10

บทที่ 10



 

บทที่ 10 

หลังออกจากสุสาน เควินมีนัดทานมื้อเที่ยงกับ ‘เทพไท’ หัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่ มีหน้ามีตาและมีอำนาจในสังคม ที่สำคัญคนผู้นี้ยังมีสัมพันธ์อันดีกับนิค เป็นอีกคนที่นิคใช้เงินซื้อได้ และเควินก็จะทำอย่างเดียวกัน แต่จุดประสงค์ที่ทำต่างกับนิคโดยสิ้นเชิง เพราะนิคใช้เงินฆ่าคนหรือล้างผิดให้เป็นถูก ส่วนเควินใช้เงินเพื่อตัดปัญหา ไม่ให้เขาต้องฆ่าคนเพิ่มตามความต้องการของนิค

มื้ออาหารผ่านไปด้วยดี ท่านรองเทพไทเอ่ยปากจะช่วยเจรจากับรัฐมนตรีวิชัยให้ ถ้าพูดดีๆ ไม่ฟังก็จะใช้อำนาจที่มี ไม่ว่าอย่างไรจะไม่มีใครที่อยู่ในปกครองของเขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนตระกูลรีฟส์ 

“ขอบคุณครับ คุณลุงอยากให้ผมช่วยอะไรก็บอกมาได้เลยนะครับ ผมยินดี”

“ไม่จำเป็น เรื่องเล็กๆ น้อยๆ สิ่งที่หลานชายและพ่อช่วยลุงและพรรคมันมากกว่านี้เยอะ...หลานชายสบายใจได้ว่านับจากนี้จะไม่มีใคร กล้ามากวนใจหลานชาย...ว่าแต่หลานชายจะอยู่ที่นี่อีกนานมั้ย ไว้ว่างๆ แวะไปทานอาหารเย็นด้วยกันสักมื้อ คุณหญิงคงดีใจ แล้วลุงจะได้แนะนำให้เควินรู้จักกับหลานสาวลุง ตอนนี้โตเป็นสาวแล้วนะ ไม่รู้เควินจำน้องไหยหยาได้มั้ย”

“จำได้ครับ” เควินเคยเจอไหยหยาเมื่อสี่ห้าปีก่อน ตอนที่เทพไทพาเธอไปเที่ยวที่เวกัส แล้วนิคให้เขามาต้อนรับและคอยดูแลอยู่หลายวัน “ไหยหยาคือหลานสาวที่คุณลุงบอกว่าเพิ่งไปรับมาอยู่ด้วย เป็นหลานกำพร้า เพิ่งเสียแม่ คุณลุงเลยพาไปเที่ยว”

“ตอนนั้นต้องขอบใจหลานชายที่ช่วยดูแลน้อง”

“ผมยินดีครับ” 

“ไว้ว่างๆ แวะไปทานข้าวด้วยกันที่บ้านสิ คุณหญิงคงดีใจ ไหยหยาเองก็จะได้เจอเควินด้วย ตอนนี้น้องโตเป็นสาวแล้วนะ เจอกันข้างนอกคงจำกันไม่ได้”

“ผมก็อยากไปเจอครับ แต่ว่ามาคราวนี้โปรแกรมค่อนข้างแน่น ไว้โอกาสหน้าผมจะไปรบกวน”

“ไม่เป็นไร ลุงรู้ว่าหลานชายงานยุ่ง เอาไว้ว่างๆ ลุงจะพาไหยหยาไปรบกวนให้เควินพาเที่ยวก็แล้วกัน”

“ไม่มีปัญหาครับ ไหยหยาอยากไปที่ไหนก็บอกมาได้เลยนะครับ ผมยินดี...” 

เทพไทรู้จักนิคมาตั้งแต่เมื่อครั้งยังหนุ่ม คบหากันอย่างห่างๆ เพื่อแลกผลประโยชน์กัน เขารู้ดีว่าคนอย่างนิคไม่ชอบให้ใครมาซอกแซกเรื่องส่วนตัว ไม่แปลกที่นิคจะโกรธเมื่อวิชัยพยายามสืบเรื่องของเขา แต่น่าแปลกเมื่อคนที่มาจัดการเรื่องนี้กลับเป็นเควิน

“คุณลุงมองหน้าผมแล้วยิ้ม...ทำไมครับ?”

