5

บทที่ 5


 

บทที่ 5 

รถบิ๊กไบท์คันใหญ่ที่มีเด็กนักเรียนตัวเปื้อนโคลนซ้อนท้ายเลี้ยวเข้ามาที่ลานกว้างหน้าโรงพยาบาลสัตว์ ทันทีที่รถจอด เด็กสาวที่ซ้อนหลังรีบลงจากรถได้ก็วิ่งตรงไปที่ประตูทันที  โดยมีสายตาของคนขับบิ๊กไบท์มองตามหลัง  ครู่ต่อมามีรถตู้ติดฟิล์มดำเลี้ยวเข้ามาจอดเทียบ ก่อนจะมีบอดี้การ์ดสี่คนเดินลงมาจากรถ  ตรงมาทางบิ๊กไบท์ที่เพิ่งมาส่งชลิตา

“ผมโทร.บอกป้าพิมพ์แล้วครับ  เดี๋ยวสักพักคงตามมา...” หัวหน้าทีมบอดี้การ์ดเข้ารายงานชายหนุ่มที่เพิ่งถอดหมวกกันน็อกออก จึงเผยให้เห็นว่านั่นคือเควิน นายน้อยของพวกเขา  “แล้วเอายังไงต่อครับ เดี๋ยวคุณหนูชลิตาก็คงออกมา นายควรหลบไปก่อนนะครับ”

ความสนใจนายน้อยของพวกเขายังคงอยู่ที่ประตูทางเข้าที่ชลิตาเพิ่งผ่านไป

“นายน้อยครับ ผมว่านายน้อยควรไปหลบไปก่อน ถ้าไม่อยากให้คุณหนูเบลล์มาเห็น หรือนายน้อยจะเปลี่ยนใจ ออกไปเจอคุณหนู...”

นั่นคือสิ่งที่อยากทำมาโดยตลอด อยากออกไปเจอ อยากไปพูดคุย อยากเข้าไปปกป้องดูแล แต่เมื่อนึกถึงความจริง นึกถึงเหตุผลและปัญหาที่จะตามมามันทำให้เควินจำต้องตัดใจ  ส่งกระเป๋านักเรียนและถุงใส่ของให้ลูกน้อง  สวมหมวกกันน็อก ก่อนจะขับรถอ้อมไปทางด้านหลังตึก ปล่อยให้ที่เหลือเป็นหน้าที่ของ ‘ต้าฟง’ บอดี้การ์ดคนสนิท

 

ทางฝ่ายชลิตาเมื่อส่งลูกแมวให้คุณหมอได้ยังคงเฝ้าอยู่หน้าห้อง กระทั่งมีพนักงานมาเรียกให้ไปทำประวัติสัตว์ป่วย เธอจึงเพิ่งนึกได้ว่ากระเป๋าเงินเธออยู่ในกระเป๋านักเรียน และเธอลืมไว้ข้างนอก กับผู้ชายปริศนาที่ขับรถบิ๊กไบท์พาเธอมาส่งที่นี่ เมื่อนึกได้ เธอก็รีบวิ่งออกไป แต่ไม่พบเขาอยู่ตรงนั้นแล้ว

“นี่กระเป๋าของน้องใช่มั้ยครับ” พนักงานรักษาความปลอดภัยเข้ามาทัก “มีคนมาฝากไว้ให้น้อง เขาบอกว่ามีธุระรีบออกไป เลยไม่ได้อยู่เจอ”  ชลิตารู้สึกแย่ เธอยังไม่ทันได้ขอบคุณเขาด้วยซ้ำ “มีอะไรรึเปล่าน้อง”

“เปล่าค่ะ ขอบคุณค่ะคุณลุง”  เมื่อได้กระเป๋ากลับมาชลิตารู้สึกว่าจะต้องโทรศัพท์บอกคนที่บ้าน กลัวว่าจะเป็นห่วง เพราะเธอกลับบ้านผิดเวลามาก “ฮัลโหลค่ะ ป้าพิมพ์...”

ไม่นานนักพิมพ์พรก็ตามมาถึงโรงพยาบาล ประจวบกับคุณหมอออกมาแจ้งอาการป่วยของลูกแมวน้อยว่าอาการยังน่าเป็นห่วง เพราะลูกแมวอ่อนเพลียมาก แผลที่เน่ามีการติดเชื้อ มีไข้ ต้องอยู่รอดูอาการก่อน จากนั้นพิมพ์พรก็ไปจัดการเรื่องค่ารักษาเบื้องต้น  โดยให้ชลิตารออยู่ข้างๆ กรงเจ้าเหมียวน้อยที่ตอนนี้หลับไปเพราะฤทธิ์ยา มีสายน้ำเกลือปักอยู่ที่ขาหน้า ขนทั้งตัวถูกไถจนโกร๋น มีเสื้อตัวเล็กๆ ใส่ให้เพิ่มความอบอุ่น แผลที่สะโพกมีผ้าพันไว้อย่างเรียบร้อย 

“เบลล์” เสียงเรียกทำให้ชลิตาละสายตาจากแมวน้อย “ปะ เสร็จแล้วลูก กลับบ้านกันเถอะ คงหิวแย่เลยสิ” ใบหน้าเศร้าของเด็กสาวทำให้ป้าพิมพ์เดินเข้ามาหา “ทำไมจ๊ะ ห่วงเจ้าเหมียวเหรอ” 

เด็กสาวส่ายหน้า พลางยกมือไหว้ “ป้าพิมพ์คะ เบลล์ขอโทษนะคะ”

“ทำไมลูก...หนูขอโทษเรื่องอะไร”

“ก็ที่เบลล์ทำป้าพิมพ์ลำบากอีกแล้ว...ดูแลตัวเองยังไม่ได้ ยังมา...”

