2

สิบเก้า กู่สกัดลม


สิบเก้า

กู่สกัดลม

 

หลิวเอ๋อร์เดินออกมาจากห้อง ยิ้มทุกข์ระทมบนใบหน้าพลางเพ่งมองต้งหมิง

ต้งหมิงคำนับต่ำ เอ่ยอย่างเคารพนบนอบ “ถวายบังคมเหนียงเหนียง”

“ผู้บังคับการต้งหมิงมีวาจาใดจะกล่าว” หลิวเอ๋อร์โบกมือ บัดนี้ไร้แก่ใจจะมีพิธีรีตองกับผู้ใด จึงสอบถามโดยตรง

“กระหม่อมมีหลายเรื่องค่อนข้างฉงนสนเท่ห์ ขอเหนียงเหนียงโปรดชี้ทางให้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ต้งหมิงยืดตัวขึ้นจดจ้องสองตาของหลิวเอ๋อร์

ตามหลักแล้วอากัปกิริยานี้ของเขาออกจะไร้มารยาท ในฐานะขุนนางไหนเลยจะจ้องมองฮองเฮาเช่นนี้ได้

หลิวเอ๋อร์กลับไม่ถือสา สีหน้าไม่แปรผันขณะถาม “เรื่องใด”

“ก่อนหน้านี้เรื่องเหนียงเหนียงทรงต้องกู่พิษและแก้พิษได้อย่างลี้ลับอัศจรรย์ เต๋อเมี่ยวกล่าวว่าทรงต้องคำสาปปีศาจมาร ฝ่าบาททรงเชื่อ แต่กระหม่อมไม่เชื่อ แล้วก็เชื่อว่าเหนียงเหนียงไม่ทรงเชื่อด้วยเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ” ต้งหมิงเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ

สีหน้าหลิวเอ๋อร์ไม่เปลี่ยนแปลง มองต้งหมิงด้วยสายตาเฉยเมย “หือ? ยังมีอีกหรือไม่”

“คืนนี้เมิ่งตงลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาท เหนียงเหนียงทรงดูคล้ายลนลาน แท้จริงทรงรุกถอยมีแบบแผน แข็งแรงคล่องแคล่ว เด่นชัดว่าทรงมีวรยุทธ์ไม่สามัญ เหนียงเหนียงทรงมีวรยุทธ์ไม่เลวขั้นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน กระหม่อมให้สงสัยนักพ่ะย่ะค่ะ” ต้งหมิงประสานมือคำนับ

หลิวเอ๋อร์มองต้งหมิง มุมปากยกยิ้มบาง

ครั้นเห็นสีหน้าท่าทางของนางเช่นนี้ ต้งหมิงก็สะท้านวูบในใจ สองมือสั่งสมพลังทีละน้อย สองตาค่อยๆ เงยขึ้น จับจ้องมองนาง เตรียมพร้อมลงมือ

“เมื่อครู่เต๋อเมี่ยวคุกเข่าให้ฝ่าบาทกับเหนียงเหนียง คิดร้องขอให้อภัย เหนียงเหนียงทรงดีดพระดัชนี ทำให้นางเป็นใบ้ไร้วาจา เท่าที่กระหม่อมเห็น มิใช่สกัดจุดใบ้ของนาง เช่นนั้นเหนียงเหนียงทรงใช้วิชาใด กระหม่อมขอประทานคำชี้แนะพ่ะย่ะค่ะ”

หลิวเอ๋อร์หลับตาลงแผ่วเบา เงียบงันครู่ใหญ่ ก่อนถอนหายใจยาว แล้วค่อยๆ ลืมตาขณะเอ่ย “ในที่สุดก็ปิดบังสายตาอันแหลมคมของผู้บังคับการต้งหมิงมิได้”

หางตาต้งหมิงเลิกขึ้น มองหลิวเอ๋อร์อย่างระแวดระวัง กล้ามเนื้อทั้งร่างเริ่มตื่นตัว

หลิวเอ๋อร์เงียบงันไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยปากเชื่องช้า เพียงทว่าน้ำเสียงแหบแห้ง ในวาจาแฝงความขมขื่น “ข้าเป็นหนึ่งในเก้าบุตรของโต๋วหมู่เทียนจุน เชื่อว่าผู้บังคับการต้งหมิงรู้แล้วว่าผู้ที่แอบอ้างนามแห่งเทพโต๋วหมู่เทียนจุนเป็นผู้ใด”

สีหน้าต้งหมิงสะท้านวูบ ประกายแสงเฉียบคมสาดส่องสี่ทิศ “เอ่ยมาเช่นนี้... เหนียงเหนียงมิใช่นักแสดงเร่ในยุทธภพ การพบกับฝ่าบาทโดยบังเอิญบนถนนของเปี้ยนเหลียงในตอนนั้น...”

หลิวเอ๋อร์ถอนหายใจแผ่วเบา พยักหน้าพร้อมกับกล่าว “มิผิด นั่นเป็นการจัดฉากไว้เรียบร้อยแล้ว เป็นฉากที่โต๋วหมู่เทียนจุนจัดขึ้น เขาต้องการวางเบี้ยลับในหมู่ราชสกุล ส่วนข้า... ก็คือเบี้ยตัวนั้นของเขา”

สีหน้าต้งหมิงเย็นเฉียบ จดจ้องสองตาของหลิวเอ๋อร์ คล้ายอยากมองให้ถึงก้นบึ้งแห่งหัวใจ “โต๋วหมู่เทียนจุนคิดการใดกันแน่ เหนียงเหนียงทรงกระทำอันใดบ้างให้โต๋วหมู่เทียนจุน”

หลิวเอ๋อร์เดินขึ้นมาเบื้องหน้าสองก้าว ต้งหมิงรีบถอยหลังหนึ่งก้าวอย่างตื่นตัว ลักษณะพลังบนร่างสูงท่วมท้น พร้อมลงมือทุกเมื่อ

ฮองเฮาองค์นี้ไม่เพียงทรงมีวรยุทธ์ ยังทรงเชี่ยวชาญศาสตร์กู่ ต่อให้ทรงมีวรยุทธ์สูงส่งเลิศล้ำเพียงใด ต้งหมิงก็มั่นใจว่าต้านรับได้ แต่ศาสตร์กู่... เผชิญหน้ากับวัตถุแปลกพิสดารชนิดนี้ ต้งหมิงไม่มีความมั่นใจเลย

จนถึงขั้นเขาเองไม่กระจ่างชัดแจ้งว่า บัดนี้ตนต้องกู่พิษแล้วหรือไม่

เคราะห์ดีที่หลิวเอ๋อร์เดินขึ้นหน้าเพียงสองก้าว กลับมิได้มองมาทางต้งหมิง แววตาว่างเปล่ามองไปเบื้องหน้า ถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ฐานะที่แท้จริงของโต๋วหมู่เทียนจุน... เชื่อว่าผู้บังคับการต้งหมิงรู้แน่แก่ใจแล้วกระมัง”

ต้งหมิงตอบเสียงทุ้ม “หากกระหม่อมเดาไม่ผิด โต๋วหมู่เทียนจุนสมควรเป็นเหมียวซวิ่น ยอดองครักษ์ข้างพระวรกายของไท่จู่ฮ่องเต้”

“มิผิด! โต๋วหมู่เทียนจุนก็คือยอดองครักษ์ของไท่จู่ฮ่องเต้ และเป็นผู้ก่อตั้งหน่วยดาวพิฆาตของพวกท่าน!” หลิวเอ๋อร์พยักหน้าเล็กน้อย

รูม่านตาของต้งหมิงหดลงเล็กน้อย จ้องหลิวเอ๋อร์แล้วกล่าว “ไท่จู่ฮ่องเต้สวรรคตในปีนั้น พระอนุชาขึ้นครองราชย์ มิใช่พระโอรสขึ้นครองราชย์สืบต่อ เหมียวซวิ่นฉงนสงสัยในใจไม่คลาย ดึงดันคิดว่าไท่จงฮ่องเต้ทรงสังหารไท่จู่ฮ่องเต้เพื่อแย่งชิงบัลลังก์ ด้วยเหตุนี้จึงตีจากหน่วยดาวพิฆาตโดยไม่เสียดาย แปลงสถานะเป็นโต๋วหมู่เทียนจุนหลบเร้นในที่ลับ ดูท่าว่าเขายังไม่ตายใจ คงคิดแย่งชิงบัลลังก์กลับคืน มอบให้ปาเสียนอ๋อง พระโอรสของไท่จูฮ่องเต้”

“มิผิด!” สีหน้าหลิวเอ๋อร์เฉยเมย ความลับสะท้านฟ้าเช่นนี้ถึงกับไม่ปฏิเสธแม้แต่น้อย พยักหน้ายอมรับโดยตรง

แต่ต้งหมิงฟังแล้วกลับหวั่นผวาขึ้นมาทันควัน จุกในลำคอ สอบถามเสียงแหบแห้ง “ปาเสียนอ๋อง... เกี่ยวข้องกับแผนการนี้หรือไม่”

หลิวเอ๋อร์จ้องมองต้งหมิง ส่ายหน้าแผ่วเบา

“กระหม่อมเชื่อในรับสั่งของเหนียงเหนียงได้หรือไม่” ต้งหมิงคลายใจ แต่กลับไม่ใคร่เชื่อก่อนถาม “ลัคนาราชันทรงเกียรติภูมิสูงสุด กษัตริยาแห่งใต้ฟ้า... ปาเสียนอ๋องไม่หวั่นไหวด้วยสิ่งนี้หรือ”

หลิวเอ๋อร์ยิ้มอย่างเศร้าสร้อย หมุนตัวไปสบตากับต้งหมิงแวบหนึ่ง ถอนหายใจแล้วกล่าว “รอท่านฟังวาจาข้าจนจบ ท่านก็จะเชื่อ”

“กระหม่อมยินดีรับฟังพ่ะย่ะค่ะ!” ต้งหมิงพยักหน้าหนักแน่น สีหน้าเอาจริงเอาจัง

 

กลางตำหนักต้าชิ่ง บรรดาขุนนางบุ๋นบู๊ต่างกระซิบกระซาบวิพากษ์วิจารณ์ แยกย้ายไปเป็นกลุ่มๆ หลังโค่วจุ่นปลอบบำรุงขวัญ

โค่วจุ่นยืนเหนือโถง มองส่งบรรดาขุนนางที่จากไปด้วยสีหน้าเป็นกังวล

เห็นบรรดาขุนนางต่างแยกย้ายออกไป รัชทายาทถึงเดินขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว สีหน้าโศกศัลย์ขณะกล่าว “โค่วเซี่ยงกง ข้าอยากไปเฝ้าเสด็จพ่อกับท่านแม่ที่ตำหนักฝูหนิง”

สีหน้าโค่วจุ่นหนักอึ้ง พยักหน้าเอ่ย “รัชทายาทรีบไปเถิด ข้ายังต้องไปพบแม่ทัพใหญ่เฉา ให้หน่วยงานในสังกัดพระราชวังและเมืองหลวงเตรียมพร้อมป้องกัน”

“รบกวนโค่วเซี่ยงกง” ดวงตารัชทายาทรื้นแดงกึ่งค้อมตัวคำนับโค่วจุ่น ก่อนหมุนตัวออกจากตำหนักต้าชิ่ง

 

บัดนี้หลิวเอ๋อร์ยืนประจันหน้ากับต้งหมิง ต่างหันข้างให้ประตูตำหนัก ทั้งคู่สนทนากันได้ระยะหนึ่งแล้ว

“ในเมื่อเหมียวซวิ่นจัดฉากให้เหนียงเหนียงอยู่ข้างพระวรกายตั้งแต่ฝ่าบาทยังไม่ทรงครองราชย์ ทั้งทรงเป็นที่โปรดปรานลึกล้ำของฝ่าบาท ลงมือได้ทุกเมื่อ เหตุใดฝ่าบาททรงครองราชย์ถึงยี่สิบห้าปี แต่กลับไร้ความเคลื่อนไหว” ต้งหมิงนึกฉงน

“แย่งชิงบัลลังก์ มิใช่การสังหารด้วยความอาฆาตในยุทธภพ แน่นอนว่ามิใช่ง่ายดายเพียงปลงพระชนม์ฮ่องเต้! ยิ่งไปกว่านั้นเทียนจุนจงรักภักดีต่อไท่จู่ฮ่องเต้อย่างยิ่ง ไม่สิ! ถึงขั้นไม่อาจกล่าวว่าจงรักภักดี แต่เคารพเลื่อมใสศรัทธาหาใดเปรียบ!” สีหน้าหลิวเอ๋อร์ออกจะสลับซับซ้อน คลับคล้ายนบนอบแต่ก็ละม้ายแฝงแววประชดประชัน

ต้งหมิงขมวดคิ้วถาม “หมายความว่าอย่างไร”

หลิวเอ๋อร์ถอนหายใจ เอ่ยเชื่องช้า “เทียนจุนเคารพศรัทธาไท่จู่ฮ่องเต้หาใดเปรียบ ไม่อยากให้ชื่อเสียงของโอรสไท่จู่ฮ่องเต้มัวหมองใดๆ เขายืนกรานให้ปาเสียนอ๋องครอบครองบัลลังก์อย่างสง่าผ่าเผย ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม มิใช่ปลงพระชนม์ ทำลายล้างเชื้อสายของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ใช้อำนาจบีบบังคับให้คืนบัลลังก์แก่ปาเสียนอ๋อง เรียกได้ว่ามีใจมุ่งมั่นนัก”

ต้งหมิงพยักหน้าอย่างกระจ่างฉับพลัน เอ่ยเสียงทุ้ม “ที่แท้เป็นเช่นนี้! กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ ก่อนหน้านั้นฝ่าบาททรงเรียกชุมนุมขุนนางที่ทรงไว้วางพระทัย ทรงคิดสละบัลลังก์ให้ปาเสียนอ๋อง นี่ก็เป็นฝีมือของเหมียวซวิ่น?”

หลิวเอ๋อร์พยักหน้าตอบ “มิผิด! เทียนจุนดึงตัวเต๋อเมี่ยวซึ่งเชี่ยวชาญศาสตร์ลวงตา กระทำเล่ห์กลหลายหลากให้ฝ่าบาททรงหวาดระแวง สงสัยว่าสวรรค์พิโรธ ทั้งให้ข้าแสร้งแอบอ้างว่าฝันถึงเทพเซียนร่วมมือกับเต๋อเมี่ยว ทำให้ทรงเชื่อว่าเป็นความจริง ถึงได้ตัดสินพระทัยสละราชสมบัติ”

เอ่ยถึงตรงนี้นางก็เผยสีหน้าเจ็บปวด ก่อนเอ่ยต่อเสียงสะอื้น “น่าเสียดาย ปาเสียนอ๋องยืนกรานไม่ยอม ยังเชิญไทเฮาออกมา ทำให้ฝ่าบาทต้องเปลี่ยนพระทัย มิฉะนั้นข้ากับฝ่าบาทก็คงได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสงบแล้ว จะทรงมีเคราะห์เยี่ยงวันนี้หรือ”

ต้งหมิงแค่นหัวเราะเย็นชาเสียงหนึ่ง มองหลิวเอ๋อร์แล้วเอ่ย “เหนียงเหนียงทรงไร้เดียงสาเกินไปแล้ว! หากฝ่าบาททรงสละราชสมบัติจริง เพื่อกำจัดเภทภัยในภายภาคหน้า เหมียวซวิ่นย่อมไม่ปล่อยให้ฝ่าบาททรงมีพระชนม์ชีพต่อไป”

หลิวเอ๋อร์มองต้งหมิงอย่างตกตะลึง นานสองนานถึงได้พยักหน้า “ขั้นนี้ข้ากลับไม่เคยคาดคิดมาก่อน ตามที่ท่านกล่าวก็มีเหตุผล”

รัชทายาทมีเรื่องทับถมในใจ จึงผ่อนฝีเท้าเดินเข้ามาในตำหนักใหญ่ พลันเห็นที่ปลายตำหนัก หลิวเอ๋อร์ยืนประจันหน้ากับต้งหมิง บรรยากาศแปลกพิกล คล้ายกำลังสนทนาเรื่องลับลมคมในบางประการ

รัชทายาทอดอึ้งงันมิได้ ก่อนชะงักฝีเท้า

บัดนี้หลิวเอ๋อร์และต้งหมิงต่างหันข้างให้ประตูตำหนัก ต่างคนต่างเพ่งสมาธิไปยังอีกฝ่าย ดังนั้นจึงไม่รู้ตัวว่ารัชทายาทเข้ามา

รัชทายาทลังเลสักครู่ ก่อนย่องเดินอ้อมไปทางด้านหลังเสาตำหนัก ลอบเดินไปเบื้องหน้าจากด้านข้าง

เมื่อย่างฝีเท้าเข้าไปใกล้ก็ได้ยินเสียงทั้งสองคนอย่างถนัดถนี่

“ในเมื่อเหนียงเหนียงทรงเชี่ยวชาญศาสตร์กู่ เรื่องใช้กู่สมควรเป็นฝีมือของเหนียงเหนียง กลับมิรู้ว่าเหนียงเหนียงทรงกระทำอย่างไร และทรงกระทำไปเพื่อสิ่งใด” ต้งหมิงไม่เข้าใจ

“แม้ข้าเป็นคนที่เทียนจุนจัดวางให้อยู่ข้างพระวรกายฝ่าบาท แต่ข้ากับฝ่าบาทเป็นคู่สามีภรรยาที่ฝ่าฟันอุปสรรคมาด้วยกัน หลายปีมานี้ฝ่าบาทไม่ทรงทอดทิ้งข้า นับแต่แรกเริ่มจนบัดนี้ยังคงเดิม ข้าไหนเลยจะไม่ซาบซึ้ง”

หลิวเอ๋อร์ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ค่อยๆ หลุบตาลง “ข้าละทิ้งเป้าหมายที่จะได้จากการใกล้ชิดฝ่าบาทไปแต่แรกแล้ว ทว่าเทียนจุนลี้ลับปาฏิหาริย์ เข้าออกได้อย่างอิสระตามอำเภอใจในพระราชวัง ข้าไม่กล้าทรยศเทียนจุนอย่างเปิดเผย กลัวเขาทำร้ายฝ่าบาท กลัวเขาเปิดโปงฐานะที่แท้จริงของข้า ยิ่งกลัวว่าเขาสั่งให้ข้าจากฝ่าบาทไปเสีย แล้วจัดผู้อื่นมาอยู่ข้างพระวรกาย ได้แต่หน้าชื่นอกตรมคล้อยตาม และเคราะห์ดีที่เทียนจุนก็ไม่คิดใช้วิธีการแข็งกร้าวแย่งชิงบัลลังก์ ข้าถึงประคับประคองมาถึงปัจจุบันได้”

ต้งหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เพ่งมองหลิวเอ๋อร์ ไม่ใคร่มั่นใจว่าสมควรเชื่อดีหรือไม่

ทว่าหลิวเอ๋อร์ไม่สนว่าเขาจะเชื่อหรือไม่ จึงกล่าวตามตรง “ขณะที่เทียนจุนพบเต๋อเมี่ยว จัดให้นางเข้าใกล้ฝ่าบาท ข้าก็ล่วงรู้แล้วว่าเทียนจุนคิดสิ่งใด ดังนั้นข้าจึงวางกู่พิษตนเอง เดิมทีข้าคิดหาโอกาสชี้หัวหอกไปที่เต๋อเมี่ยว เพื่อขับไล่นางให้พ้นข้างพระวรกาย กลับมิคาดว่าเทียนจุนจะจับสังเกตได้อย่างรวดเร็ว รีบรุดเข้าวังเพื่อกดดันข้า ข้าได้แต่ล้มเลิกกลางคัน สิ่งที่ตระเตรียมล้วนต้องล้มเลิก”

ต้งหมิงเงียบงันไปครู่หนึ่ง คล้ายกำลังขบคิดความเป็นจริงแห่งวาจาของอีกฝ่าย ผ่านไปครู่หนึ่งถึงสอบถามอีก “ในเมื่อเหนียงเหนียงตรัสว่าเหมียวซวิ่นไม่คิดใช้วิธีการแข็งกร้าวแย่งชิงบัลลังก์ เช่นนั้นเรื่องในวันนี้จะอธิบายอย่างไร”

หลิวเอ๋อร์ส่ายหน้าอย่างงุนงง พลันเผยสีหน้าแค้นเคือง “ข้าไม่รู้ ข้าชิงชังนัก! เพื่อความปลอดภัยของฝ่าบาท ข้ากล้ำกลืนฝืนทนร้องขอเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จ อดกลั้นแล้วอดกลั้นอีก แต่สุดท้ายแล้วยังคง... คิดอย่างเปล่าประโยชน์”

เอ่ยถึงตรงนี้นางก็หลับตาลง น้ำตาไหลพรากฉับพลัน

ทว่าหัวใจต้งหมิงราวกับโลหะศิลา มองหลิวเอ๋อร์ด้วยสีหน้าเย็นเยียบแล้วกล่าวอีก “ที่เหนียงเหนียงตรัสมา วาจาออกจากใจจริง กระหม่อมยินยอมเชื่อในสิ่งที่เหนียงเหนียงรับสั่ง แต่... คนของเหมียวซวิ่นมิอาจรั้งอยู่ข้างพระวรกายฝ่าบาท กระหม่อมยินยอมแบกรับชื่อเสียงฉาวโฉ่เป็นโจรกบฏขุนนางทรยศ ขอเหนียงเหนียงโปรดประทานอภัย!”

