บทนำ
ร้านอาหารในฉางอานนั้นขึ้นชื่อเรื่องรสชาติ แม้จะย้ายเมืองหลวงไปยังลั่วหยางแล้ว แต่ความเจริญรุ่งเรืองในยุคที่เมืองนี้เคยเป็นเมืองหลวงก็ยังคงอยู่ การค้าขายยังคงครึกครื้นเหมือนก่อน
ร้านสุราที่มีนามว่า ‘ลั่วเหลียน’ แห่งเหมือนลั่วหยางมีสามอย่างที่ขึ้นชื่อ หนึ่งคือสุรานารีแดงที่ไม่เป็นสองรองใคร สองคืออาหารเกี่ยวกับปลาแสนอร่อย และสาม... เถ้าแก่เนี้ยงกมาก
แน่นอนว่าอย่างที่หนึ่งและอย่างที่สองนั้นยกยอได้ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทว่าอย่างที่สามนั้น หากเป็นเมื่อก่อนก็สมควรพูดให้ห่างไกลคนในร้านจะดีที่สุด แต่ตอนนี้เริ่มเล่าสู่กันฟังแบบเบาๆ ได้ เพราะเถ้าแก่เนี้ยเริ่มหูตึง จึงไม่ค่อยได้ยิน
ร้านสุราแห่งนี้แต่เดิมขายแค่สุราและอาหารจากปลาก็มีรายได้ต่อเดือนหลายตำลึงแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ร้านลั่วเหลียนมั่งคั่งร่ำรวย เป็นเพราะเบื้องหลังคือการปล่อยเงินกู้
ทั้งนี้ทั้งนั้น เรื่องที่เถ้าแก่เนี้ยร้านลั่วเหลียนเคยปล่อยเงินกู้เป็นเรื่องที่นานนมมาแล้ว บัดนี้หลินฮูหยินหมดแรงข้าวต้ม ไม่อาจไปขู่กระโชกเอาเงินคืน หรือขึ้นโรงขึ้นศาลเหมือนเก่าก่อน จึงเลิกกิจการนี้ไป พาให้คนดีใจกันถ้วนหน้า ทว่าความเค็มนั้นยังอยู่ในกระแสเลือดฉันใด กิตติศัพท์ความงกก็ยังคงขจรขจายไปฉันนั้น
ทั้งที่เถ้าแก่กับเถ้าแก่เนี้ยก็นับได้ว่าชราภาพด้วยกันทั้งคู่ แต่กลับไม่คิดจ้างคนงานมาช่วยแบ่งเบาภาระของตนแต่อย่างใด สงสารก็แต่เถ้าแก่หลินที่ต้องคอยยกโต๊ะ เก็บโต๊ะ และล้างจานทั้งหมด โดยมีภรรยาคอยนั่งกำกับอยู่ฝ่ายเดียว
“แล้วไอ้เด็กคนนั้นคือใครหรือ” คนฟัง... ฟังถึงตรงนี้ก็สงสัยจนทนไม่ไหว ชี้ไปยังเด็กหนุ่มตัวดำที่กำลังเก็บโต๊ะข้างๆ อยู่
คนถูกถามถุยเปลือกเมล็ดก๋วยจี๊ทิ้ง จากนั้นจึงพล่ามอย่างผู้ทรงภูมิด้วยเสียงที่แสนเบา
“ก็คงจะเป็นคนบ้านนอกไม่รู้กิตติศัพท์ของเถ้าแก่เนี้ยน่ะสิ คนดีๆ ที่ไหนจะหลวมตัวมาเป็นลูกจ้างร้านนี้ ทำงานหนึ่งวันจะได้ถึงหนึ่งอีแปะหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“ไอหยา...” คนฟังส่งสายตาเวทนาไปให้เจ้าหนุ่มคนนั้น
คนที่แอบฟังบทสนทนาก็อยากจะเวทนาตัวเองเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าหนึ่งวันได้ไม่ถึงหนึ่งอีแปะ แต่เขาไม่มีทางได้เลยต่างหาก!
จิ้นหยางเคียดแค้นจนอยากจะหยิบเอาผ้าเช็ดโต๊ะขึ้นมากัด ก่นด่าตัวเองว่าเลือกไปเป็นลมที่ร้านไหนไม่เลือก ดันมาเผลอเป็นลมหน้าร้านนี้ อีกทั้งปากเจ้ากรรมก็พลั้งเผลอเอ่ยออกไป
“ให้ข้าทำงานหนักเท่าไรก็ได้ขอรับ ขอแค่มีที่หลับนอนและข้าวสามมื้อก็พอ!”