“โถลูก...ลำบากที่ไหนกัน แค่นี้เอง แล้วนี่เหตุสุดวิสัย หนูทำถูกแล้วลูก เป็นป้าถ้าไปเจอเจ้าเหมียวเจ็บ ป้าก็ต้องช่วยไว้ ป้าดีใจเสียอีก ที่หนูเป็นคนมีเมตตา ไม่ต้องคิดมากหรอก”

“ขอบคุณนะคะ ถ้าเจ้าเหมียวหายดี เบลล์จะโพสต์ในเนตหาเจ้าของให้เจ้าเหมียวนะคะ”

“หาทำไมล่ะจ๊ะ ก็รับเจ้าเหมียวไปอยู่ที่บ้านริมน้ำกับเราเลยสิ”

“แต่ว่าบ้านเรามีคนป่วย เบลล์ว่า...”

“จุ๋นเจี๋ย?” พิมพ์พรถาม ชลิตาพยักหน้า “ไม่เป็นไรจ้ะ จุ๋นเจี๋ยไม่ได้แพ้ขนแมวซะหน่อย หนูไม่รู้อะไร จุ๋นเจี๋ยน่ะ ตัวรักแมวเลย เมื่อก่อนชอบไปเล่นกับแมวของนายน้อยบ่อยๆ”

“นายน้อยเลี้ยงแมวด้วยเหรอคะ” ชลิตาดูสดใสขึ้นทันทีเมื่อผู้มากวัยกว่าเอ่ยถึงผู้มีพระคุณ พิมพ์พรพยักหน้า “เลี้ยงกี่ตัวคะ”  

“เลี้ยงตัวเดียวจ้ะ ชื่อเจ้าคริสต์มาส ป้าไม่รู้หรอกว่าพันธุ์อะไร เป็นแมวตัวใหญ่ สีเทาเงาๆ หน้าดำๆ จุ๋นเจี๋ยน่าจะมีรูปนะ กลับไปเดี๋ยวป้าหาให้ดู...ว่าแต่หนูดูรักแมวนะ”

“เบลล์ฝันอยากเลี้ยงแมวมานาน ตั้งใจว่าจะตั้งชื่อสมูทตี้ แต่คุณแม่ไม่ชอบแมว เบลล์ก็เลยไม่มีโอกาสได้เลี้ยง” ไม่บ่อยนักที่ชลิตาจะเล่าเรื่องในครอบครัวของเธอออกมาด้วยรอยยิ้ม 

“คราวนี้ก็ได้เลี้ยงสมใจแล้วนะ”  บอกอย่างใจดีขณะเดินนำเด็กสาวมารอรถแท็กซี่ริมถนน ซึ่งเควินและต้าฟงแอบซุ่มสังเกตการณ์อยู่ข้างมุมตึก ใกล้พอจะได้ยินบทสนทนาของหญิงต่างวัย แล้วดูเหมือนพิมพ์พรจะรู้ตัวเหลือบมองเล็กน้อยก่อนจะชวนคุยต่อ “เดี๋ยวพอเจ้าสมูทตี้หายก็เลี้ยงให้อ้วนเลยนะ จะได้น่ารักเหมือน เจ้าคริสต์มาสของนายน้อย”

คนที่ถูกเอ่ยถึงสะดุดเล็กน้อย รู้สึกเกร็งๆ ต่างจากบุคลิกปกติ ต้าฟงที่ยืนอยู่ข้างๆ แอบยิ้ม รอฟังท่าทีชลิตาเช่นเดียวกับนายน้อย 

”เจ้าคริสต์มาสตัวอ้วนเลยเหรอคะ”

“จริงๆ แล้วน่าจะอ้วนเพราะขนด้วยนะ ขนฟูๆ ขาสั้นๆ  หน้าดำๆ มันเป็นแมวขี้เกียจขยับตัว นอนทั้งวัน แม้แต่ตอนกินยังนอนเลยลูก มันชอบทำตัวตลกๆ เอ๋อๆ  ให้คนได้ขำ ปกตินายน้อยเป็นคนขรึมๆ ไม่ค่อยยิ้ม แต่จะยิ้มกับคริสต์มาสนี่แหล่ะ” 

ชลิตานึกภาพตามทำให้ใบหน้าเธอมีรอยยิ้ม “ต้องน่ารักมากแน่เลยค่ะ”