“หลานต่างจากพ่อของหลานมากนะ ถ้าเป็นนิค หรือแม้แต่ชาคริต ทั้งสองคนคงไม่ทำอย่างหลาน ซึ่งลุงคิดว่านั่นเป็นเรื่องดี แต่ลุงก็เข้าใจสิ่งที่พ่อหลานกังวลนะ เพราะในวงการที่หลานอยู่ ความใจอ่อนจะนำภัยมาให้” 

“ผมไม่ชอบการฆ่า” เควินบอกไม่อ้อมค้อม “แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมจะฆ่าไม่เป็น ถ้าเตือนกันแล้วไม่ฟัง ผมจะจัดการพวกนั้นเอง แล้วรัฐมนตรีวิชัยก็เป็นคนดีคนหนึ่ง น่าจะทำประโยชน์ให้ประเทศบ้านเกิดแม่ของผมได้มาก จะฆ่าเสียก็น่าเสียดาย” 

ผู้มากวัยกว่าพยักหน้า เชื่อมั่นว่าชายหนุ่มตรงหน้าทำได้จริงอย่างที่พูด “ดีแล้วล่ะ วิชัยเป็นคนมีฝีมือ ลุงก็ไม่อยากเสียลูกพรรคฝีมือดีๆ ไป ไว้ลุงจะจัดการเรื่องนี้เอง หลานชายไม่ต้องห่วง ถ้าลุงยังอยู่จะไม่มีใครกล้ามายุ่งกับหลาน”

“ขอบคุณครับ”

การเจรจาบนโต๊ะอาหารผ่านไปด้วยดี หลังเสร็จธุระเควินเดินไปส่งท่านเทพไทด้วยตัวเองถึงรถ “ลุงไปละ ต้องเข้าประชุมพรรคช่วงบ่าย แล้วจะจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จในวันนี้เลย...ฝากความคิดถึงถึงนิคด้วย ไว้มีโอกาสลุงจะไปรบกวน”

“ไว้ผมจะรอต้อนรับด้วยครับ”  เควินมองตามจนรถตู้เคลื่อนออกไปลับตาจึงหันกลับมาทางต้าฟง “แล้วรถฉันล่ะ”

“รอสักครู่ครับ ผมสั่งคนไปแล้ว” ต้าฟงรายงาน ก่อนจะชวนคุยฆ่าเวลา “ผมว่าท่านเทพไทคงอยากจับคู่นายน้อยกับหลานสาวท่านนะครับ” ต้าฟงแสดงความเห็น “ถ้าจำไม่ผิด คุณไหยหยาน่าจะอายุสักสิบเจ็ดสิบแปดได้”

“วัยเดียวกับน้องเบลล์” นั่นเป็นเหตุผลให้เควินดูแลไหยหยาเป็นอย่างดีเมื่อครั้งที่อยู่เวกัส แล้วนั่นก็เป็นเหตุผลเดียวกับที่เขาใจอ่อนกับพวกซินเยียร์เพราะลูกคนเล็กของพวกเขาวัยไล่เลี่ยกับชลิตาเช่นเดียวกัน “ต่อจากนี้ฉันจะไปไหนคนเดียว นายและคนของนายไปจับตาดูปฏิกิริยาของพวกซินเยียร์หลังจากท่านรองฯ ไปเจรจากับนายวิชัย ดูว่าสองพี่น้องนั่นจะยอมแต่โดยดี หรือยังคิดจะทำอะไรต่ออีก”

ต้าฟงรับคำสั่ง ต่อให้เขาไม่อยากทิ้งนายน้อย แต่เมื่อนี่คือคำสั่งที่จริงจัง ก็ต้องทำตาม “ถ้าพวกนั้นไม่ยอมหยุดล่ะครับ”

“ฉันมักใจอ่อนกับเด็กผู้หญิงวัยเดียวกับน้องเบลล์” เควินทอดสายตาไปไกล ก่อนจะบอกสิ่งที่อยู่ในใจ “แต่สุดท้ายพวกนั้นก็ไม่ใช่น้องเบลล์...ถ้าห้ามกันดีๆ ไม่ฟัง ฉันก็จะให้พวกนั้นได้เจอสิ่งที่ไม่อยากเจอ!”