จิ้นหยางเลยได้สิ่งที่ต้องการอย่างสาสมใจ ได้นอนบนพื้นในห้องเก็บฟืน และข้าวสามชามต่อหนึ่งวันเป็นค่าตอบแทน ข้าวสามชามในที่นี้ก็มีแต่ข้าว... ข้าวล้วนๆ ไม่มีอะไรผสมเลยสักนิด ทั้งยังกินมากเกินก็ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะโดนเถ้าแก่เนี้ยด่าอีก ทั้งหมดนี้คือค่าตอบแทนสำหรับการจัดโต๊ะ เรียกลูกค้า ล้างจาน เดินทางไปซื้อปลา ยกไหสุรา แล้วต่อด้วยหาบน้ำกับผ่าฟืน เรียกว่างานทุกอย่างทั้งในร้านและนอกร้านมาสุมอยู่บนหัวจิ้นหยางนี่แหละ!
เด็กหนุ่มนึกถึงชะตากรรมชีวิตรันทดของตนเพลินๆ เสียงแหลมเล็กของเถ้าแก่เนี้ยหลินดุจอัสนีบาตฟาดให้คนตื่นจากฝันร้ายมาเจอความเป็นจริงที่โหดร้ายกว่า
“อาหยาง! เจ้ามัวทำอะไรอยู่ ไม่เห็นหรือว่าลูกค้าเข้าร้านแล้ว! ทำไมไม่รีบมาเชิญพวกเขาไปนั่งโต๊ะอีก!”
‘แล้วป้ามัวทำอะไรอยู่เล่า... หือ?!’ จิ้นหยางคิดในใจอย่างหงุดหงิด เหลือบมองร่างอวบอ้วนที่กำลังนับเงินอย่างสบายอารมณ์แวบหนึ่ง ก่อนจะปั้นยิ้มแล้วกุลีกุจอเดินไปโค้งให้ลูกค้าคนใหม่
“ท่านลูกค้า เชิญขอรับ เชิญโต๊ะนี้เลยขอรับ”
จิ้นหยางเชื้อเชิญลูกค้าไปยังโต๊ะ แล้วจดรายการอาหารเสร็จ เขาก็รีบตรงเข้าไปที่ครัว ที่นั่นมีชายชราร่างผอมกำลังยืนเตรียมปลาด้วยใจมุ่งมั่น เห็นสภาพผอมโกรกของเถ้าแก่หลินที่ต่างกับภรรยาของเขาเหลือประมาณ จิ้นหยางก็รู้สึกทดท้อใจ
“เถ้าแก่ ปลาทอดสาม ปลานึ่งหนึ่งที่ขอรับ”
“รอสักครู่ โอย...” เถ้าแก่หลินตอบพร้อมทุบเอวตนเอง เขายืนขอดเกล็ดตัดเหงือกปลามาหนึ่งชั่วยามแล้วยังไม่ได้พักเลย จิ้นหยางแทรกตัวเข้าไปในครัว พร้อมเอ่ย
“เถ้าแก่ไปพักเถอะขอรับ เดี๋ยวข้าจะช่วยจัดการปลาพวกนี้ให้เอง”
เถ้าแก่หลินรู้ว่าภรรยาไม่ชอบให้ผู้อื่นเข้าครัวเพราะหวงแหนสูตรลับของตนเอง แต่ตอนนี้เขาปวดเอวจนแทบไม่ไหวจริงๆ จึงยอมนั่งลงพลางมองจิ้นหยางควงมีดทำครัว แล้วเริ่มต้นจัดการปลาอย่างคล่องแคล่ว
จิ้นหยางมาเป็นลมที่หน้าร้านลั่วเหลียนเมื่อสามวันก่อน เถ้าแก่หลินกับเถ้าแก่เนี้ยไม่รู้เรื่องราวของเขา มาเห็นจิ้นหยางกำลังขอดเกล็ด ควักไส้ และตัดเหงือกปลาอย่างรวดเร็ว มีความสามารถในการเตรียมปลาสูงเพียงนี้ เถ้าแก่หลินก็รู้สึกทึ่งไม่น้อย
“เจ้าเคยทำครัวหรือ” เถ้าแก่หลินตาโตขณะร้องถาม
จิ้นหยางหัวเราะแห้งๆ มือก็ยังเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว พริบตาเดียวปลาในกะละมังใหญ่ก็ถูกจัดการอย่างรวดเร็ว ช่างหมดจดเสียยิ่งกว่าเถ้าแก่หลินทำเองเสียอีก จิ้นหยางกลับออกไปรับลูกค้า โดยกล่าวทิ้งท้ายเอาไว้
