด เดินเข้าไปด้านใน

หวังรุ่ยเสวียนมองหาใครบางคน พอเห็นเขาก็ส่งยิ้มให้

“ใต้เท้าหวัง” มีขุนนางหนุ่มคนหนึ่งเห็นหวังรุ่ยเสวียนก็ส่งยิ้มทักทาย เห็นอีกฝ่ายเดินช้าเหมือนไม่ค่อยมีแรงจึงเดินมาประสานมือคารวะหวังรุ่ยเสวียน

หวังรุ่ยเสวียนไอออกมา ท่าทางของเขาไม่สู้ดีเลยสักนิดเดียว ขุนนางคนนั้นจึงกล่าว “ดูเหมือนใต้เท้าจะไม่สบาย”

“อาการกำเริบเมื่อคืน วันนี้เลยต้องมีคนมาเป็นเพื่อน” หวังรุ่ยเสวียนกล่าว หันมองจิ้นหยาง “คารวะใต้เท้าซุนเสียสิ”

‘โอ้ พี่ชายของซุนหงซิ่วนี่เอง’ จิ้นหยางแสร้งทำเป็นไม่คุ้นชิน ประสานมือพร้อมเอ่ย “คารวะใต้เท้าซุน”

“นี่...” ซุนหงเถียนไม่เคยเห็นจิ้นหยาง แต่เดิมเป็นฮุ่ยอ๋องให้ตนส่งสาวรับใช้อาวุโสไปรับตัวจิ้นหยางไปส่งน้องสาว ดังนั้นพอเห็นจิ้นหยางเลยมีอาการประหลาด “...คนสนิทคนใหม่ของใต้เท้าหวังหรือ”

ปกติหากหวังรุ่ยเสวียนอาการกำเริบ น้องเขยผู้นี้มักพาชายชราคนหนึ่งมาด้วย วันนี้กลับเป็นเด็กหนุ่มรูปงามราวกับหยกคนหนึ่ง

“เป็นคนที่ท่านพ่อตาส่งมาให้ฮูหยิน” หวังรุ่ยเสวียนบอกเสียงนุ่ม เหลือบมองจิ้นหยางอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง “เห็นว่าช่างเอาใจ เลยให้มารับใช้ข้า”

เหล่าขุนนางทั้งหลาย แม้ปากจะพูดคุยกันเรื่องอื่น แต่กลับตั้งใจฟังเรื่องราวของหวังรุ่ยเสวียนมาก ความสัมพันธ์ในครอบครัวของราชาหมวกเขียวแห่งลั่วหยางนับว่าเป็นเรื่องที่รู้กันดี ได้ยินเช่นนี้ก็ไม่ประหลาดใจสักเท่าไร หากขืนปล่อยเด็กหนุ่มคนนี้เอาไว้ที่จวน ซุนหงซิ่วก็คงจะมียอดชู้เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง

“โอ้” ชายชราคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ “เสวียนเอ๋อร์”

“ท่านพ่อตา” หวังรุ่ยเสวียนคารวะเขา

ใต้เท้าซุนมองไปยังจิ้นหยาง แล้วหันมากล่าวกับหวังรุ่ยเสวียนอย่างพออกพอใจด้วยความเสแสร้ง “คุ้นๆ หน้า นึกว่าใครที่ไหน เป็นพ่อครัวที่ข้าส่งไปให้ซิ่วเอ๋อร์นี่เอง เหมือนว่าจะเป็นที่ถูกอกถูกใจของเสวียนเอ๋อร์ไม่น้อย”

“ต้องขอเขามาจากภรรยา หวังว่าท่านพ่อตาจะไม่ว่าอะไร” หวังรุ่ยเสวียนยิ้ม ใต้เท้าซุนหัวเราะเสียงดัง

“ไม่ว่าๆ มีคนดูแลเสวียนเอ๋อร์เพิ่มมาอีกคน ข้าก็ดีใจ” ใต้เท้าซุนกล่าว

หวังรุ่ยเสวียนยิ้ม ก่อนจะไอออกมาอีกครั้ง ครานี้พอเขาเอามือลง กลับมีเลือดสีแดงไหลออกมาจากจมูก จิ้นหยางอุทาน

“นายท่าน...”

“ตามหมอหลวง...!” ซุนหงเถียนขยับปาก แต่หวังรุ่ยเสวียนจับแขนเขาเอาไว้พลางกล่าว

“ก็แค่เลือดกำเดา ไม่ต้องสนใจหรอก” 

ใบหน้าของเขายิ่งขาวซีด จิ้นหยางหยิบขวดยาออกมาให้ หวังรุ่ยเสวียนรับเม็ดยามากลืนลงคอ จากนั้นก็กล่าว 

“เข้าท้องพระโรงเถิด เจ้าอยู่นี่”

จิ้นหยางก้มศีรษะอย่างถ่อมตน มองพ่อลูกแซ่ซุนประคองพาหวังรุ่ยเสวียนไปยังด้านในท้องพระโรง ดวงตาก็ฉายแวววูบหนึ่ง หวังรุ่ยเสวียนคนเจ้าเล่ห์!

มีร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งก้าวเดินมาทางเขา จิ้นหยางหันไปเห็นก็รีบคารวะอีกฝ่าย “ถวายพระพรชินอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าคือจิ้นหยางหรือ” ชินอ๋องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างตกตะลึง เขาเคยเห็นจิ้นหยางตอนเข้าแข่งขันทำอาหาร ตอนนั้นกับตอนนี้... คนผู้นี้ไม่เหมือนภาพในความทรงจำเลยสักนิดเดียว

จิ้นหยางทำตัวสั่นกลัว “พ่ะย่ะค่ะ แต่เดิมเพราะต้องเดินทางเพียงลำพัง และเคยเกือบถูกจับขายที่หอนายโลม ภายหลังได้บารมีใต้เท้าหวังคุ้มกาย จิ้นหยางเลยเลิกปลอมตัว จิ้นหยางมีเหตุจำเป็นจึงต้องหลอกลวงท่านอ๋อง ขอชินอ๋องโปรดลงอาญาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ชินอ๋องขยับปาก อยากจะเอ่ยอะไร แต่สุดท้ายก็สะบัดแขนเสื้อ “ช่างเถิด!”

“ขอบพระทัยท่านอ๋อง” จิ้นหยางทำความเคารพอย่างนอบน้อม พอชินอ๋องจากไป เขาก็ทำท่าโล่งใจอย่างปิดไม่มิด ขณะที่ค่อนขอดนายใหม่ของตนในใจ

หวังรุ่ยเสวียนคนเจ้าเล่ห์ เจ้าเอาข้าเข้าวังให้ชินอ๋องได้เห็น และทำให้พวกพ่อลูกซุนออกอาการเช่นนี้ ชินอ๋องไม่สงสัยก็แปลกแล้ว

ทักษะการปลอมตัวของจิ้นหยางยอดเยี่ยม ชินอ๋องเห็นว่าคนทำอาหารที่ตนเกือบจะชวนเข้าจวนเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือก็ย่อมสงสัย ได้ยินใต้เท้าซุนเอ่ยว่าจิ้นหยางหน้าตาคุ้นๆ แต่จิ้นหยางบอกว่าเลิกปลอมตัวตอนอยู่กับหวังรุ่ยเสวียน ชินอ๋องก็ยิ่งสงสัยใต้เท้าซุนเข้าไปอีก ไม่นานชินอ๋องจะต้องสืบข่าวเรื่องนี้จนไปถึงฮุ่ยอ๋องแน่ๆ

ฮุ่ยอ๋องเองก็ลอบมองจิ้นหยางอยู่ จิ้นหยางเห็นเขาก็ทำหน้าซีด ก้มหน้าพลางทำท่าทางคล้ายเด็กหนุ่มไม่ประสาและขลาดกลัวผิดปกติ แน่นอนว่าอาการนี้ต้องอยู่ในสายตาชินอ๋อง

ฮึ! คิดมาใช้งานชายหนุ่มรูปงามอย่างจิ้นหยาง เขาย่อมต้องใช้งานฮุ่ยอ๋องคืน!

นี่แหละวังต้องห้าม สถานที่กลืนกินวิญญาณ กินเนื้อไม่คายกระดูก!

 

สาเหตุที่หวังรุ่ยเสวียนเป็นที่จับตามองในวันนี้ เพราะตอนนี้เมืองลั่วหยางเกิดเรื่องใหญ่ บุตรชายของใต้เท้าเจียง ใต้เท้าหลี่ และใต้เท้าหม่า หายตัวไป ก่อนหน้านั้นบุตรชายทั้งสามมีเรื่องกับใต้เท้าหวัง และถูกปลดจากการเป็นองครักษ์ปราบพยัคฆ์ จากนั้นชายหนุ่มทั้งสามก็ไปฉุดคร่าเจียวซิ่งซึ่งเป็นคนโปรดของใต้เท้าหวัง และถูกจอมยุทธ์พเนจรผู้หนึ่งช่วยเหลือเอาไว้ จอมยุทธ์คนนั้นโดนจับตัวไป และตอนนี้ศาลยุติธรรมประจำเมืองลั่วหยางก็ถูกไฟไหม้ไม่เหลือชิ้นดี

หวังรุ่ยเสวียนมีอาการของคนป่วยอยู่ตลอดเวลา แต่เขายังฝืนยืนอยู่ในท้องพระโรง แล้วคุกเข่าคารวะฮ่องเต้ซุนหลิงตี้ที่เสด็จออกว่าราชการ พอได้ยินเรื่องที่บุตรชายของขุนนางหายตัวไป และถูกสงสัยว่าเกี่ยวกับหวังรุ่ยเสวียน ฮ่องเต้ก็ทอดพระเนตรเสนาบดีกรมพิธีการของพระองค์ ก่อนรับสั่งถาม

“ใต้เท้าหวัง เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไร”

“ทูลฝ่าบาท คำกล่าวของใต้เท้าทั้งสามเหมือนจะมุ่งเป้ามายังตัวกระหม่อม ทว่ากระหม่อมกลับคิดไม่ออกว่าเพื่อนางคณิกาคนเดียว สมควรที่ตนจะต้องเสี่ยงทำให้ใต้เท้าทั้งสามขุ่นข้องหมองใจในตัวกระหม่อมด้วยหรือ...” หวังรุ่ยเสวียนไอออกมา “จริงอยู่... เรื่องนี้จะให้กระหม่อมไม่เคืองขุ่นนั้นคงเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้ากระหม่อมต้องขัดแย้งกับใต้เท้าทั้งสาม กระหม่อมจะได้ประโยชน์อันใดพ่ะย่ะค่ะ”

“ใต้เท้า...!”

