6

บทที่ 6


6

 

หวังรุ่ยเสวียนถูกตำหนิในท้องพระโรงว่ากินอาหารหรูหราเกินหน้าเกินตาฮ่องเต้ จิ้นหยางได้ยินแบบนั้นก็กลอกตามองท้องฟ้า ดีที่นายของเขาเป็นพวกมีไหวพริบ

“ฝ่าบาท มิใช่ว่ากระหม่อมจะกินของพวกนี้เป็นประจำ เพียงแค่หลังจากล้มป่วย จึงหันมาใส่ใจสุขภาพ กินของดีๆ กับเขาบ้างเท่านั้น คนครัวคนใหม่ของกระหม่อมเป็นพวกมีความพิถีพิถันสูง และเขาชอบหาอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ มาให้กระหม่อมได้ลิ้มลองเสมอ

“วิสัยของข้ารับใช้ เห็นอะไรดีก็มักนำมาให้นายเหนือหัว เขาบอกว่าเครื่องเทศมีราคาแพงยิ่งกว่าทองคำ กระหม่อมสนใจก็ให้เขาซื้อมาลองดู หากทำอาหารออกมาได้อร่อยและคุ้มค่าจริงๆ กระหม่อมย่อมนำมาถวายฝ่าบาท แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน กระหม่อมและคนครัวอาจจะถูกหลอกลวงตามคำกล่าวอ้างของพวกพ่อค้าได้ ดังนั้นหากกระหม่อมไม่ลองกิน จะทราบได้อย่างไรว่าเครื่องเทศนั้นคือของดี และหากเป็นของไม่ดี กระหม่อมจะกล้านำมาถวายฝ่าบาทได้อย่างไร”

จิ้นหยางได้ยินหวังรุ่ยเสวียนเอ่ยต่อ

“สงสัยว่าใต้เท้าทั้งหลายคงไม่ชอบที่กระหม่อมถวายของบ่อยครั้ง เช่นนั้น... จากนี้ไปกระหม่อมก็คงไม่กล้าถวายอันใดอีกแล้ว ฝ่าบาท ขอทรงลงพระอาญากระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ของแต่ละอย่างที่หวังรุ่ยเสวียนนำมาถวายฮ่องเต้ คงจะเป็นของดีมีราคาทั้งนั้น ดังนั้นฮ่องเต้จึงได้กราดเกรี้ยว กล่าวอย่างบันดาลโทสะ

“พวกเจ้าจะยุ่งอันใดกับใต้เท้าหวังนักหนา เขาจะกิน จะนอน หรือจะทำอันใด จะต้องคอยขออนุญาตจากพวกเจ้าด้วยกระนั้นหรือ! เอาเวลาตรงนี้มาแก้ปัญหาบ้านเมืองไม่ดีกว่าหรือ! ไหนเจ้าของฎีกานี้ลองบอกเราซิ ปัญหาน้ำแล้งครานี้จะแก้ไขอย่างไร!”

ขุนนางหนอ แค่จะกินอะไรก็ยังกลายเป็นเรื่องเป็นราวได้

แต่จากเหตุการณ์นี้เห็นชัดว่าฮ่องเต้คงจะโปรดปรานหวังรุ่ยเสวียนมากพอดู หรือไม่ก็เห็นแก่ของที่หวังรุ่ยเสวียนชอบหามาฝากบ่อยๆ จึงได้โมโหใส่ขุนนางพวกนั้น

“วันหน้า... เจ้าอาจจะได้ถวายพระกระยาหารแด่ฝ่าบาท เตรียมตัวเอาไว้” หวังรุ่ยเสวียนออกจากท้องพระโรงแล้วบอกเขาเช่นนั้น ทั้งยังขอหญ้าฝรั่นไปถวายฮ่องเต้ด้วย

ข้าราชบริพารไม่ควรกินของดีเกินหน้าเกินตาผู้เป็นนาย จิ้นหยางออกความเห็น “นายท่าน คราหน้าข้าจะทำอาหารธรรมดาให้นะขอรับ”

“อือ แต่ทำให้สวย ดูดีสักหน่อย” หวังรุ่ยเสวียนบอก เห็นคนตัวเล็กก้มศีรษะรับคำก็เผลอเอื้อมมือไปลูบศีรษะเบาๆ แล้วรีบชักมือกลับ “ไปเดินตลาด อย่าลืมส่งข้อความหาฮุ่ยอ๋องด้วย”

จิ้นหยางเงยหน้าขึ้น หวังรุ่ยเสวียนก็เดินจากไปแล้ว เขายกมือขึ้นลูบศีรษะของตนเบาๆ

 

หวังรุ่ยเสวียนเป็นพวกชอบประจบประแจง หาของล้ำค่าไปถวายฝ่าบาท เขามีท่าทีไม่พอใจราชครูกู้ที่ชอบยุ่งเรื่องของตน คงจะไม่สนับสนุนหนิงอ๋อง

 

จิ้นหยางใส่ข้อความนี้ในกระถางดอกไห่ถัง และหยิบเอาห่อกระดาษใส่ยามาเก็บเอาไว้ จากนั้นก็เดินหลบหลีกไปทางอื่นอย่างไม่เร็วไม่ช้านัก ที่ตรงนี้คือหอเหมยเฉียง ทั่วบริเวณนี้เป็นย่านสำหรับเหล่านางโลม ในตอนนั้นเขาเห็นเด็กสาววัยสิบห้าหนาวคนหนึ่งกำลังฉุดกระชากชายที่ท่าทางมีฐานะ พร้อมร้องตะโกน

“คุณชาย! ท่านหลับนอนกับข้าแล้วจะไม่จ่ายเงินไม่ได้นะ!”

“หากเจ้าอยากได้เงินนักก็ไปฟ้องเอาสิ!” ชายหนุ่มคนนั้นเอ่ยอย่างไม่แยแส เหมือนจะอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง “นางโลมไร้สังกัดอย่างเจ้า อยากได้เงินก็ไปฟ้องเอาเลย!”

เด็กสาวคนนั้นทำหน้าคับข้องหมองใจ จิ้นหยางไม่อยากยุ่งเรื่องชาวบ้านเลยเดินต่อไป แต่ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงตบ

เผียะ!

เสียงนางกรีดร้อง “เจ้าคนสารเลว!”

คราวนี้ตามมาด้วยกำปั้นกระแทกเนื้อ จิ้นหยางหันไปมอง เห็นชายคนนั้นที่ใบหน้าแดงไปข้าง กำลังยกขากระทืบร่างของเด็กสาวคนนั้นพร้อมเอ่ย

“ข้าไม่จ่าย! เจ้าจะทำไม! หากเจ็บใจมากนัก เจ้าก็ขายตัวเข้าหอคณิกา แล้วให้คนของเจ้ามาทวงเงินกับข้าสิ...!”

ศีรษะของคนพูดถูกจับกระแทกกำแพงอย่างรวดเร็ว เด็กสาวตกใจ จิ้นหยางยังกดหน้าของเขาแนบกำแพง กันไม่ให้หันมามองตัวเองได้พลางเอ่ย

“เจ้าติดนางเท่าไร”

“ปล่อยนะ! เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าเป็นใคร!”

จิ้นหยางดึงเขาออกจากกำแพง แต่ชายหนุ่มยังไม่ทันหันมาเห็นเขา ก็โดนจับเอาหัวโหม่งกำแพงอีกครั้ง ครานี้ชายคนนั้นทรุดฮวบ หมดสติไป คนครัวเลยลากเขาเข้าไปในตรอกลึก จากนั้นก็หยิบเอาถุงเงินออกมายื่นให้สาวน้อย ก่อนกล่าวเตือน

“คราหน้าอย่าทำเช่นนี้อีก”

เด็กสาวคนนั้นกลับตวาดใส่เขา ขณะที่ยัดถุงเงินใส่ในอกเสื้ออย่างเร่งร้อน “เจ้าบ้าหรืออย่างไร!”

จิ้นหยางงงไปวูบหนึ่ง นางชี้ที่ชายหนุ่มคนนั้นพร้อมเอ่ย

“เจ้าทำกับเขาเช่นนี้! หากคนอื่นรู้เข้า! ข้าจะมาขายตัวที่นี่ได้อีกหรือ!”

“ก็บอกว่าอย่าทำอีกอย่างไรเล่า! ปล้นเงินไปแล้ว อย่ากลับมาขายตัวที่นี่... เอ๊ย! ห้ามขายตัวอีกต่างหาก! เจ้าอายุเท่าไร ทำไมทำแบบนี้! ยังไม่ได้ปักปิ่นเลยด้วยซ้ำ!” จิ้นหยางตวาดใส่นาง กวาดตามองเด็กสาวคนนั้น นางก็นับว่าหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ไม่น่าเลย

เด็กสาวร้องไห้โฮ “นึกว่าข้าอยากหรือ! เจ้านึกว่าข้าอยากหรือ!”

จิ้นหยางกลัวสตรีที่ร้องไห้เป็นที่สุด เห็นนางร้องไห้โฮออกมาก็หันซ้ายมองขวา จากนั้นจึงยกมือขึ้น “เอาละๆ ข้าผิดเอง ผิดที่ข้าเอง เจ้าอย่าร้องไห้เลยนะ”

เด็กสาวยกมือปิดหน้า ร้องไห้ออกมาอย่างอัดอั้นตันใจ แต่พอจิ้นหยางเดินเข้ามาใกล้ นางก็รีบคว้าถุงเงินที่ห้อยข้างเอวเขา คนจะถูกปล้นเลยพลิกกระบวนท่า จับเด็กสาวคนนั้นทุ่มข้ามบ่าไปนอนกองบนพื้น เด็กสาวคนนั้นกรีดร้องออกมาเสียงดัง

“เจ้าคนรังแกสตรี!”

“แล้วใครใช้ให้เจ้าคิดมาปล้นถุงเงินของข้ากัน!” จิ้นหยางถามเสียงดัง การกระทำของพวกเขาค่อนข้างมีสีสันจนคนอื่นๆ เริ่มเข้ามามุงดูอย่างสนใจ คนครัวกล่าว “เจ้าเอาถุงเงินของคุณชายท่านนั้นไป แล้วยังคิดจะมาขโมยถุงเงินของข้าอีกหรือ ไม่ง่ายนักหรอกคุณหนู”

นางร้องไห้โฮ “ช่วยด้วย! เขารังแกข้า! รังแกข้า!”

“ใครรังแกเจ้ากัน ข้าช่วยเจ้า แต่เจ้ากลับจะฉกถุงเงินของข้า แบบนี้มันใช้ได้หรือ หือ?”