แม้ได้ยินเพียงเสียง แต่คนแอบฟังก็พอเดาได้ว่าเวลานี้ชลิตาคงมีรอยยิ้มกว้าง

“ที่น่ารักหมายถึงใครจ๊ะ นายน้อยหรือคริสต์มาส” พิมพ์พรถามเผื่อคนที่เธอก็รู้ว่าแอบอยู่ตรงนั้น 

“ทั้งสองค่ะ...ทั้งนายน้อยแล้วก็เจ้าคริสต์มาส เวลาอยู่ด้วยกันต้องน่ารักแน่เลย” 

พูดพลางหัวเราะคิก โดยไม่ทันสังเกตว่าไกลออกไป ‘นายน้อย’ ที่กำลังถูกเอ่ยถึง เฝ้ามองอยู่อย่างไม่วางตา แล้วรอยยิ้มที่พิมพ์พรเอ่ยถึงก็กำลังแลระบายอยู่บนใบหน้าคม รอยยิ้มนั้นดูอ่อนโยน แล้วมันก็มีอิทธิพลพอที่จะทำให้บอดี้การ์ดคนสนิทยิ้มตามได้อย่างไม่ยากเย็น

“นายน้อยน่ารัก...ตรงไหน” ต้าฟงหลุดปาก ทำให้คนที่โดนว่าปรับสีหน้า มองดุจะเอาความ “ขอโทษครับ”

ก้มหน้าอย่างสำนึกผิด แต่ก็ยังคงแอบยิ้มเมื่ออยู่ลับหลังนาย ซึ่งเมื่อคล้อยหลังผู้หญิงสองวัย  เขาจึงได้พาตัวเองออกมาจากที่หลบ ตรงไปเยี่ยมลูกแมวสีขาวที่หมอบหลับอยู่ในกรง...ชายหนุ่มนิ่งมองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเปิดกรงอุ้งมือใหญ่เอื้อมไปแตะเท้าเล็กๆ นั้นแผ่วเบา คล้ายต้องการส่งกำลังใจให้มัน ดวงตาคมมองป้ายชื่อที่ห้อยอยู่หน้ากรง

 “สมูทตี้...”  ชื่อนี้ได้มาจากเด็กหญิงคนหนึ่งที่ชอบกินน้ำหวานประเภท ‘สมูทตี้’ คลั่งไคล้จนตั้งใจจะตั้งชื่อแมวตัวแรกที่จะเลี้ยง

“เข้มแข็งไว้นะ  แกต้องหายให้ได้ แกเป็นหนี้ชีวิตน้องเบลล์ แกต้องอยู่เพื่อเธอ เหมือนกับฉัน...แต่แกโชคดี ที่สามารถอยู่เคียงข้างน้องเบลล์ได้ แกน่าอิจฉามากรู้มั้ยสมูทตี้”

 

๑ ปีต่อมา ณ บ้านริมน้ำ...

แมวเหมียวขนฟูฟ่องสีขาวตาสีฟ้าชูคอขึ้นขณะหมอบอยู่บนตักจุ๋นเจี๋ยเมื่อได้ยินเสียงประตูรั้วหน้าบ้านดัง ทันทีที่เห็นว่าคนเปิดประตูเข้าบ้านคือชลิตา มันก็รีบกระโดดลงจากตักชายในรถเข็น เพื่อรีบออกไปต้อนรับนายสาวซึ่งเพิ่งกลับจากโรงเรียนเหมือนเช่นทุกวัน ในขณะที่ตอนเช้ามันก็จะเดินออกไปส่งที่ประตูรั้ว ยืนมองจนนายสาวเดินไปลับตาถึงได้กลับเข้ามานอนในบ้าน  เจ้าเหมียวทำอย่างนี้เป็นประจำ ตั้งแต่ที่มันยังเป็นลูกแมวบาดเจ็บ ตัวผอม ขนเกรียน ตาแดงบวมและแฉะกรังด้วยขี้ตาและคราบน้ำตาจนแทบลืมตาไม่ขึ้น  ช่วงแรกที่รับสมูทตี้มารักษา  ชลิตาทำประกาศติดไว้บริเวณที่เธอพบมัน เผื่อว่าเจ้าของมันจะออกตามหา แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครติดต่อมา เธอจึงรับมันมาอยู่ที่บ้านริมน้ำ

หนึ่งปีผ่านไป มันกลายเป็นแมวตัวอ้วนกลม ตาโตสดใส ไม่เหลือเค้าแมวตัวเดิมสักนิด  ชลิตาเคยหาข้อมูลว่าสมูทตี้เป็นพันธุ์อะไร ได้ความจากคุณหมอว่าน่าจะเป็นลูกผสมเปอร์เซียกับแมวไทย ซึ่งดูจากขนสีขาวฟูฟ่อง โดยเฉพาะหาง คอและเอว หูและจมูกสั้น ดวงตาสีฟ้าใส ดูเป็นแมวมีชาติตระกูลอยู่ไม่น้อย บอกไปก็ไม่ค่อยมีคนเชื่อว่าเป็นแมวที่ถูกเก็บมาเลี้ยง  