“ข้าเคยทำงานที่ต้องใช้มีดมาก่อนขอรับ”
เถ้าแก่หลินคิดว่าจิ้นหยางน่าจะเคยชำแหละปลาทำนองนั้น แต่ความจริงเนื้อที่จิ้นหยางเคยชำแหละนั้น... น่ากลัวกว่านี้
จิ้นหยางเคยเป็นองครักษ์ ทั้งยังมิใช่องครักษ์ธรรมดา แต่เป็นองครักษ์ที่ขึ้นตรงต่อฮ่องเต้ อยู่เบื้องหลังบัลลังก์มังกร ถูกขนานนามว่า ‘หน่วยปราบพยัคฆ์’
องครักษ์ในหน่วยปราบพยัคฆ์นั้นคือ หน่วยองครักษ์ที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่ามีตัวตนอยู่ ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจัดการขุนนางโฉดชั่วโดยเฉพาะ อย่างฮ่องเต้อยากให้ขุนนางผู้หนึ่งตาย แต่มิอาจทำอะไรเขาได้ เพราะขุนนางคนนั้นดันเป็นพระญาติฝ่ายฮองเฮา ไทเฮา หรือพระสนมเอก ไม่สะดวกจะลงมือในที่แจ้ง เช่นนั้นก็ให้คนในที่ลับลงมือ และคนผู้นั้นก็คือองครักษ์หน่วยปราบพยัคฆ์นี่เอง
องครักษ์แบบจิ้นหยางทำงานตั้งแต่สืบข่าว ปกป้อง และสังหาร พวกเขาได้รับการฝึกฝนจนเก่งกาจเหนือกว่าทหารทั่วไปและองครักษ์อื่น เพื่อจะเป็นอาวุธลับของฮ่องเต้โดยเฉพาะ
แล้วทำไมองครักษ์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างจิ้นหยางจึงมาอยู่ในร้านอาหารลั่วเหลียนแห่งนี้น่ะหรือ
สืบราชการลับหรือรับใช้นายเหนือหัว... มิใช่
เป็นตัวตนปลอมที่จิ้นหยางสร้างขึ้น ฉากหน้าเป็นเด็กยกอาหาร แต่ฉากหลังคือองครักษ์พิทักษ์มังกร... มิใช่
แต่เพราะเขาเป็นองครักษ์ที่... ทรยศ!
หากจะกล่าวถึงเรื่องราวการทรยศของจิ้นหยาง ก็คงจะต้องเล่าตั้งแต่ยามที่จิ้นหยางยังเล็ก เป็นเด็กตัวกะเปี๊ยก และถูกเรียกว่า ‘เอ้อร์หลาง’
ทุกคนในแคว้นต้าหลิวรู้กันดีว่ากำลังมีข้อพิพาทกับพวกซงหนูมานานหลายร้อยปีแล้ว
นานมาแล้วมีเด็กน้อยคนหนึ่งต้องเป็นกำพร้าเพราะสงครามระหว่างสองทัพใหญ่ เด็กคนนั้นจำไม่ได้แล้วว่าตนพลัดหลงกับครอบครัวได้อย่างไร เพราะรู้ตัวอีกทีเขาก็กลายเป็นเด็กกำพร้าไร้บ้าน ยืนแหกปากร้องไห้อยู่ระหว่างทัพหลวงกับทัพซงหนู
เมื่อรู้ตัวครั้งที่สองก็คือดินแดนแห่งนี้มิน่าจะใช่บ้านเกิดของเขา เหล่าทหารกล้าจะจับเขาโยนข้ามไปอีกฝั่งให้ได้ ทว่าเด็กน้อยร้องไห้งอแงไม่ยอมไป กอดแข้งของหนึ่งในทหารนั้นแน่น เป็นตายอย่างไรก็ไม่ปล่อย
และเมื่อรู้ตัวครั้งที่สาม ก็มีทหารนายหนึ่งเอาหนังสัตว์อุ่นๆ มาคลุมตัวเขา พลางถามว่าเขาชื่ออะไร เด็กน้อยตอบ “ท่านแม่เรียกข้าว่า ‘เอ้อร์หลาง’ ” (เจ้าสอง)