ร่างเขาโน้มเอียง ตั้งท่าเตรียมพร้อมลงมือ

หลิวเอ๋อร์มิได้ลืมตา ไม่แยแสใส่ใจการคุกคามของต้งหมิงแม้แต่น้อย เอ่ยด้วยสีหน้าโศกเศร้า “ผู้บังคับการต้งหมิงเชิญลงมือเถอะ พระชนม์ชีพของฝ่าบาทไม่ยืนยาวแล้ว ข้า... เดิมทีก็ไม่คิดมีชีวิตต่อไปอีกแล้ว”

รัชทายาทยืนหลังเสาต้นหนึ่งไม่ไกลนัก กำลังลอบฟังบทสนทนาของทั้งคู่ เห็นสภาพการณ์เช่นนี้ให้ตระหนกยิ่งนัก ฝ่าเท้าเริ่มเคลื่อนไหว คิดถลาออกไปขัดขวาง

แต่โลหิตพลันย้อนขึ้น หลิวเอ๋อร์จะอาเจียน มุมปากเอ่อท้นด้วยโลหิต ร่างค่อยๆ อ่อนระทวยล้มลง

ต้งหมิงตกตะลึง ร้องเรียกอย่างแปลกใจไม่คลาย “เหนียงเหนียง!?”

เขาประชิดเข้าไปใกล้ ไม่ทันคิดเรื่องกฎต้องห้าม มือหนึ่งประคองแผ่นหลังหลิวเอ๋อร์ อีกมือประกบทาบบนข้อมือนาง

หลังเสาตำหนัก รัชทายาทเห็นสภาพการณ์นี้ก็อดยืนงันมิได้ สองตาเบิกโพลง

ต้งหมิงจับชีพจรให้หลิวเอ๋อร์พักหนึ่ง ก่อนเผยสีหน้าประหลาดใจยามเอ่ย “เหนียงเหนียง ทรงกระทำสิ่งใด”

หลิวเอ๋อร์มองต้งหมิงอย่างอ่อนแอ “ข้า... ใช้กู่อัตชีวี... ต่อพระชนม์ชีพให้ฝ่าบาท”

ต้งหมิงมีสีหน้าตื่นตระหนก “ที่แท้เป็นแบบนี้! กู่อัตชีวีร่วมชะตาชีวิตเดียวกับร่างที่กู่อาศัย เหนียงเหนียงทรง...”

หลิวเอ๋อร์ส่ายหน้าเล็กน้อยพลางเอ่ย “พิษที่ฝ่าบาททรงโดนนั้น... ไร้ยารักษา แต่กู่อัตชีวีของข้ากลับต่อพระชนม์ชีพได้”

ต้งหมิงขมวดคิ้ว “พิษพรากวิญญาณยังคงออกฤทธิ์ ทำลายพลังชีวิตดั้งเดิมของร่างที่มันอาศัย ต่อให้เหนียงเหนียงทรงต่อพระชนม์ชีพของฝ่าบาท ก็เพียงแค่ยืดลมหายใจเฮือกสุดท้ายเป็นการชั่วคราวเท่านั้น!”

หลิวเอ๋อร์ยิ้มขมขื่น เสียใจเจียนตาย แล้วไออย่างอ่อนแรงสองครั้ง

“หากฝ่าบาททรงสิ้นแล้ว ข้ามีชีวิตอยู่จะมีความหมายอันใดกัน ข้ากระทำเช่นนี้ แม้ไม่อาจกอบกู้พระชนม์ชีพของฝ่าบาท ดีที่มากน้อยยังประคองได้ระยะหนึ่ง ให้ฝ่าบาททรงมีเวลาจัดการเรื่องภายภาคหน้า กันมิให้ใต้ฟ้าเกิดจลาจลเมื่อโอรสสวรรค์สวรรคตกะทันหัน”

ต้งหมิงสะท้านวูบในใจ มองหลิวเอ๋อร์อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง ก่อนพยักหน้าหนักแน่น “ฮองเฮาทรงเปี่ยมด้วยน้ำพระทัยมากคุณธรรม ต้งหมิงเลื่อมใส”

เขาวางมือลงแผ่วเบา ให้หลิวเอ๋อร์นั่งพิงเก้าอี้ยาวตรงระเบียง ถอยหลังไปหลายก้าว ประสานมือคำนับ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและนบนอบ “ฝ่าบาททรงอยู่ในอันตราย รัชทายาทยังเยาว์วัย ราชสำนักไม่อาจบังเกิดความวุ่นวาย ขอเหนียงเหนียงทรงดูแลจัดการพ่ะย่ะค่ะ”

“ผู้บังคับการต้งหมิง ท่าน... นี่คือ...” หลิวเอ๋อร์มองต้งหมิงอย่างสงสัย

ต้งหมิงประสานมือคำนับ ถอยหลังไปทีละก้าวพลางเอ่ย “กระหม่อมรู้เพียงว่าเหนียงเหนียงทรงเป็นฮองเฮาแห่งต้าซ่ง ส่วนเหนียงเหนียงทรงเคยมีฐานะใดนั้น ต้งหมิงไม่ล่วงรู้ทั้งสิ้นพ่ะย่ะค่ะ”

พูดจบเขาก็ค้อมร่างลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ จากนั้นไม่รอให้หลิวเอ๋อร์เปล่งวาจาก็หมุนตัวจากไป

ต้งหมิงออกจากตำหนักฝูหนิง แหงนหน้ามองท้องฟ้า ถอนหายใจยาว จิตใจสลับซับซ้อนยิ่ง

ก่อนหน้านี้ต้งหมิงมุ่งมั่นตั้งใจพร้อมพลีชีพ ปลงพระชนม์ฮองเฮา ไม่ว่าฮองเฮาจะทรงดีหรือร้าย เป็นจารชนศัตรูหรือไม่ อาศัยเพียงคำว่า ‘ฮองเฮา’ ผู้ล่วงละเมิดย่อมมีโทษถึงตาย

บัดนี้ดูท่าการกระทำเช่นนี้เป็นผลที่ดีที่สุดแล้ว

ฮองเฮาไม่ต้องสิ้นพระชนม์ ตนก็สามารถดำรงอยู่ได้

ต้งหมิงส่ายหน้า ยิ้มขมขื่นในใจ ดูแล้วตนก็เป็นปุถุชนสามัญ ยังคงเกรงกลัวความตาย

เขากำลังจะก้าวลงบันได พลันพบว่าท่ามกลางความมืดมิดตรงหน้ามีสามคนยืนเรียงกัน

ต้งหมิงคาดไม่ถึง รู้สึกปลื้มปีติในใจ กลับแสร้งตีสีหน้าบึ้งตึง กล่าวอย่างไม่พอใจ “ข้ามิใช่สั่งให้พวกเจ้ากลับไปก่อนหรอกหรือ”

ทั้งสามคนต่างมองต้งหมิงพร้อมกัน เอ่ยเป็นเสียงเดียว “จะไปก็ไปด้วยกัน”

ต้งหมิงเงียบงันไปครู่ใหญ่ พยักหน้าแผ่วเบาแล้วยิ้ม “ดี! พวกเราไปพร้อมกัน!” พูดพลางย่างเท้าไปเบื้องหน้า ขณะเดินผ่านทั้งสามคน หลิ่วสุยเฟิงมองเห็นมุมปากเขายกยิ้มก็อดตกตะลึงมิได้ จากนั้นจึงยิ้มตาม

เห็นต้งหมิงเดินไปภายนอกอย่างแท้จริง ไท่สุ้ยกลับถามอย่างอดกลั้นไม่อยู่ “ผู้อาวุโส เรื่องของฮองเฮา...”

ต้งหมิงชะงักฝีเท้า มิได้หันกลับมา เพียงแต่มองไปยังที่ไกลแวบหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงทุ้ม “เป็นข้าเข้าใจเหนียงเหนียงผิดไป ทรงมีคุณธรรมอันดีงาม ทรงรักใคร่ลึกซึ้งกับฝ่าบาท ทรงส่งเสริมซึ่งกันและกัน ทรงเป็นฮองเฮาผู้มีพระปรีชาญาณ”

พูดจบเขาก็สาวเท้ายาวจากไป

ทั้งสามคนยิ้มอย่างจนใจ ได้แต่ก้าวขาติดตาม

 

หลิวเอ๋อร์ไล่สายตาไปยังทิศทางที่ต้งหมิงเดินจากไป สักครู่ใหญ่ถึงได้ลุกขึ้นอย่างเหนื่อยล้า คิดกลับไปในห้องบรรทมเพื่ออยู่เป็นเพื่อนเจินจงฮ่องเต้ แต่ในตอนนี้เองปรากฏเงาร่างของรัชทายาท เขาเดินเชื่องช้าออกมาจากหลังเสาตำหนัก

“ลูกเจิน...” หลิวเอ๋อร์ตกใจ คล้ายวัวสันหลังหวะ ชั่วขณะไม่รู้ว่าจะอธิบายรัชทายาทอย่างไร

จ้าวเจินค่อยๆ ประชิดเข้าไปใกล้ ขอบตารื้นชื้น บางคราวน้ำตาหยาดหยด “ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อครู่ข้าล้วนได้ยินแล้ว...”

หลิวเอ๋อร์กระถดไปหนึ่งก้าวอย่างลนลาน

“ท่านแม่ แม้เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของคนชั่ว แต่ไม่ว่าอย่างไร... ไม่มีอันใดต้องละอายแก่ใจที่เป็นภรรยาเสด็จพ่อ เป็นมารดาของลูก...” จ้าวเจินจ้องมองหลิวเอ๋อร์ด้วยสายตาพร่าเลือน พลันโถมกอดนางไว้แน่น “ท่านแม่”

ถ้อยคำเป็นชุดของจ้าวเจิน ช่างเชือดเฉือนหัวใจหลิวเอ๋อร์ ทั้งเจ็บแปลบทั้งปลาบปลื้มครั้งใหญ่

“ลูกเจิน...” หลิวเอ๋อร์ค่อยๆ ยกมือขึ้น ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนกอดจ้าวเจินไว้แน่น น้ำตารินหลั่งประดุจหยาดพิรุณ

สองแม่ลูกน้ำตาไหลพรากกอดตระกองซึ่งกันและกัน

 

ในห้องลับมืดสลัวแห่งหนึ่ง เต๋อเมี่ยวเสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่งนอนอยู่บนแท่นศิลา เหนือแท่นมีเทียนเล่มหนึ่ง เปลวเพลิงวูบไหวคล้ายจะดับมอดได้ทุกเมื่อ

ในมุมหนึ่งหนูสองตัวกำลังวิ่งพล่านเสาะหาอาหาร กลิ่นเหม็นเน่าลอยคลุ้งในอากาศ ทำให้ผู้คนนึกอยากอาเจียน

บัดนี้ผิวหนังของเต๋อเมี่ยวเน่าเฟะอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้านวลเนียนสวยสดแต่เดิมก็เปื่อยเน่ากระดำกระด่าง

จนถึงบัดนี้เต๋อเมี่ยวถึงกระจ่างว่าพิษพรากวิญญาณร้ายกาจถึงชั้นใด ยาที่ตนตระเตรียมไว้ก่อนหน้าถึงกับไร้ประโยชน์แม้แต่น้อย

นางนอนอยู่บนแท่น หายใจรวยริน

ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเพียงใด หนูตัวหนึ่งลอบประชิดเข้าไปสูดดมมือของเต๋อเมี่ยว เหมือนถูกหนวดยาวของมันสัมผัส มือเน่าเฟะของเต๋อเมี่ยวพลันขยับเขยื้อน

“จี๊ด!” หนูร้องเสียงเบาคราหนึ่ง ตัวโงนเงนไปมาสองครั้งก็ล้มตายลงทันที

เปลือกตาเต๋อเมี่ยวปรือแผ่วเบา ค่อยๆ ลืมสองตาขึ้น แววตามึนงงเลื่อนลอย

“นี่ข้าตายแล้วหรือ” นางมองเพดานห้องอันมืดทะมึน นานสองนานกว่าจะตั้งสติได้ ก่อนลุกขึ้นมานั่งกุมทรวงอกแล้วไอโขลกอย่างรุนแรง

“เจ้าฟื้นแล้ว?”

นางไอโขลกสักพักจนรู้สึกสบายขึ้น มุมผนังอันมืดทึมมีเงาร่างสูงกำยำในชุดคลุมสีดำ ใบหน้าสวมหน้ากากเยื้องย่างออกมา ประหนึ่งวิญญาณประหลาด

เป็นโต๋วหมู่เทียนจุนผู้ลึกลับยากหยั่งถึงปรากฏขึ้นกะทันหัน

เต๋อเมี่ยวตะลึงงัน หยุดไอก่อนหันมองไปทางมุมมืด เห็นเพียงโต๋วหมู่เทียนจุนย่างกรายออกมาจากมุมนั้น

“เทียนจุน?”

โต๋วหมู่เทียนจุนแค่นเสียงเฮอะเย็นชา ถามกึ่งตำหนิ “เป็นผู้ใดให้พวกเจ้าลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้โดยพลการ”

ใบหน้านางทั้งตะลึงทั้งโกรธเคือง “เมิ่งตงกล่าวว่าเป็นท่านกำชับให้ข้าพาเขาเข้าวัง อีกทั้งเขากล่าวเพียงว่าจะลอบสังเกตความเคลื่อนไหวในวัง ไม่ได้บอกว่าจะลอบปลงพระชนม์! หรือว่า... เขาปลอมแปลงคำสั่งของท่าน”

เอ่ยถึงตรงนี้เต๋อเมี่ยวก็คาดไม่ถึงที่พบว่าตนเปล่งเสียงได้แล้ว

“เอ๊ะ? ข้าพูดได้แล้ว!” ความตระหนกระคนยินดีฉายออกมาจากดวงตาของนาง

“เมิ่งตง?” ในน้ำเสียงของโต๋วหมู่เทียนจุนออกจะโกรธเคือง แค่นเสียงอย่างโมโห “เจ้าเศษสวะไม่ได้ความ! เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงต้องใช้เข็มพิรุณกระหน่ำดอกหลี”

เต๋อเมี่ยวประหลาดใจ “เทียนจุนรู้รายละเอียดรวดเร็วถึงเพียงนี้ หรือวันนั้นท่านก็อยู่ในเหตุการณ์”

เทียนจุนแค่นเสียงเย็นชาไม่ตอบคำ

เต๋อเมี่ยวเห็นดังนั้น ก็รู้ดีว่าตนเองพลั้งปาก จึงรีบเอ่ย “เทียนจุน ข้าจำใจจำยอม! ตอนนั้นฮ่องเต้จะทรงลงทัณฑ์ข้า ข้า...”

นางว่าไปพลางทำมือไปพลาง แต่พอยกแขนขึ้นพลันพบว่าผิวหนังของตนเน่าเฟะ

“กรี๊ด!” เต๋อเมี่ยวกรีดร้องเสียงแหลมอย่างหวาดผวา ยกแขนขึ้นลูบคลำใบหน้าของตนเอง

“หน้าของข้า! หน้าของข้า...” ถึงอย่างไรเต๋อเมี่ยวก็เป็นสตรี บัดนี้จู่ๆ พบว่าใบหน้าตนเละ ก็สูญสิ้นสติสัมปชัญญะฉับพลัน กรีดร้องเสียงแหลมไม่หยุด

หลังจากนั้นครู่ใหญ่ นางถึงคว้าจับแขนเสื้อของเทียนจุนไว้อย่างลนลานเพราะทำอันใดไม่ถูก ได้แต่วิงวอน “เทียนจุน รีบมอบยาแก้พิษให้ข้า ใบหน้าของข้า...”

เทียนจุนกระชากแขนเสื้อ สะบัดเต๋อเมี่ยวออก เอ่ยอย่างไร้ความปรานี “ข้าเตือนเจ้าแต่แรกแล้ว พิษนี้ไร้ยารักษา ข้าเองก็ช่วยเจ้าไม่ได้”

เพิ่งสิ้นเสียงเต๋อเมี่ยวก็มีอาการพิษกำเริบ ใต้ผิวหนังคล้ายมีแมลงจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังคืบคลาน ผิวหนังที่แต่เดิมกึ่งเน่าเปื่อยพลันผุดเป็นตุ่มพุพองขนาดเล็กใหญ่แตกต่าง ปูดโปนขึ้นคล้ายฟองอากาศ

บนท่อนแขน ลำคอ และใบหน้า... ไม่มีที่ใดไม่มี

ทันใดนั้นเสียงแตกดังเปาะแว่วมา คล้ายฟองอากาศแตกระเบิด หนองเลือดเขียวเหลืองดีดกระเซ็นกระจาย

เต๋อเมี่ยวกรีดร้องโหยหวน ดึงรั้งปกเสื้อพลางกลิ้งไปมาบนแท่นศิลา พลันตกลงบนพื้นเสียงดังพลั่ก แต่นางคงไม่รู้สึก ยังคงกรีดร้องโหยหวนอย่างน่าอนาถ

“เทียนจุน! ช่วยข้าด้วย! เทียนจุน!” จากนั้นอีกพักใหญ่นางก็หยุดลงอย่างสิ้นเรี่ยวแรง สองตาวิงวอนมองโต๋วหมู่เทียนจุน ประหนึ่งคิดไขว่คว้าความหวังสุดท้าย

โต๋วหมู่เทียนจุนเห็นสภาพกลับแค่นเสียงเยาะเย็นชา “พิษ ‘พรากวิญญาณ’ ไร้ยาแก้!”

เต๋อเมี่ยวร้องโหยหวนอย่างหมดหวัง เบือนสายตาไป ลมหายใจค่อยๆ อ่อนแรง ร่างกายก็ไม่ใคร่เคลื่อนไหว เพียงกระตุกเป็นครั้งคราว เด่นชัดว่าชีวิตไม่ยืนนานแล้ว

โต๋วหมู่เทียนจุนมองทุกประการนี้ด้วยสายตาเมินเฉย เห็นเต๋อเมี่ยวเริ่มไม่ขยับแล้วก็หมุนตัวคิดจากไป

แต่ในตอนนี้เอง เบื้องหลังร่างของเขาพลันแว่วเสียงลมหายใจหนาหนัก

โต๋วหมู่เทียนจุนชะงักงัน หมุนตัวกลับมาช้าๆ เห็นเพียงร่างของเต๋อเมี่ยวแปรเปลี่ยนรุนแรง ใต้รอยพุพองที่ปริแตกบนผิวหนัง เริ่มมีวัตถุรูปร่างคล้ายแมลงจำนวนนับไม่ถ้วนคืบคลานไปมา เสมือนเจาะรังไหมออกมากระนั้น

โต๋วหมู่เทียนจุนมองสภาพความเปลี่ยนแปลงของนางอย่างตกตะลึง สองตาสาดประกายวาบ “เจ้ายังถูกกู่พิษด้วยรึ”

บัดนี้เวลานี้เต๋อเมี่ยวมิได้ยินว่าเขาเอ่ยอันใดทั้งสิ้น เอาแต่กุมศีรษะ กลิ้งตัวไปมาอย่างเจ็บปวด ดิ้นรนไม่หยุด

“ปวดเหลือเกิน! เจ็บยิ่งนัก! เทียนจุนช่วยข้าด้วย!”

โต๋วหมู่เทียนจุนถามเสียงเด็ดขาด “เจ้าถูกกู่พิษด้วยหรือ”

“เป็นฮองเฮาทำร้ายข้า! เดิมทีข้าคิดวิงวอนร้องขอต่อฮองเฮา กลับถูกนางใช้กู่พิษทำให้เปล่งวาจาไม่ออก” เต๋อเมี่ยวร้องลั่น เจ็บปวดจนสั่นไปทั้งร่าง

โต๋วหมู่เทียนจุนขมวดคิ้วขบคิด พลันกระจ่างในบัดดล “กู่สกัดลม?”