หลายคนเริ่มมาดูกันเยอะขึ้น แต่จิ้นหยางไม่สนใจอะไร นอกจากให้บทเรียนแก่สาวน้อยคนนี้ เขาหรืออุตส่าห์ช่วย นางยังคิดร้ายกับเขาอีก นี่บิดามารดาสอนมาแบบไหนกัน

“มี่เอ๋อร์!”

เสียงหนึ่งดังขึ้น จิ้นหยางแข็งค้าง เขาเบือนหน้าไปมอง พอเห็นหญิงสาวผู้หนึ่งกำลังพยายามแหวกทางตรงเข้ามา ในใจก็พลันสั่นสะท้าน

“พี่สะใภ้...”

‘เมี่ยวหลัน’ คือนามของหญิงสาวคนนั้น นางบอบบางจนแทบปลิวลม เดินตรงเข้ามาหาเขาด้วยใบหน้าขาวซีด จากที่เคยมีน้ำมีนวลสมวัยสาวในอดีต กลับดูอ่อนระโหยโรยแรงมากจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม แม้นางจะเปลี่ยนไปมากกว่านี้ แต่จิ้นหยางก็ยังจำนางได้ นางคุกเข่าลงตรงหน้าเขาพร้อมกล่าว

“คุณชายท่านนี้ ไม่ว่านางจะทำอันใดไป ได้โปรดยกโทษให้นางด้วยเถิดเจ้าค่ะ!”

“ทำไมท่านน้าต้องขอโทษเขาด้วย! ข้าต่างหากที่เป็นคนเจ็บ!” มี่เอ๋อร์ร้องออกมาเสียงดัง

“เงียบนะ!” หญิงสาวหันไปตวาดอีกฝ่าย

‘มี่เอ๋อร์หรือ’ จิ้นหยางมองเด็กสาวคนนั้น เห็นดวงตาใสกระจ่างมองเขา ภาพนั้นสะท้อนให้เห็นเงาของใครบางคน เขาปล่อยมือ มี่เอ๋อร์รีบพุ่งตัวไปหลบหลังเมี่ยวหลัน มองเขาอย่างระแวดระวัง

“ขอบคุณคุณชาย” เมี่ยวหลันบอกพร้อมจับมือมี่เอ๋อร์เอาไว้แน่น เอ่ยอย่างอึกอัก “คือ... พวกข้า...”

จิ้นหยางพอจะเดาได้ว่า คนคุ้นเคยผู้นี้จะต้องรู้นิสัยของมี่เอ๋อร์เป็นอย่างดี จึงพยักหน้า “พวกท่านรีบไปเถอะ เป็นสตรี อย่ามาอยู่แถวนี้เลย”

คนฟังได้ยินเช่นนั้นก็รีบยอบกาย “ขอบคุณคุณชาย!” นางเร่งดึงคนข้างกาย “รีบไปเร็ว ท่านย่าของเจ้าเป็นห่วงเจ้าอยู่นะ”

“เดี๋ยว!” จิ้นหยางส่งเสียงไปอีกครั้ง พอพวกนางหันมา มี่เอ๋อร์ก็ขมวดคิ้วถาม

“อะไรอีกเล่า!”

เขาหยิบถุงเงินของตัวเองยื่นให้นางแล้วเดินจากไป

“เจ้าทำตกไว้”

มี่เอ๋อร์รับมาอย่างงุนงง อดแกะดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ พอเห็นเป็นทองก้อน ดวงตาคู่โตก็เบิกกว้าง เมี่ยวหลันเองก็อุทาน

“นี่มัน...!”

นางรีบหันไปมองคุณชายชุดขาวคนนั้น แต่กลับไม่พบแม้แต่เงาของเขา

 

หน่วยองครักษ์ลับส่วนมากล้วนเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกจับมาฝึก แต่ถ้าเป็นคนที่มีทักษะพิเศษจะถูกรับตัวเอาไว้เป็นกรณีพิเศษ อย่าง ‘ลี่สู’ ที่เป็นชายร่างใหญ่ หน้าตาดุดัน แต่กลับทำงานฝีมือได้อย่างประณีตงดงามมาก ไม่เข้ากับหน้าตา ชายคนนี้มีแม่ที่อายุมากคนหนึ่งและภรรยา ซึ่งพวกนางไม่รู้ว่าแท้จริงเขาทำงานอะไร รู้เพียงว่าเขาเป็นช่างฝีมือคนหนึ่ง

“พวกเจ้า!”

จิ้นหยางกับหลิวกู้ที่กำลังกินซาลาเปาด้วยกันอยู่หันไปมองต้นเสียง องครักษ์ลับคนอื่นซึ่งลอบพบปะฝึกวิชาในป่าลับ หันไปมองร่างถึกหนาของอีกฝ่าย ลี่สูวิ่งเข้ามาหาพวกเขาอย่างตื่นเต้นยินดี

“ทุกคน...!” เขาอ้าปากหอบหายใจ ก่อนจะเงยหน้าบอกด้วยดวงตาเปล่งประกาย “...ลูกสาวของข้าคลอดแล้ว!”

องครักษ์ลับทุกคนลุกพรวดขึ้นมาทันที แต่ละคนรีบรุมล้อมร่างสูงใหญ่นั้นพร้อมเอ่ย “ยินดีกับพี่ลี่ด้วย!”

“ต้องซื้อสุรา! ฝังเอาไว้ในดินจนกว่าลูกสาวของเจ้าจะแต่งงาน!”

“เจ้าบ้า!” ลี่สูตวาดเสียงดัง หัวเราะออกมาดังลั่น “ลูกสาวของข้าจะต้องเป็นสตรีที่งดงามที่สุด! ข้าขอประกาศตรงนี้! ข้าไม่มีทางยอมให้นางแต่งงานกับใครง่ายๆ อย่างแน่นอน!”

จิ้นหยางพยักหน้า “ถูกต้อง! ลูกสาวของพี่ลี่จะต้องหน้าตาเหมือนท่านทุกกระเบียดนิ้ว ชาตินี้ทั้งชาติอาจจะไม่ได้แต่งงาน... โอ๊ย!”

หลิวกู้ตบศีรษะน้องร่วมสาบานจนหน้าคะมำ แต่ไม่ทันเสียแล้ว เพราะทุกคนหันไปมองร่างสูงใหญ่ดำคล้ำ คิ้วดก ตาดุ และหนวดเฟิ้มของลี่สู จากนั้นก็แยกย้ายกันไปอย่างเงียบๆ สีหน้าคล้ายจะบอกว่า ‘เสียใจด้วย’

ลี่สูหน้าเปลี่ยนสี วิ่งไล่ทุบจิ้นหยาง พร้อมร้องออกมา “เจ้าบ้า! ลูกสาวของข้างดงามน่ารัก! ไม่เชื่อวันนี้พวกเจ้าไปดูที่บ้านของข้า! แล้วเตรียมชื่อกันไปด้วย! ข้าจะให้พวกเจ้าตั้งชื่อให้นาง!”

องครักษ์ลับส่วนมากยังไม่มีครอบครัว เหล่าชายหนุ่มล้วนแล้วแต่หมกมุ่นกับการฝึก พอต้องมาเห็นเด็กทารกเพศหญิงตัวสีชมพูอยู่ในอ้อมแขนของบิดาที่ยืนสะอื้นน้ำตาไหล พวกเขาล้วนยืนเกาหัวเกาหู ไม่รู้ว่าจะตั้งชื่ออะไร เป็นจิ้นหยางอีกนั่นแหละที่มีความคิดสร้างสรรค์ที่สุด

“ให้ชื่อว่า ‘ลี่มี่’ ดีหรือไม่”

หลิวกู้ถาม “มี่ () ที่แปลว่าความลับน่ะหรือ”

“ไม่ใช่ มี่ () ที่แปลว่าน้ำผึ้งต่างหาก” จิ้นหยางชี้สองพ่อลูกนั้น กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “พวกเจ้าไม่เห็นหรือ พี่สูร่างหนาถึกดำอย่างกับหมี อุ้มลูกสาวเช่นนี้ ก็ชวนให้ข้าคิดถึงหมีกำลังอุ้มไหน้ำผึ้งเลยน่ะสิ”

เหล่าองครักษ์ลับหลุดหัวเราะพรืดออกมา พอลี่สูหันมามองพวกเขา ทุกคนก็พร้อมใจกันทำตัวเรียบร้อย

“พวกข้าคิดว่าให้นามนางว่า ‘ลี่มี่’ จึงดีที่สุดขอรับ!”

ลี่สูคิดว่าเพราะพวกเขามีหน้าที่การงานที่เป็นความลับ ดังนั้นชื่อ ‘ลี่มี่’ จึงดีที่สุด พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยพร้อมชมเชยหลายคำ ก่อนจะเฝ้าเรียกลูกสาว “มี่เอ๋อร์” แล้วยิ้มแย้มเหมือนคนบ้า

 

ปัจจุบันจิ้นหยางยืนพิงกำแพงบ้านหลังหนึ่ง ลี่มี่วัยสิบห้าหนาวเข้าไปในบ้าน จากนั้นก็ทะเลาะกับย่าของตนเสียงดังใหญ่โตจนเขาได้ยิน

“ถ้าข้าไม่ขายตัวแล้วพวกเราจะเอาอะไรกิน! ย่ารู้เอาไว้ด้วยว่าค่ายาของย่า... ฮึก ก็มาจากค่าตัวของข้าทั้งนั้น!”

นางวิ่งร้องไห้ออกมา เหล่าเด็กๆ ที่เล่นกันอยู่ตรงลานบ้านหยุดเล่นลูกหนังเก่าๆ กันทันที เมี่ยวหลันเดินออกมาต้อนเด็กพวกนั้นเข้าไปในบ้าน เด็กบางคนถามนาง “ท่านแม่ ขายตัวนี่คืออะไรเจ้าคะ”

เมี่ยวหลันยกมือเป็นเชิงห้ามเอ่ย ลี่มี่วิ่งออกมา นางก็เดินไปปลอบเด็กสาว พูดไปหลายคำว่าอย่าทำเช่นนี้อีก หากพวกตนช่วยกันคนละไม้คนละมือ ที่บ้านนี้ย่อมมีกินมีใช้และอยู่รอดได้

“พี่ชาย”

เสียงเรียกเล็กๆ ดังขึ้น จิ้นหยางหลุดจากภวังค์ ก้มหน้ามองเห็นเด็กชายหญิงหลายคน แม้จะแต่งตัวสะอาดสะอ้าน แต่เห็นชัดว่าซูบผอม แต่ละคนมองเขาอย่างจับผิด

เด็กที่น่าจะเป็นหัวโจกกล่าว “พี่ชายทำอะไรอยู่ ทำไมต้องทำลับๆ ล่อๆ ที่กำแพงบ้านของพวกเราด้วย”

‘เด็กเอ๋ย หากข้าแอบจริง เจ้าไม่มีทางได้เห็นข้าหรอก’ จิ้นหยางคิดในใจก่อนถาม “พวกเจ้าอยู่ที่นี่หรือ”

เด็กทุกคนพยักหน้ารับ เขาจึงถามต่อเสียงแหบ

“ใครเป็นลูกของแม่นางเมี่ยวหลันหรือ”

ก่อนที่พวกเขาจะปฏิบัติภารกิจสุดท้ายร่วมกัน หลิวเหวินแอบบอกข่าวดีแก่หลิวกู้ว่า ภรรยาของตน... เมี่ยวหลันกำลังตั้งครรภ์ และหลิวกู้ก็แอบบอกเขา

“โอ๊ะ! ท่านเป็นคนรู้จักท่านแม่หรือ!” เด็กคนนั้นร้องออกมา “พวกเราล้วนเป็นลูกของนาง!”