ทว่าพอบอกไปเช่นนี้ เขากลับไม่พอใจ หันไปบ่นงึมงำ “ชุดน่าจะเป็นของแดนนั้น แต่ชื่อแซ่น่าจะเป็นคนแดนนี้” (ข้าก็ไม่ค่อยเข้าใจ)
สรุปคือเขาคนนั้นเอาเด็กออกจากหน้าแข้งของทหารอีกคน แล้วกล่าว “เด็กน้อย จากนี้ไปเจ้าเป็นชาวต้าหลิวเช่นเดียวกับพวกเรา ดังนั้นข้าจะมอบชื่อใหม่ให้แก่เจ้า เอาเช่นนี้... เจ้าดูเข้าที น่าจะมีความซื่อสัตย์ (ข้า : เหมาเอาเองเลยหรือท่าน) ข้าให้นามเจ้าขึ้นต้นด้วยคำว่า ‘จิ้น’ ที่แปลว่าความซื่อสัตย์ ข้าเป็นคนลั่วหยาง แต่กลับมาพบเจ้าที่ต่างแดนเช่นนี้นับเป็นวาสนา ให้ใช้คำว่า ‘หยาง’ ที่แปลว่าต่างถิ่น รวมกันเป็น ‘จิ้นหยาง’ ดีหรือไม่”
เด็กน้อยตอบเขาไป “ข้าว่ามันเหมือนชื่อเมืองสักเมืองหนึ่งนะขอรับ” แต่ใต้เท้าคนนั้นกลับกล่าว
“เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจหรอก” (แต่นั่นมันชื่อข้านะท่าน) จากนั้นก็ชูดาบพลางร้อง “ออกรบ”
สองทัพประจันหน้ากัน ระหว่างนั้นข้าก็ถูกอุ้มไปยังค่ายทหาร จับพลัดจับผลูกลายมาเป็นหนึ่งใน ‘หน่วยปราบพยัคฆ์’
กฎหลักของการเป็นองครักษ์ก็คือ ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นเช่นไร ก็ห้ามทรยศเจ้านายโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะหากนายของเจ้าเป็นฮ่องเต้
แต่เมื่อเจ้ามิใช่องครักษ์ธรรมดา แต่เป็นองครักษ์ในหน่วยปราบพยัคฆ์ กฎก็จำเป็นต้องเพิ่มขึ้นอีกข้อ นั่นคือ... คำสั่งของฮ่องเต้ถือเป็นเด็ดขาด สั่งให้ฆ่าจงฆ่า สั่งให้ตายจงตาย สั่งให้อยู่จงอยู่ พระองค์จะรับสั่งให้เจ้าเป็นวัว เป็นม้า เป็นกวาง หรือเป็นสุนัข ย่อมต้องเป็นไปตามนั้น
เพราะกฎที่เผด็จการขนาดนั้น... จิ้นหยางเลยทรยศแม่
จุดจบของคนทรยศนั้นคือความตายเพียงสถานเดียว และจิ้นหยางก็ถูกไล่สังหารจนเข้าไปตายในถ้ำพิสดารแห่งหนึ่ง
ถูกแล้ว! จิ้นหยางเคยตายไปแล้วครั้งหนึ่งในถ้ำแห่งนั้น
เขากระเสือกกระสนต่อสู้กับองครักษ์หน่วยปราบพยัคฆ์อื่นถึงห้าคน เขาสังหารได้ทุกคน แล้วเขาก็สิ้นชีพอยู่ในถ้ำนั้นเพราะบาดเจ็บเกินจะเยียวยา ซ้ำถ้ำยังระเบิดจึงหนีออกมาไม่ได้
“เถ้าแก่เนี้ย เหตุใดรสชาติอาหารของเจ้าจึงจืดลงเล่า ไม่อร่อยเหมือนคราวที่แล้วเลย” ลูกค้าคนหนึ่งเอ่ยถามผ่านหัวจิ้นหยางที่กำลังกุลีกุจอเก็บอีกโต๊ะหนึ่ง
“เจ้าคิดไปเองหรือไม่!” เถ้าแก่เนี้ยหลินตะโกนถาม
“ไม่ได้คิดไปเองแน่! ข้ากินปลาของเจ้ามาตั้งแต่ยังหนุ่ม ทำไมจะจำรสชาติไม่ได้!”