ที่เรียกว่า ‘กู่สกัดลม’ มิใช่สกัดลมที่โชยพัดตามธรรมชาติ แต่ใช้กับส่วนปอดและหลอดลมของมนุษย์ ทันทีที่ถูกกระตุ้น มนุษย์จะถูกสกัดลมหายใจชั่วระยะเวลาสั้นๆ ลำคอไม่อาจเปล่งเสียงและไม่อาจหายใจ

เมื่อไม่อาจหายใจก็ไม่มีอากาศ เมื่อไร้อากาศก็ไร้ลม

กู่นี้จึงได้ชื่อว่า ‘สกัดลม’

โต๋วหมู่เทียนจุนมองเต๋อเมี่ยว เห็นเพียงตุ่มหนองพุพองปูดขึ้นยุบลงบนผิวหนังของนาง วัตถุคล้ายแมลงจำนวนนับไม่ถ้วนคลานยั้วเยี้ยไปมา ที่น่าประหลาดก็คือผ่านไปพักหนึ่ง พวกมันพลันสงบนิ่ง ประหนึ่งทุกสิ่งอย่างก่อนหน้าเป็นเพียงภาพมายากระนั้น

แม้เขาไม่ใคร่ชำนาญศาสตร์กู่ แต่ก็พอคาดเดาได้ นี่ย่อมเป็นแมลงกู่ทำปฏิกิริยากับพิษพรากวิญญาณ ดังนั้นจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงเช่นนี้

เขามองเต๋อเมี่ยวอย่างสงสัยใคร่รู้ ปล่อยให้นางกรีดร้องโหยหวนไม่หยุด ทั้งไม่ช่วยเหลือและไม่จากไป เหมือนชมดูของเล่นน่าสนใจ ในดวงตาเปี่ยมด้วยแววครุ่นคิด

หลังจากผ่านไปสักครู่ใหญ่ เสียงกรีดร้องน่าเวทนาของเต๋อเมี่ยวพลันชะงักกึก ประดุจสิ้นลมไปแล้วกระนั้น ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย กระทั่งลมหายใจยังหยุดลง

แววตาแหลมคมของโต๋วหมู่เทียนจุนสว่างวาบ เพ่งมองอย่างตั้งอกตั้งใจ ทั้งไม่เร่งรีบจากไป

“ฟู่!”

ในตอนนี้เองเต๋อเมี่ยวพลันระบายลมหายใจยาวออกมา เด้งร่างตรงแน่วขึ้นมายืนคล้ายผีดิบ

นางในตอนนี้ช่างน่าสะพรึงกลัว ขรุขระไปทั้งเนื้อทั้งตัว มิใช่หนองเลือดก็เป็นตุ่มพุพอง ดูแล้วเหมือนซากศพที่เน่าเปื่อยมานานแล้ว

แต่ที่น่าแปลกก็คือลักษณะของนางในตอนนี้กลับแข็งแกร่งเป็นพิเศษ เสื้อผ้ารุ่งริ่งทั้งร่างพลิ้วไหวเองโดยไร้ลม ผมเผ้ารุ่ยร่ายกระเซิงปลิวสะบัดเสียงดังสวบๆ ทั้งตัวคนมองแล้วคลับคล้ายเปี่ยมพละกำลัง

ในดวงตาโต๋วหมู่เทียนจุนฉายแววตื่นเต้นระคนยินดี พลางพึมพำ “ศาสตร์กู่และศาสตร์พิษถึงกับผสมผสานกันได้เช่นนี้หรือ”

ขบคิดครู่หนึ่งเขาก็ค่อยๆ กระจ่างฉับพลัน พยักหน้ากล่าว “จริงสิ เล่ากันว่าแมลงกู่กินพิษเป็นอาหาร ดูท่าพิษพรากวิญญาณถูกปากพวกมันพอดี อือ และอาจเป็นไปได้ว่าทั้งสองชนิดล้วนมีพิษรุนแรง ใช้พิษโจมตีพิษ ถึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แปลกพิสดารเช่นนี้ ไม่เลว อือ... ไม่เลวอย่างแท้จริง!”

บัดนี้สองตาของเต๋อเมี่ยวเบิกโพลง ดวงตาขาวดำตัดสลับกันชัดเจนแต่เดิมเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ รูม่านตาเหลืองคล้ำแฝงประกายเขียวมรกต คล้ายดวงตาของแมลงหรือสัตว์ป่า ทั้งแปลกประหลาดทั้งน่าสะอิดสะเอียน ทำให้ผู้พบเห็นขนลุกชันทั้งที่ไม่ได้เหน็บหนาว

แต่สองตาโต๋วหมู่เทียนจุนที่มองนางไม่เพียงไร้แววหวาดกลัว กลับคึกคักกระปรี้กระเปร่า ถึงขั้นอยากศึกษาวิเคราะห์อย่างอดใจรอไม่ไหว

เคราะห์ดีที่สภาพจิตใจเขาไม่สามัญ ท่าร่างเพิ่งเคลื่อนไหวก็รีบชะงักกึก มองเต๋อเมี่ยวเงียบๆ คิดอยากชมดูว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอื่นใดอีกหรือไม่

“ปราณแท้ดั้งเดิมภายใน?” เต๋อเมี่ยวในตอนนี้ก็ตั้งสติได้ ร่างกายไม่เพียงไม่เจ็บปวดอีกต่อไป กลับเปี่ยมท้นด้วยพละกำลัง ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานเมื่อก่อนหน้าคล้ายถูกนางลอกคราบทิ้งอย่างไรอย่างนั้น ทั้งเนื้อทั้งตัวอบอุ่นสบายถึงที่สุด

นางยกสองมือขึ้น ค่อยๆ กำมือ มองอย่างไม่อยากเชื่อ พึมพำกับตนเอง “ข้าเคยถูกอาจารย์ลุงทำลายวรยุทธ์ นับแต่นั้นไม่อาจฝึกฝนกำลังภายใน ตอนนี้ไฉนเป็นเช่นนี้”

ฝ่ามือของนางพองตัวหดตัวคล้ายถูกกำลังภายในปลุกปั่นสั่นสะเทือน ผิวหนังขรุขระแม้ไม่น่าดูชม แต่กลับมีเส้นเอ็นปูดโปนสั่นกระเพื่อมเป็นระยะ เปี่ยมล้นด้วยพละกำลัง

ตอนนี้เองเต๋อเมี่ยวซัดฝ่ามือออกไปกลางอากาศว่างเปล่าตรงหน้า ห้องศิลาสะเทือนเลือนลั่นวูบไหวครู่หนึ่ง เสียงดังแครกแว่วมาจากผนังศิลาฝั่งตรงข้าม จากนั้นก็ปรากฏรอยปริแตกนับไม่ถ้วน

โต๋วหมู่เทียนจุนมองทุกสิ่งอย่างตกตะลึง ทั้งตื่นเต้นทั้งยินดี

บัดนี้เต๋อเมี่ยวรู้สึกถึงพลังสายหนึ่งเติมเต็มไปทั่วร่าง ลูบสัมผัสร่างอย่างตื่นตระหนกประหลาดใจ ผิวหนังที่โผล่ให้เห็น นอกจากแผลเน่าเฟะเมื่อครู่ ยังผุดตุ่มพุพองเล็กๆ ขึ้นมากมาย ผิวหนังทั้งดำคล้ำทั้งเขียวหม่น คล้ายคางคกตัวหนึ่ง

นางยินดีเกินคาดหวัง ทว่าน้ำเสียงกลับกลายเป็นแหบแห้งบาดโสต บอกเสียงดังลั่น “ข้าฟื้นคืนวรยุทธ์แล้ว! ฮ่าๆๆ ข้าฟื้นคืนวรยุทธ์แล้ว! ข้าไม่เพียงฟื้นคืนวรยุทธ์ ยังแกร่งกล้าขึ้นหลายเท่า”

เอ่ยถึงตรงนี้นางก็พลันนึกถึงใบหน้าตนเอง จึงรีบยกมือขึ้นลูบคลำ

“ใบหน้าข้า! หน้าตาของข้า! สวรรค์!” เต๋อเมี่ยวเปล่งเสียงโศกสลดอย่างโมโห ความตื่นเต้นยินดีก่อนหน้ามลายหายไปสิ้น

สองตาโต๋วหมู่เทียนจุนสาดประกายวาววาม พลันลงมือ “รับสองกระบวนท่าของข้าดู!”

พูดพลางยกแขนขึ้นซัดฝ่ามือใส่ทรวงอกเต๋อเมี่ยว

เต๋อเมี่ยวเดิมทีกำลังเศร้าเสียใจกับการสูญเสียความงามบนใบหน้า โมโหเคียดแค้นในใจถึงที่สุด บัดนี้เห็นหนึ่งฝ่ามือของอีกฝ่ายซัดมา แววตาพลันดุดัน ไม่พูดพร่ำทำเพลง ยกแขนขึ้นโต้กลับไปหนึ่งฝ่ามือ

เพียงแต่นางมิได้ใช้วรยุทธ์มานานปี แม้บัดนี้ปราณแท้ฟื้นคืน ถึงขั้นแกร่งกล้ากว่าตอนนั้นมากนัก ทว่าร่างกายกลับสูญเสียความคล่องแคล่วปราดเปรียว ประสบการณ์การประมือห่างไกลจากเมื่อก่อนลิบลับ เพิ่งยกแขนขึ้นก็ถูกโต๋วหมู่เทียนจุนปัดข้อมือแผ่วเบา ถูกอีกฝ่ามือหนึ่งของเขาซัดใส่หัวไหล่

แต่เต๋อเมี่ยวในตอนนี้มีพละกำลังไร้ขอบเขต ต่อให้ถูกซัดเข้าอย่างจังก็เพียงรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย ประดุจอานุภาพมหาศาลของฝ่ามือโต๋วหมู่เทียนจุนสำหรับนางแล้วไม่น่าเกรงขามแม้แต่น้อย

แม้นางไม่เจ็บปวด แต่ยังคงถูกพลังฝ่ามือซัดสะเทือน ถอยหลังไปสองก้าว

เต๋อเมี่ยวตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ก้มหน้ามองตนเองที่ไม่เป็นอันใด ขณะกำลังแปลกใจ ดวงตาเหลืองเขียวก็สาดประกายชั่วร้ายดุดัน ไม่พูดพล่าม พุ่งโถมเข้าใส่โต๋วหมู่เทียนจุนอีกครั้ง

หลังหนึ่งฝ่ามือซัดจู่โจมเต๋อเมี่ยวแล้ว ฝ่ามือของโต๋วหมู่เทียนจุนก็กลายเป็นสีเขียวฉับพลัน อีกทั้งยังลุกลามไปถึงท่อนแขน ที่ตามติดมาคือความรู้สึกราวกับเป็นเหน็บชา

ถูกพิษแล้ว!

โต๋วหมู่เทียนจุนตระหนกตกใจ รีบใช้กำลังภายในสะกดไว้ เค้นสีเขียวออกไปทางปลายนิ้ว

ขณะที่เขากำลังเค้นพิษ เต๋อเมี่ยวก็กระโจนเข้าใส่อีกครั้ง เขาทำหน้านิ่วคิ้วขมวด พลันชักกระบี่สั้นแหลมคมออกมาจากปลายแขนเสื้อ แทงใส่ทรวงอกเต๋อเมี่ยวอย่างไม่ไว้น้ำใจ

ฉึก!

เสียงปริแตกแหวกอากาศ คล้ายกรีดแทงแพรพรรณ

เต๋อเมี่ยวตอบสนองไม่ทัน มองกระบี่สั้นแทงใส่ร่างตนเอง ดวงตาฉายแววหวาดผวา

แต่ภาพฉากหลังจากนั้นกลับทำให้ทั้งคู่ตะลึงงัน

กระบี่ปักร่างเต๋อเมี่ยว เสียงดังชิ้งเป็นประกายไฟ แต่ทำร้ายนางไม่ได้เลยแม้เพียงนิด

สองคนชะงักงัน แต่โต๋วหมู่เทียนจุนเพียงอึ้งงันไปเล็กน้อย ก่อนตั้งสติได้ทันที เปลี่ยนเป็นผลักกระแทก คืบหน้าหนึ่งก้าวพร้อมกัน ใต้ฝ่าเท้าราวกับตะขอเกี่ยวข้อเท้าเต๋อเมี่ยวไว้

เต๋อเมี่ยวถูกชนกระแทกเสียงดังพลั่กก็ลอยหวือไป

นางเองเหมือนไม่บาดเจ็บ ลุกพรวดพราดขึ้นมาจากพื้น เตรียมพุ่งโถมใส่โต๋วหมู่เทียนจุน แต่อีกฝ่ายเก็บกระบวนท่า มองนางพลางหัวเราะร่าอย่างเบิกบาน

“ฮ่าๆๆ ประเสริฐนัก! เจ้าโชคดีในโชคร้าย! บัดนี้เจ้าไม่เพียงฟันแทงไม่เข้า พละกำลังไร้ขอบเขต ยังเปี่ยมพิษทั้งร่าง ประเสริฐ! ประเสริฐยิ่งนัก!”

เต๋อเมี่ยวอึ้งงัน มองสองมือของตนอย่างไม่อยากเชื่อ แล้วลูบไล้ใบหน้า สีหน้าสลับซับซ้อน คล้ายยินดีคล้ายเสียใจ

“ใบหน้าของข้า...”

โต๋วหมู่เทียนจุนตัดบทอย่างดูแคลน “ผิวหนังอัปลักษณ์จะเป็นอันใดเล่า ความสามารถของเจ้าในตอนนี้มีประโยชน์มากกว่าเมื่อก่อน”

เต๋อเมี่ยวเงยหน้า เอ่ยอย่างไม่ยอมจำนวน “แต่ว่าข้า...”

“พอแล้ว!” เขาตวาดตัดบทนางอย่างโมโห มองนางอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง “ปัญหาเละเทะที่เจ้าและเมิ่งตงทิ้งไว้ ข้ายังต้องช่วยเก็บกวาดให้พวกเจ้า ไม่มีเวลาฟังเจ้าร่ำไห้ฟูมฟาย” พูดพลางสะบัดแขนเสื้อ กระบี่สั้นในมือซ่อนซุก หมุนตัวไปทางประตูห้องศิลา ไม่แม้แต่จะหันกลับไป “ตอนนี้ข่าวคราวคับขัน เจ้าอยู่ที่นี่ไปก่อน หนึ่งวันสามมื้อ ข้าจะให้คนส่งมา เมื่อถึงเวลาข้าจะให้เจ้าออกไป”

มุมปากเต๋อเมี่ยวกระตุก คิดเอ่ยวาจา แต่กลับชะงักงัน หลังจากโต๋วหมู่เทียนจุนจากไปแล้ว ถึงได้ถอยกรูดสองก้าวอย่างเศร้าโศกและเคียดแค้น ล้มลงนั่งบนแท่นศิลา ตัวสั่นมองสองมือเน่าเฟะและรูปร่างพิกลของตนเอง อยากลูบสัมผัสก็ไม่กล้า ในที่สุดก็กระเด้งตัวขึ้น น้ำตาไหลพรากพร้อมกับคำรามก้อง “ล้วนเป็นความผิดของฮ่องเต้! ล้วนเป็นความผิดของหน่วยดาวพิฆาต! เป็นพวกเจ้าทำลายข้า...”

นางฟุบหมอบร้องไห้โฮ น้ำตาสองสายไหลริน ผุดควันขาวราวกับน้ำกรด กำสองมือ ขดร่างแน่นเหมือนสัตว์ป่าบาดเจ็บ คำรามเสียงแหบแห้งสุดกำลัง “ล้วนเป็นพวกเจ้าทำลายข้า! ล้วนเพราะพวกเจ้า! ข้าจะแก้แค้น! แก้แค้น! แก้แค้น...”

 

ยามดวงตะวันตรงศีรษะร้อนแรงแผดเผา แสงแดดสาดส่องจนผู้คนแทบลืมตาไม่ขึ้น

ภายในพระราชวัง ขุนนางเจ้าพนักงานชั้นผู้น้อยต่างจับกลุ่มซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์หน้าประตูที่ทำการ

“คาดไม่ถึงว่าเต๋อเมี่ยวโหดเหี้ยมอำมหิตถึงเพียงนี้!”

“นั่นสิ ยังแอบอ้างตัวเองเป็นปรมาจารย์เซียน นี่เป็นนางปีศาจชัดๆ”

ติงเว่ยเดินผ่านมาอย่างฉงนสงสัย ไม่ว่าใครได้เห็นติงเว่ยต่างก็หลบเลี่ยงแทบไม่ทัน รีบเดินอ้อมชี้มือซุบซิบเสียงเบา

ติงเว่ยเห็นตำตา แค่นเสียงอย่างไม่ให้ราคา “เพ้ย! ล้วนเป็นพวกไม่แน่จริง ช่างเป็นพยัคฆ์ตกที่ราบถูกสุนัขรังแกเสียจริง เฮอะ!”

เขาเดินไปบนทางเสด็จพระราชดำเนิน ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของขันทีที่เดินผ่านไปมาเป็นระยะ

“นี่! เจ้ารู้หรือไม่ว่าวันนี้สำนักราชเลขาออกประกาศจับแล้ว ตอนนี้กำลังติดประกาศทั้งเมือง จับกุมนักโทษอาญาเต๋อเมี่ยว”

“โธ่! ตอนนั้นไฉนให้นางหนีไปได้ หน่วยดาวพิฆาตช่างใช้ไม่ได้”

“เจ้าอย่าพูดพล่อยๆ ไป ตอนแรกหน่วยดาวพิฆาตจับกุมเต๋อเมี่ยวนางปีศาจนั่นขึ้นรถนักโทษกลับมา หากมิใช่ว่าติงเซี่ยงกงปกป้อง...”

“ฮึ! ติงเซี่ยงกง คราวนี้ติงเซี่ยงกงได้เคราะห์ร้ายขนานใหญ่...”

ขันทีชั้นผู้น้อยเอ่ยยังไม่ทันขาดคำ สหายพลันเห็นเงาหลังของติงเว่ย จึงรีบกระทุ้งศอกใส่ พยักพเยิดเชิดคาง เป็นนัยให้เขาอย่าได้กล่าวต่อ

“นี่ๆๆ อย่าเอ่ย อย่าเอ่ย”

ขันทีที่เอ่ยคำมองเห็นติงเว่ยก็รีบหุบปากทันที ก้มหน้าหลุบตา ก้าวฝีเท้าเร็วเลี่ยงหลบไปแล้ว

ติงเว่ยคิ้วขมวดเขม้นมอง แค่นเสียงเฮอะเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ แต่เพิ่งอ้าปากก็เหมือนคิดบางอย่างได้ จึงสูดหายใจเข้าลึกๆ อดกลั้นไว้ ไม่พูดจา

 

มาถึงหน้าตำหนักฝูหนิง เขาไม่ทันปาดเช็ดเหงื่อ ไม่พูดพร่ำทำเพลง คุกเข่าเบื้องล่างบันไดศิลา โขกศีรษะกับพื้นพลางร้องลั่น “กระหม่อมติงเว่ย ด้วยความซื่อสัตย์อันต่ำต้อย ขอคุกเข่าหน้าพระตำหนักเพื่อรับโทษทัณฑ์”

เหลยอวิ่นกงที่เฝ้าหน้าตำหนักฝูหนิงเปิดประตูออกมา มองเห็นติงเว่ยก็รีบเข้าไปประคองเขา

“ติงเซี่ยงกง ติงเซี่ยงกง ท่านกระทำอันใดกัน! ฝ่าบาททรงเหนื่อยล้าแล้ว กำลังบรรทม ท่านรีบลุกขึ้นเถอะ”

“กระหม่อมมีความผิด!” ติงเว่ยส่ายหน้าไม่ยอมลุกขึ้น เศร้าสลดเต็มหน้า ปล่อยให้เหลยอวิ่นกงดึงลากแขนตามอำเภอใจ เอ่ยเสียงดัง “เหลยกงกง ท่านไม่รู้อันใด! ข้าติงเว่ยหากไม่มากราบทูลต่อหน้าพระพักตร์ จะถูกน้ำลายท่วมตายแล้ว!”

ลูกไม้เล็กน้อยเหล่านี้ของเขา เหลยอวิ่นกงกระจ่างแจ้งดี แต่ไม่เพียงไม่โกรธกลับอุทานอย่างแตกตื่นผสมโรง “ถึงกับมีเรื่องนี้ ผู้ใดกล้าไม่เคารพต่อติงเซี่ยงกงเช่นนี้”

ติงเว่ยยังคงร้องลั่นไปทางในตำหนัก “เหลยกงกง ท่านไม่รู้อันใด ตอนนี้ซุบซิบนินทาไปทั่ว ว่าข้าติงเว่ยเป็นพวกเดียวกับนางปีศาจเต๋อเมี่ยว ยังสร้างข่าวลือว่าข้ากินสินบาทคาดสินบนเรื่องก่อสร้างตำหนักอวี้ชิง พุทโธ่เอ๊ย ตอนนี้ข้าเหมือนแมงกุดจี่ขโมยอุจจาระ เดินไปทางไหนเหม็นหึ่งไปทางนั้น ช่างมีร้อยปากยากโต้แย้ง!”

เหลยอวิ่นกงลอบปรายตาไปมองด้านหลังแวบหนึ่ง จากนั้นก็สอบถามเสียงดัง “ติงเซี่ยงกงมิได้เกี่ยวข้องกับนางปีศาจเต๋อเมี่ยวจริงหรือ ตอนนั้นเป็นท่านปกป้องเต๋อเมี่ยวนี่...”