จิ้นหยางอ้าปากค้าง เด็กอีกคนเลยพูด

“พวกเราเป็นเด็กกำพร้า แต่นางรับมาเลี้ยงน่ะ”

“ใช่ ถ้าไม่ได้ท่านแม่ พวกข้าก็คงจะหิวตายแล้ว”

“พี่ชายจะเข้าไปหาท่านแม่หรือไม่”

“...”

จิ้นหยางยิ้มออกมาแล้วกล่าว “พวกเจ้ารออยู่ตรงนี้ครู่หนึ่งนะ”

เขารีบเดินเลี้ยวไปตรงมุมกำแพง พวกเด็กๆ ทำหน้างุนงง กำลังจะวิ่งตามไปดู แต่พี่ชายแปลกหน้าคนนั้นก็เดินกลับมา พร้อมด้วยหีบไม้ ก่อนกล่าวอย่างใจดี “ช่วยเอานี่ไปให้พี่สะ... หลิวฮูหยินทีสิ”

สามีของเมี่ยวหลันตายมานานสิบกว่าปีแล้ว แต่เด็กทุกคนรู้ว่าเขาแซ่หลิว หากมิใช่คนรู้จัก ก็จะไม่รู้เรื่องนี้ เด็กชายเลยรับเอากล่องมาถือพลางบ่น

“หนัก...!”

จิ้นหยางกล่าว “บอกหลิวฮูหยินว่าพี่หลิวเหวินเคยช่วยข้าเอาไว้ ดังนั้นเลยมาตอบแทน รับเอาไว้ อย่าได้เกรงใจ”

เด็กทุกคนมองหน้ากัน ลอบเปิดหีบไม้ เพียงแง้มดูแสงทองก็ส่องออกมา พวกเขาอุทานหลายคำ

“ทองทั้งนั้นเลย!”

“บ้านเรามีกินแล้ว!”

“รีบไปให้ท่านแม่กันเถอะ!”

เด็กๆ ทุกคนตื่นเต้นยินดีจนลืมขอบคุณ รีบอุ้มหีบนั้นวิ่งเข้าไปในบ้าน ร้องเรียกราวกับนกกระจอก “ท่านแม่! ท่านแม่!”

เมี่ยวหลันเปิดหีบออกมาเห็นทองคำมากมายก็อุทาน ถามว่าใครเป็นผู้ให้ พอรีบเดินออกมาพร้อมเด็กๆ กลับไม่พบชายชุดขาวคนนั้นอีกแล้ว

 

“หยางหยาง น้ำแกงเดือดแล้ว”

หวังรุ่ยเสวียนเอ่ยเสียงนุ่ม และได้เห็นคนครัวของตัวเองกำลังนวดแป้งอย่างเหม่อลอย ใต้เท้าหวังยื่นมือไปโบกตรงหน้าเขา เมื่อเห็นจิ้นหยางยังไม่รู้ตัว ก็เลื่อนไปดีดหน้าผาก ทำเอาคนครัวสะดุ้งเฮือก เขาจึงเอ่ยซ้ำ

“น้ำแกงเดือดแล้ว”

จิ้นหยางหันไปมอง ก่อนจะอุทานออกมาเสียงดังลั่น แล้วรีบยกหม้อลงจากเตาจนน้ำแกงลวกมือ หวังรุ่ยเสวียนจึงถาม

“เจ้ามัวแต่เหม่ออะไรไม่ทราบ”

“เอ่อ...” จิ้นหยางก้มหน้าลง “ขออภัยขอรับนายท่าน”

หวังรุ่ยเสวียนมองเขาอย่างพิจารณา จิ้นหยางยกมือขึ้นตบแก้มเพื่อเรียกสติ แต่แล้วก็ต้องร้องออกมาเสียงหลงเมื่อมือของเขานั้นพองแดงไปหมด ใต้เท้าหวังถาม

“วันนี้เจ้าไปเจออะไรมา หลังกลับจากตลาดก็มีท่าทีเช่นนี้ตลอด มือเป็นเช่นนี้จะทำอาหารให้ข้าได้หรือ”

“นายท่านไม่ต้องห่วง ถึงจะเหลือเพียงมือเดียว แต่ข้าก็ทำอาหารให้นายท่านได้อย่างแน่นอน แต่ก่อนหน้านั้น... ขอข้าไปทายาก่อนนะขอรับ”

จิ้นหยางเห็นหวังรุ่ยเสวียนพยักหน้า เลยไปหายาทา หวังรุ่ยเสวียนหรี่ตามองตามหลังเขา

ยาเย็นถูกแต้มที่รอยแดงจากการถูกน้ำร้อนลวก มันไม่ได้หนักหนาอะไรมาก แค่บาดแผลบนนิ้ว จิ้นหยางคิดถึงรอยแผลบนนิ้วชี้ของตนในชีวิตก่อน เมี่ยวหลันเองก็เคยทายาให้เขา กล่าวพร้อมรอยยิ้ม

“เป็นพ่อค้าผักแท้ๆ แต่หั่นผักอีท่าไหน จึงได้เผลอหั่นนิ้วตัวเองได้”

จิ้นหยางหัวเราะ “พี่สะใภ้ก็พูดเสียน่ากลัว ข้าก็แค่ช่วยพี่ใหญ่หั่นหัวไชเท้าแล้วเผลอทำมีดบาดนิ้วตัวเองเท่านั้น”

เมี่ยวหลันจับมือของเขาชูให้เห็นรอยแผลบนนิ้วทั้งหลาย จิ้นหยางทำปากยู่ “อย่างละนิดอย่างละหน่อย ถือเป็นประสบการณ์”

เขาในตอนนั้นไม่เก่งงานครัวจริงๆ ตอนที่เลือกงานกับหลิวกู้ ก็ดันจับไม้สั้นไม้ยาวแพ้ ต้องระเห็จเข้ามาอยู่ในครัว ขณะที่พี่รองตัวดีเดินถือขวานลั่นล้าไปผ่าฟืน

“อาหยาง เจ้าหั่นนิ้วตัวเองไปกี่นิ้วแล้ว” หลิวเหวินถามพร้อมเดินเข้ามา เมี่ยวหลันหันไปหาเขา ก่อนเขาจะโอบบ่านางเอาไว้

จิ้นหยางชูมือให้เขาดูแทนคำตอบ พี่ใหญ่หัวเราะเสียงดัง แล่เนื้อคนกับหั่นผักนั้นแตกต่างกันยิ่งนัก

“ขอโทษนะที่ต้องให้มาช่วยในวันนี้ ข้าบอกว่าอยากจะจัดงานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่ แต่กลับต้องลำบากพวกเจ้ามาช่วยกันทำอาหาร”

“พี่ใหญ่กล่าวหนักไปแล้ว ท่านเป็นพี่ใหญ่ พวกข้าจะไม่มาช่วยได้อย่างไร” จิ้นหยางยิ้มให้เขา “ท่านดูสิ พี่สะใภ้ก็ตัวเท่านี้ หากท่านใช้งานนางหนัก ไม่กลัวว่านางจะเอวหักหรือ พี่สะใภ้ต้องกินให้มากๆ หน่อยนะ จะได้มีน้ำมีนวล งดงามกว่านี้แน่”

“ดูเจ้าสิ!” หลิวกู้ส่งเสียงพลางชี้ขวานมาที่เขา “นางเป็นพี่สะใภ้ พี่สะใภ้เปรียบดุจมารดา คือสตรีที่เจ้าจะล้อเล่นด้วยได้หรือ!”

จิ้นหยางประสานมือ “ขออภัยท่านแม่... เอ่อ... พี่สะใภ้

หลิวกู้ทำท่าเหมือนจะอยากเหวี่ยงขวานมาจามศีรษะเขา

หลิวเหวินส่ายหน้า หันมากล่าวกับภรรยาอย่างอ่อนโยน “ต้องขอโทษหลันเอ๋อร์ด้วย พวกข้าสามคนล้วนเป็นเด็กกำพร้า ไม่ได้เล่าเรียนเท่าที่ควร หากเจ้าไม่พอใจ กล่าวตำหนิออกมาตรงๆ ได้”

“ท่านพี่กล่าวหนักไปแล้ว ที่นี่คือบ้านของเรา ข้ายังไม่ทันขมวดคิ้ว ท่านก็เร่งร้อนขอโทษเสียแล้ว ต่อไปข้าจะต้องเป็นภรรยาที่ร้ายกาจแน่” เมี่ยวหลันกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

หลิวเหวินมองนางอย่างลึกซึ้ง “ข้ายอมให้เจ้าร้ายกาจคนเดียว”

จิ้นหยางทำหน้าจะขาดใจ เมี่ยวหลันจึงตีแขนสามีพร้อมกล่าว “ข้าจะไปดูเนื้อหมักแล้ว!” นางรีบร้อนเดินจากไป

ครั้นเห็นสายตาที่พี่ชายใหญ่มองนาง จิ้นหยางจึงป้องปากพูด “รีบมีลูกแข่งกับลี่สูเถิดพี่ใหญ่ ข้าจะได้มีอะไรไปข่มมนุษย์หมีผู้นั้น”

หลิวเหวินหัวเราะเสียงดัง “เจ้าเองก็มีคนรักมิใช่หรือ ซินหลันรอนานแล้วกระมัง เมื่อใดจะไปขอนางเป็นภรรยา”

พอพูดถึงคนรักของตัวเอง จิ้นหยางก็ถอนหายใจยาว “อาชีพอย่างพวกเรา...”