“เจ้าแก่แล้วอย่างไรเล่า การรับรสเลยผิดเพี้ยน อย่าคิดว่าหาข้ออ้างตินั่นตินี่แล้วไม่จ่ายค่าอาหารเชียวนา”
“ไม่หรอกๆ”
จิ้นหยางมองผู้เฒ่าคนนั้นกินเนื้อปลาแล้วทำหน้าครุ่นคิด เลือดรักความยุติธรรมทำให้จิ้นหยางอยากจะเดินไปบอกเขาเหลือเกินว่าผู้เฒ่ามิได้คิดไปเองหรอก บัดนี้ทางการขึ้นภาษี เถ้าแก่เนี้ยหลินลดจำนวนเครื่องปรุงไม่พอ ยังเปลี่ยนไปซื้อเนื้อปลาที่มีคุณภาพลดลง นอกจากจะตัวเล็กกว่าแล้ว เนื้อก็ยังไม่สดแน่นเหมือนเก่า จะให้อร่อยเหมือนเดิมก็คงจะเป็นไปไม่ได้
ผู้เฒ่าคนนั้นกินเสร็จก็หยัดกายลุกไปวางเงินให้เถ้าแก่เนี้ยหลิน แล้วเดินออกจากร้านไป จิ้นหยางเข้ามาเก็บโต๊ะและช่วยเถ้าแก่หลิน เถ้าแก่โบกมือให้เขาไปกินข้าวเอาแรงเสียก่อนจะมาช่วยยกเก้าอี้ เด็กหนุ่มไม่ขัดศรัทธา เดินไปด้านหลัง แต้มสีดำบนใบหน้าเพิ่มเพื่อปกปิดรูปลักษณ์ที่แท้จริงของตนเอง
เล่าขานกันว่าท่านอ๋องแห่งต้าหลิวเคยลุ่มหลงชายงามแห่งแดนใต้ จนแทบจะยกทัพไปถล่มบ้านเรือนของผู้อื่นเพื่อชิงคนงามมาไว้ข้างกาย ชายงามล่มเมืองผู้นั้นคงจะมีหน้าตาแบบร่างใหม่ของจิ้นหยางกระมัง
จิ้นหยางยอมรับว่าร่างเก่าของเขานับเป็นชายที่หน้าตาหล่อเหลาเอาการ แต่ร่างนี้สิงามวิไลกว่าร่างเก่าเยอะ ตอนเขากำลังจะตาย แล้วเห็นเรือนร่างนี้นอนทอดกายอยู่ในถ้ำ ยังอดคิดไม่ได้ ‘เหตุใดคนที่งามเช่นนี้จึงเลือกมาจบชีวิตในถ้ำแห่งนี้หนอ หากได้เกิดเป็นคนงามแบบนี้ ชีวิตน่าจะสบาย’
เขาคิดเล่นๆ ก่อนจะตายตาหลับ วิญญาณถูกกระชากออกจากร่าง ไปเจอด่านฝึกทำอาหารอรหันต์ที่หากไม่ผ่านด่านจะไม่มีโอกาสกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ถูกแล้ว ที่เขาได้ร่างใหม่กลับมานั้นเพราะเขาไปฝึกทำอาหาร และฝึกจนสำเร็จเข้าขั้นพ่อครัวหลวงด้วย
การทำอาหารทั้งหลายที่จิ้นหยางได้รับการฝึกฝนในถ้ำแห่งนั้น มีทั้งการทำอาหารสูตรที่จิ้นหยางรู้จักและไม่รู้จัก คาดเดาว่าอาจจะเป็นสูตรอาหารในอนาคต หรือไม่ก็เป็นอาหารในโลกอื่น มีให้ทำตั้งแต่ของสามัญอย่างน้ำเต้าหู้ จนถึงฟะ...ฟะ...ฟัว... อะไรสักอย่าง ซึ่งความจริงก็คือตับห่าน ซึ่งจิ้นหยางออกเสียงได้ไม่ชัด
ซ้ำยังมีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกตัวเองว่าอินเทอร์เน็ต จิ้นหยางอยากดูวิธีการทำอาหารอะไร หรือหนังโป๊แบบไหนก็ได้ทั้งนั้น เล่นเอาหลงละเลิง ทั้งทำอาหารไปดูซีรีส์เกาหลีไป กว่าจิ้นหยางจะสำเร็จหลักสูตร มีค่ามากพอจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ได้ร่างใหม่ และออกจากถ้ำได้ เวลาก็ผ่านไปสิบห้าปีแล้ว
จิ้นหยางยอมรับว่า เมื่อออกมาใหม่ๆ เขารู้สึกเคว้งคว้างอยากจะกลับไปอยู่ในถ้ำมาก โอ้อนิจจา ถ้ำแห่งนั้นคงจะเป็นถ้ำศักดิ์สิทธิ์ นอกจากจะมอบร่างใหม่... หรือกล่าวให้ถูกคือให้วิญญาณของจิ้นหยางเข้ามาอยู่ในร่างอันงามวิไลที่นอนม่องเท่งอยู่ในถ้ำนั้น แล้วยังประทานห้องครัวส่วนตัวเอาไว้เก็บวัตถุดิบที่ไม่มีวันหมดด้วย ขอแค่จิ้นหยางหลับตา เขาก็เข้าไปคว้าอะไรที่อยู่ในห้องครัวนั้นมาใช้ปรุงอาหารได้เสมอ หรือจะเข้าไปปรุงอาหาร เก็บของในนั้นก็ได้