“ข้าถูกนางปีศาจมอมเมา!” ติงเว่ยร่ำร้องไม่ขาดปาก เจ็บปวดชิงชังถึงขีดสุด

“โบราณว่าในท้องมหาเสนาบดีเทียบเรือได้ ติงเซี่ยงกงไยต้องคิดเล็กคิดน้อยกับคนนินทาลับหลังเล่า ปากงอกบนร่างผู้อื่น ต่อให้ท่านกลัดกลุ้มก็ได้แต่ทำใจให้กว้าง” เหลยอวิ่นกงประคองมือของติงเว่ยพลางเอ่ยปลอบเสียงดัง

ติงเว่ยฟ้องด้วยน้ำเสียงประหนึ่งจะร่ำไห้ “โธ่เอ๊ย! เหลยกงกง สามคนกลายเป็นเสือ วาจาคนน่ายำเกรง ข้าเกรงว่าฝ่าบาทจะทรงถูกคนชั่วยุยง ทรงหลงเชื่อข่าวลือเข้าน่ะสิ!”

“วาจานี้ของติงเซี่ยงกงข้าไม่อยากรับฟังแล้ว ฝ่าบาทของข้าทรงพระปรีชาปราดเปรื่อง เทียบเท่ากษัตริย์เหยาซุ่น ผู้ใดจะหลอกลวงฝ่าบาทได้” เหลยอวิ่นกงมีสีหน้าไม่ปลื้มนัก สะบัดแขนของติงเว่ย ทำท่าจะจากไป

ติงเว่ยมีสีหน้าเลิ่กลั่ก รีบดึงรั้งแขนเขาไว้ อีกมือก็ทำท่าตบปาก “ดูปากพล่อยของข้าสิ เพราะถูกบีบคั้นจนร้อนใจ”

พูดจบเขาก็หันไปทางประตูที่ปิดสนิทของตำหนักฉือหนิง ถ้อยวจีจริงใจรันทด พูดไปน้ำตาของผู้เฒ่าก็หลั่งรินเป็นสาย “กระหม่อมผู้แซ่ติงรับตำแหน่งอัครเสนาบดีเกือบเจ็ดปี นับได้ว่าซื่อสัตย์ขยันขันแข็ง ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อแผ่นดินต้าซ่ง ไร้ความเห็นแก่ตัวแม้แต่น้อย กระหม่อมหาได้มาอวดอ้างคุณงามความชอบ กระหม่อมขอเพียงฝ่าบาททรงมีพระวินิจฉัยให้กระจ่าง จิตใจแห่งความจงรักภักดีของกระหม่อมไม่ละอายต่อฟ้าดินพ่ะย่ะค่ะ!”

เหลยอวิ่นกงรีบไปประคองติงเว่ยอีกครั้ง ตอนนี้ขันทีชั้นผู้น้อยผู้หนึ่งวิ่งออกมาจากตำหนักฝูหนิง หลังกระซิบข้างหูเหลยอวิ่นกงแล้วก็ยืนอย่างนบนอบข้างๆ เขา

เหลยอวิ่นกงได้ฟังก็อึ้งงัน สีหน้าเคารพอ่อนโยนเป็นกันเองกลายเป็นเมินเฉยเย็นชา “ติงเซี่ยงกง ฝ่าบาทตื่นบรรทมแล้ว”

ติงเว่ยได้ยินก็ยินดี รีบลุกขึ้นสอบถาม “ฝ่าบาทตื่นบรรทมแล้ว? ตรัสอันใดหรือไม่”

เหลยอวิ่นกงเอ่ยเสียงราบเรียบ “พระวรกายอ่อนล้า ตอนนี้ไม่ทรงประสงค์จะพบท่าน รับสั่งให้ติงเซี่ยงกงปิดประตูสำนึกในความผิด รอการตัดสิน”

“นี่...” ติงเว่ยตกใจ

เหลยอวิ่นกงทอดถอนใจ เอ่ยอย่างจำใจยิ่ง “เฮ้อ ติงเซี่ยงกง ท่านกลับไปก่อนเถอะ”

ติงเว่ยยืนนิ่งงันอยู่กับที่ สีหน้าบัดเดี๋ยวเขียวบัดเดี๋ยวขาว หลังจากนั้นอีกครู่ใหญ่ถึงได้หมุนตัวเดินจากไปด้านนอก เพียงลากฝีเท้ากะเผลกก็ดูแก่ไปอีกราวสิบปี

 

ภายในเรือนหลังแห่งตำหนักฝูหนิง เจินจงฮ่องเต้ทรงเอนพระวรกายอยู่บนแท่นบรรทม หลังพิงเบาะรองอ่อนนุ่ม สีพระพักตร์ขาวซีดอ่อนล้า

เสิ่นไฉเหรินผู้ทรงท่วงท่าอรชรเพริศแพร้วคุกเข่าอยู่ข้างแท่นบรรทม สะอื้นแผ่วเบา ใช้ผ้าเช็ดหน้าไหมปิดบังใบหน้า

หลิวเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างถอนใจแผ่วเบา เดินขึ้นไปเบื้องหน้า ค่อยๆ ดึงเสิ่นไฉเหรินขึ้นแล้วกล่าว “ล้วนเป็นพี่สาวไม่ดี ทำให้เจ้าต้องกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรม พี่สาวขออภัยเจ้าด้วย”

เจินจงฮ่องเต้ทรงหันข้าง ตรัสปลอบเสิ่นไฉเหริน “ไม่เกี่ยวกับฮองเฮา เป็นเราที่หลงเชื่อสิ่งที่เต๋อเมี่ยวรายงาน ทำร้ายเจ้าจนไม่ได้รับความเป็นธรรมแล้ว”

ฮ่องเต้ทรงไอสองครั้ง “ด้วยความโมโห สมองเลอะเลือน เราเกือบสังหารเจ้า ดีที่ฮองเฮาห้ามปราม มิเช่นนั้นวันนี้เราคงสำนึกผิดแทบไม่ทันแล้ว”

เสิ่นไฉเหรินได้ฟังก็รีบถวายบังคมหลิวเอ๋อร์อย่างแช่มช้อย “หม่อมฉันขอบพระทัยฮองเฮาเพคะ”

หลิวเอ๋อร์ตบหลังมือนางแผ่วเบา พลางเอ่ยปลอบขวัญ “ล้วนเป็นพี่น้องครอบครัวเดียวกัน เรียกท่านพี่ก็พอแล้ว อย่าได้เห็นเป็นคนอื่นไกลเลย”

“ท่านพี่...” เสิ่นไฉเหรินน้ำตาริน ใบหน้าฉายแววปลาบปลื้มตื้นตัน ในใจก็ปลอดโปร่งโล่งอก

เห็นสภาพของฝ่าบาทในตอนนี้ เกรงเพียงพระชนม์ชีพไม่ยืนนานแล้ว บัดนี้ในพระราชวังผู้ใดไม่อกสั่นขวัญกระเจิงบ้าง ต่อให้เสิ่นไฉเหรินไร้เดียงสาเรียบง่ายเพียงใด แต่ถึงอย่างไรก็มิใช่คนเขลา ถึงเวลานี้ก็ยากหลีกเลี่ยงคิดหาทางรักษาตัวรอด

นับแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นมาถึงราชวงศ์ถัง จงหยวนก็ไร้พิธีกรรมฝังทั้งเป็นพร้อมผู้ตาย แต่ฝ่ายในน่าสะพรึงกลัว หลังฮ่องเต้สวรรคต ฮองเฮามักทรงกวาดล้างนางสนมซึ่งเป็นที่โปรดปราน และบัดนี้ภายในพระราชวัง นอกจากฮองเฮาแล้ว มีเพียงเสิ่นไฉเหรินซึ่งเป็นที่โปรดปรานที่สุด

เรียกได้ว่าวันนี้นางเข้าเฝ้าฮ่องเต้ อย่างน้อยก็มีความคิดจิตใจหกส่วนวางไว้ที่ฮองเฮา บัดนี้ได้รับสัญญาณเป็นนัยๆ ย่อมโล่งใจไปเปลาะหนึ่งโดยปริยาย

ความคิดจิตใจของเสิ่นไฉเหริน หลิวเอ๋อร์ย่อมรู้แน่แก่ใจ ทว่านางในตอนนี้หวังร่วมเป็นร่วมตายพร้อมเจินจงฮ่องเต้ ย่อมมิมีใจจะทำให้เสิ่นไฉเหรินลำบาก

“เฮ้อ! แก่แล้วชราแล้ว เลอะเลือนโดยแท้จริง การกระทำเลอะเลือนก่อนหน้า วันนี้คิดแล้วคล้ายภาพฝันคำรบหนึ่ง!” สำหรับท่าทีอันคลุมเครือของสตรีทั้งสอง เจินจงฮ่องเต้มิได้ทรงสังเกตเห็นแม้แต่น้อย หรือกล่าวได้ว่าพระองค์ในบัดนี้ไร้แก่พระทัยจะพิเคราะห์พิจารณาวาจาของผู้อื่น

ต่างจากเจินจงฮ่องเต้ จิตใจหลิวเอ๋อร์ละเอียดรอบคอบกว่ามากนัก ในเมื่อมอบน้ำใจให้แล้ว มิสู้มอบให้ถึงที่สุด ประการแรกทำให้รู้สึกมั่นคงในใจ ประการต่อมาภายภาคหน้าหากตนและฝ่าบาทจากไปแล้ว ภายในพระราชวังจะได้มีผู้ดูแลรัชทายาท

คิดถึงตรงนี้นางก็ทอดมองเสิ่นไฉเหรินผู้ยังคงงดงามเฉิดฉัน แม้กำลังสะอึกสะอื้นด้วยความรันทด ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนหันไปกราบทูลเจินจงฮ่องเต้เสียงแผ่วเบา “ฝ่าบาท เสิ่นไฉเหรินแต่ไรมายึดมั่นในประเพณี มีความประพฤติเรียบร้อย นอบน้อมสมกุลสตรี บัดนี้ได้รับความไม่เป็นธรรมครั้งใหญ่ ตามความเห็นของหม่อมฉัน ฝ่าบาทสมควรยกย่องเลื่อนขั้นให้เพคะ”

เจินจงฮ่องเต้ทอดพระเนตรหลิวเอ๋อร์ พยักพระพักตร์อย่างอ่อนแรง ทรงพระสรวลก่อนตรัส “เจ้าเป็นผู้นำหกตำหนักใน เจ้าตัดสินใจก็แล้วกัน”

เสิ่นไฉเหรินรีบปฏิเสธ “เหนียงเหนียงทรงเชิดชูเอ็นดู ผู้แซ่เสิ่นเข้าวังไม่นานไม่กล้าหวังสูงเพคะ”

หลิวเอ๋อร์ประคองนางขึ้นมาอย่างไม่ช้าไม่เร็ว เอ่ยเสียงเบา “เจ้าอย่าได้ลนลาน ตามความเห็นข้า ตำแหน่งกุ้ยเฟย... เจ้ารับตำแหน่งได้แน่นอน”

เจินจงฮ่องเต้แย้มพระสรวลแล้วตรัสเสียงเรียบ “ดำเนินการตามที่ฮองเฮาบอกเถิด พรุ่งนี้แต่งตั้ง”

เสิ่นไฉเหรินรีบคุกเข่า “หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาทและเหนียงเหนียงในพระมหากรุณาเพคะ”

หลิวเอ๋อร์สบกับพระเนตรของเจินจงฮ่องเต้แวบหนึ่ง ต่างเผยรอยยิ้มบาง

 

ภายในร้านของเมิ่งตง ไคหยางในชุดขาวทั้งร่างลูบคลำโคไม้ม้าจร คล้ายครุ่นคิดบางประการ

เหยากวงย่องเข้ามาด้วยฝีเท้าแผ่วเบา มองไคหยางซึ่งมวยผมสวมชุดขาว ในดวงตาฉายแววเห็นอกเห็นใจ

ไคหยางค่อยๆ เงยหน้ามองเหยากวงแล้วยิ้มมุมปาก ไม่เร่งร้อนเอ่ยวาจา

เหยากวงลังเลครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงเบา “พี่ไคหยาง ท่านคิดถึงพี่เมิ่งตงอีกแล้วหรือ”

ไคหยางยิ้มทว่าไม่ตอบ เรียบง่ายสง่างามประดุจกล้วยไม้ “เจ้ามาได้อย่างไร”

“ระยะนี้ท่านกลัดกลุ้มไม่สบายใจ พวกเราเป็นห่วงท่านมาก” เหยากวงเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว ดึงมือของไคหยางไปกุมไว้ขณะมองอย่างเป็นห่วง

“ข้าไม่เป็นไร” ไคหยางส่ายหน้า ค่อยๆ ดึงแขนออก เดินไปยังข้างโต๊ะ หยิบภาพวาดม้วนหนึ่ง ค่อยๆ คลี่เปิดออก เผยให้เห็นภาพเส้นสายเป็นระเบียบทว่าสลับซับซ้อน เป็นภาพร่างพลุไฟที่นางกับเมิ่งตงร่วมกันออกแบบ

มองอยู่ครู่หนึ่ง ไคหยางก็ม้วนเก็บภาพร่างอย่างระมัดระวัง คลี่ม้วนภาพอีกม้วนออกมาลูบสัมผัส บนกระดาษเป็นภาพแบบของหุ่นแมงมุม

เหยากวงประชิดเข้าไปใกล้ มองอย่างฉงนสนใจแวบหนึ่งก่อนเอ่ยถาม “นี่คืออันใด”

“นี่คือ... ภาพร่างหุ่นแมงมุมที่เขาช่วยข้าออกแบบปรับปรุง น่าเสียดาย... ยังไม่ทันได้บรรลุผลสำเร็จ” แววตาไคหยางออกจะพร่าเลือนด้วยความสลดโศกศัลย์

“เช่นนั้น... พี่ไคหยางทำมันให้สำเร็จ พวกเราช่วยท่าน” เหยากวงมองไคหยางอย่างระวังแวบหนึ่ง

ไคหยางพยักหน้า ม้วนเก็บภาพร่าง กอดม้วนภาพทั้งสองม้วนไว้แนบอก ค่อยๆ กวาดตามองประเมินร้านเล็ก

ผ่านไปสักพักนางถึงหมุนตัวกลับมา ทอดถอนใจแผ่วเบาก่อนเอ่ยกับเหยากวง “ไปเถอะ”

เหยากวงพยักหน้า หมุนตัวเดินตามนางออกไป ปิดงับประตูแผ่วเบาแล้วลงกลอน

มองกุญแจในมือ ไคหยางสูดลมหายใจเข้าหนึ่งเฮือก เก็บเข้าไปในชายแขนเสื้ออย่างระวัง ส่งยิ้มบางๆ ให้เหยากวงแล้วก้าวเท้าจากไป

 

ในคลังอาวุธของหน่วยดาวพิฆาต ไคหยางนั่งอยู่หน้าโต๊ะ คลี่ม้วนภาพร่างที่เมิ่งตงยังทำไม่สำเร็จ ขมวดคิ้วครุ่นคิด พลางวาดเค้าโครงเป็นระยะ

ไท่สุ้ยเดินวนเพราะไม่มีอันใดทำอยู่ในห้องครู่หนึ่ง ก่อนเดินมาหยุดตรงหน้าไคหยาง เสนอตัวอย่างแข็งขัน “พี่ไคหยาง มีสิ่งใดให้ข้าช่วยเหลือหรือไม่”

ไคหยางเงยหน้า ยิ้มเล็กน้อยแล้วส่ายหน้า “ข้ายังออกแบบไม่เสร็จ รอข้าทำเสร็จแล้วคงถึงเวลาให้เจ้าช่วย”

ไท่สุ้ยยิ้มอย่างเบิกบานใจ “ได้สิ! เช่นนั้น... ข้าไม่รบกวนท่านแล้ว เมื่อต้องการความช่วยเหลือก็เอ่ยปากได้เต็มที่”

 

ข้างสนามฝึกยุทธ์ หลิ่วสุยเฟิงเอนหลังพิงอยู่บนต้นหลิว กำลังปรือตาอยู่บนเตียงจำลอง

ตอนนี้เองใบไม้ข้างกายพลันเคลื่อนไหว เงาร่างสายหนึ่งกระโดดขึ้นมาบนต้น นั่งลงบนกิ่งด้านข้าง

หลิ่วสุยเฟิงลืมตามอง เห็นเป็นเหยากวง จึงหลับตาลงอีกครั้ง

เหยากวงมองไปที่ไกลอย่างเป็นกังวล ผ่านไปครู่หนึ่งถึงเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงอึมครึม “พี่ไคหยางเอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำแมงมุมแปดขาของนางให้สำเร็จ...”

หลิ่วสุยเฟิงหลับตาฟัง สักพักจึงเอ่ยตอบเสียงเบา “ไม่ต้องกังวล นางมีเรื่องกระทำก็สามารถผ่อนคลายอารมณ์ เวลาเป็นยารักษาที่ดีที่สุด นางย่อมดีขึ้นแน่”

เหยากวงพยักหน้าเงียบๆ มองซ้ายแลขวา ใช้ท่วงท่าแสนสบายเอนนอนลงบนกิ่งต้นหลิวเช่นกัน

แสงแดดลอดผ่านใบไม้ส่องกระทบวงหน้านาง อบอุ่นผ่อนคลาย ชวนให้หลับใหล

“เรื่องบนโลกนี้ช่างน่าอัศจรรย์ ผู้ใดเล่าจะคาดคิดว่าพี่ไคหยางจะชอบพี่เมิ่งตง” เหยากวงคล้ายนึกปลงในใจ

หลิ่วสุยเฟิงยิ้มๆ ลืมตามองเหยากวง มุมปากยกยิ้มประหลาดชอบกล “นั่นสิ! ตอนที่พวกเราไปทำคดีที่นั่น เกรงเพียงเจ้าก็คาดไม่ถึงว่าเขาที่เจ้าเรียกขานว่าเป็นโจรกระจอก ตอนนี้ถึงกับเป็นคนที่อยู่ในใจเจ้ากระมัง”

ใบหน้าดวงเล็กของเหยากวงแดงซ่าน กระดากอายขึ้นมา ทว่านิสัยใจคอของนางตรงไปตรงมา ไม่ปฏิเสธว่าตนชอบไท่สุ้ย เพียงแต่กัดริมฝีปากครุ่นคิด ท่าทางสำนึกเสียใจ “เขานั่นหรือ มิใช่หัวเราะเฮฮาก็อาละวาดต่อยตี ข้าเองก็ไม่รู้ว่าพวกเราแบบนี้นับว่ามีใจรักมั่นหรือไม่ ตามความรู้สึกข้า ยังต้องเป็นอย่างฝ่าบาทกับฮองเฮา หรืออย่างพี่เมิ่งตงกับพี่ไคหยางเช่นนั้น...”

กล่าวถึงตรงนี้ ใบหน้าของนางก็ปรากฏแววลุ่มหลงใฝ่ฝัน น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยขึ้นมา “สุภาพงดงาม อ่อนละมุนประดุจสายน้ำยามเปล่งถ้อยคำกับสตรีที่เขารัก น้ำเสียงอบอุ่นพลิ้วแผ่วคล้ายลมวสันต์ ดวงตาจดจ้องมองนางด้วยอารมณ์ลึกล้ำตลอดเวลา...”

บัดนี้ไท่สุ้ยเดินผ่านมาพอดี ได้ยินเสียงของเหยากวงจึงชะงักฝีเท้าอย่างเงียบกริบ เอียงหูลอบฟังนางเอ่ยวาจา

“ความรักสมควรเป็นเช่นนี้กระมัง ข้ากับไท่สุ้ยน่ะหรือ เฮ้อ... ทุกวันนี้หากมิใช่ต่อล้อต่อเถียงทะเลาะกัน ก็แง่งอนอย่างไม่รู้สึกรู้สา ข้ามักรู้สึกว่า... พร่องรสชาติไปสักหน่อย...”

ไท่สุ้ยกะพริบตาปริบๆ คล้ายนึกบางประการได้ ย่องฝีเท้าเบาเดินจากไปไกล

 

ตกเย็นเหยากวงย่างเท้าเข้าสู่อุทยาน กวาดตามองสี่ทิศรอบด้านด้วยสีหน้างุนงงสงสัย

“เมื่อครู่ไท่สุ้ยเด่นชัดว่าอยู่ตรงนี้ หนีไปไหนแล้ว”

เพิ่งสิ้นเสียง ไท่สุ้ยก็ก้าวออกมาจากหลังพุ่มพฤกษ์อย่างเชื่องช้า อาภรณ์สีคราม ศีรษะโพกผ้าอย่างบัณฑิต มองเหยากวงด้วยสีหน้าท่าทางสงบสุขุม เลียนแบบสีหน้า ท่าทาง และน้ำเสียงยามเมิ่งตงสนทนากับไคหยางอย่างที่ตนเคยเห็น ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้ามาแล้ว!”