ขุนนางที่อยู่ด้านหลังเห็นหวังรุ่ยเสวียนก็อุทานออกมา เมื่อเห็นเลือดที่ไหลเปื้อนชายแขนเสื้อของหวังรุ่ยเสวียน หวังรุ่ยเสวียนจึงเหมือนจะรู้ตัว เห็นแล้วจึงเก็บแขนเสื้อไม่ให้ใครเห็นอีก จากนั้นจึงส่งสายตาปรามไม่ให้ผู้อื่นกระโตกกระตากไป กล่าวด้วยใบหน้าขาวซีด

“ฝ่าบาททรงพระปรีชา โปรดวินิจฉัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อเห็นอาการหวังรุ่ยเสวียน ฮ่องเต้ซุนหลิงตี้ก็กล่าว

“ต่งกงกง เจ้าพาใต้เท้าหวังไปพัก และเรียกหมอหลวงมาตรวจด้วย”

“พ่ะย่ะค่ะ” ต่งกงกงคารวะ เดินมาเชิญหวังรุ่ยเสวียน “ใต้เท้าหวัง เชิญ”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” ใบหน้าของหวังรุ่ยเสวียนฉายแววละอายขณะก้าวตามต่งกงกงไป

จิ้นหยางรออยู่ด้านนอก พอเห็นว่านายของตนออกจากท้องพระโรงมาก็รีบสาวเท้าเข้าไปหา เขาคารวะขันทีใหญ่อย่างนอบน้อม “คารวะกงกง”

ต่งกงกงหันมาพินิจจิ้นหยางตั้งแต่หัวจดเท้าทันที หวังรุ่ยเสวียนเร่งกล่าว

“เขาเป็นคนของข้าเอง...” หวังรุ่ยเสวียนทรุดฮวบ ทั้งต่งกงกงและจิ้นหยางเร่งช่วยกันประคองเขา คนป่วยกล่าว “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” หน้าตาของเขาคล้ายฝืนจนทนไม่ไหวแล้ว

ต่งกงกงส่งเสียงให้ขันทีมาช่วยกันพาหวังรุ่ยเสวียนไปห้องพักห้องหนึ่ง หวังรุ่ยเสวียนกล่าว

“ลำบากกงกงทั้งหลายแล้ว”

“ใต้เท้าหวังเกรงใจไปแล้ว ท่านทำงานเพื่อฝ่าบาท เพียงเท่านี้ไม่ลำบากเลยสักนิดเดียว” ต่งกงกงกล่าว

หวังรุ่ยเสวียนยิ้ม หยิบตั๋วเงินออกมา พอเห็นตั๋วเงินนั้น ต่งกงกงก็ตาโตทันควัน รับเอาไว้อย่างไม่เกรงใจ ยังมีก้อนทองมูลค่าไม่ธรรมดาให้เหล่าขันทีที่ช่วยพาหวังรุ่ยเสวียนมาส่งยังห้องพักอีกด้วย

รอครู่หนึ่งก็มีหมอหลวงชราคนหนึ่งถือล่วมยาเดินเข้ามา พวกเขาคารวะกันอีกครั้ง หมอคนนั้นเร่งจับชีพจรของหวังรุ่ยเสวียน ก่อนจะชะงักกึก

“ใต้เท้า...”

“มีอะไรหรือ” เป็นต่งกงกงที่ถามอย่างสงสัย

หมอหลวงหันไปกล่าวกับทั้งต่งกงกง หวังรุ่ยเสวียน และจิ้นหยางที่รอฟังอยู่ “มีพิษชนิดหนึ่งอยู่ในกายของใต้เท้าหวัง สั่งสมมานานแล้ว ใต้เท้าหวัง หากช้ากว่านี้ท่านคงไปปรภพแล้ว”

“ฮะ!” ต่งกงกงตกใจยิ่งนัก เร่งสาวเท้าเดินออกไปทันที

หมอหลวงเหมาเร่งจ่ายยาให้หวังรุ่ยเสวียน “พิษสะสมในร่างจะต้องใช้เวลาขับออกมานานสักหน่อย หวังว่าใต้เท้าจะอดทนสักสามวัน”

คนป่วยพยักหน้ารับ จิ้นหยางมองหมอหลวงคนนั้นประสานสายตากับหวังรุ่ยเสวียน เขาคิดว่าคงจะเป็นหมอหลวงคนนี้กระมังที่เป็นคนของหวังรุ่ยเสวียนที่เจ้านายเอากำยานไปให้

 

มีคนวางยาขุนนางในราชสำนักนับเป็นเรื่องใหญ่ หวังรุ่ยเสวียนผู้นี้มีตำแหน่งเป็นเสนาบดีกรมพิธีการ งานที่มีความสำคัญที่สุดของเขาคือรับผิดชอบงานสอบรับราชการ เขาเป็นขุนนางใหญ่ ทำให้ทั่วราชสำนักระส่ำระสายในทันที ใต้เท้าทั้งสามที่เรียกร้องโจมตีหวังรุ่ยเสวียนเมื่อครู่ตกเป็นเป้าสงสัย ครั้นเจ้ากรมอาญาส่งคนไปสืบที่จวนของเจ้ากรมพิธีการไม่มีพิษ ทหารจึงไปยังหอเหมยเฉียงที่หวังรุ่ยเสวียนแวะเวียนไปประจำ และได้พบว่าสาวใช้นาม ‘เสี่ยวชิว’ ผู้หนึ่งวางยาพิษหวังรุ่ยเสวียน

สาวใช้คนนั้นโดนสอบสวนจนในที่สุดก็พูดชื่อของใต้เท้าหม่าออกมา ด้วยความที่คิดว่าตนไม่รอดแน่ ใต้เท้าหม่าจึงกล่าวถึงเรื่องหวังรุ่ยเสวียนรับสินน้ำใจจากพวกตน พวกเขาคาดว่าใต้เท้าหวังคนนี้คงมือไม่สะอาดนัก จะต้องมีการรับสินบนอื่นๆ อีกแน่ และนั่นทำให้ฮ่องเต้กริ้ว

พระองค์ทรงทราบอยู่แล้วว่าหวังรุ่ยเสวียนรับสินน้ำใจจากใต้เท้าทั้งสาม และสินน้ำใจพวกนั้นก็อยู่ในท้องพระคลังหลวงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะหวังรุ่ยเสวียนนำมาถวายพระองค์เพื่อจุนเจือพระคลังหลวงที่กำลังขาดแคลน และเล่าด้วยว่าสาเหตุที่ได้มานี้เป็นอย่างไร ใต้เท้าหวังคนนั้นอยู่ในจวนที่ฮ่องเต้พระราชทาน ไม่มีการต่อเติมหรือซ่อมแซมเกินความจำเป็น สมถะยิ่งนัก ซ้ำพอมีอะไรดีก็มักจะแอบนำมาถวายพระองค์ พร้อมเล่าที่มาที่ไปด้วย จะกลายเป็นขุนนางเลวไปได้อย่างไร

ฮ่องเต้ซุนหลิงตี้ไม่เอาโทษหวังรุ่ยเสวียน แต่กลับติดใจว่าทำไมใต้เท้าทั้งสามจึงมีทรัพย์สินมากเพียงนี้ ขนาดนำไปมอบให้หวังรุ่ยเสวียนได้ จึงจัดการตรวจสอบและขุดรากถอนโคน เอาทรัพย์สินของพวกตระกูลหม่าเข้าพระคลังหลวง พรรคพวกของชินอ๋องวิ่งวุ่นกันหัวปั่น ขณะที่หม่ากุ้ยเหริน น้องสาวของใต้เท้าหม่าถูกถอดยศ และถูกส่งเข้าไปในตำหนักเย็น

หวังรุ่ยเสวียนถูกส่งกลับมาอยู่ที่จวนตั้งแต่หมอหลวงเหมาทำการฝังเข็มและจัดยาให้แล้ว ตอนนี้เขากำลังนอนขี้เกียจ คล้ายว่าร่างกายของตนสมบูรณ์ดี ไม่มีอาการถูกพิษเลยแม้แต่น้อย เขาเห็นจิ้นหยางกำลังลอบมองตนเป็นระยะจึงกล่าว

“อยากถามอะไรก็ถามมาสิ”

“ทำไม ทั้งๆ ที่ท่านรับสินบน แต่ฮ่องเต้กลับไม่ติดใจเอาความเล่า” จิ้นหยางจำได้ว่าตอนฮ่องเต้ซุนหลิงตี้ขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ พระองค์ไม่พอพระทัยเหล่าขุนนางที่รับสินบนเป็นอย่างยิ่ง กระตือรือร้นทำตนเป็นฮ่องเต้ที่ดีเพื่อให้ไทเฮาพอพระทัย แล้ววันนี้เกิดอะไรขึ้น

“หลักการมีแค่ข้อเดียว...” หวังรุ่ยเสวียนม้วนปลายผมของตนเล่น “หาคนที่พูดจาถูกใจเป็นตัวกลาง”

จิ้นหยางร้อง ‘อ้อ’ เข้าใจได้ทันที อันว่ามนุษย์นั้น แม้จะเป็นเรื่องที่ไม่ชอบแค่ไหน แต่ถ้าเป็นคนที่ตนถูกใจมาช่วยเจรจา จะผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ ต่งกงกงนั้นเป็นขันทีขี้ประจบสอพลอ และเป็นคนโปรดของฮ่องเต้หลิงซุนตี้ เขาย่อมรู้ว่าควรจะใช้วาทศิลป์อย่างไรให้ฮ่องเต้ไม่กริ้วหวังรุ่ยเสวียนเรื่องรับสินบน

มิน่า หวังรุ่ยเสวียนเข้าวังหลวง เหล่าขันทีจึงมองเขาตาเป็นมัน แม้แต่ต่งกงกงยังพินอบพิเทากว่าคนอื่น เขาคือแหล่งขุมทรัพย์ดีๆ นี่เอง

“ตอนที่ท่านไปหาเรื่องสามคนนั้น ท่านรู้ใช่หรือไม่ว่าสามคนนั้นจะต้องสิ้นคิด จนหาเรื่องเล่นงานท่านอย่างแน่นอน” จิ้นหยางถามพร้อมยื่นมือไปนวดบ่าหวังรุ่ยเสวียนอย่างเอาใจ

“อา...” หวังรุ่ยเสวียนทอดสายตามองไปไกล “ใกล้ได้เวลาที่บัณฑิตจะสอบรับราชการ ใครอยากจะเป็นขุนนางก็ต้องผ่านข้า บิดาของพวกเขาไม่ยอมให้ลูกมีเรื่องกับข้าแน่ แต่นิสัยพวกหม่าเจา... ฮึ” หวังรุ่ยเสวียนแค่นยิ้มพร้อมส่ายหน้า

“พักนี้ฝ่าบาททรงเคร่งเครียดเรื่องหางบไปสร้างวังฤดูร้อน ข้าเพียงรับการขอโทษและน้ำใจจากพวกใต้เท้าทั้งสาม มันไม่ได้ร้ายแรงปานนั้น แล้วนำไปถวายพระองค์ พระองค์ย่อมไม่ถือโทษข้า แต่จะต้องสงสัยว่ามีการโกงกิน ลูกน้องแอบยักยอกเงิน ขณะที่เจ้านายร้อนเงิน เจ้าคิดอย่างไรเล่า”

จิ้นหยางยิ้มบาง เพิ่มแรงนวดที่บ่าอย่างมันเขี้ยว “ท่านยื่นดาบให้ฮ่องเต้อย่างประจวบเหมาะยิ่งนักขอรับ แล้วสาวใช้คนนั้น...”

