2

ยี่สิบแปด ฐานะเปิดเผย


ยี่สิบแปด

ฐานะเปิดเผย

 

ฟ้าผ่าเป็นทางยาวไม่หยุดจากท้องฟ้าเหนือหุบเขานรก ถูกตาข่ายโลหะดึงดูดชักนำลงสู่ใต้ดิน แสงสีม่วงน้ำเงินสอดประสาน แลดูตระการตายิ่งนัก

ทุกคนทยอยจากไป เหลือเพียงเทียนจีจื่อและตี้หลิงจื่อซึ่งนั่งเดินลมปราณรักษาอาการบาดเจ็บ อีกทั้งเปาเจิ่งและไคหยางที่กำลังดูแลไท่สุ้ย

ไม่นานนักไท่สุ้ยที่สลบไสลก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น

“ไท่สุ้ย ท่านเป็นอย่างไรบ้าง” เปาเจิ่งสอบถามอย่างตื่นเต้นยินดี

ไท่สุ้ยมึนงงเพียงครู่ ครั้นได้สติก็ยิ้มรับ “ไม่เป็นอันใด อีกสักประเดี๋ยวข้าก็จะทุเลาจนเป็นปกติ” เอ่ยจบเขาก็หันหน้าไปมองโดยรอบ ถามอย่างสงสัย “คนเล่า”

เปาเจิ่งเล่าเรื่องหลังจากที่เขาสลบไสลให้ฟังคร่าวๆ ไท่สุ้ยพยักหน้าอย่างกระจ่างโดยพลัน ทำท่าจะลุกขึ้น

แต่พอเงยหน้าก็เห็นไคหยางขยิบตาให้ไม่หยุด แล้วบุ้ยใบ้ปากไปทางเทียนจีจื่อและตี้หลิงจื่อที่กำลังนั่งขัดสมาธิเดินลมปราณรักษาอาการบาดเจ็บ

ไท่สุ้ยตอบสนองฉับพลัน บั้นเอวที่เพิ่งยืดตรงรีบค้อมงอลงมาทันที แสร้งทำท่าอ่อนปวกเปียก

บัดนี้เทียนจีจื่อและตี้หลิงจื่อทยอยหยุดเดินลมปราณ ต่างลืมตาขึ้น

ไท่สุ้ยถามอย่างเป็นห่วง “อาจารย์ปู่ ท่านไม่เป็นอันใดกระมัง”

เทียนจีจื่อโบกมือ ยิ้มฝาดเฝื่อน “แม่นางน้อยลงมือหนักหน่วงนัก!”

ไท่สุ้ยยิ้มอย่างตะขิดตะขวงใจ จากนั้นก็รีบช่วยอธิบายให้เหยากวง “อาจารย์ปู่ ท่านอย่าได้ถือโทษเหยากวง นางสติสัมปชัญญะไม่กระจ่างเมื่ออยู่ในสภาวะระห่ำ อย่าว่าแต่ท่านคนเป็นๆ หนึ่งคน ต่อให้เผชิญหน้ากับคันฉ่องบานหนึ่ง นางเห็นตนเองในคันฉ่องยังกระโจนเข้าใส่”

ฟังไท่สุ้ยเล่าแล้วน่าสนุก ทุกคนก็อดอมยิ้มมิได้

ตอนนี้เทียนจีจื่อคิดจะลุกขึ้นยืน แต่ท่าร่างซวนเซไปเล็กน้อย เสวียนเสวียนจื่อตาคมมือไว รีบปรี่เข้าไปประคอง

เทียนจีจื่อเงยหน้ามองตาข่ายโลหะเหนือศีรษะปราดหนึ่ง “สถานที่นี้ไม่เหมาะอยู่นาน พวกเรากลับวังปี้โหยวก่อนค่อยคิดวางแผน”

 

วังปี้โหยวในบัดนี้กลายเป็นซากปรักหักพัง ที่ไม่ไกลนักยังมีควันดำลอยกรุ่น เด่นชัดว่ากองเพลิงในภูเขายังไม่ดับมอด แต่เคราะห์ดีที่ที่นี่มีต้นไม้เขียวชอุ่มชุ่มชื้น จึงไม่ต้องกังวลว่าเปลวเพลิงจะลุกลาม

ทุกคนมาถึงหน้าภูผาในเวลาไม่นาน ทอดตามองเศษซากแตกหักเต็มพื้นที่ ต่างทอดถอนใจไม่หยุด เทียนจีจื่อเดิมทีคิดกลับถ้ำเทียนจีเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ แต่เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็พลันชะงักฝีเท้า กวาดตา

มองซากปรักหักพังเต็มวังปี้โหยวด้วยสีหน้าเจ็บปวดรวดร้าว ถอนใจอย่างทุกข์เศร้า “ครอบครองหยกเป็นโทษ289! ไม่ทราบว่าตอนนั้นปรมาจารย์ได้คาดการณ์ถึงเคราะห์นี้หรือไม่...”