อาชีพขององครักษ์ลับ เมื่อมีภารกิจ ภารกิจนั้นจะยากยิ่งกว่าภารกิจอื่น ชีวิตแขวนไว้บนเส้นด้าย จิ้นหยางเคยคิดเรื่องแต่งงานก็จริง แต่พอคิดจะขอซินหลันแต่งงานเมื่อใด เขาก็ลังเล หากเขาเป็นอะไรขึ้นมา นางจะทำเช่นใด หญิงม่ายที่สามีตายแทบไม่มีโอกาสแต่งงานใหม่ ยิ่งคิดว่าเมื่อก่อนเขาเคว้งคว้างหลังสงครามเพราะไร้ที่พึ่งพิง เขาก็ยิ่งไม่อยากให้นางมีชะตากรรมเช่นนั้น

หลิวเหวินยิ้มอย่างเข้าใจ

เบื้องหน้าของหลิวเหวินคือคนขายพู่กัน ไม่ได้มีรายได้มากมาย แต่เมี่ยวหลันยังยอมแต่งให้เขา สามีภรรยารักใคร่กันลึกซึ้ง บ่อยครั้งที่หลิวเหวินต้องหายตัวไป แต่ภรรยาของเขาไม่เคยปริปากบ่น ช่วยดูแลการค้าของสามี ทำให้เหล่าองครักษ์ลับพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า สมแล้วที่นางเป็นสตรีที่หลิวเหวินเลือก

องครักษ์ลับล้วนมีฉากหน้าด้วยกันทั้งนั้น หลิวเหวินเป็นคนขายพู่กัน หลิวกู้เป็นคนขายสุรา ส่วนจิ้นหยางเป็นคนขายผัก ทุกเช้าเขาจะตื่นมาตั้งแผงลอย ใครมองก็ไม่มีทางรู้ว่าชายหนุ่มหน้าตาคมเข้มหมดจดที่กำลังตบมือเรียกลูกค้าอยู่นั้น แท้จริงมีเบื้องหลังไม่ธรรมดา

“ผักสดๆ ขอรับ! ผักสด! หวานกรอบเหมือนคนขายเลย! หากคนสวยมาซื้อ ข้าแถมต้นหอมให้ต้นหนึ่งด้วย!”

จิ้นหยางชอบเย้าแหย่คนเป็นนิสัย ทำให้บรรดาฮูหยินทั้งหลายหัวเราะคิกคักกับวาจาของเขา แล้วอดซื้อผักสักต้นสองต้นไม่ได้ หลิวกู้อยู่ร้านตรงข้ามเท้าคางมอง ไม่เข้าใจว่าทำไมตอนที่วัดอันดับคนในหน่วยลับ เขาจึงได้แพ้ให้คนเช่นนี้ได้ และสิ่งที่ทำให้หลิวกู้อยากจะขว้างไหสุราใส่หัวจิ้นหยางมากที่สุด กลับเป็นตอนที่น้องชายร่วมสาบานได้ยินเสียงแตร จิ้นหยางหันมาบอกเขาเสียงดัง

“พี่กู้! ข้าฝากร้านด้วยนะ!”

หลิวกู้อ้าปากค้าง ชี้คนที่หันหลังวิ่งจากไปไม่เห็นฝุ่น หลิวเหวินหัวเราะออกมาเสียงดัง

จิ้นหยางโยนภาระให้คนอื่นแล้วไปเบียดผู้คน ชะเง้อมองไปทางเหล่าทหารกล้าในชุดเกราะ ผู้ที่ขี่อาชานำทุกคน ซิ่นเมิ่งกั๋วกงพิทักษ์ดินแดน

“ท่านกั๋วกง!”

“ท่านแม่ทัพ!”

เสียงร้องดังรอบสารทิศ จิ้นหยางลอบใช้วิชาลับยามที่ทุกคนไม่สนใจเขา ตามร่างสูงสง่าในชุดเกราะบนหลังอาชานั้นไปเรื่อยๆ ฮ่องเต้ซุนหลิงตี้กับไทเฮามารับพวกเขาที่หน้าประตูวังหลวง จิ้นหยางนั้นไม่ควรเข้าไปในวังหลวง จึงได้แต่รออยู่ด้านนอก พอรถม้าของกั๋วกงออกมาจากวังหลวง เขาก็ลอบตามไป

รถม้าหยุดลงที่ตลาด เหล่าชาวบ้านเห็นซิ่นเมิ่งกั๋วกงลงมาเลือกซื้อของด้วยตัวเอง ก็รีบขนเอาของอะไรต่ออะไรมาให้ จิ้นหยางเองก็รีบพุ่งตัวไปทันที

“พี่ชาย!”

คำเรียกของเขาแตกต่างจากคนอื่น ทำเอาชายวัยฉกรรจ์หน้าตาคมคายราวกับรูปสลักหันมามองเขา จิ้นหยางรีบแทรกตัวไปยืนตรงหน้าเขา เอ่ยด้วยท่าทางตื่นเต้นเล็กน้อย

“ท่านจำข้าได้หรือไม่”

เหล่าทหารที่ติดตามมาทำท่าจะชักอาวุธ หากคนที่เข้ามานั้นคิดร้ายกับนายของตนเองแม้เพียงเล็กน้อย แต่กั๋วกงพิทักษ์แผ่นดินหรือ ‘หยางจวินเว่ย’ กลับยกมือห้าม มองดวงหน้าของจิ้นหยางพร้อมพึมพำ

“เจ้า...”

จิ้นหยางกระแอมเล็กน้อยก่อนกล่าว “เด็กน้อย จากนี้ไปเจ้าเป็นชาวต้าหลิวเช่นเดียวกับพวกเรา ดังนั้นข้าจะมอบชื่อใหม่ให้แก่เจ้า เอาเช่นนี้... เจ้าดูเข้าที น่าจะมีความซื่อสัตย์ ข้าให้นามเจ้าขึ้นต้นด้วยคำว่า ‘จิ้น’ ที่แปลว่าความซื่อสัตย์ ข้าเป็นคนลั่วหยาง แต่กลับมาพบเจ้าที่ต่างแดนเช่นนี้นับเป็นวาสนา ให้ใช้คำว่า ‘หยาง’ ที่แปลว่าต่างถิ่น รวมกันเป็น ‘จิ้นหยาง’ ดีหรือไม่

หยางจวินเว่ยนิ่งค้างไปเล็กน้อย ก่อนจะอุทานออกมาเสียงดัง “เจ้าคือเด็กคนนั้นหรือ!”

จิ้นหยางพยักหน้ารับ “ข้าน้อยมีนามว่าจิ้นหยาง จิ้นที่แปลว่าความซื่อสัตย์ หยางที่แปลว่าแดนไกล ข้าคือคนซื่อสัตย์ที่มาจากแดนไกลขอรับ!”

หยางจวินเว่ยได้ยินเช่นนั้นก็คล้ายได้พบเพื่อนเก่า ตรงเข้ามาคว้าบ่าของเขา ตบหนักๆ หลายครั้งพร้อมบอกอย่างตื่นเต้น “เจ้าโตขึ้นเยอะมากจริงๆ! นี่ไม่น่าเชื่อ... ข้าไม่อยากเชื่อเลย!”

จิ้นหยางหัวเราะ ความรู้สึกในใจเต็มไปด้วยความตื้นตัน “พี่ชาย หากวันนั้นไม่ใช่ท่านที่อุ้มข้าฝ่ากองทัพออกมา ข้าก็คงจะตายไปนานแล้ว มาวันนี้ข้าจึงอยากมาทำสิ่งนี้สักครั้ง...”

เขาคุกเข่าลง จากนั้นก็โขกศีรษะ พร้อมกล่าวอย่างจริงใจ

“ท่านแม่ทัพ ขอบคุณที่มอบชีวิตและแผ่นดินให้ข้าได้อาศัยอยู่ ข้ามีวันนี้ได้เพราะท่านขอรับ!”

หยางจวินเว่ยรีบประคองเขาขึ้นมา ขอบตาแดงก่ำพร้อมกล่าว “อย่ากล่าวเช่นนั้นเลย ข้าเพียงแค่ทำสิ่งที่ตนสมควรทำเท่านั้น เอ้อร์หลาง... มา! กลับไปจวนของข้า กินอาหารร่วมกันสักมื้อเถอะ!”

“ข้า...!” จิ้นหยางชี้จมูกตัวเอง เขาไม่คิดว่าแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินจะเชิญคนอย่างง่ายดายขนาดนั้น “...ท่านแม่ทัพ ข้าเป็นคนขายผัก”

“เจ้ามิใช่แค่คนขายผักเสียหน่อย! เจ้าเป็นสหายเก่าของข้า!”

หยางจวินเว่ยยังคงตื่นเต้นยินดีที่ได้พบหน้ากันอีกครั้ง ทหารสองข้างขยับปากเหมือนอยากเอ่ยอะไร แต่ว่าซิ่นเมิ่งกั๋วกงก็ยังคงยกมือห้าม ทำนองว่าพวกเขาไม่ต้องคิดมาก

สำหรับหยางจวินเว่ยแล้ว ศัตรูนั้นมีแต่ชาวซงหนูที่มารุกรานแผ่นดิน

จิ้นหยางเลยได้มานั่งตัวลีบอยู่บนรถม้า วาดหวังว่าจะไม่มีเพื่อนองครักษ์ลับคนไหนเห็นว่าเขามากับกั๋วกง แต่ฮ่องเต้ซุนหลิงตี้กำลังเกษมสำราญกับชัยชนะในครั้งล่าสุด ไม่คิดจับตาดูแม่ทัพใหญ่คนนี้เป็นพิเศษ วันนั้นนอกจากเขาแล้ว จึงไม่มีองครักษ์ลับคนไหนจับตามองความเคลื่อนไหวของหยางจวินเว่ย

องครักษ์ลับกับขุนนางไม่ควรพบปะสังสรรค์กัน จนปัญญาที่จิ้นหยางยังจำชายหนุ่มที่อุ้มเขาออกมาจากสงครามได้ บุกฝ่ากลับมายังค่ายทหาร ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแบบชาวซงหนูมาเป็นชุดของชาวต้าหลิว แล้วส่งตัวมายังเมืองหลวงเพื่อลี้ภัยจากสงคราม

หากจิ้นหยางรู้ว่าหยางจวินเว่ยจะถึงกับเชิญเขาเข้าจวน เขาคงจะสวมเสื้อผ้าให้ดีกว่านี้สักนิด

เอ้อร์หลาง เจ้าเติบโตเป็นหนุ่มเช่นนี้ มีใครรับอุปการะไว้หรือ” หยางจวินเว่ยถามอย่างเป็นกันเอง

จิ้นหยางลอบกลอกตา เรื่องที่ไทเฮาและฮ่องเต้ซุนหลิงตี้เลี้ยงดูองครักษ์ลับเอาไว้ จะเปิดเผยไม่ได้เป็นอันขาด “มีคนผู้หนึ่งรับข้าเอาไว้ขอรับ และตอนนี้ข้าก็ขายผักอยู่ที่ตลาด หากท่านกั๋วกงไปที่นั่น ข้าจะมอบผักให้หนึ่งถุงใหญ่”

“ขายผักหรือ... ดี! ดีมาก” หยางจวินเว่ยตาเป็นประกาย “ข้าเองก็คิดว่าหลังจากวางดาบแล้วจะหาที่ทางปลูกผักสักหน่อย ถึงตอนนั้นคงจะนำมาฝากเจ้าขายหารายได้เลี้ยงตัวเองหลังทิ้งตราพยัคฆ์”

จิ้นหยางได้ยินเช่นนั้นก็อุทาน “ท่านแม่ทัพจะทิ้งตราพยัคฆ์หรือ!”