“นางเป็นคนเปิดประตูให้คนพวกนั้นเข้าไปลากตัวเจียวซิ่งออกมาจากห้องของนาง เจ้าคิดว่า... ข้าจะละเว้นหรือ” หวังรุ่ยเสวียนผลิยิ้ม

จิ้นหยางพยักหน้ารับ ครู่หนึ่งจึงถามยิ้มๆ “ว่าแต่นายท่านอยากจะให้ข้าเอาความอะไรไปบอกฮุ่ยอ๋องหรือขอรับ”

หวังรุ่ยเสวียนยิ้ม ดึงเขาเข้ามาใกล้พร้อมกระซิบบอกบางอย่างเบาๆ

 

จิ้นหยางไปส่งข้อความ

ฮุ่ยอ๋องอ่านแล้วรู้สึกไม่พอใจสักเท่าไรนัก เขาถือกระดาษแผ่นนั้นพลางพึมพำกับตนเอง “หวังรุ่ยเสวียนคนนี้เป็นคนไม่มีนอกมีในจริงๆ หรือ”

จิ้นหยางรายงานมาว่า หวังรุ่ยเสวียนนอกจากกินและนอนก็ไม่มีแผนการอะไร เขาดูจะเป็นแมวป่วยขี้เกียจที่ชอบกินปลาอยู่กับบ้านเฉยๆ เท่านั้น แต่คาดว่าเมื่อร่างกายของหวังรุ่ยเสวียนหายดี เขาจะไปเยี่ยมเจียวซิ่ง

“ท่านอ๋อง” คนสนิทของเขากล่าว “จิ้นหยางผู้นี้เชื่อถือได้หรือขอรับ”

ฮุยอ๋องทำหน้าครุ่นคิด “ดูจากการปลอมตัว ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง แต่เขากินยาของข้าไป หากไม่รับยาจากข้าเป็นระยะ เขาจะต้องตาย คงไม่โกหกข้า แต่กระนั้นก็เถอะ เราอย่าประมาท ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นใครบางคนส่งเขามาให้เราเตะตาก็ได้”

“ท่านอ๋องหมายถึง... หนิงอ๋อง” คนฟังตัวสั่น เอ่ยแผ่วเบา

ฮุยอ๋องปั้นหน้าเครียด อีกหนึ่งขั้วอำนาจในวังหลวงนั้นคือหนิงอ๋อง

ทางด้านชินอ๋อง เขาก็ไม่คิดว่าจิ้นหยางจะเป็นคนธรรมดาเช่นเดียวกัน วันนี้แม้หวังรุ่ยเสวียนจะทำหน้าประหลาดใจเพียงแวบเดียว ทว่าเขาก็มองออก มีใครบางคนกำลังชักใยจิ้นหยางอยู่ คนผู้นั้นอาจจะเป็นพวกเดียวกับพ่อลูกแซ่ซุน แต่คนแซ่ซุนยืนหยัดอยู่ข้างกายพระบิดาของเขา หรือความจริงคนพวกนั้นอยู่ฝ่ายของท่านอ๋องสักคน

พอชินอ๋องคิดเรื่องที่เขาเคยเกือบจะรับจิ้นหยางเข้ามาในจวนของตนก็พลันขนหัวลุก

เขาเกือบเอาสายสืบมาไว้ใกล้ตัวเสียแล้ว

แต่กระนั้นพออาหารถูกนำมาวางตรงหน้า แม้จะเลิศรสปานใด ชินอ๋องก็รู้สึกไม่อยากกิน เขาคิดถึงรสมือของจิ้นหยางเหลือเกิน แต่ถ้าจะแย่งตัวอีกฝ่ายมาจากหวังรุ่ยเสวียน ก็อาจจะหมายถึงการชักศึกเข้าบ้านก็เป็นได้

ชินอ๋องคีบเต้าหู้รสจืดกินเข้าไปอย่างไม่รู้รสอะไร

 

“นี่อะไร” หวังรุ่ยเสวียนมองข้าวที่มีเนื้อปลาโปะอยู่ด้านบน แล้วมองจิ้นหยางอย่างสงสัย

“ซูชิขอรับ เป็นอาหารของหมู่เกาะแห่งหนึ่ง นำเอาข้าวหมักมากินคู่กับปลาดิบ ปลาสุก หรือของทะเลอย่างอื่นก็ได้ นายท่านชอบปลา ข้าจึงคิดว่าท่านน่าจะชอบ ลองจิ้มเครื่องปรุงเหล่านี้ดูสิขอรับ เครื่องปรุงสีดำมีความเค็มหอม ขณะที่เครื่องปรุงสีเขียวจะค่อนข้าง... เผ็ด” จิ้นหยางบรรยายความรู้สึกฉุนกึกของวาซาบิไม่ออก เขาจึงทำเพียงกล่าวเตือน “ความจริงควรจะแต้มเครื่องปรุงสีเขียวบนเนื้อปลา ทว่าข้ากลัวท่านไม่พอใจ เลยให้ท่านลองด้วยตัวเองดีกว่า”

หวังรุ่ยเสวียนทำท่าจะเอาตะเกียบคีบ ทว่าจิ้นหยางยกมือขึ้นเสียก่อน “การกินที่ถูกต้องที่สุดคือใช้มือ มาล้างมือก่อนขอรับนายท่าน”

เขาเตรียมน้ำล้างมือไว้ให้หวังรุ่ยเสวียนแล้ว และถือวิสาสะจับมือของหวังรุ่ยเสวียนไปล้างน้ำ

ถึงจะเป็นมือเรียวงามราวกับหยก แต่ถ้าสัมผัสก็ให้ความรู้สึกสากไม่เรียบลื่นอย่างผู้ฝึกวรยุทธ์ จิ้นหยางลูบฝ่ามือพวกนั้นทีละนิ้วอย่างใจลอย จนหวังรุ่ยเสวียนถามเบาๆ

“เจ้าหลอกจับมือข้าหรือ”

“รู้ทันเสียแล้ว” จิ้นหยางยกมือที่สัมผัสอีกฝ่ายขึ้นถูกับแก้มตัวเอง ท่วงท่าคล้ายคนหื่นกามได้สัมผัสมือสาวที่ตนชอบ จนหวังรุ่ยเสวียนอยากจะเอากะละมังใส่น้ำสาดใส่อีกฝ่ายเพื่อไล่ผีร้ายออกไป

“แหม นายท่าน ท่านก็ทราบว่าท่านรูปงามเป็นที่ถูกอกถูกใจของข้า พอมีโอกาส ข้าก็เลย... อิๆ” จิ้นหยางปิดปาก ส่งสายตาประมาณว่า ‘พูดไม่ได้’

หวังรุ่ยเสวียนเท้าคางมองอีกฝ่าย “ข้าหาเมียให้เจ้าดีหรือไม่”“ขอนมใหญ่ๆ ขอรับ” จิ้นหยางตอบทันทีก่อนจะเอ่ย “ใต้เท้ารีบกินเถอะ ปลาถูกอากาศนานๆ จะไม่ได้รสสัมผัสที่ดี” เขาเอื้อมมือมาจับมือหวังรุ่ยเสวียน กดให้นิ้วอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม “จับแบบนี้นะขอรับ และเอาเข้าปากในคำเดียว”

หวังรุ่ยเสวียนหรี่ตามองเขา จิ้นหยางเลยถอนหายใจ ดึงมือนายท่านให้ป้อนซูชิเข้าปากตนครึ่งหนึ่ง ก่อนจะเหลืออีกครึ่งให้ชายหนุ่ม ทำมือเป็นทำนองว่า ‘เชิญขอรับ’

หวังรุ่ยเสวียนตอบแทนโดยการยัดครึ่งที่เหลือใส่ปากอีกฝ่าย ก่อนออกคำสั่ง “ทำมาใหม่”

มือของหวังรุ่ยเสวียนยังปิดปากของจิ้นหยางอยู่ เด็กหนุ่มส่งซูชิทั้งคำเข้าปากแล้ว เจ้าของจวนจึงละมือออก ทว่าจิ้นหยางคว้ามือของเขาเอาไว้ พร้อมแลบลิ้นเลียข้าวที่ติดซอกนิ้วของอีกฝ่ายอย่างไม่ยอมให้เสียของ ผลปรากฏว่าหวังรุ่ยเสวียนตวัดมือตบศีรษะของคนครัวโดยเร็ว

หวังรุ่ยเสวียนล้างมือ ขณะที่จิ้นหยางลูบศีรษะป้อยๆ หยิบเอาชิ้นปลาขึ้นมาวางก่อนจะกล่าว “ใต้เท้าดูนะขอรับ ข้าไม่ได้ใส่ยาพิษ”

เขาปั้นซูชิอีกหนึ่งคำ หวังรุ่ยเสวียนจึงค่อยลองลิ้มรส เจ้าตัวยกมือขึ้นอุดปากเมื่อเผลอแต้มเครื่องปรุงรสสีเขียวนั้นเยอะไปนิด เด็กหนุ่มอยากจะกล่าวสมน้ำหน้า แต่ครานี้เกรงว่าหัวจะหลุดจากบ่า เลยต้องกลั้นเอาไว้

หวังรุ่ยเสวียนชอบกินปลา ดังนั้นจึงกินซูชิกับซาชิมิได้มาก ชายหนุ่มเองก็ประหลาดใจเช่นเดียวกัน ทั้งที่อาหารก็ดูไม่ได้ปรุงแต่งอะไรมากมาย ทว่ารสชาติอย่างธรรมชาติของอาหารพวกนี้กลับดึงดูดให้เขากินคำต่อไปได้เรื่อยๆ อาจเป็นเพราะจิ้นหยางเปลี่ยนชนิดของปลาไปเรื่อยๆ หวังรุ่ยเสวียนจึงถามขึ้น

“ที่ลั่วหยางมีขายปลาพวกนี้ด้วยหรือ”

เขาจับสังเกตว่าไม่เคยกินปลาพวกนี้ในลั่วหยาง จิ้นหยางไม่ได้ชะงัก เพราะเตรียมใจและเตรียมคำตอบเอาไว้แล้ว ปลาพวกนี้ส่วนมากเขาดึงออกมาจากห้องครัวส่วนตัวของตนเอง ที่มีปลาหลากชนิดแหวกว่ายอยู่ในตู้กระจก

“ข้าซื้อที่ร้านลับเฉพาะ เป็นปลาที่ต้องออกเรือไปจับที่หมู่เกาะแห่งหนึ่ง ดังนั้นจึงมีขายน้อยมาก แต่ข้าก็ได้มาขอรับ” จิ้นหยางยิ้มให้เขา “อาหารพวกนี้พอจะทำให้ท่านเจียวซิ่งมีความสุขได้บ้างหรือไม่ขอรับ”