ทุกคนต่างนิ่งงัน ไม่กล้าเอ่ยวาจา

“เฮ้อ ช่างเถอะ ทุกคนรักษาตัวก่อนเถิด เรื่องอื่นนั้นสายสักหน่อยค่อยว่ากัน” เทียนจีจื่อทอดถอนใจอย่างปลดปลงพักหนึ่งก่อนโบกมือ เดินไปทางถ้ำเทียนจี

ภายในถ้ำเทียนจี เทียนจีจื่อหลับตานอนตะแคงบนแท่นศิลา สงบนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ปราณแท้ในร่างผุดพุ่งเป็นควันขาวตามจังหวะหายใจ ค่อยๆ รวมศูนย์เป็นรูปร่างเทพมังกรอ้าปากกางกรงเล็บ ลอยวนอยู่เหนือร่างเทียนจีจื่อสองรอบ ก่อนขดเป็นวงอย่างเชื่องช้าเข้าสู่ภายในร่าง

‘มังกรหวนสู่เอกะสมุทร หยางแสนวิสุทธิ์ซุ่มซ่อนในอิน มนุษย์เรียกขานมังกรจำศีล ข้ากลับคุ้นชินจำศีลกมล บำเพ็ญสังขารปล่อยวางจิตว่าง หายใจกระจ่างลึกสู่ตัวตน ดุจนิทราบนยอดเมฆเวหน ปรีดิ์เปรมสุขล้นไร้ผู้เทียมทัน’

เทียนจีจื่อท่องเคล็ดคาถาในใจ ค่อยๆ จ่อมจมเข้าสู่ภาวะอสังขตะ290

เสื้อผ้าอาภรณ์บนร่างปลิวไสวโดยไร้ลม เมื่อทุกอย่างหยุดชะงัก เทียนจีจื่อก็ลืมตาขึ้นทันควัน ในดวงตาปรากฏเงาร่างมังกรแฉลบผ่าน แสงวิเศษสาดประกายออกจากดวงตาประดุจเทพเซียน

 

ภายนอกถ้ำ เสวียนเสวียนจื่อและตี้หลิงจื่อนั่งขัดสมาธิบนพื้นเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ เหนือศีรษะของทั้งคู่ก็พวยพุ่งด้วยกระแสปราณแท้ แต่เทียบกับเทียนจีจื่อแล้วยังคงแตกต่างราวฟ้ากับดิน

ไคหยาง เปาเจิ่ง และไท่สุ้ยยืนอยู่ห่างออกมา กำลังสนทนากันเสียงเบา

ไท่สุ้ยทำหน้าเสียดาย เอ่ยเสียงเบา “เฮ้อ ช่างน่าเสียดายนัก คาดไม่ถึงว่าจะปล่อยให้พวกเขาหนีไปได้แบบนี้”

ไคหยางยิ้มปลอบใจ “วางใจเถอะ พวกผู้อาวุโสต้งหมิงไล่ตามไปแล้ว สองคนนั้นก็ได้รับบาดเจ็บ หนีได้ไม่ไกลหรอก”

เปาเจิ่งพยักหน้าอยู่ด้านข้าง “มิผิด! ยิ่งกว่านั้นราชครูชี่ตันเปิดเผยฐานะแล้ว หลวงจีนหนีได้อารามหนีมิได้ ช้าเร็วก็ต้องจับกุมเขาได้”

เทียนจีจื่อเดินออกจากถ้ำเทียนจีในตอนนี้เอง เห็นเสวียนเสวียนจื่อและตี้หลิงจื่อต่างนั่งขัดสมาธิเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ จึงหันไปมองไท่สุ้ย กวักมือเรียกเขาให้เข้ามาหา

ไท่สุ้ยรีบวิ่งเหยาะๆ เข้าไปเอ่ยอย่างเบิกบาน “อาจารย์ปู่ ท่านทุเลาแล้วหรือ”

เทียนจีจื่อพยักหน้าพลางยิ้มเล็กน้อย “ไม่เป็นอันใดแล้ว มา เจ้านั่งลง อาจารย์ปู่จะช่วยรักษาเจ้า”

สีหน้าไท่สุ้ยตึงเครียดขึ้นเล็กน้อย รีบส่ายหน้า แสร้งหัวเราะร่าเพื่อกลบเกลื่อน “ฮ่าๆๆ ไม่ต้องแล้วอาจารย์ปู่ บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านี้ หายดีตั้งนานแล้ว”

พูดจบก็ออกหมัดแหวกอากาศเสียงดังด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง

เทียนจีจื่อพินิจมองไท่สุ้ยอย่างละเอียดหลายครั้ง ออกจะประหลาดใจ แต่ภายในชั่วพริบตาก็ยิ้มพลางพยักหน้า

“ยังหนุ่มยังแน่น ร่างกายก็แข็งแรงเช่นนี้”

ไท่สุ้ยเกาท้ายทอยแกรกๆ ยิ้มแหยขณะลอบมองสีหน้าของเทียนจีจื่อ เห็นเขาหันไปมองเสวียนเสวียนจื่อและตี้หลิงจื่อ ไท่สุ้ยถึงได้ถอนใจอย่างโล่งอก

เสวียนเสวียนจื่อและตี้หลิงจื่อต่างทยอยหยุดเดินลมปราณแล้วลุกขึ้น เห็นเทียนจีจื่อยืนในที่ไม่ไกลกำลังมองตนเอง ทั้งสองคนก็รีบปราดเข้ามา

“อาจารย์ อาการบาดเจ็บท่านดีขึ้นแล้วหรือ” ใบหน้าเสวียนเสวียนจื่อฉายความยินดี

“สะกดไว้ชั่วคราวแล้ว แต่คิดทุเลาเบ็ดเสร็จยังต้องใช้ตัวยาบางอย่าง” เทียนจีจื่อหันไปมองเศษซากพังของวังปี้โหยวแล้วถอนหายใจหนักหน่วง “เฮ้อ ดูท่าห้องยาก็ถูกทำลายแล้ว”

สีหน้ายินดีแต่เดิมของเสวียนเสวียนจื่อสลดลง มองซากแตกหักในที่ไกล ในใจลอบเคียดแค้นชิงชังไม่วาย

นานสองนานเทียนจีจื่อถึงได้หันมามองตี้หลิงจื่อ “ศิษย์หลาน ข้าเห็นว่าอาการเจ้าทุเลาดีแล้ว ทั้งเชี่ยวชาญด้านสมุนไพร ทางนี้ข้ายังขาดหญ้าหยวนหยางเข้ากระสายยา รบกวนเจ้าเข้าป่าไปสักเที่ยวเถอะ”

ตี้หลิงจื่อก้มหน้าคำนับ “ขอรับ อาจารย์อา”

พูดจบตี้หลิงจื่อก็หมุนตัวเดินจากไป

ตอนนี้เองไท่สุ้ยเห็นเสวียนเสวียนจื่อหยุดเดินลมปราณแล้วก็รีบประชิดเข้ามา มองเสวียนเสวียนจื่ออย่างเป็นห่วงเป็นใย “อาจารย์ อาการบาดเจ็บท่านหายแล้วหรือ”

เสวียนเสวียนจื่อเห็นไท่สุ้ยกระโดดโลดเต้นอย่างมีชีวิตชีวาเข้ามาก็อดขมวดคิ้วมิได้ ลอบเหลือบมองเทียนจีจื่อ จากนั้นก็ลอบส่งสัญญาณทางสายตาให้ไท่สุ้ย

เทียนจีจื่อซึ่งยืนอยู่ด้านข้างมองไท่สุ้ยแล้วอมยิ้ม

“ไท่สุ้ย ข้ากับอาจารย์เจ้ามีเรื่องสำคัญหารือกัน เจ้ารออยู่ด้านนอกก่อน”

“ขอรับ อาจารย์ปู่!” ไท่สุ้ยรีบพยักหน้ารับคำ

เทียนจีจื่อหมุนตัวเข้าไปในถ้ำเทียนจี เสวียนเสวียนจื่อถลึงตาใส่ไท่สุ้ยแวบหนึ่ง ก่อนเดินตามเทียนจีจื่อเข้าไปในถ้ำ

ไท่สุ้ยตะลึงงัน พอตั้งสติได้ก็ตบปากตนเองอย่างกลัดกลุ้ม เอ่ยพึมพำ “แย่แล้ว ข้าลืมจนได้”

 

ภายในถ้ำเทียนจี เทียนจีจื่อยืนเอามือไพล่หลังอยู่หน้าแท่นศิลา ก้มหน้าอ่านเคล็ดวิชาหทัยมังกรจำศีลที่สลักบนนั้น เสวียนเสวียนจื่อยืนอยู่ด้านหลังด้วยสีหน้าท่าทางเคารพนอบน้อม

สักพักหนึ่งเทียนจีจื่อก็ถามโดยไม่เงยหน้า “ศิษย์เอ๋ย เจ้าฝึกวิชาหทัยมังกรจำศีลได้ถึงขั้นใดแล้ว”

มุมปากเสวียนเสวียนจื่อกระตุกเกร็ง สีหน้ากระอักกระอ่วน “ศิษย์ไร้ความสามารถ ฝึกได้เพียงขั้นพื้นฐาน”

เทียนจีจื่อหมุนตัวมามองเขา เผยรอยยิ้มบางบนใบหน้า “กล่าวเช่นนี้... เจ้าฝึกถึงเพียงขั้นหนึ่ง?”