 “ว่าไงเจ้าอ้วน วันนี้เป็นเด็กดีหรือเปล่า” ไม่เพียงแต่สมูทตี้เท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา เด็กสาวแววตาเศร้าที่กำลังอุ้มเจ้าเหมียวอ้วนขึ้นก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เธอดูโตขึ้น สวยขึ้น และดูสดใสต่างจากเมื่อครั้งมาอยู่บ้านริมน้ำใหม่ๆ มาก “ร้องเหมียวๆ แบบนี้จะฟ้องอะไร หือ...จ้ะ รู้แล้วว่าคิดถึง...เดี๋ยวมาเล่นด้วย ตอนนี้ลงไปก่อนนะ”

เมื่อถูกปล่อยลงพื้นสมูทตี้ก็วิ่งนำหน้าเด็กสาวไปที่ห้องนั่งเล่นอย่างที่เคยทำ เพราะเมื่อกลับมาถึงบ้านชลิตาจะไปยกมือไหว้จุ๋นเจี๋ยที่ดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่น พูดคุยด้วยนิดหน่อย ก็จะไปหาพิมพ์พรที่ห้องครัว ซึ่งงานนี้สมูทตี้ก็จะวิ่งนำไปอย่างที่มันเคยทำ พฤติกรรมนี้ของเจ้าสมูทตี้จุ๋นเจี๋ยเคยพูดเล่นว่า มันเหมือนหมาน้อยมากกว่าลูกแมว

“กลับมาแล้วค่ะ” เด็กสาวเยี่ยมหน้าเข้ามาในห้องครัว ยกมือไหว้พลางสูดจมูกหากลิ่นบางอย่าง “วันนี้แปลกจัง...”

ถ้าเป็นปกติเวลานี้ป้าพิมพ์จะทำอาหารเสร็จเกือบหมดแล้ว เมื่อชลิตามาถึงก็จะได้กลิ่น ยั่วน้ำลายซึ่งลอยมาจากกับข้าวบนโต๊ะ แล้วก่อนจะได้เห็นหน้าตาอาหารเธอจะสูดกลิ่นหอมๆ แล้วทายว่าวันนี้ป้าพิมพ์ทำอะไร ซึ่งสวนใหญ่ก็จะไม่มีพลาด

“ยังไม่เสร็จจ้ะ วันนี้ป้ามีแขก เลยเข้าครัวช้าหน่อยจ้ะ หิวหรือยังลูก” เด็กสาวส่ายหน้าพลางเดินเข้ามาในห้อง ขณะที่สมูทตี้กระโดดขึ้นไปนั่งบนโต๊ะกลางที่ประจำของมัน  “ใครคะ” 

ปกติแล้วบ้านริมน้ำไม่ค่อยมีแขกไปมาหาสู่เท่าไหร่นัก

“เพื่อนบ้านใหม่เรานี่แหล่ะจ้ะ เจ้าตัวไม่ได้มาเองหรอก เพราะยังติดงานอยู่ต่างประเทศ แต่ก็ยังมีน้ำใจให้คนของเขาเอาของมาฝากเราเยอะแยะเลย ดูสิ เต็มโต๊ะอย่างที่เห็น”

โต๊ะที่ถูกเอ่ยถึงคือตัวที่สมูทตี้กระโจนขึ้นไปสำรวจ ตรงนั้นมีกล่องใส่ผลไม้สดวางเรียง มีทั้งสตอเบอรี่ เชอรี่ แอปเปิลซึ่งส่วนใหญ่เป็นของโปรดและดีต่อสุขภาพของจุ๋นเจี๋ยทั้งนั้น แต่มีอยู่กล่องหนึ่งที่ดึงดูดสายตาของเด็กสาวได้ที่สุด เพราะมันเป็นขนมที่เธอฝันอยากชิมมานาน แต่ไม่มีโอกาสสักครั้ง ไม่ใช่ว่าหาซื้อไม่ได้ แต่เพราะไม่มั่นใจว่ามันจะเป็นสิ่งที่เธอทานได้อย่างปลอดภัย 

“มาการอง?” สาวน้อยแทบจะถลาเข้าหากล่องขนมที่สมูทตี้กำลังดมกลิ่นอย่างสนใจ ในขณะที่นายสาวของมันกลืนน้ำลาย ความดีใจก่อนหน้านี้เลือนหายไป เมื่อคิดว่าเธอคงกินไม่ได้อีกตามเคย “เสียดายจังเนอะสมูทตี้...”