ด้านในมีของใช้ตั้งแต่หม้อ ไห กะละมัง กระทะ และปังตอ อีกทั้งยังมีวัตถุดิบตั้งแต่เห็ดเข็มทองยันเห็ดปาปิงปอง... อะไรสักอย่าง เสียอย่างเดียวคือจิตเข้าไปอยู่ในนั้น แต่ร่างยังอยู่ด้านนอก และเอาคนเป็นๆ เข้าไปอยู่ด้านในไม่ได้ สิ่งที่เอาเข้าไปได้นั้นมีแต่วัตถุดิบทำอาหาร สัตว์ที่ยังมีชีวิตอย่างปลาสดๆ เห็ด และผัก หนำซ้ำการทดสอบของจิ้นหยางยังอยู่ในเกณฑ์คะแนนที่ดี เลยได้พรศักดิ์สิทธิ์ที่มีนามว่า ‘ฟังก์ชัน’ ทำให้รู้ว่าแต่ละคนชอบกินอาหารอะไร รสชาติแบบไหน มีโรคประจำตัวอะไร ควรหลีกเลี่ยงอาหารแบบใด และสิ่งไหนมีพิษหรือไร้พิษ
อุวะ ฮ่าๆๆ ด้วยสิ่งที่ได้ติดตัวมานี้ จิ้นหยางจะเป็นเจ้าพ่อในวงการอาหารแห่งต้าหลิวให้ดู!
ก็ได้แต่คิดและฝันไป เพราะจิ้นหยางดันเลือกเดินหมากผิด เริ่มตั้งแต่คราแรกเขามิได้ปกปิดความงามวิไลของตนเอง จนเกือบถูกโจรจับไปขายหอนายโลม จากนั้นจึงทาหน้าดำ วาดหน้าเขียนคิ้วใหม่ แต้มไฝตลอดเวลา และเมื่อได้เงินค่าเสียหายจากเหล่าโจรมา (ก่อนจะถีบโจรลงเหว) จิ้นหยางก็ตัดสินใจครั้งสำคัญในการเลือกเมืองที่ตนจะเริ่มต้นชีวิตใหม่
เขาเอาไม้ไผ่ทั้งหมดเขียนชื่อเมืองแล้วโยนออกไป แผ่นไหนกระเด็นไปไกลที่สุดก็เลือกไปอยู่เมืองนั้น จึงมายังฉางอาน จากนั้นบังเอิญว่าตาต่ำไปหน่อย ได้ยินว่าร้านลั่วเหลียนยังไม่มีคนงาน มีแต่สองตายายแก่ๆ ดูแลกิจการอยู่ เลยแสร้งอดข้าวอดน้ำไปเป็นลมล้มอยู่หน้าร้าน แล้วตื๊อขอทำงาน ในใจคิดว่าคนแก่สองคนนี้อาจจะตายเร็ว เขาจะได้ฮุบกิจการ เฮอะ! ที่ไหนได้...
“อาหยาง! ข้าวชามเดียว ทำไมถึงกินตั้งนานสองนาน! มายกโต๊ะได้แล้ว!”
นั่นคือเสียงของเถ้าแก่เนี้ยหลินที่ดูอย่างไรก็คงจะไม่ตายในเร็ววันนี้ ส่วนเถ้าแก่หลินที่ใจดีกว่าภรรยามาก ก็ทำท่าจะตายไม่ตายแหล่ ยกเก้าอี้ตัวเดียวก็ร้องโอยๆ
ชิ! จิ้นหยางเดินหมากผิดไปจริงๆ
ชีวิตความเป็นอยู่ที่ร้านลั่วเหลียนของจิ้นหยางนับว่าเป็นชีวิตที่ลำบากไม่น้อย เนื่องด้วยสองสามีภรรยาตระกูลหลินชราภาพมากแล้ว งานหลายอย่างเลยมาตกอยู่ที่จิ้นหยาง หนำซ้ำเถ้าแก่เนี้ยยังดุและเขี้ยวลากดินเหมือนตัวอะไรสักอย่าง ขณะที่เถ้าแก่หลินที่ใจดีกว่ามากก็ไม่กล้าสู้เมีย มากที่สุดก็แค่แอบให้ข้าวจิ้นหยางเพิ่มอีกหนึ่งถ้วย
กล่าวตามตรงว่าหากไม่ซึ้งบุญคุณเถ้าแก่หลินที่แอบเอาเงินเก็บมาให้จิ้นหยางไปซื้อเนื้อกิน จิ้นหยางคงหนีไปนานแล้ว เพราะการที่ต้องกินแต่ข้าวสวยทุกวัน ถ้าไม่มีห้องครัววิเศษของตนเอง เขาคิดว่าใบหน้าของเขาคงจะกลายเป็นเมล็ดข้าวไปแล้ว
หลังจากทำงานที่ร้านเสร็จสิ้น จิ้นหยางก็มานอนอยู่ในห้องเก็บฟืน แอบเข้าไปอยู่ในห้องครัวเพื่อทำอาหารจานใหญ่ให้ตัวเอง หลังจากกินเนื้อจนสาแก่ใจ เขาก็ล้มตัวลงนอนแล้วผล็อยหลับไปในทันที
“หยางหยางคนดี...”