“นับว่าดี” หวังรุ่ยเสวียนพยักหน้ารับ

จิ้นหยางล้างมีดของตนเองพลางกล่าว “ที่จริงท่านเจียวซิ่งมิได้ชอบกินปลานะขอรับ”

หวังรุ่ยเสวียนชะงัก จิ้นหยางยิ้ม “ข้ามองออกว่านางชอบกินปู”

พอเห็นแววตาของนายท่านไหววูบ คนครัวก็หุบยิ้ม แล้วเริ่มรู้สึกว่ามีอะไรไม่ถูกต้อง “มีอะไรหรือขอรับ”

“ไม่มี” ใต้เท้าหวังตอบง่ายๆ “เช่นนั้น พรุ่งนี้เช้าตรู่เจ้าหาซื้อปูไปฝากนางเถอะ”

กล่าวจบเขาก็หยัดกายลุกขึ้น เดินออกจากห้องครัวไป จิ้นหยางมองตามอย่างงุนงง เมื่อครู่นี้... รู้สึกเหมือนหวังรุ่ยเสวียนจะไม่ค่อยพอใจ... ใช่หรือไม่

 

เจียวซิ่งล้มป่วยจากเหตุการณ์นั้น และเพราะนางมีเรื่องกับคุณชายทั้งสามคน อีกทั้งหวังรุ่ยเสวียนก็ไม่มีท่าทีแสดงตัวช่วยเหลือนาง ทำให้ไม่มีใครกล้าให้นางทำงานในระยะนั้น พอหวังรุ่ยเสวียนปรากฏตัวที่หอเหมยเฉียง ก็พาเอาทุกคนประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง ใต้เท้าหวังน่าจะทอดทิ้งเจียวซิ่งไปแล้ว แต่เขาก็ยังกลับมาหานาง

จิ้นหยางแอบคิดว่าเจียวซิ่งจะต้องโกรธหวังรุ่ยเสวียนมากแน่ๆ ที่เขาไม่ยอมช่วยเหลือนาง และหวังรุ่ยเสวียนก็จะต้องอธิบายหลายเรื่องให้ยอดดวงใจของเขาฟัง แต่กลายเป็นว่าพอเจียวซิ่งพบหวังรุ่ยเสวียน นางกลับตรงเข้ามาจับแขนพลางกวาดตามองเขา

“เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่”

“ข้าต้องถามท่านมากกว่ากระมัง” หวังรุ่ยเสวียนแตะนวลแก้มของนาง กวาดตามองนางที่ผ่ายผอมลงพร้อมกล่าว “เราจะไม่เอ่ยถึงมัน”

เจียวซิ่งตาแดงก่ำ พยักหน้ารับพร้อมยิ้มอ่อนหวาน พอเห็นจิ้นหยางมาด้วย นางก็แย้มรอยยิ้ม ยอบกายให้เด็กหนุ่ม

“ขอบคุณคุณชายจิ้นที่ช่วยเหลือข้าในวันนั้น”

จิ้นหยางวางลังไม้ลง ประสานมือกลับ “ข้าเองก็ต้องขอบคุณที่แม่นางเจียวไม่เอ่ยนามของข้าในศาล”

เจียวซิ่งแย้มรอยยิ้มจริงใจให้จิ้นหยาง จิ้นหยางไม่สงสัยเลยว่า ทำไมหวังรุ่ยเสวียนจึงได้รักใคร่นาง ถึงขนาดยอมเสี่ยงขัดแย้งกับใต้เท้าทั้งสามเพื่อแก้แค้นให้นาง หญิงสาวเฉลียวฉลาด จริงใจ และอ่อนโยน หายากที่บุรุษจะไม่ทะนุถนอม

จิ้นหยางสังเกตได้ว่าแววตาของเจียวซิ่งยังหมองหม่นจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สตรีวัยกลางคนที่คอยดูแลรับใช้เจียวซิ่งเองก็ลุกจากเตียงมาเพื่อขอบคุณจิ้นหยางด้วยเช่นกัน ก่อนหน้านี้นางคงมองว่าจิ้นหยางเป็นคนที่หวังรุ่ยเสวียนอยากจะสังหาร จึงไม่ได้แนะนำตัว แต่ตอนนี้นางแนะนำตัวเองว่า ‘อาเจา’ จิ้นหยางมั่นใจสิบส่วนว่าอาเจาจะต้องเป็นคนที่หวังรุ่ยเสวียนส่งมาอารักขาเจียวซิ่งโดยเฉพาะ และเพราะวันนั้นอีกฝ่ายใช้พวกมากจึงทำร้ายนางได้

“คุณชายจิ้นเป็นยอดฝีมือ ข้ามีตาแต่หามีแววไม่” อาเจาเอ่ย กวาดตามองจิ้นหยางหนึ่งครา คนครัวรู้สึกร้อนหนาวกับสายตาเช่นนั้นจึงทำท่าเอียงอาย

“ไม่กล้ารับขอรับ ข้าเป็นเพียงพ่อครัวพเนจรผู้หนึ่ง”

จิ้นหยางอยากดึงความสนใจของสตรีสองวัย ดังนั้นจึงล้วงบางอย่างขึ้นมาจากลังไม้ ในนั้นคือปูตัวใหญ่ที่ทำเอาทุกคนต้องอ้าปากค้าง ขนาดหวังรุ่ยเสวียนยังเสียกิริยา

“นั่นมันตัวประหลาดอันใด” หวังรุ่ยเสวียนถาม

“ปูอลาสก้า” จิ้นหยางทำหน้าไม่พอใจเมื่อเห็นท่าทางของหวังรุ่ยเสวียน ที่มองของดีว่าเป็นตัวประหลาด เขาตบกระดองปูเสียงดัง “ปูยักษ์ที่ใครต่อใครก็อยากกิน นายท่านทำหน้าเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรขอรับ เจ้าปูนี่ หากไม่รักกันจริง ข้าไม่หามาให้หรอกนะ นายท่านไม่อยากกินก็ไม่ต้องกิน เปลือง!”

เจียวซิ่งเห็นท่าทางของบุรุษทั้งสองก็หัวเราะออกมาเบาๆ เสียงหัวเราะของนางทำเอาหวังรุ่ยเสวียนที่ทำท่าอยากจะเถียงสักคำสองคำก็ปิดปากสนิท ส่งสายตาให้คนครัวประมาณว่า ‘ฝากไว้ก่อนเถอะ’

จิ้นหยางรู้สึกดีที่ได้เล่นงานหวังรุ่ยเสวียนเล็กๆ น้อยๆ เขาทำน้ำจิ้มออกมาหลากหลายรูปแบบ ก่อนบอกเจียวซิ่ง “แม่นางเจียวชอบกินปู และปูก็มีรสชาติที่อร่อยอยู่แล้ว ขอเพียงสดใหม่แล้วเอาไปต้มให้สุกก็เป็นอาหารเลิศรสได้ นี่ขอรับ”

เขาแกะขาปูอลาสก้า เผยให้เห็นเนื้อขาวลายแดง “ลองแตะน้ำจิ้มซีฟู้ดสูตรพิเศษของข้าแล้วกินเลยขอรับ”

“เจ้าตั้งชื่ออาหารแปลกดีนะ” หวังรุ่ยเสวียนอดกล่าวไม่ได้

จิ้นหยางรู้ว่าเขาพูดมากในวันนี้เพราะอยากให้เจียวซิ่งอารมณ์ดี จึงอดหมั่นไส้ไม่ได้ เอาขาปูแกะเปลือกเหลือแต่ก้อนเนื้อแตะน้ำจิ้ม แล้วยัดใส่ปากหวังรุ่ยเสวียนไปทันที ชายหนุ่มโดนเนื้อปูยัดปากก็หรี่ตามองจิ้นหยาง หลังจากลองชิมคนละคำแล้ว หวังรุ่ยเสวียนก็พูด

“เนื้อก็เหมือนปูธรรมดา”

“นายท่านลองจุ่มเนยเหลวดูสิขอรับ” ชาวตะวันตกชอบกินเนื้อปูจุ่มเนยเหลว จิ้นหยางปล่อยให้คนกินอาหารลองลิ้มรสชาติอาหารแปลกใหม่ ตนหยิบจาน วางเนื้อขาวทรงยาวที่มีสีแดงด้านหนึ่ง

“พวกท่านลองกินสิ่งนี้ดูขอรับ” จิ้นหยางยิ้ม

เจียวซิ่งคีบมันเข้าปากแล้วบอกเบาๆ “ก็เนื้อปูนี่เจ้าคะ”

“มิใช่ขอรับ” จิ้นหยางยิ้มกว้าง “สิ่งนี้คือปูเทียมที่ทำมาจากเนื้อปลาล้วนๆ”

เจียวซิ่งตกใจจนต้องลองกินอีกคำ ได้แต่ถามอย่างสงสัย “คุณชายจิ้นทำเองหรือเจ้าคะ”

“อะโฮะ ไม่อยากจะโม้” จิ้นหยางโบกมือ กล่าวต่อในใจ ‘หยิบมาจากคลังล้วนๆ’ เขาเช็ดมือแล้วกล่าว “เอาละขอรับ ครานี้เรามากินอาหารกันอย่างจริงจังเถอะ นายท่านของข้าเตรียมอาหารมื้อนี้ให้แม่นางเจียวโดยเฉพาะ”

เขาหยิบเอาลังไม้ที่บรรจุข้าวญี่ปุ่นและวัตถุดิบทั้งหลายออกมา จากนั้นจึงจัดการทำซูชิให้พวกเขา

สำหรับคนกินอาหาร เมื่อเห็นคนทำอาหารทำให้กินต่อหน้าทุกกระบวนการและขั้นตอน พวกเขาจะรู้สึกอยากอาหารมากขึ้น เสน่ห์ของซูชินั้นคือความหลากหลายของมัน รสชาติของอาหารแต่ละคำแปลกใหม่ ขนาดเจียวซิ่งไม่ค่อยอยากอาหารในช่วงนี้ยังกินได้หลายคำ และตบท้ายด้วยซุปมิโสะที่จิ้นหยางทำให้

เจียวซิ่งวางถ้วยน้ำแกงที่ยกขึ้นซดลง ไม่นานก็ระบายรอยยิ้มที่มุมปาก “ขอบคุณ” นางยิ้มให้พวกเขาอย่างอ่อนโยน แม้จะมีความอ่อนล้าแฝงอยู่ก็ตาม “เพราะว่าข้าทำให้พวกท่านต้องลำบาก แต่จากนี้ไปข้าไม่เป็นอะไรแล้ว”

เจียวซิ่งมองไปที่หวังรุ่ยเสวียนอย่างอ่อนโยนและลึกซึ้ง “ข้ารู้ว่าเจ้าทุ่มเทเพื่อข้ามากขนาดไหน ขอบคุณจริงๆ”