คำพูดนั้นทำให้พิมพ์พรหันมายิ้ม “ถ้าอยากทานก็ไปล้างมือก่อนนะ”

“ล้างมือ? เบลล์ทานได้จริงเหรอคะ”

พิมพ์พรพยักหน้ากับคำพูดติดปากของชลิตา ผู้มากวัยกว่ารู้ดีว่านั่นไม่ใช่แค่การขออนุญาต แต่เป็นการถามย้ำว่าในของที่จะทาน ไม่มีสิ่งที่เธอแพ้ ซึ่งหลักๆ ก็มีแป้งสาลี นมวัว ถั่วลิสง แมกคาเดเมีย และก็ช็อกโกแลต ซึ่งของเหล่านี้เป็นส่วนประกอบของขนมหรืออาหารที่เห็นได้ทั่วไป ถ้าเผลอทานเข้าไปอาการแพ้ก็จะแสดง หรือบางทีแค่ได้กลิ่นหรือสัมผัสละออง อาการแพ้ก็เล่นงานได้เหมือนกัน นั่นเป็นเหตุผลให้ในกระเป๋าของเด็กสาวจะมีกล่องใส่ยาฉีดกรณีฉุกเฉินไว้ติดตัวเสมอ 

“ป้าถามแล้ว ปลอดภัย มาการองกล่องนี้ไม่มีแป้งสาลี  ไม่มีโปรตีนนมวัว ไม่มีถั่วลิสง ถั่วแมคคาเรีย ปลอดภัย อ้อไม่มีช็อกโกแลตด้วย หนูทานได้จ้ะ” 

“ว้าว เหมือนมาการองกล่องนี้ทำมาเพื่อเบลล์เลย ป้าพิมพ์ทานรึยังคะ”

“ป้าชิมไปชิ้นหนึ่ง อร่อยดี แต่หวานและมันไปสำหรับคนแก่ ทานมากไม่ดี” บอกขณะที่เด็กสาวล้างมือ แล้วรีบเช็ด ก่อนจะมาหยิบมาการองชิ้นสีเขียวขึ้นมากัดชิม “เป็นไงจ๊ะ อร่อยมั้ย”

ไม่มีคำพูดใดๆ นอกจากอาการพยักหน้าแล้วมาการองชิ้นในมือก็ถูกส่งเข้าปากไปทั้งชิ้น เมื่อมือว่างเด็กสาวจึงได้ยกนิ้วให้ แล้วก็ก้มหน้าหยิบชิ้นที่สองมารอทันที ทำเอาผู้มากวัยกว่ายิ้มขัน เพราะได้ยินเด็กสาวเปรยๆ ว่าอยากชิมมาการองดูสักครั้ง เห็นฮิตกันมากอยู่ช่วงหนึ่ง ครั้นป้าจะทำให้ชิมก็ไม่ถนัดพวกขนมอย่างนี้ แม้แต่พวกขนมเค้กหรือเบเกอรี่พิมพ์พรก็ไม่ถนัด เพราะต่อให้ไปทำงานถึงต่างประเทศ ได้ไปเปิดหูเปิดตาแต่ความที่เรียนมาน้อย ทำงานปัดกวาดเช็ดถูเสียส่วนใหญ่ ทำให้ไม่เก่งเรื่องทำครัว ส่วนจุ๋นเจี๋ยก็ทำเป็นพวกอาหารจีน พวกต้มๆ ผัดๆ ตุ๋นๆ เสียมากกว่า บ้านหลังนี้จึงทำอาหารไทยกับอาหารจีนเสียส่วนใหญ่ 

“อร่อยมากเลยค่ะ หวาน มัน เหมือนละลายในปากเลย” เด็กสาวบอกหลังจากกินมาการองไปแล้วสี่ชิ้น สี่รสชาติ “มิน่าคนชอบกัน เบลล์ก็ชอบ อร่อยมากเลยค่ะ”

“คุณเคย์มาได้ยินหนูพูด มาเห็นหนูกินคงดีใจแย่ คราวหน้าคงได้ทำมาฝากอีก”

“คุณเคย์? ทำ? นี่ไม่ใช่ซื้อมาเหรอคะ เป็นขนมที่พี่ชายบ้านโน้นทำเหรอคะ”

“ใช่สิจ๊ะ คุณเคย์เขาทำเอง ไม่อย่างนั้นจะบอกได้เหรอว่าไม่มีของที่หนูแพ้ ตอนถามเนี่ย คนของเขาให้ยกหูโทร.สายตรงเลยนะ”

ชลิตามองมาการองในมืออย่างทึ่งๆ “เอาใหม่นะคะ คุณเคย์นี่เป็นผู้ชาย?” ป้าพิมพ์พยักหน้า “ทำขนมหวาน? อย่างมาการอง?”

“ก็ใช่น่ะสิจ๊ะ แปลกตรงไหน ก็พี่เขาเป็นเชฟทำงานในโรงแรมหรูๆ ได้ยินว่าเงินเดือนเยอะมากด้วยนะ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีเงินมาสร้างบ้านสวยๆ ข้างบ้านริมน้ำได้หรอก”

ชลิตาพยักหน้าเห็นด้วย “พี่ชายเขาทำงานโรงแรมอะไรคะ”

ป้าพิมพ์อ้ำอึ้งก่อนจะตอบ “ป้าไม่ทันได้ถามด้วยสิ”

“มิราเคิล โอเอซีส แกรนด์แน่เลย พี่ชายอาจเป็นเพื่อนนายน้อยก็ได้นะคะป้า”

“คงไม่ใช่หรอกลูก” พิมพ์พรเริ่มตามไม่ทัน “ถ้าเป็นเพื่อนนายน้อย หรือทำงานที่มิราเคิลฯ ป้าก็ต้องรู้น่ะสิจ๊ะ อย่างน้อย นายน้อยก็น่าจะพูดถึงบ้าง”