“ตอนนี้ปราบซงหนูแล้ว ไม่มีสงครามอีก ข้าเองก็กรำศึกมามาก ตอนนี้อยากจะวางมือแล้ว” หยางจวินเว่ยมิใช่คนหนุ่ม เขาเป็นชายวัยห้าสิบกว่าหนาว ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก “ตอนนี้ข้ามีลูกแล้ว อยากจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับพวกเขา”

หยางจวินเว่ยหรือซิ่นเมิ่งกั๋วกงผู้นี้ ในวัยหนุ่มก็ได้เป็นแม่ทัพ เป็นที่พอพระทัยขององค์หญิงผู้หนึ่ง และได้สมรสพระราชทานจากฮ่องเต้ซุนหลิงตี้ที่ในครานั้นยังมีอายุน้อยมาก ยามนั้นขุนนางแสนดีทั้งหลายต่างหวาดเกรงว่าแม่ทัพใหญ่กับองค์หญิงจะทำการร้ายต่อราชบัลลังก์

ประจวบเหมาะกับยามนั้นซงหนูเห็นว่าฮ่องเต้ซุนหลิงตี้ยังอ่อนเยาว์ จึงยกทัพเข้าประชิดชายแดน หยางจวินเว่ยขันอาสายกทัพออกจากเมืองหลวงไปรับมือชาวซงหนู เขาเคยพลาดท่า เสียเมืองหน้าด่านให้ทหารซงหนู องค์หญิงหมิงอานติดตามสามี ไม่ยอมถูกย่ำยีจึงปลิดชีพตนเอง ผู้เฒ่าหยางไม่ต้องการสร้างความลำบากแก่บุตรชาย ยอมตายเช่นเดียวกัน หยางจวินเว่ยเสียใจอย่างหนัก ครั้นยึดเมืองกลับมาได้ก็ไม่ยอมแต่งงานใหม่ถึงสิบปีเต็ม เพิ่งจะแต่งงานอีกครั้งเมื่อเก้าปีมานี้ มีทายาทหญิงและชายจากภรรยาคนใหม่ที่ได้ชื่อว่าเป็นสตรีงามล่มเมือง

จวนของแม่ทัพใหญ่กำลังเก็บกวาดเช็ดถูเพื่อต้อนรับนายของตน เด็กเล็กสองคนกำลังเล่นอยู่ตรงบ่อปลา พอเห็นรถม้าแล่นเข้ามาในจวนก็วางถุงอาหารปลา แล้ววิ่งมาร้องเรียก

“ท่านพ่อ! ท่านพ่อ!”

หยางจวินเว่ยลงจากรถม้า อุ้มเด็กเด็กหญิงกับเด็กชายขึ้นมา ก่อนหันมาหาจิ้นหยาง “เอ้อร์หลาง ลงมาสิ”

จิ้นหยางมองดวงหน้าผุดผาดของเด็กน้อยทั้งสอง เด็กหญิงนั้นอายุมากกว่าเด็กชายประมาณสองปี ดวงหน้าค่อนไปทางผู้เป็นบิดา ขณะที่เด็กชายตัวน้อยมองเขาแล้วเบือนหน้าหนี กล่าวตามตรง หากเด็กคนนี้มิสวมชุดแบบบุรุษ เขาคงนึกว่าเป็นเด็กหญิง

หยางจวินเว่ยมองตามสายตาเขา ก่อนจะแนะนำ “นี่คือลูกสาวและลูกชายของข้าเอง ลูกสาวมีนามว่า ‘อวี้ซุ่ย’ ส่วนลูกชายของข้ามีนามว่า ‘ซือสือ’ ”

จิ้นหยางประสานมือ “คารวะคุณหนูและคุณชายน้อย”

ในตอนนั้นมีสตรีคนหนึ่งเร่งร้อนออกมาเรือน จิ้นหยางตาไวหันไปมองนาง เขาก็ได้พบกับสตรีที่งดงามที่สุดเท่าที่เคยพบเห็นในชีวิตนี้ ด้วยเกรงว่าจะเผลอคิดไม่ดีกับภรรยาของผู้มีพระคุณ เขาจึงได้ก้มหน้าลงต่ำทันที

“โอ้ นั่นฮูหยินของข้าเอง” หยางจวินเว่ยมีสายตานุ่มนวลเมื่อเห็นนาง

รอหญิงสาวคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ จิ้นหยางจึงได้ประสานมือ “คารวะฮูหยิน”

หลังจากนั้นคือการรำลึกความหลังครั้งเก่าของพวกเขา หยางจวินเว่ยเล่าเรื่องที่จิ้นหยางเคยฉี่รดที่นอนของเขาในตอนกลางคืน ทำเอาถูกหยางฮูหยินเอ็ดไปว่าไม่ควรกล่าวเช่นนั้นยามกินอาหาร หยางจวินเว่ยได้แต่ขออภัย เพราะตนนั้นอดไม่ได้ หากให้เขาจดจำเด็กชายนามจิ้นหยางก็คงจะจดจำได้แต่เรื่องนี้เท่านั้น

เจ้าอายุเท่าไรแล้วหรือ” หยางจวินเว่ยถามจิ้นหยาง

“สักประมาณยี่สิบหนาวได้ขอรับ” จิ้นหยางตอบเขา

หยางจวินเว่ยรำพึงรำพัน “ยี่สิบหนาว.. .ยาวนานนับสิบปีเชียวหรือ” เขารับจอกสุราจากหยางฮูหยินมาดื่ม พอร่ำสุราไปสักพัก เขาก็ทำตัวเหมือนบุพการีผู้หนึ่งของจิ้นหยาง “แล้วเจ้ามีครอบครัวหรือยัง”

“ยังขอรับ” จิ้นหยางตอบอย่างสุภาพ

“แล้วคนรักเล่า”

จิ้นหยางแก้มแดงเรื่อ “สตรีขายข้าวต้มที่ตลาดคือคนรักของข้าขอรับ”

เขาปลอมตัวเป็นคนขายผัก นานปีเข้าก็คุ้นเคยกับคนในตลาด ซินหลันตั้งร้านอยู่ไม่ไกลจากเขา แม้ว่าชายหนุ่มจะเป็นคนชอบคนงาม แต่ว่าคนรักของเขามิได้งดงามนัก นางอบอุ่นและอ่อนโยนดุจสายน้ำ อายุสิบห้าหนาวในปีนี้ เมื่อก่อนชอบตามบิดามาซื้อผักจากเขา จิ้นหยางเห็นเป็นสาวแรกรุ่น เลยอดเย้าแหย่สักคำสองคำไม่ได้ เล่นเอาซินหลันหน้าแดงก่ำ มองเขาอย่างไม่พอใจทุกครั้งที่มาซื้อผัก 

ภายหลังบิดาของนางป่วยหนัก เป็นจิ้นหยางที่ไปช่วยดูแล นางเลยตอบแทนเขาด้วยข้าวต้มหนึ่งหม้อใหญ่ทุกวัน พอบิดาของนางตายจากไป ก็กลายเป็นเขาอีกที่คอยปกป้องนางจากอันธพาล สุดท้ายแล้วพวกเขากลายเป็นคนรักกันตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ หากจิ้นหยางจะต้องแต่งงานก็คงจะต้องเป็นนางเท่านั้น

เช่นนั้นก็แต่งงานเถิด เมื่อก่อนข้าก็มุมานะกับการทำงาน กว่าจะมีลูกก็ปาไปสี่สิบกว่าแล้ว หากเลือกได้ก็อยากมีพวกเขาให้เร็วกว่านี้ จะได้อยู่ดูแลพวกเขาไปนานๆ” หยางจวินเว่ยยิ้ม “ตอนนี้เจ้ายังหนุ่ม จะรักอิสระก็ไม่แปลกอะไร แต่ถ้าอายุเท่าข้า เจ้าจะอยากมีความสุขกับคนที่รักให้เร็วกว่านี้แน่”

เขามองภรรยาของตนเอง หยางฮูหยินแย้มรอยยิ้มให้เขา นี่ก็เป็นคู่สามีภรรยาที่รักใคร่กันลึกซึ้งอีกคู่หนึ่ง จิ้นหยางเริ่มโดนบรรยากาศหล่อหลอมให้อยากมีครอบครัวบ้างแล้ว

“ว่าแต่ท่านแม่ทัพกราบทูลฝ่าบาทหรือยังขอรับว่า...”

“ทูลแล้ว” แม่ทัพใหญ่พยักหน้า “ฝ่าบาทและไทเฮาเลยคิดพระราชทานอาหารให้ข้าเป็นการส่วนพระองค์ วันพรุ่งจะพาภรรยากับลูกๆ ไปเข้าเฝ้า จากนั้นจะพาพวกเขาไปท่องเที่ยว แล้วซื้อที่ จัดการอะไร ใช้ชีวิตหลังออกจากราชการอย่างมีความสุข”

จิ้นหยางฟังแล้วก็พยักหน้ารับไม่หยุด นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีทีเดียว เหล่าคนในราชสำนักแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน หยางจวินเว่ยกุมอำนาจทางการทหารในมือ ตอนนี้ไม่มีสงครามจะต้องกลายเป็นวิหคสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน[1] อย่างแน่นอน

 

จิ้นหยางขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ระหว่างทางกลับ เขาเห็นห้องเก็บอาวุธของหยางจวินเว่ย ร่างเล็กๆ หนึ่งร่างกำลังลักลอบทำการบางอย่างอยู่ที่อาวุธชิ้นหนึ่ง

หยางซือสือกำลังลอบทดลองน้าวคันธนูของบิดา เด็กชายคนนี้อายุเพียงเจ็ดหนาว กลับคิดอยากง้าวสายธนูหนักสามตั้น จิ้นหยางแทบหลุดหัวเราะ เขาเข้าใจว่าเด็กผู้ชายมักชอบอาวุธ แต่ธนูหนักสามตั้นนั้นมีสมรรถนะด้านกำลังเต็มสิบ คงมีแต่ผู้ฝึกวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะน้าวสายนั้นได้ เด็กชายตัวแค่นี้ยังไม่น่ายกขึ้นเลยด้วยซ้ำ

จิ้นหยางเกิดความคิดชั่วร้าย ย่องไปกระซิบข้างหลังเขาเบาๆ “ทำอะไรอยู่หรือ”

หยางซือสือสะดุ้งเฮือก มือที่จับสายธนูลื่น เกิดเลือดไหล ทำเอาจิ้นหยางตกใจเป็นคนต่อมา เขารีบอุ้มเด็กคนนั้นมาล้างแผลแล้วใส่ยา กล่าวขอโทษหน้าเสีย

“ขอโทษนะ ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะได้แผล เดี๋ยวข้าจะไปรับผิดกับพ่อของเจ้าเอง!”