ดวงตาของหวังรุ่ยเสวียนอ่อนแสงลง เขากุมมือนางมาแนบที่แก้มของตัวเอง “ได้โปรดรักษาตัวให้ดี”

จิ้นหยางอยู่หลังเตา เห็นภาพ ‘รักใคร่ลึกซึ้ง ไม่มีผู้ใดแทรกกลางได้’ ของสองคนตรงหน้า ในใจส่วนหนึ่งก็รู้สึกประหลาด ก่อนยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน ชายหนุ่มคนหนึ่งทำเพื่อหญิงสาว ขณะที่หญิงสาวก็เข้าใจและห่วงใยเขามาโดยตลอด นี่คือคู่รักที่สมบูรณ์แบบคู่หนึ่ง

หวังรุ่ยเสวียนเอ่ยลาเจียวซิ่ง ครานี้นางเดินมาส่งเขาด้วยตัวเองที่หน้าประตูใหญ่ ตอนที่หวังรุ่ยเสวียนกางร่ม เจียวซิ่งลอบคว้าแขนเสื้อของจิ้นหยางเอาไว้ พอเด็กหนุ่มหันไป นางก็หยิบเอาปิ่นอันหนึ่งขึ้นมา

“คุณชายจิ้น ท่านเป็นคนสนิทของใต้เท้าหวัง ข้า...ข้ามีเงินไม่มากนัก แต่อยากให้ท่านช่วยรับเอาไว้”

จิ้นหยางงุนงงวูบหนึ่ง หวังรุ่ยเสวียนมาที่นี่บ่อยๆ เหตุใดเจียวซิ่งจึงได้ทำเหมือนมอบสินบนให้เขาพาผู้ชายมาหานางเช่นนี้ เจียวซิ่งยัดปิ่นใส่มือของเขา แล้วกำมือของเขาเอาไว้แน่น

“ฝากดูแลเขาด้วยเจ้าค่ะ” หญิงสาวกล่าวอย่างจริงจัง ดุจวางความหวังทั้งมวลไว้ให้จิ้นหยาง “เขาอยู่ในสถานที่ที่อันตรายกว่าข้ามากนัก ข้าขอร้องท่าน ได้โปรดปกป้องเขาด้วย”

“แม่นางเจียว...” จิ้นหยางขยับปาก ดันมือที่ถือปิ่นของเจียวซิ่งจะคืนให้นาง

“ทำอะไรกันน่ะ” หวังรุ่ยเสวียนถือร่มรอ หันไปถามเสียงเรียบ จิ้นหยางเลยได้จังหวะ รีบวิ่งไปก่อนที่เจียวซิ่งจะยัดของมีค่าของนางใส่ในมือเขา

“ไม่มีอะไร แม่นางเจียวก็พูดเรื่องอาหารกับข้าเฉยๆ นายท่านหึงหรือ” เขามองหวังรุ่ยเสวียนอย่างขี้เล่น “ท่านหึงข้าหรือหึงนางขอรับ โอ๊ย!”

หวังรุ่ยเสวียนเขกศีรษะของบ่าวรับใช้ ก่อนหันไปมองเจียวซิ่ง หญิงสาวยิ้มให้เขา เขาก็โค้งให้นาง จากนั้นจึงเดินนำจิ้นหยางจากไป คนครัวไม่กล้าหันไปมองเจียวซิ่ง กลัวว่านางจะขอร้องเขาอีก รีบตามนายท่านไป ในใจเกิดความเศร้าขุมหนึ่ง

เขามองแผ่นหลังเหยียดตรงของหวังรุ่ยเสวียน ครุ่นคิดเงียบๆ ‘สักวันข้าจะไปจากเขา ข้าไม่อาจรับปากนางได้’

ใช่ สักวันเขาจะไปจากหวังรุ่ยเสวียน

จิ้นหยางส่ายหน้าแรงๆ แล้วรีบเดินไปเคียงข้างหวังรุ่ยเสวียนแล้วถาม “มื้อต่อไปนายท่านอยากจะกินอะไร”

 

หวังรุ่ยเสวียนให้จิ้นหยางคอยตามรับใช้ตอนที่เขาเข้าวังหลวง คนครัวคนเก่งตื่นมาจัดปิ่นโตยืนรอใต้เท้าหวังออกมาจากที่ประชุมขุนนางที่เหล่าบ่าวรับใช้ไม่มีสิทธิ์ได้ฟัง ในวังหลวงแห่งนี้มีสถานที่ที่ให้ขุนนางหยุดพักและกินอาหาร ก่อนจะเข้าประชุมช่วงบ่าย ตอนที่หวังรุ่ยเสวียนออกมากินอาหาร ก็มีขุนนางหลายคนตามเขามาด้วย

“ใต้เท้าหวัง ข้าจองโต๊ะที่เหลาสุราไว้ให้ อยากจะเชิญท่านไปสักหน่อย”

“ไม่ได้ๆ ใต้เท้าหวังจะต้องไปที่ร้านอาหารกับข้าต่างหาก”

มีการแย่งตัวคนงามเกิดขึ้น จิ้นหยางมองหวังรุ่ยเสวียนที่กล่าวปฏิเสธอย่างสุภาพ ยกเรื่องสุขภาพของตนมาเป็นข้ออ้าง ก่อนจะเดินมาหาคนของตนเอง พากันไปนั่งโต๊ะสำหรับกินอาหาร จิ้นหยางเปิดปิ่นโตเหล็กที่หยิบออกมาจากมิติของตนเอง ใต้เท้าคนงามจับปิ่นโตพลางกล่าว

“เจ้ามีของแปลกเยอะจริงๆ”

“นายท่านลองดู” จิ้นหยางเปิดปิ่นโต “วันนี้ข้าทำปลาย่างซีอิ๋วมาให้ท่าน ข้าวผัดกระเทียมหน้าปลาไหล ยังมีไก่คั่วตะไคร้ และน้ำแกงใส่เกี๊ยวกุ้ง ส่วนของหวานนั้นเป็นผลไม้หั่นแช่เย็นด้วยน้ำแข็ง”

ลำพังแค่ปิ่นโตก็ทำเอาคนอื่นมองอย่างสนใจแล้ว พอเห็นอาหารแต่ละอย่างก็ชวนให้น้ำลายสอขึ้นมาทันที จิ้นหยางเอาตะเกียบเงินคีบอาหารเข้าปาก ทดสอบพิษให้อีกฝ่ายพร้อมเอ่ย

“ปลาย่างซีอิ๊วนี้ข้าเลือกปลาอย่างดี ซีอิ๋วรสชาติหวานนำเค็ม ด้วยเกรงว่านายท่านจะเลี่ยน ข้าจึงเตรียมผักดองมาให้เล็กน้อย ส่วนข้าวผัดกระเทียมหน้าปลาไหลนี้ นายท่านก็เคยกินเมื่อวันก่อน เห็นว่าท่านชอบ ข้าจึงนำมาด้วย น้ำแกงใส่เกี๊ยวกุ้งช่วยให้ลื่นคอ หากท่านกลัวว่าปากจะมีกลิ่นกระเทียม ข้าก็เตรียมยาอมมาให้ด้วยนะ”

หวังรุ่ยเสวียนยิ้มออกมาเล็กน้อย กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง คนผู้หนึ่งก็ส่งเสียงขึ้น

“ใต้เท้าหวังสมแล้วที่เป็นผู้มีเงินถุงเงินถัง แม้แต่อาหารของท่านก็ดูมีระดับ เฮ้อ ขณะที่ชาวบ้านต้องกินข้าวกับผักต้ม...”

จิ้นหยางหันไปมองคนพูด เห็นเป็นชายชราผู้หนึ่ง ครั้นกวาดตามองให้ดีก็อุทานในใจ เขาจำคนผู้นี้ได้ดี

ราชครูกู้... เป็นราชครูมาตั้งแต่หนุ่มยันแก่ ทั้งเถรตรงและซื่อสัตย์ภักดี เป็นหนึ่งในเสาใหญ่ค้ำชูต้าหลิวแห่งนี้มาเนิ่นนาน คนผู้นี้คือขุนนางตงฉินที่เหลือน้อยมากในยุคนี้ ชั่ววูบหนึ่งเขาเห็นหวังรุ่ยเสวียนเหยียดยิ้มที่ทำให้ตนเสียวสันหลังวาบ

“ความจริง อาหารนี้ก็ดีอยู่หรอก แต่ว่าน่าจะมีของที่แพงกว่านี้นะ หยางหยาง พรุ่งนี้เตรียมของที่ดีกว่านี้มาสิ”

ทราบว่าเขาจงใจประชด จิ้นหยางจึงถูมือ “นายท่านอยากได้อะไรขอรับ หูฉลามน้ำแดง เนื้อวัวอย่างดีย่างไฟอ่อนๆ อา... แต่นายท่านชอบปลา เช่นนั้นข้าขอแนะนำไข่ปลาชนิดหนึ่ง มีค่ายิ่งกว่าทองพันชั่ง นับเป็นหนึ่งในอาหารที่เลิศรสหรูหราที่สุด ยามกินจะต้องมีช้อนเฉพาะ”

หวังรุ่ยเสวียนเท้าคางมองคนของตน เหลือบแลคนที่กำหมัดแน่นจนเห็นเส้นเลือด ดูท่าทางลมหายใจจะติดขัด ก่อนกล่าว

“มีอีกหรือไม่”

จิ้นหยางทำหน้าเง้างอด “นายท่าน ท่านก็ทราบว่าหากเอ่ยเรื่องอาหาร หยางหยางมีมากมายสาธยายวันเดียวไม่หมด จะเอาปูที่ดีที่สุด ปลาที่แพงที่สุด เนื้อวัวที่ดีที่สุด หรือว่าเครื่องเทศที่มีค่ากว่าทองคำ หยางหยางก็มีให้ท่านทั้งนั้น ขอเพียงท่านสั่งมาคำเดียว”

“ดี” หวังรุ่ยเสวียนยิ้ม “ไปหาปูที่ดีที่สุดมา ข้าอยากจะถวายฝ่าบาท”

“หวังรุ่ยเสวียน!” คราวนี้ตาแก่ที่แทบจะจุกอกตายเมื่อครู่ตะเบ็งเสียงทันที “ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งกี่หน! จะถวายอะไรแด่ฝ่าบาทก็ควรระลึกถึงผู้อื่นไว้บ้าง! เพราะผลไม้ทางตอนเหนือของเจ้าในครานั้น รู้หรือไม่ว่าจะต้องเสียม้าไปกี่ตัว ถึงจะเอามาได้!”

หวังรุ่ยเสวียนเลิกคิ้ว “ท่านราชครู ท่านกล่าวอะไรผิดไปหรือไม่ ข้าเป็นข้าราชบริพาร ได้พบของดี เหตุใดจะไม่ถวายฝ่าบาท” ใต้เท้าคนงามยิ้มเล็กน้อย “หรือว่าท่านจะบอกให้ข้าถวายผักต้มเพื่อให้ฝ่าบาทเสวย จึงถือว่าดีเล่า”

“เจ้า...!”