ต้าฟงโค้งศีรษะรับคำสั่ง จังหวะเดียวกับที่ลูกน้องขับรถสปอร์ตคันเดิมที่ขับออกมาจากบ้านมาส่งให้ ชายหนุ่มก้าวขึ้นที่นั่งคนขับและแล่นออกไปอย่างมีจุดหมาย ในขณะที่ต้าฟงและลูกน้องมีรถตู้อีกคันมาจอดรับ

“เราจะปล่อยนายน้อยให้ไปลำพังจริงเหรอครับหัวหน้า”  ลูกน้องคนหนึ่งเอ่ยถาม

“ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้คนคนนั้นไม่ใช่นายน้อยของพวกเรา แต่เขาเป็นแค่เชฟคนหนึ่ง ที่อยากทำอาหารเพื่อคนที่รักได้ทาน” ต้าฟงบอกจริงจัง ก่อนจะอมยิ้ม “แล้วฉันว่าพวกนายคงไม่อยากไปเดินตามผู้ชายที่เดินเลือกซื้ออาหารในซุปเปอร์มาเกตนักหรอก...ใช่มั้ย”

คำพูดนั้นสร้างรอยยิ้มให้กับทุกคนในรถ

“ฉันจะคอยสแตนบายอยู่ห่างๆ ส่วนพวกนายก็แยกย้ายไปทำงานที่ได้รับมอบหมาย จับตาดูพวกที่จะเป็นภัยกับนายน้อย อย่าให้คลาดสายตา โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับพวกซินเยียร์”

 

งานที่ทำในวันนี้จบลงและเสร็จก่อนเวลานัดหมาย ชลิตา ดารุณีและเด็กอู่พองลมออกมาคอยดำรงมารับที่ด้านหน้าบ้านอุปถัมภ์ ระหว่างนั้นสาวหมวยของพี่ชายจอมหวงน้อง ก็พูดวนไปถึงเรื่องเมื่อกลางวัน บอกว่าครั้งนี้ยอมให้พี่ชายเพราะชลิตา แต่ถ้าครั้งหน้าพี่ชายยังมาวุ่นวายกับเรื่องแฟนหนุ่ม เธอจะเลิกคบผู้ชายไปคบทอมให้พี่ชายอกแตกตายไปเลย

“ก็ไม่แน่หรอกนะ ถ้าทอมคนนั้นเป็นคนดี เราว่าพี่ลูกโป่งไม่ว่าหรอก” ชลิตาคิดอย่างนั้นจริงๆ เพราะต่อให้หวงน้องแต่ดำรงก็เป็นคนดีคนหนึ่ง ที่ห้ามน้องส่วนหนึ่งก็เพราะผู้ชายที่น้องสาวคบมักเป็นคนไม่ดี 

“ไม่มีทาง” ดารุณีส่ายหน้าแรง “พี่ลูกโป่งเกลียดพวกเพศที่สามมาก อย่าว่าแต่จะให้เค้าคบด้วยเลย แค่เห็นก็หงุดหงิด”  

“ไม่จริงมั้ง” ในสายตาของชลิตาต่อให้ดำรงเป็นคนใจร้อนแต่ก็ไม่น่าจะใช่ อันธพาลขนาดนั้น “ทำไมเหรอ พี่ลูกโป่งเคยโดนคนเพศที่สามทำอะไรให้เหรอ”

“เบลล์รู้แล้วใช่มั้ยว่าแม่เราหนีตามชู้ไป” ชลิตาพยักหน้า เพราะเรื่องนี้ดารุณีเคยบอกตอนที่เธอเห็นรูปครอบครัวอู่พองลมมีแค่พ่อและลูกสองคน รูปถ่ายในบ้านก็ไม่มีรูปของแม่เลย

“อย่าบอกนะว่าคนที่แม่หนีไปด้วยเป็น....”

ดารุณีพยักหน้า “ตอนนั้นบ้านเราลำบากมาก พ่อก็เสียใจจนล้มป่วย พี่ลูกโป่งโทษว่าเป็นความผิดแม่และทอมนั่น มองว่าพวกนั้นเป็นพวกวิปริต เป็นคนเลวที่ไม่ควรยุ่งด้วย ห้ามไม่ให้เค้าคบคนผิดเพศ แม้แต่ลูกค้าถ้ารู้ว่าเป็นเพศที่สาม พี่ลูกโป่งก็ไล่เปิงเลยนะ”

“ไม่น่าเชื่อว่าพี่ลูกโป่งจะเป็นคนแบบนั้น คงเกลียดมากจริงๆ”