เหยากวงค้อนตากลับ จ้องไท่สุ้ยอย่างไม่สบอารมณ์แวบหนึ่ง “เหลวไหล! ข้าคนเป็นๆ ตัวใหญ่ถึงเพียงนี้ยืนหัวโด่อยู่ที่นี่ เจ้ามองไม่เห็นหรือ”

ไท่สุ้ยก้าวอย่างเนิบช้าขึ้นหน้า กุมมือเหยากวงแผ่วเบา แฝงอารมณ์ลึกซึ้ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพ “แน่นอนว่ามองเห็น นี่มิใช่เพราะ... ข้ามองเห็นเจ้า ถึงได้ตื่นเต้นยินดีหรอกหรือ”

เหยากวงรู้สึกขบขัน ปลดมือออกจากการเกาะกุมของเขาแล้วเอ่ย “เมื่อครู่พวกเรายังพบหน้ากันที่สนามฝึกยุทธ์ เพิ่งจะเวลาเพียงชั่วประเดี๋ยวเท่านั้น มีอันใดน่าตื่นเต้นยินดี”

ไท่สุ้ยกล่าวด้วยอารมณ์ลึกล้ำ “หนึ่งวันมิพบหน้าเหมือนร้างราสามสารทฤดู”

“อ้อ...” เหยากวงรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวพลางลูบต้นแขนคล้ายขนลุกซู่ เห็นไท่สุ้ยยังคงยิ้มอ่อนโยน แตกต่างจากยามปกติโดยสิ้นเชิงก็พลันรู้สึกกังวลใจ ยื่นมือไปอังหน้าผากไท่สุ้ย “ไท่สุ้ย เจ้ามิได้ป่วยกระมัง”

ไท่สุ้ยยังคงเอ่ยด้วยสีหน้าอ่อนละมุน “แน่นอนว่ามิได้ป่วย ข้าเพียงแต่พบความดีของเจ้ากะทันหัน”

เหยากวงทำสีหน้ามึนงง “หา?”

ไท่สุ้ยมองเหยากวงแล้วร่ายกลอนขึ้น “ภูผามีแมกไม้ แมกไม้มีกิ่งก้าน ข้าปักใจรักท่าน ท่านไยไม่ล่วงรู้...”

“หา?” เหยากวงมองไท่สุ้ยอย่างมึนงง คล้ายไม่รู้จักเขากระนั้น

ท่องกลอนแล้วเสร็จ ไท่สุ้ยก็กุมมือเหยากวงอีกครั้ง เอ่ยด้วยอารมณ์ลึกล้ำ “ข้าเพิ่งต้มชากู้จู่จื่อสุ่น เป็นชาใหม่ปีนี้ จะชิมชาพร้อมกันสักครู่ได้หรือไม่”

เหยากวงมองซ้ายขวาเลิ่กลั่ก “ที่ใด”

“ที่สวนไผ่อุทยานตะวันตก ที่นั่นบรรยากาศเงียบสงบ ไผ่ยาวดั่งพงไพร เหมาะแก่การยกจอกจิบชา...” ไท่สุ้ยยกมือโน้มน้าว พลางกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงนุ่ม “นั่งทัศนาเมฆาม้วนเมฆคลาย นิ่งชมบุปผาบานบุปผาโรย...”

เหยากวงสะท้านวูบ ชักมือกลับแล้วถอยหลังไปสองก้าว มองไท่สุ้ยเหมือนเห็นผี “ไท่สุ้ย! เจ้าโดนคุณไสยหรือไม่”

ไท่สุ้ยยิ้มอย่างสุภาพอ่อนโยน มองเหยากวงด้วยอารมณ์ลึกล้ำพลางเอ่ย “วาจานี้ผิดนัก ข้าเพียงแต่... ชอบอยู่กับเจ้าตามลำพังในอุทยานเล็ก ละเลียดลิ้มลองชาในที่เงียบสงบไร้สรรพสำเนียง...”

เหยากวงถอยกรูดอย่างตกตะลึง “โดนอาคมแล้ว เจ้าต้องคุณไสยอาคมจริงแท้ ข้าจะไปพบใต้เท้าผู้บังคับการ!”

พูดพลางหมุนตัวคิดวิ่งหนี ไท่สุ้ยเสแสร้งต่อไปไม่ไหวจึงรีบพุ่งขึ้นหน้าสองก้าวเพื่อดึงรั้งนางไว้ “นี่ๆๆ เจ้าอย่าเพิ่งไป! ข้าไม่ได้ป่วย!”

สายตาเหยากวงเหลือบมองเขา “ตัวเองป่วยแล้วยังไม่ล่วงรู้ ป่วยไม่เบาจริงเสียด้วย”

พูดจบก็คิดชักแขนออก ไท่สุ้ยรีบดึงรั้งไว้ สีหน้ากลัดกลุ้มขณะเอ่ย “ข้ามิได้ป่วยจริงๆ! ข้าเพียงแต่... เอ่อ... นี่มิใช่เพราะเจ้าบอกหรอกหรือ”

เหยากวงยืนนิ่ง มองไท่สุ้ยอย่างแปลกใจแล้วถาม “ข้าบอกอันใดหรือ”

ไท่สุ้ยอ้ำอึ้ง นานสองนานก็เปล่งถ้อยคำออกมามิได้

เหยากวงมีสีหน้าเหลืออดยามกล่าว “เจ้าอึกอักอันใดกัน มีสิ่งใดก็รีบพูดสิ!”

ไท่สุ้ยออกจะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เกาศีรษะแกรกๆ “ข้า... ก่อนหน้าข้าได้ยินมาว่าเจ้าชื่นชอบบุรุษอย่างฝ่าบาทและพี่เมิ่งตง ข้า... ก็เลย...”

เหยากวงได้ฟังก็อึ้งงัน ปล่อยหัวเราะพรวด มองท่าทางเงอะงะของไท่สุ้ย ในใจหวานชื่นราวกับดื่มด่ำมธุรส รู้สึกว่าทั้งโลกช่างประเสริฐดีงามเสียนี่กระไร ทว่าต่อมานางก็แสร้งเอ่ยอย่างโมโห “ดีนี่! เจ้าแอบฟังข้าคุยกับต้าหลิ่ว”

ไท่สุ้ยร้อนรน รีบโบกมือปฏิเสธพร้อมอธิบาย “ไม่ๆๆ! ข้า...ข้าเพียงอยากให้เจ้าชื่นใจ เจ้าชอบบุรุษแบบนั้น ข้าก็คิดว่า...” กล่าวถึงตรงนี้เขาก็หัวเราะอย่างเคอะเขิน “ดูท่าข้าจะเลียนแบบไม่เหมือน เจ้าให้เวลาข้าอีกสักหน่อย...”

เหยากวงหัวเราะมิได้ร่ำไห้ไม่ออก ส่ายหน้าแผ่วเบา สบสองตาของไท่สุ้ย เอ่ยด้วยน้ำเสียงน่ารักและอ่อนละมุน “ข้าเข้าใจ ข้ารู้ดีว่าเจ้าคิดดีต่อข้า แต่ว่า... เจ้าไม่จำเป็นต้องเลียนแบบผู้อื่น แม้เจ้าไม่ทรงศักดิ์มากอำนาจบารมีอย่างฮ่องเต้ ไม่สุภาพรู้มารยาทอย่างพี่เมิ่งตง แต่เจ้าคือไท่สุ้ย! ที่ข้าชอบคือเจ้า มิใช่พวกเขา”

พูดไปนางก็หน้าแดงซ่าน ดึงมือไท่สุ้ยขึ้นแล้วเอ่ยเสียงเบา “หากเจ้ากลายเป็นพวกเขา เช่นนั้นยังคงเป็นคนที่ข้าชอบคนนั้นหรือ”

สักครู่ใหญ่ทั้งสองคนต่างก็ก้มหน้าหลุบตาอย่างเก้อเขิน แต่ต่างรีบรวบรวมความกล้า สี่มือจับจูง จ้องมองกันด้วยอารมณ์ลึกล้ำ

 

ในโถงหลัก ติงเว่ยนั่งไม่ติดที่ สองมือไพล่หลังเดินกลับไปกลับมา จิบชาเย็นชืดไปหนึ่งอึก ยังสำลักน้ำชาหลายครั้ง จากนั้นก็เดินวนไปวนมาด้วยสีหน้าร้อนรนกระวนกระวายเป็นพิเศษ

ไม่นานนักเด็กรับใช้ก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน พยักหน้าพลางค้อมเอวเรียกขาน “นายท่าน!”

พอได้ยินเสียง ติงเว่ยก็รีบหมุนกายสาวเท้าเร็วเข้าไปสอบถาม “ของกำนัลล้ำค่าที่มอบให้ฮองเฮา ทรงรับไว้แล้วหรือ”

“นายท่าน ข้าน้อยส่งไปให้ฮองเฮาตามที่ท่านกำชับแล้ว แต่ทอดพระเนตรยังไม่ทอดพระเนตรสักปราดหนึ่งก็ทรงคืนกลับมา” เด็กรับใช้มิกล้าปิดบัง ก้มหน้างุดขณะกล่าวรายงาน

ติงเว่ยตะลึงงันครู่ใหญ่ก่อนหมุนตัวเชื่องช้า หลังงอเหมือนคนหลังค่อม นานสองนานถึงโบกมือไล่เด็กรับใช้ เอ่ยเสียงแหบแห้ง “เจ้าออกไปก่อนเถอะ”

“ขอรับ!” เด็กรับใช้ไม่กล้าพูดมาก เงียบเสียงแล้วถอยออกไป

เงียบงันอยู่ครึ่งค่อนขณะ ติงเว่ยก็เดินมายังข้างโต๊ะ ยกจอกชาคิดดื่มสักอึก เสียงแมวพลันร้องดังขึ้น ทำเอาตกใจจนมือที่จับจอกชาสั่นกระตุก น้ำชาหกกระเซ็นเปรอะเปื้อนเสื้อผ้า

เขาก้มหน้ามอง เห็นแมวลายตัวใหญ่นั่งยองอยู่ที่ข้างขาถึงได้โล่งใจ

ติงเว่ยวางจอกชาแล้วยอบตัวลงอุ้มมันขึ้นมา จากนั้นก็นั่งลงลูบหลังมันอย่างแผ่วเบา ปากพึมพำต่อ “พุทโธ่! เจ้าแมวน้อยของข้า เจ้าทำข้าตกใจแทบตายแล้ว!” พูดพลางยกแขนเสื้อปาดเช็ดเหงื่อที่ผุดออกมามากผิดปกติบนหน้าผาก ถอนหายใจเฮือกหนึ่งด้วยสีหน้าผ่อนคลาย

 

หลิวเอ๋อร์เดินเข้ามาในตำหนักฝูหนิง ทันใดนั้นสองตาก็มืดวูบ แข้งขาอ่อนระทวยเกือบเป็นลม เคราะห์ดีที่นางกำนัลข้างตัวประคองนางไว้ทันเวลา นางจึงมิได้ล้มลง

“เหนียงเหนียง!” นางกำนัลร้องเรียกอย่างตกใจ

“ไม่เป็นอันใด” หลิวเอ๋อร์โบกมือ กำชับเสียงเบาประโยคหนึ่ง “เรื่องนี้ห้ามทูลฝ่าบาท”

แม้เสียงของนางจะไม่ดัง กระทั่งแววตาก็เรียบเฉย ทว่านางกำนัลฉับไว รีบค้อมตัวรับคำ “เพคะ”

หลิวเอ๋อร์ร้องอือเสียงเบา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ก่อนเดินไปทางเรือนหลังของตำหนักฝูหนิงต่อไป

แหวกม่านมุกของเรือนหลังเข้าไป เจินจงฮ่องเต้ที่ประทับบนแท่นบรรทมเห็นนางมาถึง พระพักตร์ก็ฉายความยินดี ทรงทำท่าจะลุกขึ้น

หลิวเอ๋อร์เห็นสภาพจึงรีบเข้าไปประคอง แล้วเอ่ยอย่างเป็นห่วง “ฝ่าบาททรงอย่าเคลื่อนไหวเพคะ”

พูดพลางรับหมอนแพรปักที่นางกำนัลยื่นส่งมาให้ วางหลังบั้นพระองค์เพื่อให้ฮ่องเต้ทรงพิง

เจินจงฮ่องเต้ประทับกึ่งเอนพระวรกาย ทรงดึงรั้งมือของหลิวเอ๋อร์ แย้มพระสรวลเล็กน้อย “หลายวันมานี้ลำบากเจ้าแล้ว เหน็ดเหนื่อยทั้งนอกใน ยากมีเวลาว่างไฉนไม่พักผ่อนให้ดี”

“เมื่อครู่ติงเว่ยเตรียมของกำนัลล้ำค่ามาถึงตำหนักของหม่อมฉัน หม่อมฉันให้คนส่งคืนแล้วเพคะ” หลิวเอ๋อร์คิดแล้วก็เล่าเสียงเบา

เป็นไปตามที่คาด ทันทีที่ทรงได้ฟัง พระพักตร์ก็พลันฉายแววโกรธขึ้ง “ติงเว่ยผู้นี้หลงงมงาย ยังคิดหาทางประจบสอพลอ!”

เพิ่งสิ้นสุรเสียง ก็ทรงไออย่างรุนแรง หลิวเอ๋อร์รีบยื่นผ้าแพรให้ พระองค์ทรงรับไปเช็ดพระโอษฐ์ แต่ยังทรงไอไม่หยุด

หลิวเอ๋อร์ลูบหลังไปพลางรับน้ำที่นางกำนัลยื่นส่งมาปรนนิบัติให้เสวยไปพลาง

เมื่อทรงลดผ้าซับพระพักตร์ ก็เตรียมเสวยน้ำ หลิวเอ๋อร์รับผ้าซับพระพักตร์ไป เห็นด้านบนเปรอะสีแดงสดเป็นวง

สองตาของนางรื้นแดง จากนั้นก็เกลี้ยกล่อมอย่างระวัง “ฝ่าบาทอย่าทรงพิโรธ ทรงทนทุกข์เช่นนี้... หม่อมฉันเห็นแล้วไม่สบายใจเลยเพคะ”

เจินจงฮ่องเต้ส่ายพระพักตร์ เพิ่งทรงหยุดไอได้ก็ทรงกุมมือหลิวเอ๋อร์ กลับตรัสปลอบนาง “เอ๋อร์เหนียงอย่าได้กังวล เรา... แค็กๆ เราไม่ไอก็พอแล้ว”

แม้อดกลั้นไม่ทรงไอ แต่นี่คือปฏิกิริยาตามธรรมชาติของร่างกาย มิใช่อดกลั้นก็กลั้นไว้ได้ ยังทรงไอออกมาเป็นระยะ

หลิวเอ๋อร์สองตาเปียกชื้นด้วยความเจ็บปวดใจ แต่บัดนี้กล่าวสิ่งใดล้วนไร้ประโยชน์ ได้แต่ยื่นแขนไปลูบหลัง

ผ่านไปพักใหญ่ ฮ่องเต้ทรงรู้สึกดีขึ้นบ้างแล้ว จึงเสวยน้ำหนึ่งอึกก่อนถอนหายใจยาว แล้วตรัสอย่างอ่อนแรง “ติงเว่ยหลอกลวงเบื้องสูง ปิดบังหูตาไพร่ฟ้า กินสินบาทคาดสินบน กระทำผิดกฎหมาย เราแค้นเคืองกลัดกลุ้มเขานัก ทว่าเมื่อขบคิดพิจารณาโดยละเอียด เราไม่อาจจัดการเขา”

หลักการเหตุผลที่แฝงอยู่แท้จริงมิต้องให้เจินจงฮ่องเต้รับสั่งมากนัก ในใจหลิวเอ๋อร์ก็รู้แน่แก่ใจเป็นอย่างดี จึงได้แต่ลูบแผ่นอกฮ่องเต้ ให้ทรงหายใจสะดวกพร้อมฟังคำตรัส

สองพระเนตรเลื่อนลอย ทรงจ้องไปเบื้องหน้า สุรเสียงวังเวง “อย่างไรเสียเขาก็เป็นขุนนาง... ที่ติดตามเรามาหลายสิบปี ยิ่งกว่านั้นบัดนี้เราป่วยหนัก สังหารขุนนางใหญ่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง แค็กๆๆ ยิ่งไปกว่านั้นเราโอรสสวรรค์แห่งต้าซ่งร่วมปกครองใต้ฟ้ากับบรรดาปราชญ์ขุนนาง บรรพชน...บรรพชนสั่งเสียมีข้อห้ามสังหารขุนนางใหญ่”

ฮ่องเต้ทรงครุ่นคิดครู่หนึ่ง ตั้งพระสติได้บ้างก่อนทอดพระเนตรหลิวเอ๋อร์ ทรงทอดถอนใจก่อนตรัส “ให้เขากระดูกฝังบ้านเดิม ขอลากลับบ้านเกิดเองเถอะ นับว่าให้ผลเป็นเกียรติยศแก่เขา”

หลิวเอ๋อร์พยักหน้าแผ่วเบา ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วเอ่ย “ฝ่าบาททรงพระเมตตาเพคะ”

 

จันทร์กระจ่างแขวนเด่นกลางฟากฟ้า เมฆดำกึ่งหลบเร้นกึ่งทะมึนเป็นแผ่นผืนในเมืองหลวง มีเพียงเสียงเคาะตีบอกเวลาดังก้อง บางครั้งปรากฏนกราตรีโผผินอย่างตื่นตระหนก หรือได้ยินเสียงแมวร้องอย่างเศร้าสลด

ติงเว่ยนอนหงายอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดขาวคล้ายกำลังฝันร้าย ศีรษะหลบซ้ายเบี่ยงขวา กัดฟันแน่น บนหน้าผากผุดเม็ดเหงื่อขนาดเท่าเมล็ดถั่ว

ทันใดนั้นเขาก็ตะโกนอย่างขวัญผวา “ถูกปรักปรำ... ถูกปรักปรำ... ฝ่าบาทพระราชทานอภัยด้วย... พระราชทานอภัยด้วย...”

ครั้นถูกเสียงกู่ร้องของเขาปลุก ฮูหยินที่นอนอยู่ด้านข้างยันกายกึ่งลุกขึ้นนั่ง ขยี้สองตา เห็นติงเว่ยท่าทางวิญญาณกระเจิดกระเจิงก็ตกใจ รีบเขย่าตัวติงเว่ยเบาๆ พลางร้องเรียก “นายท่าน นายท่าน”

 

ในห้วงฝัน ภายใต้แสงแดดแผดเผา เพชฌฆาตคิ้วพาดเฉียง ตาขวาง ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครากำลังเงื้อดาบยักษ์เงาวับขึ้นด้วยท่าทางดุดัน

จากนั้นป้ายคำสั่งเขียนด้วยอักษรสีแดงโลหิตว่า ‘บั่นคอ’ ลอยหวือมาจากที่ไกล ตกเสียงดังพลั่กลงบนพื้นเบื้องหน้าสายตา เพชฌฆาตแค่นเสียงเฮอะแผ่วเบา ดาบยักษ์ในมือฟันฉับลงไปเต็มแรง!

 

“แว้ก!” ติงเว่ยร้องลั่นพร้อมกับเด้งขึ้นนั่งพรวดเดียว หอบหายใจฟืดฟาด เหงื่อกาฬเปียกชุ่มทั่วร่าง

ติงฮูหยินสะดุ้งโหยง ขดตัวใต้ผ้าห่มทันใด พริบตาเดียวก็ลุกขึ้นดึงแขนเสื้อติงเว่ย ลองเรียกหยั่งเชิง “นายท่าน”

ติงเว่ยลูบท้ายทอยก่อนคลำมาถึงลำคอ ถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก ใบหน้าฉายแววดีใจที่รอดตาย ก่อนหันไปมองฮูหยิน ติงเว่ยอ้าปากแต่มิได้เปล่งถ้อยคำ โบกมือแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างหนักหน่วง สองตาจ้องมองเพดานอย่างเลื่อนลอย ชั่วขณะไร้นิทรารมณ์อีกต่อไป

 

วังใต้ดินอันมืดครึ้ม เสียงน้ำหยดกระทบกับหินไม่ขาดสาย

บุคคลลึกลับสวมชุดคลุมสีดำติดหมวกครอบ ใบหน้าสวมหน้ากากแปลกประหลาดค่อยๆ ก้าวออกมาจากเงามืด

“เจ้าล้มเหลว ข้าเคยบอกแล้ว หดหัวหดหางอย่างเจ้ายากสำเร็จการใหญ่” เสียงของเขาแหบต่ำ คล้ายคนอายุราวห้าสิบปี

ไล่สายตาตามเงาร่างลึกลับไป ตรงกันข้ามเขามีคนสวมชุดคลุมสีดำติดหมวกครอบยืนอยู่ คนผู้นั้นคลับคล้ายโต๋วหมู่เทียนจุนผู้สวมหน้ากากกึ่งภูตผีกึ่งเทพเซียน

โต๋วหมู่เทียนจุนแค่นเสียงเยียบเย็น “บังอาจ! ข้าเหมียวซวิ่นศักดิ์ฐานะใดกัน ถึงคราวเจ้ามาสั่งสอนหรือ”

บุคคลลึกลับตรงกันข้ามผ่อนเสียงลงแต่กลับไม่โกรธ เพียงเอ่ยเสียงทุ้ม “สำหรับแผนการใหญ่ของเจ้า พวกเราสนับสนุนไปตั้งมากมาย แต่สิ่งที่พวกเราอยากได้ ถึงบัดนี้ยังไร้วี่แวว! อาจารย์ข้าไม่พอใจเจ้ามาก!”