“งั้นเหรอคะ ก็เป็นไปได้ค่ะ แต่อย่างน้อยก็น่าจะรู้จักนะ ไม่อย่างนั้น พี่ชายจะมาซื้อที่ของนายน้อยสร้างบ้านได้ยังไงคะ จะว่าบังเอิญก็เกินไปอยู่นะ”

คำพูดนี้ของชลิตาเพิ่งทำให้พิมพ์พรถึงบางอ้อ จำได้ว่าเธอเคยบอกเด็กสาวว่าที่ข้างบ้านก็เป็นของนายน้อยที่ซื้อไว้ เพราะเจ้าของคนเก่าย้ายไปอยู่ต่างประเทศ แต่ไม่ได้ทำประโยชน์  เรื่องนั้นก็นานมาแล้ว ไม่คิดว่าเด็กสาวจะจำได้

“ใช่มั้ยคะ”

“ป้าก็ไม่แน่ใจจ้ะ” พิมพ์พรมีพิรุธแต่ดูเหมือนเด็กสาวจะไม่ทันได้สังเกต  เพราะยังคงกินขนมต่อไป มีแบ่งให้สมูทตี้ด้วย แต่ดูเหมือนมันจะไม่ค่อยชอบ เพราะแค่เลียๆ แล้วก็เมินหน้าหนี “ไว้มีโอกาสหนูค่อยถามพี่เขาละกันนะ”

“ค่ะ ถ้าใช่คงก็คงดีนะคะ เบลล์อยากเรียนทำอาหารเก่งๆ บ้าง จะได้ไว้ทำให้ป้าพิมพ์กับจุ๋นเจี๋ยทาน”

“ป้าก็บอกแล้วว่าให้ไปเรียน ก็ไม่ไป มัวแต่เสียดายเงินอยู่นั่น นายน้อยท่านก็พร้อมจะออกทุนให้อยู่แล้ว”

“เบลล์เข้าใจค่ะ แต่มันจะดีกว่านะ ถ้าได้เรียนฟรี” เด็กสาวยิ้มกว้าง แววตาขี้เล่น “จริงๆ แล้วเบลล์น่ะไม่ได้หวังจะเป็นเชฟหรอกค่ะ เอาแค่พอทำได้ก็พอ เพราะเบลล์ตั้งใจเรียนการโรงแรม ทำงานในโรงแรมมากกว่าในครัว เบลล์มองภาพการทำงานในโรงแรมไม่ค่อยออก ถ้าได้เจอ ได้ฟังจากคนมีประสบการณ์ตรงก็คงดีมากๆ”

“ก็เลยคิดว่าคุณเคย์จะช่วยได้สินะ” 

“ค่ะ ประสบการณ์พี่เขา หรือเพื่อนร่วมงานพี่เขาต้องน่าสนใจแน่มากแน่ๆ เลย แค่คิดเบลล์ก็ตื่นเต้น อยากมีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับพี่เขา ป้าพิมพ์ว่าเบลล์ทำได้มั้ยคะ เบลล์จะไปขอคำปรึกษาพี่เขาได้มั้ย”

เวลาจะทำอะไร ชลิตามักมาปรึกษาเสมอ “ได้สิจ๊ะ จะเป็นอะไรไป แต่อย่าไปจุ้นจ้านกับพี่เขามากนะลูก ดูท่าทีเขาก่อน ถ้าเขาเป็นคนไม่ชอบสุงสิงกับใครมาก เขาจะรำคาญเอาได้”

เด็กสาวพยักหน้า ก่อนจะมองข้ามรั้วบ้านออกไป เห็นบ้านสองชั้นสไตล์โมเดิร์นหลังเดิม ที่ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้ให้ความสนใจมันมากกระทั่งได้รู้ว่า เวลานี้เจ้าของบ้านนั้นคือขุมทรัพย์ที่เธอจะใช้หาข้อมูลเกี่ยวกับอนาคตของเธอ ซึ่งเกี่ยวพันกับ ‘นายน้อย’

“แกคิดตรงกับฉันใช่มั้ยสมุทตี้” แมวขนฟูร้องเหมียวรับคำ “งั้นแกต้องช่วยฉันด้วยนะ”

คำพูดนั้นทำให้พิมพ์พรอมยิ้ม เงยหน้าขึ้นมองเห็นเด็กสาวหยิบมาการองไปกัดอีกชิ้น อดคิดไม่ได้ว่าถ้าคนทำขนมได้มาเห็นภาพนี้คงมีความสุขมาก...