“ตัวไม่ชอบก็ไม่ชอบไปสิ ทำไมต้องมาบังคับให้เราเป็นอย่างตัวด้วย” ดารุณีดูจะไม่ชอบใจกับสิ่งที่พี่ชายเป็น “นิสัยไม่ดี ชอบบังคับให้เค้าทำโน่นนั่นนี่ พี่ลูกโป่งน่ะโลกแคบที่สุด เบลล์ว่ามั้ย”

ชลิตาเข้าใจทั้งคนพี่และคนน้อง “ไม่เลย...เพราะคนเราก็ต้องมีเรื่องที่รับได้ รับไม่ได้ต่างกันนะ บอลลูนอาจจะไม่คิดอะไรเพราะบอลลูนไม่ได้อยู่ในสถานะเดียวกับพี่ลูกโป่ง ไม่ได้เจออย่างที่เขาเจอ แต่เราว่าบอลลูนรู้ดีว่าพี่ลูกโป่งเป็นคนดี เป็นพี่ชายที่ดี เราไม่อยากให้บอลลูนดื้อกับพี่ลูกโป่งนะ อย่าเอาปมในใจพี่ลูกโป่งมาเป็นเครื่องมือต่อรอง แต่ถ้าวันหนึ่งบอลลูนจะรักกับทอมจริงๆ ก็เป็นอีกเรื่อง แต่อย่าทำเพื่อประชดคนที่รักบอลลูนเลยนะ คนรักกันอยู่ด้วยกัน ควรรักษาน้ำใจกันไว้ เพราะไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เรายังจะมีโอกาสได้มาบอกรักกันมั้ย”

ดารุณีเข้าใจสิ่งที่เพื่อนอยากจะบอกอยากเตือน “เบลล์คิดถึงพี่ชายที่เสียไปใช่มั้ย”

ชลิตาพยักหน้า “เราอิจฉาทุกครั้งนะ เวลาเห็นพี่ลูกโป่งอยู่กับบอลลูน เรามั่นใจว่าถ้าพี่ชรินทร์ยังอยู่ พี่เขาก็คงเป็นพี่ชายที่แสนดีมากๆ ทำทุกอย่างเพื่อเรา เราแพ้อาหาร ไปทานนอกบ้านไม่ค่อยได้ มีของที่กินได้น้อย ก็ให้สัญญากับเราว่าจะไปเรียนทำอาหาร จะเปิดร้านอาหารที่ใส่ใจคนแพ้อาหารอย่างเรา ในวันเกิดเราพี่ชรินทร์ยังพูดเรื่องนี้ซ้ำอีก แต่พอตื่นขึ้นมาอีกวัน เรากลับต้องมารู้ความจริงว่า เราไม่มีพี่ชรินทร์แล้ว...ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีบ้านให้กลับ เราไม่มีใครเลย...”

ดารุณีกุมมือเพื่อนไว้ “ไม่จริงหรอก เบลล์มีเค้า มีพี่ลูกโป่ง มีป้าพิมพ์ จุ๋นเจี๋ย มีนายน้อย...แล้วตอนนี้ก็จะมีพี่ชายข้างบ้านที่ชื่ออะไรนะ ได้ยินแต่เบลล์เรียกพี่ชายๆ เลยไม่รู้ชื่อ”

“เคย์จ้ะ” ชื่อที่ถูกเอ่ยถึงดูไม่สนิทปากเท่าคำเรียกเก่าที่คุ้นปาก

“ชื่อเคย์นี่เอง ว่าแต่ทำไมเบลล์ไม่เรียกพี่เคย์ล่ะ”

“ก็เพราะเพื่อนที่โรงเรียนเรามีคนชื่อเคย์อยู่แล้ว พอจะเรียกพี่เคย์แล้วรู้สึกกระดากปากน่ะ”

“เคย์...คนไหน เพื่อนๆ ที่โรงเรียนของเบลล์ เค้าว่าเค้ารู้จักหมดนะ” 

“คนนี้บอลลูนไม่รู้จักหรอก เขาเป็นเพื่อนสมัยอนุบาล เคย์เป็นคนตัวอ้วนๆ กินจุ ตลกๆ พ่อเขาเป็นคนอายุเยอะแล้ว เราเข้าใจว่าเป็นตา  เคย์เป็นคนนิสัยดี แต่ดูตลกๆ  เราไม่สนิทใจที่จะเรียกชื่อพี่เคย์ เพราะเรียกแล้วก็นึกถึงหน้าหมูเคย์ แก้มย้วย ตาเล็กๆ ในมือถือขนมตลอดเวลา”