“ไม่เอา!” ซือสือรีบบอก “ท่านพ่อบอกว่าห้ามข้าแอบเข้าห้องเก็บอาวุธ แต่ว่า...”

จิ้นหยางได้ยินเช่นนั้นก็มีแววตาที่อ่อนลง เด็กชายชอบอาวุธ แต่กับบิดามารดา พวกเขาย่อมปกป้องลูกจากอันตรายทั้งมวล ดังนั้นวันนี้เป็นหยางซือสือที่เห็นว่าบิดามีแขก ไม่สนใจเขา เลยแอบย่องเข้าไป หวังจะทดสอบฝีมือตัวเอง

“เช่นนั้น... เราก็ต้องไปทำลายหลักฐาน”

เขาจูงมือหยางซือสือกลับเข้าไปในห้องเก็บอาวุธ จากนั้นก็เช็ดเลือดที่ติดตรงสายธนู แล้วยกธนูนั้นขึ้นมา เช็ดเลือดที่หยดอยู่ตรงฐานวางด้วย หยางซือสือเห็นเช่นนั้นก็อ้าปากค้าง ท่านพ่อบอกว่าคนที่จะยกธนูคันนี้ได้ในกองทัพมีไม่กี่คน แต่พี่ชายคนนี้ยกด้วยมือเดียวได้อย่างสบาย ซ้ำยังใช้อีกมือเช็ดเลือดโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนด้วย

“พี่ชายเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์หรือ”

เด็กชายเกิดความสนใจ เดินตามจิ้นหยางต้อยๆ “วันข้างหน้าข้าก็จะฝึกวรยุทธ์ด้วย”

จิ้นหยางเกิดความเอ็นดูเลยจูงมือเขาเดินไปเล่นในสวน “เจ้าอยากจะเรียนวรยุทธ์หรือ ลำบากนะ”

“ข้าไม่กลัว ข้าอยากจะเป็นขุนนางเหมือนท่านพ่อ รับใช้ฮ่องเต้ สร้างความดีความชอบให้บ้านเมือง ช่วยเหลือปวงประชา” หยางซือสือกล่าวอย่างฉะฉาน ทำเอาจิ้นหยางอยากจะหลั่งน้ำตา ‘เด็กเอ๋ย ขุนนางไม่ได้ดีทุกคนหรอก’ แต่เรื่องการปกปิดความโสมมและสร้างสิ่งสวยงามในสายตาของเด็กเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ เขาเลยเอื้อมมือมาลูบศีรษะอีกฝ่าย

“เก่งมาก”

เด็กหญิงถือถาดใส่ขนมหวานมา เห็นน้องชายของนางอยู่กับจิ้นหยางก็ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มแล้วยื่นให้

“ขนมเจ้าค่ะ”

ขนมมีสองชิ้น ชิ้นหนึ่งคงเป็นของหยางซือสือ อีกชิ้นคงจะเป็นของนาง แต่นางเป็นเด็กดีมาก จึงได้สละมันให้แขก แล้วจะให้จิ้นหยางหน้าด้านหน้าทนได้อย่างไร เขาไม่มีทางแย่งขนมเด็กได้

“พวกเจ้ากินกันเถอะ”

มองเด็กสองคนกินขนม น้องชายกินจนปากเลอะ พี่สาวก็หยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดให้เขาอย่างใส่ใจ หัวใจของคนมองก็อ่อนยวบยาบไปด้วย จิ้นหยางเริ่มครุ่นคิดว่าเขาจะต้องสร้างครอบครัวกับซินหลันเสียที

 

พอกลับมาจากจวนของซิ่นเมิ่งกั๋วกง จิ้นหยางเลยเอาเงินเก็บออกมานับ ว่าพอจะมีเงินมากพอไปสู่ขอคนรักของตนหรือไม่ เขาเป็นเด็กกำพร้า อาจจะมีพี่น้องร่วมสาบาน แต่ว่านอกจากพวกองครักษ์ลับแล้ว เขาก็ไม่มีญาติผู้ใหญ่ที่ไหน ส่วนซินหลันก็กำพร้าพ่อ เรื่องเงินนับว่าเป็นปัญหาจริงๆ

“เจ้าทำอะไรอยู่หรือ”

หลิวกู้เข้ามาดูอย่างสงสัย จิ้นหยางตอบโดยไม่มองหน้าเขา

“ข้ากำลังจะไปขอเมียน่ะสิ เฮ้อ พี่กู้ พี่ว่า... หากให้สินสอดเท่านี้ แม่เฒ่าเขาจะยอมยกซินหลันให้ข้าหรือไม่”

หลิวกู้ได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งค้าง ก่อนจะเดินกลับเข้าห้องตัวเอง เหล่าองครักษ์ลับทั้งหมดล้วนมีวรยุทธ์ขั้นสูง ได้ยินเช่นนั้นก็เปิดประตูออกมาร้อง

“เจ้าตัวแสบ! เจ้าจะแต่งงานแล้วหรือ!”

“โฮ ซินหลันช่างน่าสงสาร!”

“ตื่นๆๆๆ! จิ้นหยางจะมีเมียแล้วโว้ย!”

ในกองกำลังลับ จิ้นหยางเป็นพวกชอบเย้าแหย่คนอื่นที่สุด ทั้งยังมีฝีมือโดดเด่นเป็นอันดับสองรองจากหลิวเหวิน พอเขาบอกว่าอยากแต่งงาน แต่ละคนก็ทำเป็นเรื่องใหญ่โตล้อเลียนเขากลับ แล้วถามว่าเขาพอจะมีสินสอดไปขอนางเท่าไร พอเห็นเงินเก็บจำนวนหนึ่งของจิ้นหยาง แต่ละคนก็ส่ายหน้า แล้วแยกย้ายกันกลับเข้าไปในห้อง

“อะไรกัน เงินเก็บข้าก็ไม่ได้น่าเกลียดเสียหน่อย!” จิ้นหยางบ่นอุบอิบก่อนจะถอนหายใจ ด้วยเงินเพียงเท่านี้ เขาแต่งงานไม่ได้จริงๆ ในตอนนั้นหลิวกู้ก็เดินมาหาเขาอีกครั้ง แล้ววางหีบที่อุ้มมาลง

“นี่ของข้าและหลิวเหวิน สมทบทุนให้เจ้าไปขอนาง”

จิ้นหยางสะท้านไปทั้งตัว พอเห็นทองก้อนและก้อนเงินบางส่วนเขาก็อ้าปากค้าง เงยหน้ามองพี่ชายร่วมสาบาน หลิวกู้ลูบหีบเบาๆ ยามกล่าว

“นางเป็นสตรีที่ดี เจ้าจะต้องให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่นาง ดังนั้นรับเอาไว้เถอะ!”

“พี่กู้! ข้าจะรับได้อย่างไร!” จิ้นหยางร้องเสียงดัง ดันหีบเงินนั้นกลับคืนไป

หลิวกู้ถลึงตาใส่เขา “ข้าเป็นพี่ชายของเจ้า พี่เหวินก็เป็นพี่ชายของเจ้า! รับเอาไว้แล้วไปขอนางเสีย!”

จิ้นหยางมุมปากกระตุก ในตอนนั้นประตูห้องของเขาก็เปิดออก องครักษ์ลับคนอื่นเอาถุงเงินมาวางใส่ในหีบนั้นคนละถุง จากนั้นก็ยืนยิ้ม

“พวกข้าก็สมทบทุนด้วย”

“อาหยาง เจ้าจะต้องดูแลนางให้ดี”

“พวกเราล้วนเป็นเด็กกำพร้า การมีครอบครัวนับเป็นความฝัน ดังนั้นแล้วพวกข้าอยากให้เจ้าสมปรารถนา”

คนที่ได้รับสะท้านไปทั้งตัว ก้มหน้าลงแล้วบอกเบาๆ

“ใครว่าข้าไม่มีครอบครัว... พวกท่านอย่างไร ครอบครัวของข้า”

“หูย เลี่ยน!” บางคนทำท่าขนหัวลุก

หลิวกู้ก้มหน้าก่อนจะอุทาน “เจ้าร้องไห้หรือ

“ไม่ใช่!”

หลายคนร้องออกมา

“จิ้นหยางร้องไห้!”

“ว้าย เด็กหญิง!”

“หุบปากนะ!”

จิ้นหยางหัวเราะทั้งน้ำตา พวกเขาล้วนเป็นเด็กกำพร้า แม้แต่หลิวเหวินและหลิวกู้เองก็ไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ หลิวเหวินอุ้มหลิวกู้เดินทางเป็นพันลี้ ขอทานมาจนถึงเมืองหลวง แล้วถูกรับเอาตัวไว้ แซ่เดิมของสองคนนี้คืออะไรไม่มีใครรู้ แต่เมื่อหลิวเหวินสอบไล่ได้ที่หนึ่งในหน่วย จึงได้รับเกียรติให้ใช้แซ่ ‘หลิว’ แซ่เดียวกับราชวงศ์ สื่อว่าทั้งกายและใจของเขาเป็นของราชวงศ์ เป็นธรรมเนียมปฏิบัติขององครักษ์ลับ เมื่อพี่ชายได้แซ่นั้น น้องชายถึงใช้แซ่ตาม เด็กกำพร้าอยู่รวมกันจึงกลายเป็นเช่นนี้

พวกเขาเหมือนครอบครัว

สองวันต่อมาหัวหน้าหลิวเหวินรับคำสั่ง ให้หน่วยองครักษ์ปราบพยัคฆ์ทุกคนลอบสังหารซิ่นเมิ่งกั๋วกง!