โต๋วหมู่เทียนจุนเงียบงันไปพักหนึ่ง ก่อนหมุนตัวเชื่องช้า หันหลังให้บุคคลลึกลับ “สิ่งที่ข้าสัญญามอบให้พวกเจ้า ย่อมมอบให้แน่นอน เพียงรอแผนการใหญ่ของข้าสำเร็จ!”

บุคคลลึกลับสาวเท้าตามติดหนึ่งก้าวพลางเค้นถาม “เมื่อใดกันเจ้าจึงจะสำเร็จ”

โต๋วหมู่เทียนจุนตอบ “เดิมทีข้าคิดใช้ประโยชน์จากศาสตร์มายาของเต๋อเมี่ยว สร้างผู้วิเศษเกราะทอง มอมเมาให้จ้าวเหิงคิดสละสมบัติให้ลูกหลานของไท่จู่ฮ่องเต้ ให้ใต้ฟ้าเปลี่ยนผู้ปกครองภายใต้สภาพการณ์ที่มั่นคงปลอดภัย เพื่อรับประกันว่าทั่วหล้าสงบสันติ กลับมิคาดว่าคนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต...”

บุคคลลึกลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ดังนั้น... เจ้ายังคงล้มเหลวแล้ว”

โต๋วหมู่เทียนจุนหัวเราะเสียงยะเยือก เอ่ยเนิบนาบ “เอ่ยว่าล้มเหลวตอนนี้ยังเร็วไป ข้า... ยังมีอีกหนึ่งเบี้ย”

พูดจบเขาก็เงียบงันไปครู่ใหญ่ ก่อนแสยะยิ้ม หัวเราะเสียงต่ำ

แสงจันทราขาวกระจ่างเย็นเยียบสาดลงมาจากช่องเพดานวังใต้ดิน ส่องบนร่างสองบุคคลลึกลับผู้สวมหน้ากากอัปลักษณ์ประหลาดคล้ายภูตผีคล้ายเทพเจ้าในชุดคลุมสีดำติดหมวกครอบ ท่ามกลางเมฆหมอกพร่าเลือน เงาร่างของทั้งคู่ประดุจวิญญาณร้ายจากโลกันตร์มหานรก เด่นชัดว่าโหดเหี้ยมชั่วร้ายเป็นพิเศษ

 

เช้าตรู่วันถัดมา หลังจากกินอาหารเช้า ภายในจวนของติงเว่ยก็ได้รับราชโองการ

ผู้ประกาศราชโองการคือเหลยอวิ่นกงผู้รู้จักมักคุ้นกับติงเว่ย เหลยอวิ่นกงในตอนนี้มีสีหน้าเย็นชา ข้างกายขนาบด้วยขันทีชั้นผู้น้อยอีกสองคนยืนตระหง่านตรงหน้าติงเว่ย

“ราชโองการ ด้วยติงเว่ยเคยกระทำคุณงามความชอบ เราไม่ไต่สวนเอาความต่อเรื่องเลอะเลือน การประชุมในท้องพระโรงพรุ่งนี้ ให้สมัครใจลาออกจากราชการ ร้องขอกลับบ้านเกิด นับเป็นเกียรติยศที่เรามอบให้!”

ดวงตาติงเว่ยพร่ามัว คล้ายไม่ได้ยินว่าเหลยอวิ่นกงอ้าปากอ่านอันใดปาวๆ ไร้วาจาไปชั่วขณะ

เหลยอวิ่นกงรออยู่สักพัก เห็นติงเว่ยไม่กล่าวสักคำ จึงขมวดคิ้ว ตวาดเสียงทุ้มต่ำ “ติงเว่ย ยังไม่ขอบพระทัยรับราชโองการอีก!?”

“หา?” ติงเว่ยเงยหน้ามองเหลยอวิ่นกงอย่างมึนงง

“ยังไม่ขอบพระทัยรับราชโองการรึ!” เหลยอวิ่นกงออกจะหมดความอดทน

ติงเว่ยตั้งสติได้ สั่นสะท้านไปทั้งร่าง โขกศีรษะกับพื้นอย่างสิ้นหวัง หลับตาขณะกล่าวเสียงฝาดขม “กระหม่อม... น้อมรับราชโองการ ขอบพระทัยฝ่าบาท...”

เหลยอวิ่นกงปรายตามองติงเว่ยแวบหนึ่ง สีหน้าท่าทางกลับมาเย็นเยียบมึนตึง เอ่ยเสียงเรียบ “ราชโองการของฝ่าบาทถ่ายทอดถึงท่านแล้ว ติงเซี่ยงกงระวังตัวให้ดีเถอะ”

พูดพลางสะบัดชายแขนเสื้อ หมุนตัวนำบรรดาขันทีชั้นผู้น้อยจากไป

ทันทีที่เหลยอวิ่นกงจากไป ติงเว่ยก็อ่อนระทวยลงกับพื้น หมื่นความคิดพังพินาศยับเยิน สองตาเลื่อนลอยคล้ายแก่ชราไปอีกสิบปีในชั่วพริบตา

ในเรือนข้าง ติงฮูหยินเดินออกมาด้วยฝีเท้าเร็ว ยอบตัวลงเขย่าติงเว่ย สะอึกสะอื้นขณะสอบถาม “นายท่าน เหตุใดท่านถึงขอลากลับบ้านเกิดกะทันหัน นายท่าน เกิดเรื่องอันใดกันแน่ นายท่านพูดสิ!”

ติงเว่ยถูกนางเขย่าจนร่างโยกไหวไม่หยุด แต่บัดนี้ในดวงตาไร้สีสันโดยสิ้นเชิง หนึ่งประโยคล้วนมิได้กล่าวออกมา

 

กลางดึกติงเว่ยกับฮูหยินหลับสนิทอยู่บนเตียง เสียงเปรี๊ยะปร๊ะบังเกิดขึ้นบนเชิงเทียนที่วางบนโต๊ะข้างหน้าต่าง ผีเสื้อราตรีตัวหนึ่งร่อนตกลงบนโต๊ะ บนปีกผุดควันดำ

“อย่า!” ติงเว่ยพลันสะดุ้งโหยง เด้งตัวขึ้นนั่ง ร้องลั่นแตกตื่น เด่นชัดว่าฝันร้ายติดพัน

เขาเหงื่อแตกพลั่กจนชุ่มแผ่นหลัง รีบลูบคลำศีรษะและลำคอของตนเอง พบว่าศีรษะยังอยู่ก็อดโล่งใจไปเปลาะหนึ่งมิได้

ในตอนนี้เองเขาเหลือบตาเห็นเท้าคู่หนึ่งยืนอยู่ข้างเตียง ก็สะดุ้งตกใจจนหงายหลัง พลันเห็นหน้ากากคล้ายภูตผีคล้ายเทพเจ้า

ติงเว่ยถอยกรูดบนเตียง พลันนึกขึ้นได้ว่าฮูหยินของตนยังนอนหลับไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เขาจึงรีบเขย่าตัวฮูหยิน ทว่าเขย่าอย่างไรนางก็ไม่ตื่น “ฮูหยิน! ฮูหยิน!”

โต๋วหมู่เทียนจุนกล่าวอย่างไม่แยแส “ข้าสกัดจุดนาง ชั่วขณะไม่มีทางตื่น”

ติงเว่ยกลืนน้ำลายต่อเนื่อง สอบถามอย่างประหวั่นพรั่นพรึง น้ำเสียงสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว “ทะ...ท่านเป็นผู้ใดกัน”

“ข้าคือผู้ใดรึ” โต๋วหมู่เทียนจุนแค่นเสียงเย็นชา “ตอนนั้นเจ้าใช้เวลาเพียงเจ็ดปีสร้างตำหนักอวี้ชิงที่ต้องใช้เวลาสร้างถึงสิบห้าปีจนลุล่วง นับจากนั้นชื่อเสียงก็ขจรขจาย ได้รับบรรดาศักดิ์โหวเป็นอัครเสนาบดี หากมิใช่ข้าสั่งเหยี่ยนเจิ้งให้ร่วมมือเต็มกำลัง เจ้าคิดว่าเจ้ากระทำสำเร็จได้หรือ”

ติงเว่ยได้ฟังก็ตะลึงงัน “อันใดนะ! เหยี่ยนเจิ้ง? ท่านสั่งเหยี่ยนเจิ้ง? ท่านเป็นผู้ใดกันแน่ เหตุใดนายช่างเหยี่ยนต้องเชื่อฟังคำสั่งท่าน”

โต๋วหมู่เทียนจุนไม่ตอบ กล่าวสืบไป “ต่อมาเพื่อแย่งชิงให้เป็นที่โปรดปราน เจ้าเชื้อเชิญเต๋อเมี่ยวเข้าเมืองหลวงด้วยน้ำใจไมตรี แต่นางไพล่ก่อคดีความเกี่ยวพันกับชีวิตราษฎร หากมิใช่ข้าช่วยพวกเจ้าลอบทำลายหลักฐานความผิด บีบนายอำเภอไท่อันให้รับสารภาพ ไม่เพียงนางจบเห่ แม้กระทั่งเจ้าก็แปดเปื้อนมลทินไปด้วย”

ติงเว่ยได้ยินเรื่องนี้กะทันหันก็อดตระหนกเสียขวัญมิได้ มองโต๋วหมู่เทียนจุนอย่างตื่นตะลึง “ท่าน... เป็นผู้ใดกันแน่”

“ข้าเป็นผู้ใดไม่สำคัญ! ที่เจ้าสมควรห่วงใยในตอนนี้ก็คือตัวเจ้า ภัยพิบัติครั้งใหญ่เยี่ยมกรายยังไม่รู้ตัว!” โต๋วหมู่เทียนจุนหัวเราะเย็นชา

พอได้ฟัง ติงเว่ยก็หน้าม่อยคอตกทันที นั่นสิ รอจนฟ้าสาง ก็ต้องขอกระดูกฝังบ้านเกิดแล้ว ยังคิดมากไปเพื่ออันใดกัน

“เฮ้อ! ข้าแสวงหาชื่อเสียงลาภยศมาทั้งชีวิต บัดนี้ทั้งหมดเป็นความว่างเปล่า ไม่กี่วันก็ต้องลาออกกลับบ้านเกิด นอกจากนี้แล้วยังมีภัยพิบัติครั้งใหญ่ใดเยี่ยมกรายได้อีก”

โต๋วหมู่เทียนจุนแหงนหน้าหัวเราะหลายเสียง แล้วก้มหน้าฉับพลันมองติงเว่ยอย่างดุดัน “เจ้านึกว่าฮ่องเต้ไม่ทรงคิดสังหารเจ้าจริงหรือ ไร้เดียงสา!”

ติงเว่ยตะลึงงัน ร่างสั่นสะท้านรุนแรง “ท่านว่าอันใดนะ! ฝ่าบาท... ทรงคิดสังหารข้า?”

โต๋วหมู่เทียนจุนกลับส่ายหน้าพลางเอ่ย “มิใช่ ฮ่องเต้ย่อมไม่ทรงคิดสังหารเจ้า...”

ติงเว่ยโล่งใจ มองโต๋วหมู่เทียนจุนอย่างฉงน “เช่นนั้น?”

โต๋วหมู่เทียนจุนหัวเราะเย้ยหยัน “ตอนนี้ไม่สังหารเจ้าเพราะคิดปล่อยเจ้าไปก่อน รอรัชทายาทขึ้นครองราชย์แล้วค่อยสังหาร ใช้ศีรษะของเจ้าเพื่อสร้างพลานุภาพของฮ่องเต้พระองค์ใหม่!”

ติงเว่ยตระหนกนิ่งงัน “อันใดนะ!”

โต๋วหมู่เทียนจุนสะบัดสมุดบัญชีและฎีกาหลายเล่มออกมาจากปลายแขนเสื้ออย่างแผ่วเบา ก่อนโยนใส่แผ่นอกติงเว่ย

ติงเว่ยรีบเก็บขึ้นมาหนึ่งเล่ม ส่องกับแสงเทียนแล้วพลิกอ่าน

โต๋วหมู่เทียนจุนเอ่ยประชดประชัน “เจ้าดูสิ นี่คือสิ่งที่ข้าขโมยออกมาจากในวัง นอกจากสมุดบัญชีบันทึกการฉ้อราษฎร์บังหลวงของเจ้า ก็เป็นฎีกาที่สำนักตรวจการฟ้องร้องเจ้า เจ้าคิดซิว่าเหตุใดฮ่องเต้ทรงทิ้งไว้ไม่ตัดสิน ก็เพื่อพระโอรสของพระองค์อย่างไรเล่า ฮ่าๆๆ”

ติงเว่ยมองสมุดบัญชีก่อนจะหวั่นผวาถึงขีดสุด ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าที่อีกฝ่ายเอ่ยมามีเหตุผล สีหน้าของเขาก็ยิ่งไม่น่าดูชมขึ้นทุกที

เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางเขาเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โต๋วหมู่เทียนจุนก็แค่นเสียงเฮอะแผ่วเบา ค่อยๆ ค้อมเอวลงจ้องมองติงเว่ย เอ่ยด้วยน้ำเสียงราวกับปีศาจร้าย “เจ้าอับจนหนทางแล้ว แต่ถ้าเจ้ายอมสวามิภักดิ์ต่อข้า ข้าไม่เพียงปกป้องชีวิตเจ้าได้ ยังรับรองว่าเจ้าจะร่ำรวยรุ่งเรือง ถึงขั้นเจริญก้าวหน้าไปอีกขั้น ไม่ต้องเอ่ยถึงบรรดาศักดิ์โหวอาจได้บรรดาศักดิ์อ๋อง”

“ท่านเป็นผู้ใด ข้าจะเชื่อท่านได้อย่างไร” ติงเว่ยตื่นตระหนก แต่เขาเป็นอัครเสนาบดีมานานปี สมาธิจิตใจย่อมไม่สามัญ จึงเงยหน้ามองอีกฝ่ายโดยตรงทันควันด้วยสีหน้าท่าทางสุขุมขึ้นมาบ้าง

แต่โต๋วหมู่เทียนจุนเห็นแล้วกลับหัวเราะเยาะหยันสืบเนื่อง “ไม่เชื่อข้ารึ เจ้า... ยังมีทางออกสายที่สองหรือ”

บั้นเอวของเขายิ่งค้อมต่ำลง กระซิบเสียงต่ำข้างหูติงเว่ยหลายประโยค

ฟังหลายประโยคนั้นแล้ว สีหน้าที่เพิ่งกลับมามั่นคงของติงเว่ยก็พลันแปรเปลี่ยนไปใหญ่โต ตาค้าง ลิ้นพันกันขณะมองอีกฝ่าย ชั่วขณะถึงกับเปล่งวาจาไม่ออก

โต๋วหมู่เทียนจุนไม่แยแสสนใจ ยื่นมือไปตบไหล่เขาเชื่องช้า เอ่ยเสียงทุ้ม “ทำตามที่ข้าบอก เจ้าจะกลับร้ายกลายเป็นดี! ไม่เช่นนั้น... เจ้าเองก็น่าจะเข้าใจ!”

พูดจบเงาร่างโต๋วหมู่เทียนจุนก็พลันพร่าเลือน หายวับไปในบัดดล หาไม่พบเงาร่างของอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง จนกระทั่งติงเว่ยก้มหน้าเห็นฎีกาในมือ ถึงได้มั่นใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มิใช่ภาพฝัน

 

ภายในตำหนักต้าชิ่ง รัชทายาทนั่งบนบัลลังก์ ทอดมองบรรดาขุนนางด้วยสีหน้าตื่นเต้นอยู่บ้าง หลิวเอ๋อร์ซึ่งนั่งอยู่ข้างรัชทายาทกุมมือเขาอย่างแผ่วเบา แม่ลูกสบตาพลางพยักหน้าให้กำลังใจกัน

เหลยอวิ่นกงชูไม้ปัดธุลี ประกาศก้องเสียงสูง “ฝ่าบาทประชวร ไม่อาจว่าราชกิจชั่วคราว นับจากวันนี้รัชทายาทสำเร็จราชการแทนพระองค์ ฮองเฮาสดับราชกิจ ขุนนางทุกท่านมีเรื่องให้เร่งกราบทูล ไม่มีเรื่องก็เลิกประชุม!”

ตอนนี้เองติงเว่ยประคองฮู่ป่านก้าวออกมากราบทูล “เหนียงเหนียง ฝ่าบาทเพียงประชวรหรือพระอาการสาหัสพ่ะย่ะค่ะ”

หลิวเอ๋อร์ตะลึงงัน มองติงเว่ยอย่างเย็นชาก่อนเอ่ย “ติงเซี่ยงกงหมายความว่าอย่างไร”

ใบหน้าติงเว่ยออกจะเผือดซีด บัดนี้หน้าตาเคร่งเครียด เงยหน้ามองหลิวเอ๋อร์ กราบทูลเสียงทุ้ม “เหนียงเหนียง พระอาการของฝ่าบาทไม่อาจปิดบังผู้คน บัดนี้ทั่วหล้าต่างล่วงรู้ หลอกลวงตนเองหลอกลวงราษฎรมีประโยชน์อันใดต่อชาวประชา”

ขุนนางใหญ่จำนวนไม่น้อยที่อยู่เบื้องล่างต่างวิพากษ์วิจารณ์

ใบหน้าติงเว่ยเต็มไปด้วยสำนึกแห่งความเป็นธรรม เดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว เอ่ยสืบต่อ “ทั้งชีวิตของกระหม่อมทุ่มเทสรรพกำลังเพื่อแผ่นดินต้าซ่ง จงรักภักดีต่อราชสกุลจ้าว เวลานี้มิกล้าไม่ทูลทัดทานโดยตรง

เหนียงเหนียง กระหม่อมขอกราบทูลวาจาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ฝ่าบาทแท้จริงแล้วต้องพิษประหลาด ไร้ยารักษา บัดนี้ทรงตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย ส่วนรัชทายาทยังเยาว์วัย ไหนเลยจะปกครองดูแลแผ่นดินได้พ่ะย่ะค่ะ”

พูดพลางหมุนตัวขวับ ใบหน้าหันไปทางบรรดาขุนนาง พรรณนาด้วยน้ำเสียงฮึกเหิม “กาลก่อน... ไท่จู่ฮ่องเต้สวรรคต เดิมทีสมควรมอบบัลลังก์แก่พระโอรสของไท่จู่ฮ่องเต้ แต่เพราะพระโอรสยังทรงพระเยาว์ ด้วยคำนึงถึงไพร่ฟ้าอาณาจักร ไท่จู่ฮ่องเต้ไม่ทรงมอบบัลลังก์แก่พระโอรส แต่ทรงมอบแก่พระอนุชา ซึ่งก็คือไท่จงฮ่องเต้แห่งแผ่นดินต้าซ่งของเรา!

“ด้วยเหตุนี้พระเชษฐาสวรรคต พระอนุชาขึ้นครองราชย์ ก็นับเป็นหนึ่งในขนบประเพณีแห่งราชสำนักต้าซ่ง! บัดนี้รัชทายาทยังทรงพระเยาว์ ฮ่องเต้ประชวรสาหัส กระหม่อมคิดว่าสมควรเจริญรอยตามแบบแผนดั้งเดิม ขอฮ่องเต้ยกเลิกตำแหน่งรัชทายาท เปลี่ยนมาแต่งตั้งปาเสียนอ๋องเป็นพระอนุชาธิราชผู้รั้งตำแหน่งรัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ!”

วาจานี้ของติงเว่ยกล่าวออกมา บรรดาขุนนางใหญ่ต่างตกตะลึง โกลาหลอึงอลในชั่วพริบตา

หลิวเอ๋อร์ซึ่งอยู่เบื้องบนเดือดดาล เด้งตัวพรวดขึ้นมาอย่างโมโห ชี้หน้าพลางตวาดติงเว่ย “ติงเว่ย เจ้าบังอาจนัก! ถึงกับก้าวล่วงการแต่งตั้งรัชทายาท!”