 “เบลล์จำเพื่อนตอนอนุบาลได้ด้วยเหรอ เค้าจำไม่ค่อยได้ จำอีกทีก็เพื่อนตอนประถม” บอลลูนนึกภาพตามก็ขำ เธอรู้เรื่องของชลิตามาบ้าง รู้ว่าเพื่อนเป็นเด็กกำพร้าเหตุไฟไหม้บ้าน ไม่มีญาติรับไปอยู่ด้วย จึงได้มาอยู่บ้านอุปถัมภ์  เห็นเป็นคนสดใส แต่ชลิตาก็ผ่านอะไรมามาก บอลลูนจำได้ว่าเจอชลิตาครั้งแรกที่สวนสาธารณะ กำลังถูกเด็กวัยรุ่นลวนลาม เธอเข้าไปช่วย แล้วก็เจอกันอีกครั้งที่โรงเรียนเป็นเพื่อนห้องข้างๆ เป็นคนที่ถูกคนอื่นแกล้ง เพราะนิสัยแปลกๆ ที่ตอนแรกเธอเองก็ว่าแปลก

“มองหน้าเราทำไมเหรอ” ชลิตาต้องถามเมื่อเพื่อนนิ่งไปเอาแต่จ้องเธอแล้วอมยิ้ม “มีอะไรติด...”

“เปล่า...เค้ากำลังคิดว่าเบลล์เปลี่ยนไปมากเลยเนอะ จากตอนเจอกันครั้งแรก”

“เปลี่ยนยังไง เราก็ยังเป็นคนเดิม ยังกลัวเสียงฟ้าร้อง ต้องระวังเรื่องการกินอาหารนอกบ้านเหมือนเดิม”

“ไม่หรอก เบลล์สดใสขึ้น ยิ้มบ่อยขึ้น พี่ลูกโป่งยังบอกเลย เบลล์น่ารักขึ้น สวยขึ้น ยังพูดกับป้าพิมพ์เลยว่าจองเบลล์ไว้ เราก็สนับสนุนนะ”

บอลลูนพูดทีเล่นทีจริง แต่ยังไม่ทันที่ชลิตาจะพูดอะไรเสียงโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น

“พี่ลูกโป่งน่ะ” บอกชลิตาก่อนจะกดรับสาย “ถึงไหนแล้วเนี่ยพี่ลูกโป่ง...ว่าไงนะ! รถชน!”

น้ำเสียงและสีหน้าตกใจของดารุณีทำให้ชลิตาใจไม่ดี...

 

ชลิตารีบโทรศัพท์บอกพิมพ์พรทันทีที่รู้เรื่องจากดารุณีว่าลูกโป่งเกิดอุบัติเหตุ ไม่เป็นอะไรมากตอนนี้ทำแผลอยู่ที่โรงพยาบาล เธออาจกลับช้าหน่อยแต่จะพยายามไม่ให้เกินเวลาสองทุ่ม แต่สุดท้ายพอไปถึงกลับพบความยุ่งยากมากขึ้น ดูเหมือนดำรงจะไม่ได้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถชน แต่ถูกคู่กรณีใช้ขวดเหล้าฟาดศีรษะจนแตกเย็บหลายเข็ม หมอให้นอนพักที่โรงพยาบาลสักคืนแต่ดำรงยืนยันจะกลับบ้าน กระนั้นเธอก็คงกลับไปไม่ทันเวลานัดจึงต้องโทรศัพท์มาหาพิมพ์พร ซึ่งตอนนี้หล่อนและสามีอยู่ที่บ้านนาฬิกาทรายของกวินเรียบร้อยแล้ว

“...ไม่ต้องห่วงหรอกลูก ไว้ป้าจะขอโทษพี่เขาให้ คุณเคย์คงไม่ว่าอะไรหรอก หนูอยู่เป็นเพื่อนบอลลูนก็ดีแล้ว จ้ะ...ถ้าออกมาจากโรงพยาบาลแล้วโทร.บอกป้าด้วยนะ ป้าจะคอย”  พิมพ์พรวางสายสีหน้าไม่สบายใจนัก

จุ๋นเจี๋ยที่นั่งเล่นอยู่กับสมูทตี้สังเกตเห็นจึงเอ่ยถาม “อาเบลล์เป็นอาราย...ไปโรง’บาล  แพ้อาหารเหรออาพิมพ์ ลื้ออย่าปิดอั้วนะ อาเบลล์เป็นอาราย”