 

จากการที่ฮ่องเต้ตำหนิขุนนางฝ่ายราชครูที่ยื่นฎีกาฟ้องร้องหวังรุ่ยเสวียน ทำให้ใครหลายคนขบคิดกันว่าหากใต้เท้าหวังสนับสนุนท่านอ๋ององค์ใด ท่านอ๋ององค์นั้นจะต้องมีอำนาจมากพอจะไขว่คว้าราชบัลลังก์อย่างแน่นอน

พ่อบ้านเหวินหยิบเทียบเชิญทั้งหลายมาให้หวังรุ่ยเสวียน มีเทียบเชิญจากขุนนางทุกคน แม้แต่ราชครูกู้ก็ยังส่งเทียบเชิญมา จิ้นหยางเห็นแล้วก็อ้าปากค้าง

หวังรุ่ยเสวียนคว้าเทียบเชิญของท่านราชครู “แค่เห็นสิ่งนี้ ข้าก็เห็นคำว่า ‘สั่งสอนตักเตือน’ แล้ว” พูดจบเขาก็โยนเทียบเชิญนั้นออกไปให้พ้นสายตา คนอย่างราชครูกู้จะมีอะไร ปากคงบอกเชิญไปเพื่อปรับความเข้าใจ แต่แท้ที่จริงคงจะเตรียมเทศนาจนหูชาว่า ขุนนางที่ดีไม่ควรเอาของมีราคาไปถวายให้ฮ่องเต้จนฮ่องเต้เสียนิสัย...

จิ้นหยางมองเทียบเชิญน่าสงสารนั้น ก่อนมองนายท่านหยิบเทียบเชิญมาสองฉบับ หนึ่งคืองานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของขุนนางแซ่เฉิน เสนาบดีกรมคลังซึ่งเป็นพระญาติของเสียนเฟย จากนั้นจึงหยิบเทียบเชิญของอัครเสนาบดีหลีเคอฟู่ออกมา เดินไปเขียนสารตอบรับ

อัครเสนาบดีจัดงานครบรอบวันคล้ายวันเกิดมารดา ส่วนเสนาบดีกรมคลังก็จัดงานวันคล้ายวันเกิดตัวเอง ตอนนี้อัครเสนาบดีมีอำนาจมาก แต่ขุนนางแซ่เฉินคนนั้นเห็นว่าหลานสาวเป็นพระสนมคนโปรด ดังนั้นจึงได้จัดงานก่อนหน้าอีกฝ่ายหนึ่งสัปดาห์ และจัดเสียใหญ่โต สองขั้วอำนาจนี้เป็นอริกันอย่างแน่นอน

“หยางหยาง เจ้าคิดว่าอย่างไร” หวังรุ่ยเสวียนลองภูมิความรู้คนครัว

จิ้นหยางกล่าว “พวกเขากำลังดูท่าทีว่าท่านจะสนับสนุนองค์ชายองค์ไหนน่ะสิ”

เสียนเฟยก็มีโอรส แก้วตาดวงใจของฮ่องเต้ซึ่งยังไม่ถึงวัยแต่งตั้งเป็นอ๋องแล้วออกจากวังหลวง หากหวังรุ่ยเสวียนคิดวางตัวเป็นกลาง จะต้องลำบากมากแน่

ชินอ๋องหรือองค์ชายน้อย ฮองเฮาหรือเสียนเฟย

หวังรุ่ยเสวียนถามยิ้มๆ “แล้วเจ้าคิดว่า... ข้าควรจะสนับสนุนผู้ใด”

“นายท่าน นี่ไม่ใช่เรื่องที่บ่าวรับใช้อย่างข้าจะตัดสินได้นะขอรับ” จิ้นหยางกล่าวยิ้มๆ

คนฟังลอบคิดในใจว่า ‘คนครัวคนนี้ช่างหัวไวดีจริงๆ’ เขายื่นใบคำสั่งให้พ่อบ้านเหวิน

“เตรียมของขวัญให้ข้าที”

 

วันคล้ายวันเกิดของเสนาบดีกรมคลังมีหลายคนมาร่วมงาน แต่คนที่มีจุดยืนต่างกันย่อมไม่เข้ามาเหยียบในงานนี้ เพราะที่จวนของขุนนางแซ่เฉินนั้นมีองครักษ์ในหน่วยปราบพยัคฆ์อยู่เต็มไปหมด ตอนที่จิ้นหยางเห็นหลิวกู้ยืนเป็นองครักษ์ให้ใต้เท้าเฉินก็แทบจะเผลอทำกล่องของขวัญหลุดมือ

หวังรุ่ยเสวียนปรายตามองอาการตกตะลึงของคนสนิท ก่อนกล่าวเสียงเรียบ “ทำกิริยาให้ดีสักหน่อย”

จิ้นหยางได้สติเลยเดินอย่างนอบน้อมตามหวังรุ่ยเสวียนไปคารวะเสนาบดีกรมคลัง จากนั้นจึงมายืนตัวตรงคอยรับใช้นายของตน ดวงตาอดเหล่มองพี่ชายร่วมสาบานไม่ได้ แต่เมื่อหลิวกู้หันไปมองเขาอย่างพินิจ จิ้นหยางก็ก้มหน้าลงต่ำ พยายามข่มตัวเองไม่ให้เดินไปถามอีกฝ่ายว่า ทำไมองครักษ์ลับถึงมารับใช้ขุนนางถึงในจวนเช่นนี้ 

ฮึก... ตกต่ำ! ตกต่ำเกินไปแล้ว!

“ใต้เท้าหวัง นี่เป็นอาหารบำรุงอย่างดีที่ข้าจัดเตรียมเอาไว้ให้ท่าน หวังว่าจะถูกปากท่านนะ” ใต้เท้าเฉินกล่าวพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ “ท่านร่างกายไม่แข็งแรง แต่ก็ยังทำงานอย่างหนัก ควรจะกินอาหารให้ดีสักหน่อย”

“ขอบคุณใต้เท้าเฉินที่เข้าใจ” หวังรุ่ยเสวียนยิ้มเล็กน้อย “ท่านเองก็เช่นเดียวกัน”

เสนาบดีกรมโยธาซุนและซุนหงเถียนก็มาร่วมงานนี้ ลอบมองกิริยาของหวังรุ่ยเสวียนอยู่เสมอ แม้ว่าคนผู้นี้จะเป็นลูกเขยและน้องเขยของเขา แต่ก็ราวกับอยู่ในเมฆหมอก ไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจน ต้องโทษที่ซุนหงซิ่วนั้นไร้ความสามารถ ไม่สามารถกุมหัวใจเขาเอาไว้ได้

คิดถึงความเหลวไหลของซุนหงซิ่ว พวกเขาก็รู้สึกไม่สู้ดีสักเท่าไร หวังรุ่ยเสวียนเพียงทักทายพ่อตากับพี่เขยตามมารยาท และคีบอาหารเข้าปากเพียงสามคำ ก่อนจะวางตะเกียบลง

“เหมือนว่าอาหารของข้าจะไม่ถูกปากใต้เท้าหวังกระมัง” ใต้เท้าเฉินกล่าว ดวงตาคล้ายไม่ยิ้มตามริมฝีปาก

“ต้องโทษที่คนครัวของข้าฝีมือดีเกินไป ข้าเลยกลายเป็นคนเลือกกินเสียแล้ว” หวังรุ่ยเสวียนดื่มชา ก่อนหันไปยิ้มให้พ่อตา “ขอบคุณใต้เท้าซุนที่มอบหยางหยางให้ข้า ตอนนี้ข้าขาดเขาไม่ได้แล้ว”

จิ้นหยางซึ่งยืนอยู่ด้านหลังของอีกฝ่ายขนลุกมาหนึ่งครา ได้แต่คร่ำครวญในใจ ‘นายท่าน อย่าได้โยนกองไฟมาใส่ข้าสิขอรับ’

“เห็นว่าจิ้นหยางถูกใจเจ้า ข้าก็ดีใจ” ใต้เท้าซุนเร่งเอ่ยด้วยสีหน้ายินดี หวังรุ่ยเสวียนเอนมาทางเขามากกว่าใต้เท้าเฉิน ครานี้พอเกลี้ยกล่อม ใต้เท้าหวังอาจจะเอนเอียงมาสนับสนุนฮุ่ยอ๋อง

แต่เพราะว่าการที่ตระกูลซุนสนับสนุนฮุ่ยอ๋องนั้นเป็นความลับ ดังนั้นใต้เท้าเฉินเลยไม่คิดอะไรมาก คิดแค่ว่าหวังรุ่ยเสวียนและตระกูลซุนมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน เขาที่มีพวกตระกูลซุนหนุนก็คงจะได้รับการสนับสนุนจากเสนาบดีกรมพิธีการไม่ยาก น่าสงสารที่เขาไม่รู้ว่าคนข้างกายของตนเอาใจออกหากไปหาผู้อื่น

หลิวกู้ได้ยินนามว่า ‘จิ้นหยาง’ ดวงตาคมกริบก็อดพินิจมองจิ้นหยางที่ยืนด้านหลังของหวังรุ่ยเสวียนไม่ได้ รูปลักษณ์นั้นแตกต่างจากจิ้นหยางที่เขารู้จักเป็นอย่างยิ่ง และหากคาดเดาจากอายุ ก็ไม่มีทางใช่คนที่อยู่ในความทรงจำของเขาเป็นแน่ แต่เพราะนามนั้นทำให้เขาต้องจับตามองคนผู้นี้ด้วยความสนใจ

จิ้นหยางหลั่งเหงื่อเย็นแล้ว ในที่นี้คนที่รู้จักเขาดีที่สุดคือหลิวกู้ เขาพยายามก้มหน้าต่ำอย่างเขินอายเพื่อปกปิดริมฝีปากที่กระตุกเป็นระยะ

“เมื่ออาหารไม่ค่อยถูกใจ เช่นนั้นเรามาชมการบรรเลงพิณกันดีกว่า บุตรสาวคนเล็กของข้าเลื่อมใสศรัทธาใต้เท้าหวังมานานมากแล้ว วันนี้นางจึงขอบรรเลงพิณให้ท่านฟังด้วยตนเอง”

คนแซ่ซุนทั้งสองมีแววตาลุกโชนประหลาด ขณะที่หวังรุ่ยเสวียนยิ้มบางๆ

“ได้ยินว่าตระกูลเฉินมีแต่สาวงาม บุตรสาวคนเล็กของท่าน... ใช่ผู้ที่ได้ชื่อว่างดงามที่สุดในเมืองหลวงยามนี้หรือไม่”

ใต้เท้าเฉินยิ้มแย้ม “ใช่แล้ว”

“นับเป็นวาสนาของรุ่ยเสวียนแล้ว” ใต้เท้าหวังประคองสุราคารวะอีกฝ่าย เหลือบสายตามองซุนหงเถียนที่หลุบตาลงต่ำ ท่าทางราวกับโดนลูบบาดแผล