“ท่านราชครูกู้!” ขุนนางตงฉินสองสามคนเร่งจับราชครูเอาไว้ “...ที่นี่วังหลวงนะขอรับ!”

หวังรุ่ยเสวียนถกแขนเสื้อตนเอง จับตะเกียบพร้อมกล่าว “ท่านราชครู หากท่านมีเรื่องไม่พอใจสิ่งใดกับข้า ข้าขอเสนอว่า... ให้ท่านถวายฎีกาแด่ฝ่าบาท ดีกว่ามาหาเรื่องข้าที่นี่ นั่นแหละคือสิ่งที่ขุนนางตงฉิน... พึง-กระทำ”

ชายชราทำท่าทางอัดอั้น คล้ายอยากจะเอ่ยอะไร แต่สุดท้ายก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป หวังรุ่ยเสวียนกระตุกยิ้ม ก่อนจะคีบเนื้อปลาเข้าปาก

“อร่อย”

“นายท่านอยากได้ปูยักษ์นั้นจริงหรือไม่ขอรับ” จิ้นหยางถามยิ้มๆ

“จริง” หวังรุ่ยเสวียนยิ้ม สายตานุ่มนวลขึ้น “บอกข้ามาซิว่าเจ้าไปหามันจากที่ใด”

“อือ...” จิ้นหยางกอดอกครุ่นคิด “มันเป็นปูที่ต้องไปหายังแดนไกล... ไกลมากๆ นอกจากข้าแล้วก็คงไม่มีใครหาได้ แต่ถ้านายท่านต้องการ ข้าสามารถหาให้ได้วันละหนึ่งตัวนะขอรับ” ในมิติของเขา วัตถุดิบจะปรากฏขึ้นใหม่ในวันรุ่งขึ้น

หวังรุ่ยเสวียนยิ้มมากขึ้น “ขอแค่ตัวเดียวเท่านั้น”

 

ปูตัวใหญ่ที่มีหนามแหลมถูกขันทียกเข้าไปใกล้ฮ่องเต้ซุนหลิงตี้ ฮ่องเต้ในวัยกลางคนอดมองอย่างตื่นตาตื่นใจไม่ได้ 

“กินได้ด้วยหรือ”

หวังรุ่ยเสวียนยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าว “พ่ะย่ะค่ะ มีอยู่สองตัว กระหม่อมกลัวว่าจะไม่ดีอย่างที่คนพเนจรเล่าลือ จึงลองกินไปหนึ่งตัว เนื้อที่ขาของมันนับว่าเลิศรส ชิมแล้วอดคิดถึงฝ่าบาทไม่ได้ จึงได้นำมาถวาย”

“ดีๆ ต่งกงกง เจ้าไปแกะมา เราจะลองชิม” ฮ่องเต้ซุนหลิงตี้เร่งบอกขันทีคนสนิท ไม่นานเนื้อปูขาวแดงก็ถูกวางใส่จาน พอชิมไปคำเดียว ฮ่องเต้ก็หัวเราะ

“ดี! ดียิ่ง! หวังรุ่ยเสวียน คนพเนจรผู้นั้นยังอยู่หรือไม่ เราอยากจะเอาไปให้เสียนเฟย นางชอบปูยิ่งนัก”

“ทูลฝ่าบาท คนพเนจรผู้นั้นไปจากลั่วหยางแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไร้ความสามารถ น่าจะรั้งเขาเอาไว้ แต่ก็พอจะทราบว่าปูชนิดนี้อยู่ในแดนไกล ต้องพบหุบเขาน้ำแข็งจึงจะจับมันได้ นอกจากนี้กระหม่อมไม่ทราบจริงๆ ขอทรงลงพระอาญากระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ” หวังรุ่ยเสวียนกล่าวอย่างนอบน้อม

“หากเราจะให้เจ้าค้นหา จะทำได้หรือไม่” ฮ่องเต้ลิ้มรสอีกสองคำ ก่อนจะตัดใจอย่างเสียดาย เนื้อปูเลิศรสขนาดนี้ เขาจะต้องนำไปมอบให้นางในดวงใจเท่านั้น

“ทูลฝ่าบาท เพื่อพระองค์แล้ว กระหม่อมยอมตามหามันแน่ เพียงแต่ว่า... การที่กระหม่อมนำมันมาถวายเช่นนี้ ก็มากพอจะทำให้คนบางกลุ่มเห็นความจงรักภักดีของกระหม่อมเป็นอื่น ดังนั้น... คงจะดีกว่าหากฝ่าบาทมอบโอกาสนี้ให้แก่ผู้อื่นพ่ะย่ะค่ะ”

“ฝ่าบาท” ต่งกงกงรีบเข้าไปประชิด “วันนี้ใต้เท้าหวังถูกราชครูตำหนิเรื่องถวายบรรณาการอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฮ่องเต้ฟัง

ฮ่องเต้ซุนหลิงตี้โมโหจนขว้างตะเกียบ “เราคงจะให้ความสำคัญแก่ราชครูกู้มากไปแล้วกระมัง ผู้อื่นแสดงความจงรักภักดีเช่นนี้ เขากลับมาตำหนิได้!”

“ฝ่าบาทอย่ากริ้วให้พระวรกายต้องเป็นอันตรายพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเข้าใจเจตนาของท่านราชครูดี เขาก็คง... เห็นว่าพระองค์ให้ความสำคัญแก่กระหม่อมจึงเกิดริษยาขึ้นมา ท่านราชครูรับใช้ราชสำนักมานาน พักนี้ฝ่าบาทห่างเหินเขาไปมากแล้ว ถ้าอย่างไร...” ดวงตาของหวังรุ่ยเสวียนวาววับ “...ฝ่าบาทมอบหมายให้ราชครูตามหาปูเช่นนี้ พอเขาทำสำเร็จก็ทรงมอบรางวัลแก่เขา ทำเช่นนี้จะถือว่ามีพระเมตตาเผื่อแผ่ทุกคน และยังเป็นการตอบแทนที่ท่านราชครูทุ่มเทแรงกายแรงใจให้ราชสำนักมานานพ่ะย่ะค่ะ”

“ความคิดดี!” ฮ่องเต้ซุนหลิงตี้พยักหน้ารับ “เช่นนั้น... เราจะมอบหมายหน้าที่นี้ให้ราชครู ใต้เท้าหวัง เจ้าร่างกายอ่อนแอกลับไปพักเถอะ ต่งกงกง มอบทองคำให้ใต้เท้าหวังหนึ่งหีบด้วย”

“ฝ่าบาท” หวังรุ่ยเสวียนรีบพูด “การถวายบรรณาการเป็นสิ่งที่บ่าวรับใช้ควรกระทำ กระหม่อมไม่ต้องการสิ่งตอบแทน เพียงแค่หวังให้พระองค์ทรงพระเกษมสำราญเท่านั้น ไม่นานมานี้พระองค์รับสั่งจะสร้างวังใหม่ ยังต้องใช้ทุนรอนอีกมาก กระหม่อมไม่ขอรับทองพ่ะย่ะค่ะ ขอเพียงฝ่าบาทเชื่อในความภักดีของกระหม่อม เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว”

ฮ่องเต้ซุนหลิงตี้พอพระทัยมาก “ขุนนางที่ดี ความภักดีของเจ้า เรารับเอาไว้แล้ว เจ้าร่างกายไม่แข็งแรง กลับไปพักผ่อนเสียเถิด”

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”

หวังรุ่ยเสวียนโขกศีรษะ ก่อนหยัดกายลุกขึ้น ทันได้ยินว่าฮ่องเต้จะพระราชทานปูพวกนั้นทั้งหมดให้เสียนเฟย เขาก็ยิ้มออกมาบางๆ

 

“เสียนเฟยสุดที่รักของฮ่องเต้ชอบปูนี่เอง ราคาปูตามท้องตลาดจึงได้มีราคาแพงขนาดนั้น” จิ้นหยางกล่าว พร้อมลงมือใช้หวีงาช้างสางผมที่ยาวเลยเอวให้หวังรุ่ยเสวียน “นายท่านเอาปูอลาสก้าไปถวายฝ่าบาท คงจะเป็นที่พอพระทัยมากใช่หรือไม่ขอรับ”

“ใช่ เป็นความดีความชอบของเจ้าด้วยนะ” หวังรุ่ยเสวียนยิ้มบางๆ

“เช่นนั้น...” จิ้นหยางยื่นมือไปตรงหน้าอีกฝ่าย กระดิกนิ้วรอรับเงิน หวังรุ่ยเสวียนหมั่นไส้เลยจับมือขาวนั้นยัดเข้าปากแล้วกัดโดยแรงทีหนึ่ง เด็กหนุ่มร้อง “อูย! นายท่าน ข้าเคยบอกแล้วมิใช่หรือขอรับว่าสำหรับคนครัวแล้ว มือคือสิ่งมีค่า!”

ใต้เท้าคนงามอารมณ์ดีมาก จึงหัวเราะกับคำพูดของเขา จิ้นหยางเห็นเช่นนี้ก็พลอยผ่อนคลายไปด้วย

“แล้วท่านอยากจะได้มันอีกหรือไม่ ข้าจะได้...”

“ไม่ต้อง ฟังคำข้า คนที่ขายปูนั่นให้เจ้า... ไปฆ่าเขาซะ” ดวงตาของใต้เท้าหนุ่มเรืองรองวูบหนึ่ง “อย่าให้ใครตามหาปูนั่นเจออีก”

จิ้นหยางจุ๊ปากเบาๆ “หากเช่นนั้น... ท่านก็คงจะต้องสังหารข้านี่แหละขอรับ เพราะว่าข้านี่แหละเป็นคนเอามันออกมาเอง นอกจากข้าแล้ว ผู้อื่นไม่มีสิทธิ์”

หวังรุ่ยเสวียนหันไปมองเขาด้วยสายตาเคลือบแคลงทันที จิ้นหยางยิ้ม

“นายท่านจะสังหารข้า ก็ต้องดูว่าท่านมีปัญญาหรือไม่ ข้าเองก็อยากจะรู้มานานแล้วว่า ระหว่างเราสองคน ใครจะมีวรยุทธ์เหนือกว่ากัน”

ครั้นเห็นสายตาท้าทายที่มองมา หวังรุ่ยเสวียนก็หัวเราะเสียงหยัน “คนที่พ่ายด้วยน้ำมือของหลิวกู้เช่นเจ้ามีค่าพอจะท้าทายข้ากระนั้นหรือ”

จิ้นหยางสำลักจนหน้าดำหน้าแดง “นั่น...! นั่นก็เพราะ...!” ...พี่ท่านลองถูกจับให้ฝึกแต่เรื่องในครัวตลอดเวลาสิบห้าปี ไม่ได้ฝึกวรยุทธ์ แล้วค่อยมาเข้าร่างใหม่ดูบ้างสิ! จะได้รู้ว่าระหว่างคนที่ละเลยเรื่องวรยุทธ์มาสิบห้าปีกับคนที่ฝึกวรยุทธ์เพิ่มตลอดสิบห้าปี มันต่างกันแค่ไหน!