“ไม่ต้องตกใจไปหรอกจุ๋นเจี๋ย น้องเบลล์ไม่ได้เป็นอะไร ลูกโป่งรถชน ตอนนี้ปลอดภัยแล้วล่ะ ทำแผลอยู่ที่โรงพยาบาล แต่มีปัญหาคือจะบอกนายน้อยยังไงว่าน้องเบลล์มาไม่ทันนัด...”  พิมพ์พรมัวแต่พูดกับจุ๋นเจี๋ยจึงไม่ทันสังเกตว่ากวินเดินออกมาจากห้องครัวได้ยินบทสนทนาตอนท้ายพอดี 

“น้องเบลล์มาไม่ทันเหรอพิมพ์...ทำไม มีเรื่องอะไรรึเปล่า” สีหน้าคนถามมีความห่วงใย

“คือว่า...” พิมพ์พรมองสบตานายน้อยอย่างลำบากใจ ไม่รู้จะเริ่มบอกอย่างไรดี ยิ่งเมื่อเห็นว่าตั้งแต่กลับมาถึงบ้านเมื่อช่วงบ่าย นายน้อยก็เตรียมตัวทำอาหารสำหรับดินเนอร์คืนนี้  ทำเองคนเดียวอย่างตั้งใจ วัตถุดิบล้วนคัดสรรมาเป็นอย่างดี อาหารบางส่วนทำเสร็จแล้ว มีบางอย่างที่ต้องกินตอนร้อนๆ เท่านั้นที่รอให้ชลิตากลับมาค่อยปรุง ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนนายน้อยก็รอเวลานั้น แต่กลายเป็นว่าคนสำคัญกลับมาไม่ทันแล้ว

“มีอะไรก็พูดมาเถอะ”

“น้องเบลล์คงมาทานอาหารกับเราไม่ได้แล้วล่ะค่ะ ลูกโป่งขับรถไปชน”

“น้องเบลล์เป็นอะไรรึเปล่า”

“น้องเบลล์ปลอดภัยค่ะ” พิมพ์พรเล่าเรื่องให้นายน้อยฟังคร่าวๆ “โชคดีเหลือเกินที่น้องเบลล์ไม่ได้อยู่ในรถด้วย เพราะดูเหมือนคู่กรณีจะเป็นอันธพาลนะคะ ใช้ขวดตีหัวลูกโป่งสลบคาที่ ดีที่ได้พลเมืองดีไปเจอพาไปส่งโรงพยาบาล”

“ตอนนี้น้องเบลล์อยู่ไหน” กวินดูจะไม่ได้สนใจเรื่องของนายลูกโป่งเท่าไหร่นัก ชายหนุ่มสนใจแค่เรื่องของชลิตา “ยังอยู่ที่บ้านอุปถัมภ์หรือว่าตามไปที่โรงพยาบาล”

  “โรงพยาบาลค่ะ โรงพยาบาลไม่ไกลจากบ้านอุปถัมภ์” พิมพ์พรรู้ดีว่านายน้อยรู้จักบ้านดูแลเด็กกำพร้านั้นดี “ลูกโป่งถูกส่งไปรักษาตัวที่นั่นค่ะ น้องเบลล์กับหนูบอลลูนเพิ่งตามไป”

“นายลูกโป่งนั่นเจ็บหนักเหรอ”

“ไม่ได้เจ็บจากถูกรถชนหรอกค่ะ แต่เห็นว่าเจ็บเพราะถูกคู่กรณีใช้ขวดฟาดหัว”

“ไปทำอีท่าไหนล่ะ” คำพูดนี้ไม่เชิงตั้งคำถาม พิมพ์พรรู้ว่านายน้อยคงไม่ชอบใจที่ดำรงไปมีเรื่องทำนองนี้ “พิมพ์รู้โรงพยาบาลมั้ย”

“นายน้อยจะตามไปเหรอคะ...พิมพ์ว่าไม่ต้องตามไปก็ได้ค่ะ เห็นน้องเบลล์บอกว่ารอทำแผลรับยาก็กลับได้”

“ฉันจะไม่ให้น้องเบลล์นั่งรถกับนายลูกโป่งนั่น” กวินบอกชัดเจน แต่เหมือนจะเพิ่งนึกได้ว่าเขาอาจไม่มีสิทธิทำอย่างนั้น “พิมพ์ไม่มีปัญหาใช่มั้ย”