จิ้นหยางกำลังกึ่งหลับกึ่งตื่น ด้วยความที่เคยเป็นองครักษ์ลับมาก่อน การนอนหลับสนิทจนไม่ได้ยินและไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวรอบกายนั้นล้วนเป็นสิ่งต้องห้าม ดังนั้นพอรู้สึกได้ถึงบานประตูห้องเก็บฟืนเปิดออก และมีคนย่องเข้ามาลูบแขนเขาอย่างมีความหมาย จิ้นหยางจึงลืมตาตื่นขึ้น และพบว่าเถ้าแก่หลินแสนใจดีคนนั้นเปลื้องผ้าท่อนบนและลูบก้นของเขาอยู่
อดีตองครักษ์ไม่จำเป็นต้องร้องโวยวายอะไร เขายกเท้าขึ้นเตะคางตาแก่ตัณหากลับคนนั้น จนอีกฝ่ายสลบเหมือดอย่างรวดเร็ว
มิน่าเล่า เถ้าแก่หลินถึงได้ใจดีกับเขานัก ขยันช่วยเหลือตอนที่เขาโดนเถ้าแก่เนี้ยด่า และยังแอบเอากับข้าวของตนมาให้เขาอีก จิ้นหยางเผลอนึกไปว่าไอ้สายตาที่มองมาอย่างเอ็นดูสุดแสนนั้น เป็นสายตาของผู้เฒ่าที่มีความรักต่อลูกหลาน ที่ไหนได้...
“ไม่ทงไม่ทนมันแล้ว!”
จิ้นหยางยกเท้ากระทืบไปที่กล่องดวงใจของเถ้าแก่หลินโดยแรง ต่อให้ย้ายวิญญาณมาอยู่ในร่างนี้ แต่เขาก็ยังฝึกวรยุทธ์อย่างที่เคยฝึกทันทีที่ได้เข้ามาในร่างใหม่ เพราะเชื่อว่ารูปโฉมงดงามเช่นเขาคงจะต้องตาต้องใจคนลามกมาก จึงต้องฝึกฝีมือไว้ป้องกันตนเอง
ด้วยเรี่ยวแรงอย่างผู้ฝึกยุทธ์ เจ้าของกล่องดวงใจที่สลบไปแล้วถึงกับฟื้นขึ้นมาร้องเสียงดัง “โอ้!”
จิ้นหยางเปิดประตูห้องเก็บฟืน เห็นว่าเถ้าแก่เนี้ยหลินวิ่งหน้าตื่นมาจากชั้นบน ปากเล็กๆ แหลมๆ ร้อง
“เกิดอะไรขึ้น!”
จิ้นหยางเตะฟืนท่อนเล็กเข้าใส่เถ้าแก่เนี้ย กะให้หลินฮูหยินก้าวลงจากบันไดมาเหยียบมันอย่างตรงจังหวะ เกิดเสียงโครมเหมือนของหนักกระแทกกับพื้นดังขึ้น เถ้าแก้เนี้ยหลินตาเหลือกพร้อมกับสลบไปทันที แต่มือยังกำกล่องสมบัติของร้านเอาไว้อย่างเหนียวแน่น
อดีตองครักษ์เดินผิวปากมาหยิบกล่องใส่เงินไปดู ก่อนจะยิ้มอย่างพอใจ “ขอเป็นค่าแรงและค่าเสียหายนะขอรับ” เขาแกะมืออวบอูมนั้นออกจากกล่อง แล้วเดินไปที่ห้องเก็บวัตถุดิบ โยนเครื่องปรุงและของที่มองว่าดีทั้งหลายเข้าไปในห้องครัวส่วนตัว จัดเก็บให้เรียบร้อย วางกล่องสมบัติเอาไว้ก่อนจะออกจากมิติของตนเอง มาลากร่างของสองสามีภรรยาคู่นี้ไปที่ประตู ก้าวข้ามคนทั้งคู่ไปราดน้ำมันทั่วร้าน จากนั้นจึงจุดไฟเผา
จิ้นหยางออกแรงลากคนทั้งคู่ออกมาจากร้านที่กำลังลุกไหม้จนน่ากลัว ก่อนร้องออกมา “ช่วยด้วย! ไฟไหม้! ไฟไหม้!”