รัชทายาทมองมารดาอย่างตึงเครียด

ติงเว่ยหมุนตัวมาอย่างเชื่องช้า ใบหน้าหันไปทางหลิวเอ๋อร์ เอ่ยอย่างไม่เกรงกลัว “ปาเสียนอ๋องขยันขันแข็ง ปฏิบัติหน้าที่เพื่อราษฎร น่าเคารพยำเกรงทั่วหล้า ได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากหมู่มวลประชา สนับสนุนปาเสียนอ๋องเป็นพระอนุชาธิราชผู้รั้งตำแหน่งรัชทายาทย่อมเป็นศูนย์รวมจิตใจแห่งปวงชน

“ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครั้งไท่จงฮ่องเต้ทรงสืบทอดการปกครองอันยิ่งใหญ่ ก็ทรงเคยสัญญาว่าภายภาคหน้ามีพระประสงค์จะคืนราชสมบัติแก่พระโอรสหรือพระนัดดาของไท่จู่ฮ่องเต้ เช่นนั้นสถานการณ์ในราชสำนักตอนนี้ กระหม่อมคิดว่าสมควรสนับสนุนปาเสียนอ๋องเป็นพระอนุชาธิราชผู้รั้งตำแหน่งรัชทายาท! กระหม่อมจงรักภักดี คำว่าวิจารณ์มาแต่ที่ใด! มีอันใดมิได้!”

สีหน้าเขาไม่ประหวั่นพรั่นพรึง ถ้อยวจีซื่อสัตย์จริงใจ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์เบื้องล่าง มีขุนนางใหญ่ไม่น้อยแสดงท่าทีเห็นด้วยกับข้อเสนอของติงเว่ย และมีขุนนางใหญ่จำนวนไม่น้อยก้าวออกมาสนับสนุน

“กระหม่อมเห็นด้วย!”

“กระหม่อมเห็นด้วย!”

สีหน้าหลิวเอ๋อร์แปรเปลี่ยนไปมาก ในดวงตาฉายแววกระวนกระวายว้าวุ่นใจ แต่หลังจากนั้นก็ฝืนสะกดกลั้น ส่วนใบหน้าเล็กของรัชทายาทที่อยู่ด้านข้างขาวเผือด ชั่วขณะทำอันใดไม่ถูก ได้แต่มองมารดาอย่างนึกหวาดหวั่น

หลิวเอ๋อร์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ สายตากวาดมองบรรดาขุนนางที่อยู่เบื้องล่างด้วยความรู้สึกวังเวงใจ กำลังจะเอ่ยปาก

ตอนนี้เองโค่วจุ่นประคองฮู่ป่านก้าวออกมาจากแถว หมุนตัวหันมาถลึงตากลมโตมองบรรดาขุนนางอย่างเคืองขุ่น แล้วมองติงเว่ยอย่างโมโหปราดหนึ่ง เอ่ยเสียงดุดัน “เวลานี้ต่างจากเวลานั้น! เรื่องสมัยไท่จงฮ่องเต้ ไหนเลยจะฝืนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ปาเสียนอ๋องแม้สัตย์ซื่อทรงคุณธรรม เมตตาต่อ

ทั่วหล้า แต่ถ้าแต่งตั้งเป็นพระอนุชาธิราชผู้รั้งตำแหน่งรัชทายาทในตอนนี้ ราษฎรจะกล่าวถึงปาเสียนอ๋องอย่างไรบ้าง อำนาจฝ่ายต่างๆ ที่จดจ้องต้าซ่งตาเป็นมันไม่ฉวยโอกาสก่อความวุ่นวายหรือ”

เสียงของโค่วจุ่นกังวานก้อง สะท้านสะเทือนจนขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนักตกตะลึง แล้วซุบซิบเสียงจ้อกแจ้กอีกครั้ง ขุนนางใหญ่ที่เมื่อครู่ก้าวออกมาสนับสนุนติงเว่ยมีสีหน้าท่าทางลังเล

จัดการสถานการณ์ให้อยู่ในความสงบแล้ว โค่วจุ่นก็หมุนตัวไปทางแม่ลูกที่อยู่เหนือท้องพระโรง “แต่งตั้งฮ่องเต้พระองค์ใหม่ในเวลานี้ประดุจสร้างสถานการณ์ความวุ่นวายภายใน สั่นคลอนขื่อแปแห่งราชสำนัก ให้คนนอกฉวยโอกาส! มิได้เด็ดขาด!”

เมื่อฟังวาจาของเขา เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของบรรดาขุนนางก็ดังขึ้นอีกครั้ง มีคนประคองฮู่ป่านก้าวออกจากแถวมาอย่างรวดเร็ว ถวายบังคมไปทางหลิวเอ๋อร์และรัชทายาทที่อยู่เหนือท้องพระโรง

“กระหม่อมคิดว่าที่โค่วเซี่ยงกงกล่าวมามีเหตุผล”

“กระหม่อมเห็นด้วย”

“กระหม่อมเห็นด้วย”

ติงเว่ยเสตามองโค่วจุ่น เอียงหูฟังเสียงซุบซิบภายในราชสำนัก ให้วูบไหวในใจ เอ่ยทัดทานอีกครั้ง “รัชทายาทดูแลปกครองแผ่นดิน ยุวราชันครองราชย์ จิตใจประชาระส่ำระสาย ไยมิใช่ทำลายเขตแคว้นแดนตน! ยิ่งไปกว่านั้น ในราชสำนักเราใช่ว่าไม่มีกรณีตัวอย่างก่อนหน้า ด้วยคุณธรรมอันดีงามของปาเสียนอ๋อง ทันทีที่ได้รับการสถาปนาเป็นพระอนุชาธิราชผู้รั้งตำแหน่งรัชทายาท ย่อมเป็นศูนย์รวมจิตใจแห่งมวลชน หมื่นประชาเชิดชูสนับสนุน จะบังเกิดความวุ่นวายภายในได้อย่างไร”

ขุนนางใหญ่อีกหลายท่านต่างตะลึงงันอีกครั้ง

ตอนนี้เอง ภายในราชสำนักแบ่งเป็นสองฝ่าย บ้างสนับสนุนโค่วจุ่น บ้างหนุนติงเว่ย สองฝ่ายถกเถียงดุเดือด ภายในท้องพระโรงใหญ่อึกทึกวุ่นวาย

หลิวเอ๋อร์ยืนมองบรรดาขุนนางที่กำลังถกเถียงกันอยู่เหนือท้องพระโรง ในใจสะท้านหวั่นไหว กำสองมือแน่น ลอบเสียใจ ‘รู้แต่แรกว่าเป็นเช่นนี้ เมื่อคืนสมควรมีราชโองการ ปลดติงเว่ยออกจากตำแหน่งอัครเสนาบดี! ด้วยพระทัยเมตตากรุณาเพียงชั่วคำนึงของฝ่าบาท กลับให้โอกาสติงเว่ยแล้ว!’

นางมีใจคิดเอ่ยบางอย่าง แต่อย่างไรเสียเพิ่งได้รับการสถาปนาเป็นฮองเฮา รู้แน่แก่ใจว่าตนในบัดนี้ยังไม่มีบารมีอันใดให้เอ่ยถึง บรรดาขุนนางใหญ่เหล่านี้ถึงแม้แสดงท่าทีเคารพนบนอบ แต่ในใจใช่จะแยแสสนใจตน โดยเฉพาะโค่วจุ่น บัดนี้แม้ช่วยพูดให้รัชทายาท แต่หลิวเอ๋อร์ก็สังเกตเห็นว่า นับแต่ต้นจนจบล้วนมิได้เรียกขานตนว่าฮองเฮาสักคำ

สำหรับพระนามแห่งฮองเฮา หลิวเอ๋อร์แท้จริงแล้วหาได้ใส่ใจ เหมือนที่นางกราบทูลเจินจงฮ่องเต้เมื่อก่อนหน้า เรื่องระหว่างสามีภรรยาของพวกเขา ผู้อื่นยอมรับหรือไม่ไยต้องแยแสสนใจ แม้นางไม่ใส่ใจตำแหน่งและพระนามแห่งฮองเฮา แต่กลับไม่อาจไม่ใส่ใจฐานะของรัชทายาท

เคราะห์ดีที่นางพบเห็นเรื่องราวทางโลกมานักต่อนัก ทั้งอ่านตำราประวัติศาสตร์จนเชี่ยวชาญ รู้แน่แก่ใจว่า ในห้วงเวลานี้หมื่นวจีมิสู้หนึ่งเงียบงัน ตนไม่เปล่งวาจายังดี หากอ้าปากเอ่ยพลั้งพลาดเพียงหนึ่งประโยค ถึงขั้นเพียงหนึ่งคำ อาจก่อให้เกิดผลอันไร้หนทางจินตนาการ

ไตร่ตรองกระจ่างในจุดนี้แล้ว หลิวเอ๋อร์ก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หันไปมองรัชทายาทที่ตระหนกตกใจเต็มใบหน้า มุมปากฝืนยกยิ้ม ส่งสายตาปลอบขวัญให้เขาก่อนนั่งลงอย่างเชื่องช้า

เพียงพริบตาผ่านพ้นไปครึ่งชั่วยาม ขุนนางสองฝ่ายยังคงถกเถียงกันดุเดือด มองพวกเขาแต่ละคนฝีปากราวกับน้ำตก วาจาหลั่งไหลไม่ขาดสาย ตะโกนลั่นถกเถียงกันเรื่องปลดรัชทายาทต่อหน้าตนและรัชทายาทอย่างไม่ไว้หน้า หลิวเอ๋อร์หน้าเขียวปั้ด กุมมือรัชทายาทแน่น ไม่เปล่งวาจาสักคำ

ท่ามกลางเสียงอึกทึกวุ่นวาย ขันทีร้องเสียงแหลมสูงหนึ่งเสียง ทำให้ทั้งท้องพระโรงเงียบสงบลง

“ปาเสียนอ๋องมาถึง!”

ขุนนางทั้งหลายได้ยินว่าปาเสียนอ๋องมาถึงแล้ว ต่างก็หลีกทางหลบไปซ้ายขวา ใบหน้าหลิวเอ๋อร์ออกจะซีดเผือด มือที่เกาะกุมมือรัชทายาทออกแรงเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว รัชทายาทเจ็บจนต้องนิ่วหน้า

ปาเสียนอ๋องในชุดคลุมมังกรสี่เล็บ สวมมงกุฎจื่อจิน231 สีหน้าร้อนรน สาวเท้าเร็วเดินเข้ามาในท้องพระโรง

ถึงกลางท้องพระโรง ปาเสียนอ๋องก็ประสานมือถวายบังคมไปทางฮองเฮาและรัชทายาท พร้อมส่งสายตาปลอบใจให้รัชทายาท ก่อนหมุนตัวมองบรรดาขุนนางใหญ่

น้ำเสียงของปาเสียนอ๋องทุ้มต่ำ เอ่ยด้วยลักษณะองอาจห้าวหาญ “ขุนนางทุกท่านรับราชการมานานปี หรือหลงเหลือเพียงตำรากาพย์กลอนมารยาทประเพณีเต็มท้อง ถึงบัดนี้ยังไม่เข้าใจการช่วยบริหารราชการแผ่นดิน เสียแรงที่ราชสกุลจ้าวแห่งแผ่นดินซ่งอยากร่วมปกครองใต้ฟ้าพร้อมเหล่าปราชญ์ขุนนางทุกท่านด้วยน้ำใสใจจริง!”

วาจาของปาเสียนอ๋องแข็งกร้าว สะท้านสะเทือนจนขุนนางบุ๋นบู๊เต็มราชสำนักตาเบิกโพลง ลิ้นพันกัน

สีหน้าเขาหนักแน่นมั่นคง ไม่ขุ่นเคืองแต่น่าเกรงขาม เห็นขุนนางต่างไม่พูดไม่จา ถึงได้เอ่ย “ฝ่าบาททรงยุติธรรมเที่ยงตรง คุณธรรมอันดีงามขจรขจาย ดูแลบริหารจนได้ใต้ฟ้าอันอุดมสมบูรณ์เช่นนี้ พวกท่านคิดปฏิเสธคุณงามความดีแห่งยุคสมัยอันสุขสงบเรืองรองนี้หรือ รัชทายาทเป็นพระโอรส นับแต่ดำรงตำแหน่งรัชทายาทแห่งตำหนักบูรพา มัธยัสถ์สุขุมมั่นคง ไร้ข้อด่างพร้อย ไหนเลยเอ่ยว่าปลดได้”

ทุกคนเงียบกริบราวกับจักจั่นในฤดูหนาว

ติงเว่ยเห็นสภาพการณ์ ก็ก้าวขึ้นหน้ากล่าวคำอย่างหวาดผวา “ปาเสียนอ๋อง ข้าก็เพื่อ...”

“เจ้าหุบปาก!” ปาเสียนอ๋องตวาดอย่างโมโห ตัดบทติงเว่ย สายตาราวกับคบเพลิง กวาดมองทั้งท้องพระโรง ไม่นานก็หมุนตัวถวายบังคมฮองเฮาและรัชทายาท

“ฮองเฮา รัชทายาท จ้าวเต๋อฟางขอลั่นสาบาน ณ ที่นี้ว่าไม่รับตำแหน่งฮ่องเต้เด็ดขาด สาบานว่าตลอดทั้งชีวิตนี้ขอจงรักภักดีต่อแผ่นดินซ่งแห่งราชสกุลจ้าว หากบิดพลิ้วผิดคำสาบาน ขอเทพเจ้าภูตผีร่วมลงโทษเด็ดชีวิต”

วาจาของปาเสียนอ๋องทำให้ติงเว่ยตกตะลึงพรึงเพริด

หลิวฮองเฮาลุกขึ้นยืนอย่างตื้นตัน ดึงรัชทายาทลงจากเก้าอี้ ก้าวฝีเท้าเร็วมาถึงตรงหน้าปาเสียนอ๋อง

นางมองปาเสียนอ๋องอย่างซาบซึ้ง เอ่ยกับรัชทายาทที่อยู่ข้างตัว “ลูกเจิน ยังไม่ขอบคุณท่านอาในความเมตตาที่ช่วยประคับประคองปกป้องอีก!”

รัชทายาทได้ฟังแล้วก็คารวะไปทางปาเสียนอ๋อง “ท่านอา หลานย่อมกระตุ้นตนให้ดูแลปกครองแผ่นดินเต็มพละกำลัง เพื่อมิให้เสียแรงในความเมตตาของท่านอา”

ปาเสียนอ๋องรีบขึ้นหน้าเข้าไปประคอง เอ่ยเสียงนอบน้อม “รัชทายาททรงคุณธรรมบริสุทธิ์เลิศล้ำ ย่อมสร้างผลงานยิ่งใหญ่ได้แน่นอน”

เห็นปาเสียนอ๋องแสดงทีท่าเช่นนี้ บรรดาขุนนางนับว่ากระจ่างแล้ว เรื่องนี้ผ่านพ้น ภายภาคหน้าไม่ต้องเอ่ยถึงอีก เอ่ยถึงก็ไร้ประโยชน์ กลับล่วงเกินราชวงศ์ นอกในมิได้รับผลตอบแทนที่ดี

โค่วจุ่นที่อยู่เบื้องล่างยิ้มอย่างปีติ ทางหนึ่งลูบเครา ทางหนึ่งพยักหน้า ท่วงท่าปลาบปลื้มยินดี

ส่วนอีกด้าน ติงเว่ยกลับหน้าม่อยคอตก ในดวงตายิ่งเผยแววสิ้นหวัง

ข้างบัลลังก์มังกร เหลยอวิ่นกงยังคงยืนมั่นบนขั้นบันได เหลือบตามอง จากนั้นก็หลุบตาลงอย่างเชื่องช้า

 

ภายในตำหนักบรรทม เจินจงฮ่องเต้ทรงไอไม่หยุด หลิวเอ๋อร์นั่งข้างแท่นบรรทมช่วยประคองพระวรกาย ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล

ผ่านไปครู่ใหญ่ทรงหยุดไอ ทรงค่อยๆ กำผ้าซับพระพักตร์แน่น แต่รอยโลหิตยังคงมีให้เห็น หลิวเอ๋อร์มองแล้วสองตาก็รื้นแดง

“บัดนี้... ไม่อาจปลดเขาออกจากราชการแล้ว” เจินจงฮ่องเต้ตรัสพลางถอนหายใจ

“เพราะเหตุใดเพคะ” หลิวเอ๋อร์ตกตะลึง สีหน้าไม่เข้าใจ

ในสายตานาง ติงเว่ยบุ่มบ่ามเอ่ยเรื่องปลดรัชทายาท ต่อให้ไม่ถูกบั่นศีรษะก็สมควรปลดออกจากราชการ เนรเทศทันที

“ติงเว่ยเพิ่งเสนอให้เหล่าปาสืบต่อราชสมบัติ บัดนี้ปลดเขาออก ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ชาวประชาต่างรู้สึกเพียงว่า... แค็กๆๆ”

หลิวเอ๋อร์รีบประคองอย่างแผ่วเบา สีหน้าสำนึกเสียใจพลางเอ่ย “หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ คิดไม่ถึงว่าความกรุณาเพียงชั่ววูบจะทิ้งภัยพิบัติเช่นนี้ไว้”

เจินจงฮ่องเต้ทรงทุเลาขึ้นบ้าง ถอนหายใจแผ่วเบา ค่อยๆ ประทับพิงเบาะก่อนตรัส “เคราะห์ดีเหล่าปาไม่ประสงค์ในบัลลังก์ แสดงท่าทีต่อหน้าสาธารณชนยับยั้งความคิดบุ่มบ่ามของเขาเสีย”

“แต่ว่า... ติงเว่ยเด่นชัดว่าทุ่มสุดตัว เขาเป็นอัครเสนาบดีมาหลายปี สมัครพรรคพวกมากมี เกรงว่าไม่เลิกราเพียงเท่านี้” หลิวเอ๋อร์ออกจะกังวล

เจินจงฮ่องเต้พยักพระพักตร์เบาๆ ขณะรับสั่ง “เราเข้าใจ ดังนั้น... จึง... สั่งให้คนเข้าเฝ้า ปรึกษาเรื่องในภายภาคหน้า”

หลิวเอ๋อร์ได้ยินคำว่า ‘เรื่องในภายภาคหน้า’ สองตาก็รื้นแดง ได้แต่ลอบปาดน้ำตา

ตอนนี้เองโจวไหวเจิ้งเดินกระย่องกระแย่งเข้ามากราบทูลเจินจงฮ่องเต้เสียงเบา “ฝ่าบาท ขุนนางทั้งสามมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เจินจงฮ่องเต้พยักพระพักตร์ แล้วประทับหลังตรง

โจวไหวเจิ้งรีบโบกมือ นางกำนัลและขันทีต่างก้มหน้าถอยออกไป เขาเองก็เขย่งฝ่าเท้า เดินออกไปด้วยฝีเท้าเร็ว

หลังจากนั้นโจวไหวเจิ้งก็เบิกตัวโคว่จุ่น หยางอี้ และเวินจ้งซู สามขุนนางใหญ่เข้ามา

ทั้งสามต่างถวายบังคมฮ่องเต้ “ถวายบังคมฝ่าบาท!”

เจินจงฮ่องเต้ทรงได้ยินก็ช้อนพระเนตรขึ้น หายใจอ่อนแรงก่อนตรัส “ไม่ต้องมีพิธีรีตอง!”

“พ่ะย่ะค่ะ!” โค่วจุ่น หยางอี้ และเวินจ้งซูยืดตัวขึ้น ปรี่เข้ามาอย่างนบนอบ โจวไหวเจิ้งเดินไปข้างโต๊ะทรงพระอักษรอย่างเงียบเชียบ ถือพู่กันยืนมั่น

หลิวเอ๋อร์ยกชายแขนเสื้อซับน้ำตาก่อนถอยออกไป

“เรา... ไม่ไหวแล้ว วันนี้เรียกพวกเจ้ามาเพื่อร่างพระราชพินัยกรรมมอบราชสมบัติ...”