 

โทรศัพท์สายหนึ่งถูกต่อไปที่ห้องผู้บริหารของ ‘มิราเคิล โอเอซีส แกรนด์’ ซึ่งเป็นอาณาจักรสุดหรูในรูปแบบโรงแรมควบกาสิโนของกลุ่มบริษัท ‘เดอะวันกรุ๊ป’  ซึ่งมีโรงแรมในเครือหลายแห่งทั้งในลาสเวกัส มาเก๊า สิงคโปร์และดูไบ  ตั้งแต่อดีตเดอะวันฯ จับธุรกิจโรงแรมควบกาสิโน ตามการบริหารของผู้ก่อตั้ง ซึ่งเป็นมาเฟียจีนพลัดถิ่น  มาเพิ่มความร่ำรวยของตัวเองจากพวกผีพนัน ก่อนจะขยายความยิ่งใหญ่โดยการเข้าเทคโอเวอร์โรงแรมและกาสิโนอื่นๆ ก่อร่างสร้างตัวมาหลายรุ่น ผู้นำคนปัจจุบันคือ ‘นิค รีฟส์’

เบื้องหน้านิคคือนักธุรกิจวัยห้าสิบที่ประสบผลสำเร็จ ได้รับการยกย่อง นับหน้าถือตาในแวดวงสังคม แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าตระกูลรีฟส์ยิ่งใหญ่มาทุกวันนี้เพราะเหยียบย่ำทำลายคู่แข่งมานักต่อนัก จนขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อมาเฟียมีอำนาจคับฟ้า แต่มีศัตรูไปทั่ว พวกเขาจึงต้องสร้างบารมีคุ้มครองตัวเอง สร้างตัวตนให้คนกลัว มีคำสอนสืบต่อกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ว่า ‘ถ้าไม่อยากตายอย่างหมาข้างถนน ก็จงโหดให้ได้อย่างเสือ’

ทว่า...ยุคสามสี่ปีหลัง เดอะวันกรุ๊ป หันมาจับธุรกิจโรงแรมเต็มรูปแบบมากขึ้น ตามการบริหารงานของ ‘เควิน รีฟส์’ นักธุรกิจหนุ่ม ทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลรีฟส์  ที่เริ่มเรียนรู้งานตั้งแต่สมัยเรียน เมื่อเรียนจบก็เข้ามาช่วยบริหาร เสนอแนวทางจนสามารถพิสูจน์ตัวเองว่าแนวคิดของเขาสามารถสร้างรายได้ให้เดอะวันกรุ๊ปได้เพิ่มขึ้นมาก แต่สุดท้ายนั่นก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้บิดาไว้ใจปล่อยมือจากเดอะวันกรุ๊ป

เควินจึงยังคงเป็นเบอร์สอง ที่เหมือนมีอำนาจล้นฟ้า แต่ถ้าเบอร์หนึ่งก้าวลงมา เขาก็ต้องพร้อมจะลุกออกจากเก้าอี้บริหาร และเวลานี้ เบอร์หนึ่งที่ว่าก็กำลังนั่งรับสายโทรศัพท์อยู่บนเก้าอี้ตัวนั้น โดยมี ‘เทียนคง’ คนสนิทยืนอยู่หน้าโต๊ะด้วยท่าทางนิ่งเฉย สุขุมดั่งที่เคยเป็นมา

“เป็นไงบ้างครับนาย” เทียนคงเอ่ยถามเมื่อนายวางสาย

“ความใจอ่อนของมันสร้างเรื่องอีกจนได้”

เทียนคงมีสีหน้ากังวล ไม่ใช่เพราะ ‘เรื่อง’ ที่ถูกเอ่ยถึง แต่เป็นเพราะรู้ว่าเวลานี้นายกำลังโกรธ ‘มัน’ ที่เป็นตัวสร้างเรื่อง “ผมจะรีบแจ้งนายน้อย นายน้อยคงจัดการได้ไม่ยาก”

“ไม่จำเป็น ฉันจะให้ชาคริตจัดการเรื่องนี้เอง”

“ครับ คุณชาคริตคงจัดการเรื่องนี้ได้ไม่ยาก” เทียนคงรู้ว่านายกำลังโกรธจึงต้องสนับสนุนความคิดนั้นก่อน ทั้งที่ความจริงแล้ว สมควรให้คนที่ทำเรื่องไว้จัดการคงดีกว่า

“โทร.เรียกชาคริตให้มาหาฉันที่นี่เลย” น้ำเสียงสั่งยังห้วนคาดโทษ 

เทียนคงรีบทำตาม ก่อนจะรายงานนาย “คุณชาคริตขอเวลาสิบนาทีครับ”

ไม่มีคำพูดใดๆ ตอบกลับมา ดวงตาของนายจับจ้องที่กรอบรูปบนโต๊ะทำงาน ซึ่งเป็นรูปของผู้หญิงสวยคนหนึ่งที่ถ่ายกับเด็กชายวัยสิบขวบ รูปนี้ถูกถ่ายไว้ก่อนวันที่ผู้หญิงในรูปจะโดนรถชนเพียงวันเดียว หลังจากเธอช่วยลูกชายไม่ให้ถูกรถชน แล้วต้องกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราถึงห้าปี ก่อนจะจากไปอย่างสงบ ทิ้งลูกชายคนเดียวไว้กับพ่อที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกก็เมื่อวันที่แม่เจ็บหนัก พ่อที่รู้แค่ว่าจะต้องสอนลูกชายคนเดียวให้เป็นอย่างตน แต่ไม่เคยสนใจเลยว่าลูกชายคนเดียวนั้นอยากเป็นใครกันแน่