“ไม่มีหรอกค่ะ พิมพ์แค่สงสัยว่านายน้อยจะไปรับน้องเบลล์ยังไง ต้องให้พิมพ์ไปด้วยมั้ยคะ...ถ้าพิมพ์ไปด้วย คงต้องเรียกคนมาอยู่เป็นเพื่อนจุ๋ยเจี๋ยก่อน หรือเรียกคุณต้าฟงดีคะ”

“ไม่ต้อง” คงกลัวพิมพ์พรทำอย่างนั้นจริงๆ จึงรีบปฏิเสธเสียงดัง “กว่าฉันจะไล่เจ้านั่นไปได้ ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเรียกมา ฉันจะไปรับน้องเบลล์เอง พิมพ์แค่โทร.บอกก็พอ” พิมพ์พรมองสบตานายน้อยก็ไม่กล้าแย้งใดๆ  ได้แต่มองตามหลังนายน้อยที่เดินไปหยิบกุญแจรถ ทำท่าจะเดินออกไป แต่เหมือนนึกอะไรได้ จึงเดินย้อนกลับไปที่โรงครัว “ยังไม่รู้จะกลับมาดึกมั้ย พิมพ์อุ่นอาหารบนโต๊ะทานกับจุ๋นเจี๋ยก่อนได้เลยนะ”

“ค่ะ” พิมพ์พรมองนายน้อยที่เดินหยิบขวดเครื่องปรุงต่างๆ ออกมาจากตู้ ก่อนจะเดินไปหยิบขนมปังปอนด์ที่เพิ่งอบเสร็จตอนบ่ายแก่ๆ เอามาตัดขอบอย่างคล่องแคล้ว 

“พิมพ์หยิบแฮมกับชีสนมแพะในตู้ให้หน่อย” บอกทั้งที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากงานในมือ แต่ยังไม่ทันที่พิมพ์พรจะเดินไปถึงตู้เย็นนายน้อยก็ตัดขอบขนมปังเสร็จ ความเชื่องช้าของคนแก่ดูจะไม่ทันใจ “เดี๋ยวฉันหยิบเอง...หลบไปก่อนครับ”

พิมพ์พรยืนมองคนตัวใหญ่คาดผ้ากันเปื้อนที่มุดศีรษะหายเข้าไปในตู้เย็น ก่อนจะขยับออกมาพร้อมกับของที่หาเจอ นั่นคือ แฮม ชีสและเนยที่ทำเองจากนมแพะ ซึ่งทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่ชลิตาทานได้

“นายน้อยจะทำแซนด์วิชให้น้องเบลล์เหรอคะ” พิมพ์พรชวนคุย ชายหนุ่มพยักหน้าในขณะที่สายตาจับจ้องอยู่กับการปรุงแซนด์วิชในมือที่คล่องแคล่วเชี่ยวชาญทั้งการใช้มีด หยิบอุปกรณ์ต่างๆ รู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหนของครัว นานเท่าไหร่แล้วที่พิมพ์พรไม่ได้เห็นนายน้อยดูมีความสุขอย่างตอนนี้ อยากให้สิ่งเหล่านี้อยู่ตลอดไป

“พิมพ์...” เสียงเรียกทำให้พิมพ์พรที่เหม่ออยู่รู้สึกตัว “หยิบกล่องใส่อาหารให้ด้วย...”

ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที แซนด์วิชก็ถูกตัดเป็นชิ้นพอดีคำ มีไม้จิ้มเล็กๆ ปักไว้อย่างสวยงาม จากนั้นพิมพ์พรถูกใช้ให้หยิบมันใส่กล่อง ปิดฝา ในขณะที่เชฟกวินไป เทสตอเบอรี่สมูทตี้จากเครื่องปั่นใส่แก้วเก็บความเย็น 

“เรียบร้อย...” ทั้งแซนด์วิชและแก้วสมูทตี้ถูกใส่ลงในกระเป๋าใส่อาหาร “ไปละพิมพ์ อย่าลืมโทร.บอกน้องเบลล์ล่ะ ให้รอที่นั่น ฉันกำลังไปรับ...” 