‘เฉินอิงอิงและซุนหงเถียนลักลอบคบหากันอยู่ เรื่องนี้แทบไม่มีใครรู้ แม้แต่ใต้เท้าเฉินก็ไม่รู้ บัดนี้ตระกูลเฉินกลับทำท่าจะประเคนลูกสาวคนเล็กให้เป็นอนุภรรยาของข้าเสียอย่างนั้น นี่คือแผนซื้อใจที่ตื้นเขิน จนดูเหมือนเป็นแผนการทำลายความสัมพันธ์มากกว่า’ หวังรุ่ยเสวียนคิดในใจ เขายื่นสุราให้จิ้นหยางรินให้แล้วกระดกดื่ม ในใจมีความสำราญ

เฉินอิงอิงออกมาบรรเลงเพลงพิณ เสียงอ่อนโยนจากปลายนิ้วของนางทำให้เหล่าแขกเหรื่อรู้สึกเหมือนตกอยู่ในภวังค์ พอจบเสียงเพลง หลายคนปรบมือและกล่าวชมใต้เท้าเฉินหลายคำ เห็นสายตาที่นางลอบพินิจเขา หวังรุ่ยเสวียนก็หันไปบอกใต้เท้าเฉิน

“ตระกูลเฉินมีวาสนาโดยแท้ หลานสาวของท่านเป็นถึงเสียนเฟยที่ฮ่องเต้โปรดปราน บุตรสาวของท่านก็ยังเป็นหญิงงามยากจะมีใครเทียบ ข้าขอดื่มให้ท่าน”

ใต้เท้าเฉินหัวเราะ คิดหาโอกาสใช้แผนหญิงงามซื้อใจอีกฝ่าย แต่พอดื่มสุราที่หวังรุ่ยเสวียนรินให้เสร็จ ใต้เท้าหวังที่ได้ชื่อว่าเป็นเสนาบดีที่อายุน้อยที่สุดกลับพูดขึ้นมา

“หน้าตาของนางละม้ายคล้ายเสียนเฟยจริงๆ อาจจะงามกว่าด้วยซ้ำ หากฮ่องเต้ทอดพระเนตรก็คงจะโปรดปราน...” หวังรุ่ยเสวียนชะงัก ยกแขนเสื้อขึ้นปิดปากพลางก้มหน้าลง “ขายหน้าแล้ว ข้าคงดื่มมากไป ใต้เท้าเฉินอย่าได้ถือสาเป็นจริงจังเลย”

ใต้เท้าเฉินโดนคำพูดนั้นโจมตีใส่จนความคิดแตกกระจาย สักพักก็หัวเราะออกมาเบาๆ “ใต้เท้าหวังอย่าคิดมาก”

ครั้นเห็นสายตาที่หวังรุ่ยเสวียนลอบส่งให้ จิ้นหยางก็เดินมากล่าว “นายท่าน สุขภาพท่านไม่แข็งแรง อย่าดื่มอีกเลยขอรับ ประเดี๋ยวอาการจะกำเริบอีก”

“ข้าก็คิดเช่นนั้น” หวังรุ่ยเสวียนหยัดกายลุกขึ้นประสานมือ “ใต้เท้าเฉิน วันนี้ขอบคุณมากที่เชิญข้ามา ข้าขอตัวก่อน”

“เชิญเถิด ใต้เท้าหวัง” ใต้เท้าเฉินกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

จิ้นหยางเอื้อมมือมาประคองหวังรุ่ยเสวียน เดินกลับไปยังรถม้าตระกูลหวัง พอขึ้นไปยังรถม้า หวังรุ่ยเสวียนก็หมดสิ้นท่าทางมึนเมาโดยทันที เขากลับมานั่งแย้มรอยยิ้ม ขณะที่จิ้นหยางเห็นว่าหลิวกู้มองตามตนเองมา เขาก็ก้มหน้าลงต่ำแล้วถอนหายใจยาว

 

จิ้นหยางนึ่งซาลาเปาเนื้อมาเต็มตะกร้า กำลังถือมันอยู่ตรงหน้าบ้านหลังใหญ่ของเมี่ยวหลัน ได้ยินเสียงเด็กๆ วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน เขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเคาะประตู

“โอ๊ะ! พี่ชาย!”

เด็กชายคนหนึ่งกำลังเล่นตักดินอยู่ พอหันมาเห็นเขาก็เลยร้องเสียงดัง เด็กๆ กรูกันเข้ามาหาเขา ผู้ที่พวกเขาเรียกว่าท่านแม่บอกว่าเงินทองนี้ใช้ได้หลายเดือน ดังนั้นนี่ย่อมเป็นผู้มีพระคุณ

จิ้นหยางรีบร้อนยกนิ้วขึ้นเพื่อให้เด็กๆ เงียบเสียง ก่อนจะเปิดผ้าคลุมตะกร้า ยื่นซาลาเปาให้พวกเขา “เอานี่ไปนะ”

เด็กชายรับมากัดเข้าไปเต็มคำ พอได้ลิ้มรสเนื้อ ใบหน้าเล็กๆ ก็แดงก่ำขึ้นมาทันที เขาร้องขึ้น “เนื้อหมู!”

เด็กทุกคนกรูกันเข้ามาจับซาลาเปาไปคนละลูกสองลูก จิ้นหยางต้องรีบดุ “เก็บไว้ให้ท่านแม่ของพวกเจ้าด้วย!”

“พี่ชายไม่ต้องห่วง เราจะเก็บไว้ให้นางลูกหนึ่ง” เด็กคนหนึ่งบอก

ซาลาเปามีหลายสิบลูก แต่เหลือให้เมี่ยวหลันเพียงลูกเดียว จิ้นหยางรู้สึกปวดหัวกับความกตัญญูของพวกเขาจริงๆ กำลังจะพูดอะไร แต่มีเสียงหนึ่งดังขึ้นเสียก่อน

“เจ้ามาทำไม!”

ลี่มี่นั่นเอง นางคงจะจดจำเขาได้ ในมือนางยังถือถ้วยยาสำหรับใครบางคน ใบหน้าของเด็กสาวเปื้อนเขม่าเล็กน้อย จิ้นหยางเห็นนางแล้วรู้สึกถึงความขมสายหนึ่งที่ตีรวนขึ้นมาในอก

ตอนนั้นเสียงสตรีสองนางก็ดังขึ้น ลี่มี่เลยหันไปสนใจคนด้านหลัง เป็นเมี่ยวหลันที่เดินประคองแผ่นหลังของซินหลันมา ซินหลันในยามนี้กำลังตั้งครรภ์ นางยังจูงลูกชายวัยสิบหนาวมาด้วย

จิ้นหยางกำลังสับเท้าหนีก็พลันแข็งค้างอยู่ตรงนั้น

ในภาพความทรงจำของเขา ซินหลันเป็นเด็กสาวอายุน้อยที่แสนแง่งอน แต่มีน้ำใจประเสริฐที่สุด ยามนี้นางกลายเป็นหญิงสาวที่มีอายุพอสมควร มือหนึ่งกุมท้องนูนป่อง แต่อีกมือจูงมือลูกชายที่หน้าตาเหมือนตนคนหนึ่งเดินมา

“น้องกู้คงสบายดีใช่หรือไม่”

“สบายดีเจ้าค่ะ ชอบเอาหัวมาหนุน ฟังเสียงลูกในท้องของข้าเสมอเลย” ซินหลันยิ้มหวาน “แล้วอาการป่วยของพี่สะใภ้เป็นเช่นไรบ้าง”

“พักนี้มีเงินทองพอจะซื้อยา ก็เลยดีขึ้นมาก...”

“ท่านแม่! ท่านแม่! เขามาแล้ว!” เด็กๆ กรูกันเข้าไปหานาง

“มีซาลาเปามาแจกด้วย!”

เมี่ยวหลันสะท้าน รีบหันไปมองตรงประตู แต่ร่างของจิ้นหยางนั้นหายไปแล้ว นางรีบเดินออกไปดูตรงหน้าประตู จึงเห็นหลิวกู้กำลังเดินมาหาพวกตน

“พี่สะใภ้” หลิวกู้ประสานมือ เห็นสีหน้าเมี่ยวหลันเลยกล่าว “ท่านกำลังมองหาใครอยู่หรือ”

เมี่ยวหลันมองไปโดยรอบอย่างใจร้อน “เจ้าเห็นใครที่หน้าประตูนี้หรือไม่”

“ไม่นะ” หลิวกู้หันมองซ้ายขวา ก่อนถามเสียงเข้ม “มีใครมารังแกท่านหรือ”

“ไม่! ไม่! เขามาช่วยต่างหาก” เมี่ยวหลันรีบเอ่ย “เห็นบอกว่าเคยรู้จักกับท่านพี่ เลยเอาเงินทองมาให้มากมาย เมื่อครู่เพิ่งจะเอาซาลาเปามาให้เด็กๆ อากู้... เจ้ารู้จักเขาหรือไม่”

หลิวกู้ทำหน้าตาประหลาด ก่อนจะครุ่นคิดอย่างหนัก แต่ตอนนั้นซินหลันเดินออกมาจากบ้าน เด็กชายก็วิ่งมาหาเขา “ท่านพ่อ”

หลิวกู้ทรุดตัวลงอุ้มลูกชายขึ้นมา เขาระบายยิ้มให้ซินหลัน มือหนึ่งอุ้มเด็กชาย อีกมือประคองภรรยา เมี่ยวหลันกล่าว

“พวกเจ้าเข้าไปกินอาหารกันก่อนเถอะ”

พวกเขาเข้าไปในเรือนแล้ว จิ้นหยางแอบอยู่หลังกำแพง หลุบตาลงมองปลายเท้าของตนเอง ก่อนจะเหยียดยิ้มออกมาบางๆ

“เช่นนี้นี่เอง”

หลังเขาจากไป ซินหลันแต่งงานกับหลิวกู้ และตอนนี้หลิวกู้ก็คอยดูแลเมี่ยวหลันอยู่ ภาระของพี่รองเพิ่มมากขึ้น จิ้นหยางมีสิทธิ์อะไรไปถามเขาว่า ทำไมจึงทำให้องครักษ์ลับหน่วยปราบพยัคฆ์ตกต่ำลง

เขาเป็นคนทำให้หน่วยของตนตกต่ำ และหลิวกู้คือผู้ที่แบกรับทุกอย่างเอาไว้อย่างสุดกำลัง จิ้นหยางยกสองมือขึ้นตบแก้มตัวเองแรงๆ ตั้งสติก่อนจะเดินจากไป

เขาเจ็บจนน้ำตาไหล


[1] เป็นสำนวนจีน หมายถึงบ้านเมืองสงบ ทอดทิ้งขุนนางที่มีความดีความชอบ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น