“นายอย่าเอาโทษนายน้อยเรื่องนี้เลยนะครับ”  เทียนคงตัดสินใจขอร้อง “ตอนนี้สถานการณ์ระหว่างนายกับนายน้อยดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก ผมไม่อยากให้เรื่องนี้มาทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงอีก”

“แกนี่ไม่เปลี่ยนเลยนะเทียนคง” น้ำเสียงนั้นอาจฟังดูแข็งกร้าวแสดงความตำหนิ แต่เทียนคงก็ยังยิ้มออกมาได้ เพราะรู้ว่านั่นคือการยอมรับฟังอย่างกรายๆ ของนาย “อย่าใจดีกับเควินนัก  ฉันไม่อยากให้ลูกชายของฉันเป็นคนอ่อนแอ แล้วถึงฉันจะพอใจที่มันทำงานให้ฉันได้ดี แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะทำพลาดได้ แล้วที่สำคัญมันพลาดเพราะความใจอ่อนของมัน  ทำไมเควินมันไม่เป็นอย่างชาคริต ถ้ามันทำได้สักครึ่งที่ชาคริตทำได้ โหดและเหี้ยมได้สักครึ่งอย่างที่ชาคริตเป็นก็คงดี”

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้เป็นนาย นำลูกในสายเลือด มาเปรียบเทียบกับลูกบุญธรรม

“สองคนถูกเลี้ยงมาต่างกันนะครับนาย นายน้อยมาอยู่กับนายตอนสิบขวบ ผิดกับคุณชาคริตที่มีนายเป็นต้นแบบตั้งแต่เด็ก นายคือฮีโร่ที่คุณชาคริตเทิดทูน และพยายามจะเจริญรอยตาม ยังไงก็ต้องเหมือนนาย” 

“ทำไมชาคริตถึงไม่เป็นลูกฉันจริงๆ ให้มันรู้แล้วรู้รอด”

“แล้วจะต่างกันตรงไหนล่ะครับ ในเมื่อคุณชาคริตรักและเคารพนายยิ่งกว่าพ่อแท้ๆ ด้วยซ้ำ คุณชาคริตคงไม่ยกใครให้มาสำคัญเท่านายอีกแล้วล่ะครับ”

“ซึ่งตรงข้ามกับเควิน” นิคแสดงออกชัดเจนว่าหงุดหงิดกับเรื่องนี้ “เจ้านั่นเกลียดฉัน เหมือนกับที่แม่ของมันเกลียด”  แววตาของนิคดูอ่อนลงคล้ายเจ็บปวดที่ไม่ถูกรัก นิ่งอยู่ครู่ใหญ่จึงได้เบือนหน้ากลับมาที่เทียนคง “แต่ฉันก็ไม่แคร์ว่ามันจะคิดยังไง ตอนนี้ชีวิตมันเป็นของฉัน มันต้องเป็นในสิ่งที่ฉันอยากให้เป็น ก่อนอื่นมันต้องแกร่ง มันต้องเหี้ยม ถึงจะอยู่รอดได้ในวงการนี้  ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฉันคงใจดีกับมันมากเกินไป  ฉันยอมมองข้ามเรื่องเล็กๆ ที่มันทำลับหลังฉัน นี่คงถึงเวลาแล้วที่ฉันจะให้มันทำอย่างที่ฉันต้องการซะที!”

เทียนคงไม่สบายใจนักกับท่าทางแข็งกร้าวของนาย คิดว่าจะต้องทำอะไรสักอย่างก่อนพ่อลูกจะปะทะกัน แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นขวาง จึงต้องรับโทรศัพท์สายนั้น

“นายน้อยกำลังขึ้นลิฟต์มาแล้วครับนาย” เทียนคงบอกความหลังวางสาย “นายอย่าเพิ่งพูดหรือทำอะไรที่จะทำให้ความสัมพันธ์ของนายและนายน้อยแย่ลงกว่านี้เลยนะครับ คิดซะว่าผมขอ”

“ได้...” รอยยิ้มของนายใหญ่ทำให้เทียนคงหวั่นใจ ไม่อยากคาดเดานักว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ สองพ่อลูกที่ไม่ลงรอยกัน กำลังจะเผชิญหน้าอีกครั้ง หวังว่าเหตุการณ์นี้คงไม่ทำให้สถานการณ์ความสัมพันธ์ที่แย่อยู่แล้ว แย่หนักลงไปกว่าเดิม เพราะระยะหลังนายใหญ่เริ่มปล่อยให้นายน้อยทำอะไรในหลายๆ เรื่องที่อยากทำบ้างแล้ว โดยแกล้งมองไม่เห็น นั่นจึงทำให้ช่องว่างของสองพ่อลูกแคบเข้ามาบ้าง แต่ช่องว่างนี้ก็ยังคงพร้อมจะแยกออกจากกันทุกเมื่อ

“ฉันจะไม่ทำอะไร แต่ถ้ามันเดินมาติดกับเอง ก็คงช่วยไม่ได้ละนะ...” 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น