“ไม่ต้องห่วง” หวังรุ่ยเสวียนบอก “ข้าจะแก้แค้นให้เจ้าเอง”

จิ้นหยางขมวดคิ้ว นายใหม่ของเขากล่าว

“ข้าเองก็มีความแค้นส่วนตัวกับพวกองครักษ์หน่วยปราบพยัคฆ์เช่นเดียวกัน”

“...”

 

ความจริงแล้วจิ้นหยางแอบหวาดกลัวหวังรุ่ยเสวียนอยู่ในใจ

เขามีชีวิตมาถึงสองครั้ง แต่ไม่เคยเห็นใครที่เต็มไปด้วยความอำมหิตเช่นนี้มาก่อน โดยเฉพาะตอนที่อยู่ในคุกวันนั้น หากเขาไม่ห้ามเอาไว้ หวังรุ่ยเสวียนอาจจะค่อยๆ แล่เนื้อคุณชายทั้งสามคนนั้น แต่ถึงกระนั้นใต้เท้าหวังก็ยังเผาคนทั้งคุกที่ไร้ความเกี่ยวข้อง เห็นได้ชัดว่า คนผู้นี้หากได้แค้นใครแล้ว เขาจะทำทุกอย่างเพื่อทำลายคนที่เขาแค้น โดยไม่สนใจว่าผู้บริสุทธิ์จะเดือดร้อนหรือไม่

จิ้นหยางหลับตาลง คิดถึงเรื่องในครั้งเก่า สมัยนั้นหน่วยปราบพยัคฆ์ยังคงอยู่ในเงามืด ทุกคนเป็นเหมือนพี่เหมือนน้อง แม้จะฝึกจนเลือดตาแทบกระเด็นแต่ก็มีความสุข

“หากข้าทรยศต่อนาย ขอให้ไม่ตายดี ขอให้ไม่มีคนเคารพศพ ขอให้ดินไม่อาจกลบฝังร่าง”

เด็กหนุ่มทุกคนขานคำปฏิญาณนั้น ก่อนจะหยิบถ้วยใส่น้ำผสมเลือดร่วมสาบานขึ้นดื่ม จิ้นหยางเดาะลิ้น ก่อนจะพูด

“ไม่อร่อยเลย”

หลิวกู้ฟังแล้วแทบสำลัก “มันเป็นน้ำที่ผสมเลือด! จะอร่อยได้อย่างไร เจ้านี่ก็แปลกคน!

“ข้าสงสัยมานานแล้วว่าทำไมจะต้องใช้เลือดในการสาบาน ใช้น้ำตาลไม่ได้หรือ น้ำผลไม้ก็ยังดี เอามาละลายน้ำหรือไม่ก็สุรา จะดื่มให้หมดเลย!”

จิ้นหยางเอ่ยพร้อมหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ทำเอาสหายคนอื่นๆ หัวเราะออกมาพร้อมกัน ยกเว้นหลิวกู้ที่ยกมือประคองศีรษะอย่างปวดหัว

“เจ้านี่นะ”

มีคนผู้หนึ่งตบบ่าของหลิวกู้ ชายหนุ่มคนนั้นมีใบหน้าคมคายอบอุ่นอ่อนโยนเป็นที่สุด

“อาหยาง เลือดนั้นคือตัวแทนคำสาบานที่ดีที่สุด หากว่าเจ้าผิดคำสาบาน ก็เท่ากับเจ้าทรยศต่อเลือดในกายของตนเองและพี่น้องทุกคนที่อยู่ตรงนี้ พวกเราจะตามล่าเจ้า เจ้าคงไม่ต้องการเช่นนั้นใช่หรือไม่”

จิ้นหยางกวาดตามองยอดฝีมือทุกคน และหยุดที่พี่ชายร่วมสาบานที่มีวรยุทธ์สูงส่งยิ่งกว่าเขาก่อนกล่าว “คงมีแต่คนโง่ที่ทรยศต่อฝ่าบาท พี่เหวินว่าเช่นนั้นหรือไม่”

หลิวเหวินพยักหน้ารับ “ใช่แล้ว พวกเจ้าจำเอาไว้ อาหารที่เจ้ากิน เสื้อผ้าที่เจ้าสวม และทุกสิ่งทุกอย่างในวันนี้คือพระเมตตาจากฝ่าบาททั้งนั้น ดังนั้นห้ามทรยศเป็นอันขาด!”

“ขอรับ!” คนทั้งหน่วยขานรับเป็นเสียงเดียวกัน

“ว่าแต่พี่เหวิน ท่านบอกพี่สะใภ้หรือยังว่าแท้ที่จริงแล้วท่านทำอาชีพอะไร” จิ้นหยางถามอย่างซุกซน

หลิวเหวินหัวเราะ “นางยังคิดว่าข้าคือคนขายพู่กันอยู่เลย เจ้าเชื่อหรือไม่”

ทั้งเขาและหลิวกู้ช่วยกันประสานมือคารวะอีกฝ่าย “นับถือแล้ว!”

 

จิ้นหยางลืมตาขึ้นมาในเช้าวันใหม่ หวังรุ่ยเสวียนตื่นแล้ว กำลังเตรียมตัวเข้าไปยังราชสำนัก ดวงตางามคมของใต้เท้าหนุ่มหันมองเขาขณะกล่าว

“วันนี้... เจ้าตื่นช้ากว่าปกตินะ”

“นายท่าน...” จิ้นหยางถามเบาๆ “ทำไมพวกองครักษ์หน่วยปราบพยัคฆ์จึงได้ถูกก่อตั้งขึ้น ท่านทราบหรือไม่ขอรับ”

หวังรุ่ยเสวียนเลิกคิ้ว “ถามทำไม”

“เมื่อคืนคุยกันเรื่องพวกเขา ข้าเลยอยากรู้ขึ้นมาน่ะ แหะๆ” จิ้นหยางหัวเราะเบาๆ

หวังรุ่ยเสวียนหลุบตาลงต่ำ “ความจริงหน่วยนี้มีมานานแล้ว เป็นองค์ไทเฮาที่ก่อตั้งขึ้นอย่างลับๆ และมอบให้ฝ่าบาท พวกเขามักอยู่หลังฉาก ขึ้นตรงต่อฮ่องเต้ และเคลื่อนไหวโดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้”

จิ้นหยางพยักหน้า เรื่องนี้เขารู้ดีที่สุด

“แต่ที่ถูกย้ายมาอยู่ฉากหน้าก็เพราะว่ามีคนในหน่วยทรยศ”

จิ้นหยางชะงัก มองหวังรุ่ยเสวียนที่สวมหน้ากาก

“คนทรยศเพียงหนึ่งเดียวของหน่วยปราบพยัคฆ์ ทำให้พวกเขาไม่อาจอยู่ในเงามืดได้อีกต่อไป”

“...”

 

หวังรุ่ยเสวียนเข้าไปในท้องพระโรง จิ้นหยางนั่งเหี่ยว รอนายของตนด้วยอารมณ์รันทดสุดขีด แต่พอคิดให้ดีแล้วเขาก็พอจะเดาได้ว่า ทำไมหน่วยองครักษ์ปราบพยัคฆ์จึงย้ายมาอยู่ฉากหน้าแทนที่จะหลบอยู่ในเงามืด

‘ก็แหม... ในตอนนั้นข้าสร้างเรื่องขนาดนั้นนี่นา’

จิ้นหยางคิดในใจ จากนั้นจึงน้อมรับว่าเป็นความผิดของตนเอง แต่ไหนแต่ไรมาหน่วยปราบพยัคฆ์เป็นหน่วยลับ ไม่มีทะเบียนเป็นของตนเอง ตัวตนเป็นความลับ เคลื่อนไหวเป็นความลับ ทำงานเป็นความลับ แต่ตอนนั้นเขาฝ่าฝืนคำสั่ง เดินทางหนีไปพร้อมกับผู้ที่ทางการต้องการตัว พอผู้อื่นจะให้ทหารช่วยกันมองหา ออกตามล่า ทำการอะไรก็ลำบาก ดังนั้นที่หน่วยเก่าของเขาต้องย้ายมาอยู่ฉากหน้า ก็คงเพื่อป้องกันเหล่าองครักษ์ลับสร้างเรื่อง และหลบหนีไปเหมือนเขากระมัง

“หากข้าทรยศต่อนาย ขอให้ไม่ตายดี ขอให้ไม่มีคนเคารพศพ ขอให้ดินไม่อาจกลบฝังร่าง”

จิ้นหยางคิดถึงคำกล่าวสาบานในครั้งนั้น ก่อนจะเหยียดยิ้มเยาะกับตัวเอง เขาก็ไม่ตายดี ไม่มีคนเคารพศพ และไม่มีดินกลบฝังร่างจริงๆ ซ้ำยังทำให้หน่วยงานเก่าของตนตกต่ำลงอีกต่างหาก สมแล้วที่เป็นคนบาปของหน่วยปราบพยัคฆ์

อดีตองครักษ์ลับเลิกสนใจเรื่องในอดีต หันมาสนใจปัจจุบันของตนเอง มาวังหลวงถึงสองครา ทำให้พอจะจดจำขุนนางแต่ละคนได้ มีทั้งขุนนางหน้าเก่าๆ ที่เขาต้องแอบกำหมัดแน่นอย่างอัครเสนาบดีหลีเคอฟู่ คนที่เห็นทีไรต้องเสียวฟันอย่างราชครูกู้ และเหล่าอ๋องทั้งหลายที่เขาต้องมองอย่างสนใจ

ฮ่องเต้ซุนหลิงตี้นับว่าเป็นฮ่องเต้ที่มีโอรสจำนวนมาก แต่ปัจจุบันเหลือเพียงไม่กี่องค์ที่เข้าท้องพระโรงมาทำงานก็มีเพียงชินอ๋อง ฮุ่ยอ๋อง และหนิงอ๋อง

จากการที่แอบฟังผู้อื่นพูดคุยกัน และหวังรุ่ยเสวียนก็เมตตาเล่าให้ฟังบ้าง ตอนนี้วังหลวงมีทั้งสิ้นสี่ขั้วอำนาจใหญ่

หนึ่งคือพวกอัครเสนาบดีหลีเคอฟู่ สนับสนุนชินอ๋องและฮองเฮา

สองคือพวกราชครูกู้และไทเฮาให้การสนับสนุนหนิงอ๋อง

สามคือเสนาบดีกรมคลัง เป็นขุนนางใหม่ที่จิ้นหยางไม่รู้จักมีแซ่เฉิน ได้ข่าวว่าเขาเป็นคนของเสียนเฟย และได้รับการสนับสนุนจากฮ่องเต้ซุนหลิงตี้อย่างมาก ถึงขนาดให้เขาสั่งการหน่วยปราบพยัคฆ์ได้ พอได้ยินเช่นนี้ จิ้นหยางก็ลอบกุมหัวใจอย่างเจ็บปวด เสนาบดีกองคลังเป็นตำแหน่งที่กินสินบนได้มากที่สุด แต่กลับควบคุมหน่วยปราบพยัคฆ์ที่ใช้จัดการกับขุนนางโกงกิน ได้ข่าวว่าฉากหน้าของใต้เท้าซุน พ่อตาของหวังรุ่ยเสวียนก็อยู่ในกลุ่มนี้