เหล่าชาวบ้านผู้รักสมบัติและมีร้านอยู่ข้างเคียง วิ่งออกมาจากบ้านของตนแล้วช่วยกันดับไฟอย่างรวดเร็ว จิ้นหยางค่อยๆ ถอยออกมาจากจุดเกินเหตุ หมุนตัวเดินจากไป
“คราวนี้... ข้าไปที่ลั่วหยางดีกว่า”
ลั่วหยางเป็นเมืองหลวงของแคว้นต้าหลิว เป็นเมืองที่การค้ามีความคึกคักเป็นอย่างยิ่ง และด้วยความอนุเคราะห์จากคนตระกูลหลิน จิ้นหยางจึงมีเงินทุนมากพอจะเปิดร้านอาหารเล็กๆ ร้านหนึ่ง เขาไปเดินเล่นในเมืองลั่วหยางเพื่อดูวิถีชาวบ้านอย่างสนใจ พลางครุ่นคิดว่าจะเปิดร้านอาหารอะไรดี
จิ้นหยางนั้นมีสูตรอาหารประหลาดมากมายที่ได้รับมาจากถ้ำเปลี่ยนวิญญาณนั้น เขาแอบคิดว่าจะขายขนมปังซึ่งเป็นสิ่งแปลกใหม่แต่เลิศรสให้เหล่าคนต้าหลิวดีหรือไม่ หรือว่าการเปลี่ยนแปลงแบบสุดโต่งจะทำให้กิจการล่มจมและทำให้การค้าไปไม่รอด แต่ที่น่ากลัวคือเขาจะหาสถานที่สำหรับเปิดร้านไม่ได้ การเปิดร้านค้าในเมืองหลวงนั้นจำต้องมีเส้นสาย ทว่าจิ้นหยางนั้นมีตัวคนเดียว
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น กลับมีคนตีฆ้องป่าวประกาศว่ามีการแข่งขันทำอาหารที่เมืองลั่วหยาง
จิ้นหยางหูผึ่งในทันที
“เจ้าหลีเคอฟู่คิดใช้มือปิดฟ้า ราษฎรกำลังเดือดร้อนจากการขึ้นภาษีแท้ๆ แต่กลับจัดการแข่งขันทำอาหาร ให้ฝ่าบาททรงคิดว่าบ้านเมืองอุดมสมบูรณ์” ขุนนางผู้หนึ่งเอ่ยอย่างคับแค้น พร้อมรินสุราให้คู่สนทนา
“ท่านอ๋องโปรดทำอะไรสักอย่างเถิด อย่าให้กังฉินทั้งหลายกำเริบเสิบสานไปมากกว่านี้เลย”
มือเรียวของผู้สูงศักดิ์ยื่นมารับถ้วยสุรา หลิวฮุ่ยเหรินจ้องมองสุราใสที่กระเพื่อมในถ้วยสุรานิดๆ ก่อนถาม “ใต้เท้าหวังมีท่าทีเช่นไร”
จางเผยหลิงถอนหายใจ กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงหยันเยาะ “คนผู้นั้น... พอเปิดปากก็มีแต่คำเอาอกเอาใจฝ่าบาท เคยสนใจเรื่องของผู้อื่นที่ไหน ท่านอ๋องอย่าได้สนใจคนผู้นี้เลย ในสายตาข้า เขาก็เป็นแค่ตัวขี้เกียจเท่านั้น”
หลิวฮุ่ยเหรินลูบแหวนหยกของตนยามครุ่นคิด “การแข่งประลองทำอาหาร... คงมิอาจยกเลิกได้ เพราะหลีเคอฟู่กล่าวว่า หากได้ผู้ชนะ จะให้เขาทำอาหารถวายฝ่าบาทกับเหลียนเสียนเฟย”
จางเผยหลิงถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไรไม่รู้ “ข้ามิต้องการให้การประลองทำอาหารยกเลิก เพียงแค่อยากให้ท่านอ๋องกราบทูลฝ่าบาทว่าราษฎรกำลังลำบาก หากเป็นไปได้... ก็อยากให้ลดภาษี”
หลิวฮุ่ยเหรินดื่มชา ก่อนรับปากอย่างหนักใจ “ข้าจะลองพยายามดู”
ความคิดเห็น |
---|