เพิ่งเดินออกจากประตูมา ด้านในแว่วสุรเสียงอ่อนระโหยของเจินจงฮ่องเต้ ฝีเท้าหลิวเอ๋อร์ก็ชะงักเล็กน้อยก่อนเดินต่อไป

นางยืนที่หน้าประตูตำหนัก ชายกระโปรงแผ่ยาวสามฉื่อกว่า คลุมทับด้วยชุดคลุมพญาหงส์ แต่กลับดูอ่อนแอแบบบางกว่าสตรีสามัญทั่วไป

นางค่อยๆ หลับสองตาลง น้ำตาไหลพรากอย่างเงียบงัน

ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็โบกมือ พร้อมกับกำชับเสียงแหบแห้ง “พวกเจ้าล้วนออกไปเถอะ”

“เพคะ!” บรรดานางกำนัลที่ติดตามอยู่ด้านหลังต่างยอบกายทำความเคารพ ตอบรับเสียงอ่อนนุ่ม

เมื่อบรรดานางกำนัลหมุนตัวออกจากตำหนัก ก็ปิดประตูตำหนักด้วย

ภายในตำหนักอันใหญ่โตเหลือเพียงเงาร่างอันโดดเดี่ยว ผ่านไปพักหนึ่งหลิวเอ๋อร์ค่อยๆ ลืมตา ในดวงตานอกจากความเศร้าสร้อย ยังมีความดื้อรั้นไม่ยอมจำนน

 

แสงตะวันร้อนแรงแผดเผา ทำให้ผู้คนว้าวุ่นกระวนกระวายใจ

นอกประตูอู่ ติงเว่ยเหงื่อกาฬไหลเต็มศีรษะ ประคองหมวกขุนนางแนบบั้นเอว เดินวนเวียนไปมาหน้าประตูพระราชวัง ใช้ผ้าเช็ดหน้าต่างพัดโบกลมเป็นระยะ ก่อนเช็ดเหงื่อบนหน้าผากและใบหน้า

เขาขมวดคิ้วจ้องเขม็ง เงยหน้ามองฟ้าเพื่อคำนวณเวลาก่อนพึมพำ “นี่เวลาใดแล้ว พวกเขาสมควรออกมาแล้วกระมัง”

เพิ่งสิ้นเสียง แต่ไกลก็เห็นโค่วจุ่น หยางอี้ และเวินจ้งซูเดินออกมาจากพระราชวังด้วยสีหน้าราวกับมีเรื่องในใจทับถมหนักอึ้ง เขารีบสวมหมวกขุนนาง จัดกระชับเสื้อผ้า สาวเท้ายาวไปต้อนรับทั้งสามคน

ทั้งสามคนเมื่อเห็นติงเว่ยปราดเข้ามาก็อดหยุดชะงักมิได้ ต่างคนต่างทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

“ปีศาจเฒ่าติงมุ่งมาทางพวกเราแล้ว” หยางอี้กระทุ้งศอกใส่เวินจ้งซู เชิดคางพยักพเยิด

“คงมิใช่ได้ข่าวคราวอันใดหรอกกระมัง” ในดวงตาเวินจ้งซูฉายแววรังเกียจ

“เรื่องพระราชพินัยกรรมมอบบัลลังก์ไม่อาจป่าวประกาศในตอนนี้ สองท่านไปก่อน ข้ารับมือเขาเอง” โค่วจุ่นมองติงเว่ย ในดวงตาเผยให้เห็นความฉงนสงสัย แต่เขารู้จักคู่ต่อกรเฒ่าผู้นี้เป็นอย่างดี จึงรีบกำชับขุนนางเวินและหยางเสียงเบา

หยางอี้และเวินจ้งซูพยักหน้าเล็กน้อย มองติงเว่ยอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็สาวเท้าปลีกตัวจากไป

ติงเว่ยเร่งฝีเท้าเข้ามา ประสานมือคำนับทั้งสามคน ใบหน้ายินดีปรีดาขณะเอ่ย “ฮ่าๆๆ โค่วเซี่ยงกง ราชบัณฑิตหยาง องคมนตรีเวิน ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้”

สองคนนั้นรีบเดินผ่านไปอย่างเร่งร้อน ติงเว่ยขวางซ้ายกันขวา เมื่อเห็นโค่วจุ่นยืนอยู่ก็รีบขึ้นหน้าไปดึงชายแขนเสื้อโค่วจุ่น

โค่วจุ่นยิ้มมุมปาก “ติงเซี่ยงกง ไฉนวันนี้มีเวลาแล่นมาผ่อนคลายจิตใจถึงที่นี่”

ติงเว่ยถอนหายใจ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเจ็บปวดหนักอึ้ง “โค่วเซี่ยงกง ท่านอย่าได้ล้อข้าเล่น”

โค่วจุ่นแค่นเสียงขึ้นจมูก “ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ มิใช่ท่านหาเรื่องใส่ตัวเองหรือ”

ติงเว่ยถอนหายใจเฮือกอย่างร้าวรานใจ ส่ายหน้าพลางเอ่ย “นั่นสิ เป็นข้าหาเรื่องใส่ตัว เป็นข้าเห็นแก่ลาภยศสักการะ สิ้นสูญสติ บัดนี้คิดแล้วราวกับภาพฝันฉากหนึ่ง”

“ประหวัดถึงเมื่อแรกเริ่ม ท่านกับข้าสอบเคอจวี่เป็นจิ้นสื้อคราวเดียวกัน เป็นขุนนางร่วมราชสำนัก สนองพระเดชพระคุณฝ่าบาทพร้อมกัน สำหรับชาติสำหรับประชาแล้ว ท่านก็กระทำเรื่องดีมาไม่น้อย ผู้ใดคาดคิด...” โค่วจุ่นส่ายศีรษะอย่างเสียดาย

“คำนึงเรื่องราวแต่หนหลัง ข้าไยมิใช่สำนึกเสียใจแทบไม่ทัน ลาภยศสักการะครอบงำจิตใจ ชราเฒ่าสูญเสีย กลบฝังชื่อเสียงคุณงามความดีทั้งชีวิตด้วยมือตน...” ติงเว่ยพูดพลางน้ำตาไหลพราก รีบก้มหน้าปาดเช็ด คล้ายไม่อยากให้โค่วจุ่นเห็น

เห็นเขาตกอยู่ในสภาพนี้ ในใจโค่วจุ่นก็หวั่นไหว อาจเป็นเพราะเห็นใจในชะตากรรมแห่งสหายร่วมราชสำนัก และอาจเป็นเพราะเห็นแก่มิตรภาพครั้งเก่า สีหน้าเขาผ่อนคลายลง ผ่อนลมหายใจยาว “ทุกสิ่งทุกอย่างในอดีตก็ช่างมันเถอะ แต่เมื่อวานท่านไฉนจึงเอ่ยเสนอให้แต่งตั้งปาเสียนอ๋องเป็นพระอนุชาธิราชกะทันหัน”

ติงเว่ยเงยหน้า เอ่ยด้วยสีหน้าเข้มงวด “โค่วเซี่ยงกง เรื่องนี้ข้าหาได้คำนึงถึงประโยชน์ส่วนตนแม้แต่น้อย! เอ่ยด้วยใจเป็นธรรม ท่านว่าปาเสียนอ๋องสมควรเป็นฮ่องเต้แห่งแผ่นดินต้าซ่งหรือไม่ หากปาเสียนอ๋องเป็นฮ่องเต้ สำหรับไพร่ฟ้าในแผ่นดินไม่มีผลดีหรือ”

โค่วจุ่นส่ายหน้าขณะกล่าว “ปาเสียนอ๋องแน่นอนว่าทรงคุณธรรมแห่งยุค แต่รัชทายาทในปัจจุบันดำรงตำแหน่งรัชทายาทแห่งตำหนักบูรพา ชาวประชา ขุนนาง และใต้ฟ้าต่างสวามิภักดิ์ เปลี่ยนแปลงกะทันหันด้วยเหตุผลใดเล่า”

“อย่างไรเสียรัชทายาทยังทรงพระเยาว์...” ติงเว่ยคิดโต้แย้ง

“แต่บัดนี้มิใช่สมัยไท่จู่ฮ่องเต้ แผ่นดินต้าซ่งผ่านมาสามรัชสมัย จิตใจปวงประชามั่นคงแต่แรกแล้ว ไยต้องกระทำเกินจำเป็น” โค่วจุ่นตัดบท เอ่ยอย่างจริงใจ

“คือว่า...” วาจาของติงเว่ยชะงัก สองตาเลื่อนลอยพร้อมกับพึมพำ “หรือว่า... ข้าผิดไปแล้วอย่างแท้จริง...”

โค่วจุ่นส่ายหน้า เอ่ยอย่างจริงใจกับติงเว่ย “ท่านน่ะ... ไตร่ตรองให้ดีสักหน่อยเถอะ”

พูดจบเขาก็ชักเท้าจะจากไป ติงเว่ยตั้งสติได้รีบดึงรั้งไว้ “โค่วเซี่ยงกง โปรดชะงักฝีเท้า”

โค่วจุ่นหันมามองติงเว่ย

“โค่วเซี่ยงกง บัดนี้ผู้แซ่ติงอับจนหนทาง คิดหาใครสักคนสนทนาด้วย จวนข้ามีสุราชิงซินถังเลิศรสโอชาไหหนึ่ง โค่วเซี่ยงกงท่านเห็นว่า...” ใบหน้าติงเว่ยฉายแวววิงวอน

โค่วจุ่นส่ายหน้า “ข้ายังมีธุระ ไม่รบกวนแล้ว”

ติงเว่ยหัวเราะขมขื่นเสียงหนึ่ง ปล่อยมือที่ดึงรั้งแขนเสื้อโค่วจุ่น “ขออภัย เป็นผู้แซ่ติงวู่วาม บัดนี้ข้าดั่งหนูวิ่งพล่านกลางถนน ผู้คนรังเกียจ โค่วเซี่ยงกงถนอมชื่อเสียง ย่อมไม่อยากคลุกคลีกับข้าผู้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่...” เขาส่ายหน้าเงียบๆ แขนเสื้อลู่ตกลง เดินจากไปอย่างเชื่องช้า เด่นชัดว่าหงอยเหงาเศร้าสลดยิ่งนัก

โค่วจุ่นเห็นสภาพก็อดใจอ่อนมิได้ ลังเลครู่หนึ่ง ก่อนเดินตามไปแล้วเอ่ยอย่างจนใจ “ท่านน่ะ... รู้แต่แรกว่ามีวันนี้ ตอนนั้นไยกระทำเช่นนั้น ช่างเถอะๆ ข้าไปจวนท่าน ขอดื่มสุราสักจอก!”

 

กลางโถงบุปผาจวนติงเว่ย ติงเว่ยขะมักเขม้นคารวะสุราให้โค่วจุ่น

โค่วจุ่นเอ่ยเกลี้ยกล่อมติงเว่ยอย่างจริงใจ “ขอเพียงท่านกลับเนื้อกลับใจฉับพลัน ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสลบล้างมลทิน”

“ผู้ใดอยากเป็นขุนนางฉ้อฉล ทิ้งชื่อฉาวโฉ่นิจนิรันดร์ ผู้แซ่ติงมีใจคิดแก้ไขแล้ว!” ติงเว่ยดื่มสุราในจอกจนสิ้น เอ่ยอย่างใจกว้าง

“เช่นนี้ประเสริฐนัก!” โค่วจุ่นลูบเคราอย่างยินดี

ติงเว่ยรินสุราเต็มจอกตน แล้วรินสุราเต็มจอกให้โค่วจุ่น ชูจอกพลางเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้อแนะนำอันเลิศล้ำของโค่วเซี่ยงกง ผู้แซ่ติงจดจำไว้ในใจ ไม่ว่าฝ่าบาทจะทรงลงทัณฑ์ข้าหรือไม่ บัดนี้ความคิดจิตใจปรุโปร่งกระจ่าง ในใจสว่างโล่งขึ้นมาก โค่วเซี่ยงกง ข้าคารวะท่าน!”

โค่วจุ่นชูจอกชนกับติงเว่ยก่อนวางจอกลง เพิ่งจะเอ่ยคำ ทว่าภายในสมองวูบไหว แววตาแปรเปลี่ยนเป็นพร่าเลือน

ติงเว่ยยกแขนเสื้อบังดื่มสุรา ก่อนลดมือลงอย่างเชื่องช้า สีหน้าที่มองโค่วจุ่นเหี้ยมเกรียมขึ้นมาทันที เขาหันข้างช้าๆ เขยิบเข้าไปกระซิบข้างหูโค่วจุ่น ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม “วันนี้โค่วเซี่ยงกงเข้าวังด้วยเรื่องใดหรือ”

สีหน้าโค่วจุ่นแข็งทื่อ ดวงตาเบิกโพลง ถูกยามอมเมาสติเสียแล้ว ได้ยินคำสอบถามของติงเว่ย จึงตอบด้วยเสียงงงงวย “ฝ่าบาททรงทราบว่าพระองค์มีเวลาอีกไม่นาน ทรงเตรียมจัดการเรื่องหลังสวรรคต”

ติงเว่ยเอ่ยอย่างตะลึง “จัดการเรื่องหลังสวรรคต? ทรงคิดกระทำอันใด”

โค่วจุ่นตอบเสียงทึ่มทื่อ “ฝ่าบาทจะทรงมอบราชสมบัติแก่รัชทายาท วันนี้ให้ข้าเข้าเฝ้าเพื่อร่างพระราชพินัยกรรมมอบบัลลังก์”

ติงเว่ยยิ่งตกตะลึง “พระราชพินัยกรรมมอบบัลลังก์? ร่างเรียบร้อยแล้วหรือ”

โค่วจุ่นตอบ “แน่นอน!”

“ราชพินัยกรรมอยู่ที่ใด อยู่กับโค่วเซี่ยงกงหรือไม่” ติงเว่ยพูดพลางมองประเมินโค่วจุ่นอย่างตื่นเต้น

“พระราชพินัยกรรมมีขันทีแห่งฝ่ายในโจวไหวเจิ้งเก็บรักษาไว้แล้ว รอเพียงฝ่าบาทสวรรคตก็จะประกาศ...”

 

ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าใด โค่วจุ่นขมวดคิ้วก่อนจะตื่น

เด็กรับใช้รีบปรี่เข้าไปสอบถาม “นายท่าน ท่านตื่นแล้วหรือขอรับ”

โค่วจุ่นเคาะหน้าผากแผ่วเบา มองสี่ทิศปราดหนึ่ง พบว่าอยู่ภายในบ้านตนเอง จึงนิ่วหน้าถาม “ข้าดื่มมาก?”

เด็กรับใช้เม้มปากก่อนอมยิ้ม “นายท่านเมาที่จวนติงเซี่ยงกง เป็นติงเซี่ยงกงให้คนส่งท่านกลับจวนขอรับ”

โค่วจุ่นกุมหน้าผาก โคลงศีรษะด้วยความมึนงงหนักอึ้ง ก่อนพึมพำ “เหตุใดข้าจดจำไม่ได้สักนิด”

“นายท่าน ข้าน้อยไปยกน้ำแกงแก้เมามาให้นะขอรับ” พูดจบเด็กรับใช้ก็รีบร้อนออกไป

สีหน้าโค่วจุ่นฉงนสงสัย เคาะหน้าผากตนเองแผ่วเบา “ไฉนจึงนึกอันใดไม่ออก เฮ้อ... แก่แล้ว แก่แล้วจริงๆ...”

 

ส่งโค่วจุ่นไปไม่นาน โต๋วหมู่เทียนจุนที่หลบซุ่มอยู่ก็ปรากฏตัว

“จริงแท้แน่นอน เฒ่าดักดานโค่วบอกเองกับปาก บัดนี้พระราชพินัยกรรมมอบบัลลังก์ให้โจวไหวเจิ้งเก็บรักษา” ติงเว่ยเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง ขาดเพียงสาบาน

โต๋วหมู่เทียนจุนได้ฟังก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เขาบีบข้าเข้าตาจน!”

ติงเว่ยมองโต๋วหมู่เทียนจุนตาปริบๆ ครู่หนึ่ง โต๋วหมู่เทียนจุนก็แค่นหัวเราะเย็นชา มองติงเว่ยแล้วเอ่ย “เจ้าไม่ต้องกังวล เรื่องพระราชพินัยกรรมข้าย่อมจัดการ! เจ้าเพียงใช้เล่ห์เพทุบายผูกมัดใจบรรดาขุนนางในราชสำนักให้ร่วมมือกับข้าก็พอแล้ว”

 

ยามเย็นเหลยอวิ่นกงพยายามพลิกค้นเสาะหาภายในห้องนอนโจวไหวเจิ้ง แต่ให้ทุกอย่างคงสภาพเดิม ไม่ว่าจะพลิกหีบ คว่ำตู้ หรือเคาะผนังเคาะแผ่นปูพื้น

ในที่สุดก็พบช่องลับหลังภาพกระเรียนเซียน เหลยอวิ่นกงยินดีเต็มหน้า ยื่นมือเข้าไปในช่องลับ ล้วงกล่องสี่เหลี่ยมบุแพรด้านในออกมา บนกล่องมีแม่กุญแจและตราประทับ

เหลยอวิ่นกงยิ้มหยัน ล้วงกล่องบุแพรลักษณะเดียวกันออกมาจากอก ยัดกลับเข้าไปในช่องลับ ส่วนกล่องบุแพรเดิมกลับถูกซุกซ่อนในชายแขนเสื้อ จัดทุกอย่างกลับเข้าที่อย่างระวัง

เขาซ่อนกล่องบุแพรก่อนเดินออกมาภายนอกด้วยฝีเท้าเร็ว พลันได้ยินเสียงโจวไหวเจิ้งแว่วมาจากนอกประตู “ผู้บังคับการต้งหมิง เชิญ!”

เหลยอวิ่นกงตกใจ มองชายแขนเสื้อที่โป่งออก มองสี่ทิศรอบด้านหน้าตาเลิ่กลั่ก พลันพบว่ามุมผนังมีเสาสุราทองสูงห้าฉื่อแท่งหนึ่ง จึงรีบล้วงกล่องบุแพรออกมาโยนเข้าไปในนั้น

ประตูถูกเปิด โจวไหวเจิ้งและต้งหมิงเดินเข้ามา เห็นเหลยอวิ่นกงกำลังนั่งไขว่ห้างดื่มชาอยู่บนเก้าอี้ ต่างก็ตะลึงงัน

“เหลยกงกง ไฉนจึงอยู่ที่นี่” โจวไหวเจิ้งขมวดคิ้ว เหลือบตามองช่องลับที่ซ่อนกล่องบุแพรอย่างไม่ให้ผู้ใดทันสังเกต

เหลยอวิ่นกงมองเห็นโจวไหวเจิ้ง รีบวางจอกชาแล้วลุกขึ้นยืน ใบหน้าผุดรอยยิ้มก่อนเอ่ย “โจวกงกง ที่ท่านให้ข้าตระเตรียมเครื่องใช้ไม้สอยในงานพิธีอวมงคล ข้าเตรียมเรียบร้อยแล้ว”

พูดพลางล้วงเอาเอกสารจากอกเสื้อ สองมือประคองมอบให้โจวไหวเจิ้ง “เชิญท่านตรวจทาน”

คิ้วของโจวไหวเจิ้งคลายลง รับเอกสารไปกวาดตาอ่านแวบหนึ่ง ก่อนพยักหน้าเอ่ย “เหน็ดเหนื่อยเหลยกงกงแล้ว ข้ายังมีเรื่องปรึกษาผู้บังคับการต้งหมิง ท่านว่า...”

เหลยอวิ่นกงยิ้มอย่างเข้าใจ “ได้ๆๆ สองท่านคุยกันก่อน ขออำลา! ขออำลา!” ว่าแล้วก็พยักหน้าให้ต้งหมิง ประสานมือคำนับก่อนออกไป

ต้งหมิงหรี่ตาลง มองประเมินเหลยอวิ่นกงเที่ยวหนึ่ง ก่อนประสานมือคำนับตอบ มิได้พูดจา

รอจนเหลยอวิ่นกงออกไปแล้ว โจวไหวเจิ้งจึงรีบรุดไปยังที่ซ่อนกล่องบุแพร ตรวจสอบอย่างละเอียดรอบหนึ่ง เห็นกล่องยังอยู่ในสภาพดีไม่เสียหาย ถึงได้โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง

ต้งหมิงเดินเข้ามามองแวบหนึ่ง เห็นกล่องมีสายรัดสีทองก็รู้แน่แก่ใจ เบนสายตาไปไม่มองอีก

 

ยามราตรี จันทร์กระจ่างแขวนกลางนภา ดวงดาวพราวพร่างดารดาษราวกับผืนแพร

ใต้แสงแข เงาร่างสายหนึ่งพลันปรากฏ เป็นเหลยอวิ่นกง

เขาอาศัยแสงรัตติกาล ลอบแฉลบมายังมุมกำแพงแห่งหนึ่งในพระราชวัง โผล่หน้าขึ้นลอบมองไปยังที่พักของโจวไหวเจิ้ง

นอกที่พักของโจวไหวเจิ้งในตอนนี้คุ้มกันแน่นหนา ทหารองครักษ์สองกองกำลังเดินลาดตระเวนตรวจตรา

ตอนนี้เองต้งหมิงและหลิ่วสุยเฟิงเดินออกมาจากด้านใน เดินไปพลางสนทนากันไปพลาง

เหลยอวิ่นกงรีบหลบหลังกำแพง เงี่ยหูลอบฟัง

“เหวินฉวี่ นับจากวันนี้สถานที่สำคัญยิ่งนี้อยู่ในความรับผิดชอบเฝ้าระวังของหน่วยดาวพิฆาต วันนี้มีเจ้าอยู่เวรยามต้องระแวดระวังให้ดี!”

“ขอรับ!” หลิ่วสุยเฟิงรับคำ

เหลยอวิ่นกงลอบกัดฟัน ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจากไปอย่างเงียบเชียบ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น