“ค่ะ...อ้าวสมูทตี้ตามนายน้อยไปไม่ได้นะ” พิมพ์พรรีบตามไปจะจับเจ้าแมวตัวอ้วน

“ไม่เป็นไรหรอกพิมพ์” พูดกับผู้มากวัยกว่าก่อนจะหันมาคุยกับเจ้าแมวอ้วน “จะไปรับน้องเบลล์ด้วยเหรอ ไปก็ได้ แต่ต้องอยู่ในกระเป๋านะ”

กระเป๋าที่ว่าคือกระเป๋าใส่แมวสุดน่ารักที่ต้าฟงเล่าให้พิมพ์พรฟังว่านายน้อยไปเดินหาซื้อด้วยตัวเองก่อนออกเดินทางมาไทย เพียงเพราะพิมพ์พรเล่าว่าชลิตาเปรยๆ จะหากระเป๋าใส่แมวใบใหม่มาแทนใบเก่าที่ดูจะเล็กเกินไปแล้วสำหรับสมูทตี้ แล้วดูเหมือนเจ้าแมวอ้วนจะรู้งาน มันกระโจนลงกระเป๋าอย่างเป็นงาน รอให้พิมพ์พรยกไปวางตรงที่นั่งข้างคนขับ 

“ขับรถระวังๆ นะคะ”

“อย่าลืมโทร.บอกน้องเบลล์นะพิมพ์”

“ค่ะ” พิมพ์พรรอจนรถของนายน้อยออกไปจนพ้นตัวบ้าน จึงได้หยิบโทรศัพท์มาโทร.ออก แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่เบอร์โทร.ของชลิตา “คุณต้าฟงเหรอคะ...” 

 

“ค่ะ งั้นเบลล์จะรอให้พี่เขาโทร.มานะคะ” ชลิตาบอกกับพิมพ์พรก่อนวางสาย แม้จะอยากคุยกับพี่ชายข้างบ้าน แต่พอเอาเข้าจริงก็รู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งนึกถึงเรื่องเปิ่นๆ เฉิ่มๆ ที่ทำเมื่อเช้ายิ่งรู้สึกไม่สบายใจ

“รับยาเสร็จละ กลับกันได้แล้ว”  ดารุณีเอ่ยถามเมื่อรับยากลับมาแล้วเห็นเพื่อนที่ยืนรออยู่ทำหน้าแปลกๆ หลังจากรับสายโทรศัพท์ของป้าพิมพ์  “มีอะไรรึเปล่าเบลล์ โดนดุเหรอที่กลับไปผิดเวลา งั้นเรารีบกลับกันเถอะ เสร็จละ ป่านนี้พวกเด็กอู่คงพาพี่ลูกโป่งไปรอที่รถแล้วล่ะ”  ว่าพลางฉุดมือ แต่ชลิตากลับยังยืนที่เดิม “ทำไมล่ะ”

ชลิตาส่ายหน้า “ยังกลับไม่ได้ เมื่อกี้ป้าพิมพ์โทร.มาบอกว่าพี่ชายข้างบ้านกำลังขับรถมารับเรา” 

“อ้าวจริงดิ...แล้วยังไงต่อ จะโทร.ไปบอกว่าไม่ต้องมารับแล้ว หรือว่าเบลล์จะรอพี่เขาที่นี่”

ยังไม่ทันที่ชลิตาจะว่าอะไร เด็กอู่หนึ่งในสามคนที่ดารุณีสั่งให้คอยดูพี่ชายวิ่งหน้าตื่นมาหา

“เจ๊บอลลูนแย่แล้วๆ  ไปห้ามเฮียโป่งเร็วเข้า ก่อนที่จะเกิดเรื่อง!”

“ห้ามอะไร พี่ลูกโป่งไปทำอะไร”

“เมื่อกี้ระหว่างที่รอให้ไอ้อึ่งไปเอารถ อาเฮียไปเห็นคู่กรณีเข้า จะตามไปเอาเรื่อง ผมให้ไอ้สองคนนั้นห้ามไว้ แล้วรีบวิ่งมาตามเจ๊นี่แหล่ะ”

“ไอ้พี่บ้า ก่อเรื่องไม่รู้จักจบ!  ดีปล่อยให้ถูกอัดให้ตายไปเลย โดนฟาดหัวแล้วยังไม่รู้จักเข็ด”

“มันไม่ใช่อย่างนั้นน่ะสิ คู่กรณีเฮียน่ะ เป็นผู้หญิง เอ๊ย เป็นทอม!”

“อะไรนะ!” ดารุณีร้องเสียงหลง “งั้นก็รีบนำไปสิ...เบลล์ไปห้ามเร็วเข้า”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น