แต่ว่าใต้เท้าซุนผู้นั้น ฉากหน้าอาจจะเป็นผู้สนับสนุนเสียนเฟย แต่ฉากหลังเขานั้นสนับสนุนฮุ่ยอ๋อง เห็นได้จากการที่ส่งจิ้นหยางเข้าไปหาหวังรุ่ยเสวียน

และขั้วอำนาจที่สี่ในราชสำนักที่ใครต่อใครต่างก็จับตามอง นั่นก็คือเสนาบดีกรมพิธีการ หวังรุ่ยเสวียน นายท่านของจิ้นหยางผู้ไม่มีคนใหญ่คนโตอยู่เบื้องหลัง แต่กลับครองอำนาจในราชสำนักโดยที่ผู้อื่นมองว่าเขาเป็นมิตรหรือมองว่าเป็นศัตรูก็ได้

หากหวังรุ่ยเสวียนจะเป็นศัตรูกับใครในราชสำนัก คนผู้นั้นอาจจะเป็นราชครูกู้ เพราะทุกครั้งที่ราชครูกู้เห็นหวังรุ่ยเสวียนกินดีอยู่ดี หาของล้ำค่ามาถวายฮ่องเต้ หน้าตาของราชครูเหมือนจะอาเจียนออกมาทุกครั้ง

ครั้งนี้ก็เช่นกัน

“พวกเจ้าเตือนเจ้านายของตนเอาไว้ อย่าไปจู้จี้เรื่องอาหารกลางวันของใต้เท้าหวังเชียว เมื่อวานนายของข้าเพียงตำหนิเขาที่กินหรูหรามากไปสักหน่อย ทำให้ตกเย็นมีราชโองการให้นายท่านต้องจัดกองกำลังไปตามหาปูตัวใหญ่ที่ใต้เท้าหวังนำมาถวายฮ่องเต้ได้”

มีคำกล่าวว่าเจ้านายเป็นเช่นไร ลูกน้องก็เป็นเช่นนั้น มีนายท่านสูงส่งล้ำค่าเป็นขุนนางตงฉินหายาก ไม่เคยแบมือรับสินบนจากใคร ก็สามารถยืดอกกล่าวอย่างไม่เกรงใจผู้อื่นได้เช่นกัน

คนของราชครูปรายตามองจิ้นหยางอย่างไม่พอใจ ประหนึ่งกำลังมองหวังรุ่ยเสวียน จากนั้นจึงกล่าว “ต้องจัดเตรียมเรือเพื่อออกไปหาปูเพียงไม่กี่ตัว ไม่รู้ว่าจะต้องสิ้นเปลืองเงินในท้องพระคลังมากขนาดไหน”

จิ้นหยางหัวเราะออกมาเบาๆ เอ่ยอย่างอดไม่อยู่ “ให้ท่านราชครูกู้ตามไปหาปูตัวใหญ่ เป็นดุลพินิจของฝ่าบาท เงินในท้องพระคลังก็เป็นเงินของฝ่าบาท ถึงข้าจะเคยเข้าวังหลวงเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ก็รู้ดีว่าขี้ข้าอย่างเราไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์เจ้านาย และยิ่งไม่ควรพูดเรื่องการตัดสินพระทัยของฝ่าบาท แต่ท่านลุงถึงกับกล้ากล่าววาจาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ในวังหลวง ช่างกล้าหาญเหลือเกิน ข้าน้อยเลื่อมใสแล้ว”

พอได้ยินเขาพูดเช่นนั้น คนพูดก็พลันมีสีหน้าหลากหลายน่าชม เดี๋ยวหน้าดำเพราะความโกรธ เดี๋ยวหน้าขาวเพราะความหวาดกลัว และเดี๋ยวหน้าแดงเพราะถูกสายตาผู้อื่นจับจ้อง

โถๆ เจ้าบ่าวรับใช้พวกนี้คิดว่าตัวเขานั้นเพิ่งจะมาติดตามหวังรุ่ยเสวียน กล่าววาจาอะไรก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกระมัง รู้จักจิ้นหยางน้อยไปแล้ว!

ราชครูกู้เป็นขุนนางตงฉินที่เป็นที่เคารพเลื่อมใสศรัทธาของบัณฑิตและปราชญ์ทั้งหลาย หากกล่าวเช่นนี้ เขาก็นับได้ว่าเป็นขุนนางที่ดี ควรค่าแก่การเป็นเสาหลักของราชสำนัก แต่คนเช่นเขานั้นเถรตรงจนสร้างความอึดอัดคับข้องใจให้ผู้อื่นได้เสมอ ผู้อื่นให้เกียรติเขา แต่ก็แอบไม่ชอบเขาด้วย เขาภักดีทำเพื่อราชวงศ์และต้าหลิวจากใจจริง ทว่าก็มีบางเหตุการณ์ที่ทำให้จิ้นหยางต้องส่ายหน้า เลือกได้ก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับตาเฒ่าผู้นั้น

หวังรุ่ยเสวียนเดินออกมากินอาหาร จิ้นหยางกระซิบเล่าเรื่องให้เขาฟังเบาๆ ทำเอาใต้เท้าหวังหัวเราะจนถือตะเกียบค้าง หันมามองเขาแล้วเอ่ย

“เจ้านี่ช่างกล้าหาญยิ่งนัก”

อา... หวังรุ่ยเสวียนเป็นกังฉิน ย่อมไม่ถูกกับตงฉินอย่างราชครูกู้เป็นธรรมดา

หวังรุ่ยเสวียนมองปิ่นโต “วันนี้เจ้าทำอะไรมาให้ข้าหรือ”

“คราวที่แล้วนายท่านบอกว่าอาหารนั้นหรูหราไม่พอ ดังนั้นข้าก็เลยไปหาเครื่องเทศที่แพงกว่าทองคำมาปรนนิบัตินายท่าน” จิ้นหยางหยิบเอาข้าวที่หุงจนเหลืองออกมา “นี่คือข้าวที่หุงจากหญ้าฝรั่น ที่ได้ชื่อว่าเป็นเครื่องเทศที่แพงยิ่งกว่าทองคำ นายท่านร่างกายไม่แข็งแรง กินเครื่องเทศช่วยบำรุงจะดีที่สุด วันนี้ข้าเลยทำอาหารที่เต็มไปด้วยเครื่องเทศมาให้ลองเปลี่ยนบรรยากาศขอรับ”

“หญ้าฝรั่น” หวังรุ่ยเสวียนไม่รู้จักสิ่งนี้ เห็นว่าบนข้าวนั้นมีเส้นแดงๆ อยู่สามสี่เส้น แต่ทำให้ข้าวนั้นกลายเป็นสีเหลืองนวล “กลิ่นหอมดี ทำไมถึงได้แพงนักเล่า”

“ดอกไม้เร้นลับชนิดหนึ่งมีสีม่วง จะบานเพียงวันเดียว และสิ่งนี้คือเกสรตัวเมียที่ได้จากดอกไม้ชนิดนั้นขอรับ แต่ละดอกมีเพียงสามสี่เส้นเท่านั้น และที่ยิ่งกว่านั้นคือเมื่อเก็บแล้วต้องนำมาคั่วให้แห้งทันที ดอกไม้สีม่วงนั้นหายากไม่พอ ปลูกหลายร้อยไร่ยังได้หญ้าฝรั่นเพียงไม่เท่าไร ราคาจึงสูงกว่าทองคำ วันนี้ข้าเสนออาหาร ข้าวอบหญ้าฝรั่นทะเลขอรับ”

จิ้นหยางหยิบจานขึ้นมา ก่อนจะคว่ำปิ่นโตลงบนจาน ให้เห็นว่าก้นปิ่นโตนั้นมีกุ้ง ปลาหมึก และหอยเชลล์ “ข้าเอาหอยชนิดนี้ไปย่างกับเนย นายท่านจำได้หรือไม่ขอรับ ของเหลวสีเหลืองที่มีรสเค็มมัน ทำมาจากนม เมื่อนำมาผสานกับหอยชนิดนี้จะได้รสละมุนที่สุด ส่วนกุ้งนี้ข้าใส่แป้งและเกลือ ล้างออกมาจะมีความกรอบอย่างยิ่ง และปลาหมึกก็ค่อนข้างสดใหม่ ทั้งยังใส่ต้นหอมซอยจำนวนมาก ยามกินอาหารชนิดนี้ จะต้องทำแบบนี้”

แล้วเขาก็หยิบแผ่นแป้งที่ย่างจนหอมออกมาแบ ก่อนจะตักข้าวใส่แล้วม้วนเป็นถุง นำมาผูกด้วยต้นหอมยาวๆ เป็นเหมือนถุงทอง แล้วหยิบเอาน้ำจิ้มสามแบบขึ้นมาวางเอาไว้ ผายมือไปทางอาหารจานต่อไป

“นี่คือไก่ย่างชนิดหนึ่ง ข้าหมักเครื่องเทศเอาไว้จนเผ็ดและมีรสกลมกล่อม รสข้าวของข้าค่อนข้างนุ่มละมุน แต่ไก่ชนิดนี้จะกระตุ้นความอยากอาหารของนายท่านเป็นอย่างดี ข้านำไปย่างบนเตาถ่าน กลิ่นของเครื่องเทศกับควันจากถ่านทำให้หอมมาก และอีกจานที่ข้าอยากจะนำเสนอ นั่นคือแกง! แกงนี้อุดมด้วยเครื่องเทศ และมีเนื้อแพะเป็นส่วนประกอบ ข้าใส่นมลงไป สีสันอาจจะดูเหมือนเผ็ดร้อน แต่ที่จริงรสค่อนข้างละมุน ข้าเตรียมผักดองมาเคียงคู่ด้วย เพื่อตัดความเลี่ยนจากอาหารพวกนี้ แม้ข้าจะมั่นใจว่ามันไม่มีทางเลี่ยนก็ตาม ส่วนของหวานวันนี้คือกล้วยขอรับ เผื่อว่านายท่านจะรู้สึกเผ็ดมาก สิ่งนี้จะช่วยดับความเผ็ดได้ดี”

หลังพล่ามจบ จิ้นหยางก็แอบเหล่ตามองไปรอบกาย ไม่มีใครคิดหาเรื่องนายของตนก็ลอบถอนหายใจด้วยความเสียดาย “เชิญขอรับนายท่าน”

หวังรุ่ยเสวียนคีบถุงทองใส่ข้าวขึ้นมากิน เขาพยักหน้าพอใจในรสชาติ จากนั้นก็กินอาหารอย่างเงียบๆ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น