เสวียนเสวียนจื่อพยักหน้าอย่างตะขิดตะขวงใจ หน้าแดงซ่านขึ้นมา

เทียนจีจื่อยิ้มพลางส่ายหน้า “วิชานี้ยากฝึกฝนอย่างแท้จริง สติปัญญาความสามารถพร่องเพียงเล็กน้อย กระทั่งขั้นพื้นฐานยังไม่อาจฝึกฝน กลับเป็นไท่สุ้ยฝึกสุ่มสี่สุ่มห้าก็ได้ถึงขั้นเขตแดนที่สอง ถึงทำให้ผู้คนประหลาดใจอย่างแท้จริง”

เสวียนเสวียนจื่อฝืนฉีกยิ้ม เอ่ยชื่นชมประสมโรง “พรสวรรค์ของไท่สุ้ยน่าตื่นตะลึง ศิษย์ยังห่างไกลไม่อาจเทียบ”

“อือ!” เทียนจีจื่อพยักหน้า มองเขาด้วยสายตาลุ่มลึกปราดหนึ่ง แล้วกล่าว “เรื่องที่เกิดในหุบเขานรกก่อนหน้า ตี้หลิงจื่อได้เล่าให้เจ้าฟังแล้วกระมัง”

เห็นเสวียนเสวียนจื่อพยักหน้า เทียนจีจื่อจึงเอ่ย “ไท่สุ้ยเคยถูกราชครูชี่ตันทำร้ายอย่างสาหัส เขาก็เล่าให้ฟังแล้วกระมัง”

เสวียนเสวียนจื่อพยักหน้าอีก สีหน้าออกจะตื่นกังวล

เทียนจีจื่อนิ่งเงียบลงครู่หนึ่งด้วยสีหน้าปลง ถอนหายใจแล้วกล่าว “แม้จุดยืนแตกต่างกัน แต่อาจารย์เลื่อมใสวรยุทธ์ของฮาฟั่นผู้นั้น หากเปลี่ยนเป็นข้า ถูกฝ่ามือรุนแรงหลายกระบวนท่าติดต่อกันของเขา เกรงว่าคงสิ้นชีพไม่มีทางรอด แต่ไท่สุ้ยเล่า เจ้าดูเขายังโลดเต้นกระฉับกระเฉง ไหนเลยคล้ายคนใกล้ตาย”

สีหน้าเสวียนเสวียนจื่อแตกต่างจากเดิม อ้าปากคิดเอ่ยคำ กลับถูกเทียนจีจื่อโบกมือตัดบท

“เจ้าอย่าได้บอกว่านี่เป็นเพราะความอัศจรรย์ของวิชาหทัยมังกรจำศีลอันใดเทือกนั้น วิชานี้มีอานุภาพอย่างไร ทั่วหล้านี้ไม่มีผู้ใดเข้าใจยิ่งกว่าข้าแล้ว แม้สามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ แต่ไม่อัศจรรย์เช่นนี้อย่างเด็ดขาด ว่ามาเถอะ เรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่ เจ้า... มีเรื่องปิดบังอาจารย์มาโดยตลอดใช่หรือไม่”

เสวียนเสวียนจื่อไร้คำพูดโต้แย้ง สีหน้าเปลี่ยนแปลงไม่หยุด ในที่สุดก็ค่อยๆ คุกเข่าพร้อมกับก้มศีรษะ หนึ่งถ้อยคำไม่กล่าวออกมา

เทียนจีจื่อขมวดคิ้วมองเขา ทันใดนั้นความตระหนกประหลาดใจก็ฉายชัดบนใบหน้า ปรี่เข้าไปดึงเสวียนเสวียนจื่อขึ้นโดยแรง จ้องสองตาเสวียนเสวียนจื่อตรงๆ เสียงสั่นเทิ้ม

“หรือว่า... เจ้าฝึกฝนจนรู้แจ้งศาสตร์อมตะอย่างอื่นได้”

เสวียนเสวียนจื่อเงยหน้าขึ้น สบตากับเทียนจีจื่อแวบหนึ่ง ในที่สุดก็ถอนหายใจเฮือก

“เรื่องถึงบัดนี้... ศิษย์ไม่กล้าปิดบังอาจารย์อีกแล้ว คืนนั้นจู่ๆ ศิษย์น้องหยวนหยวนจื่อก็มาพบข้า กล่าวว่าสหายมอบสุราดีให้เขาหลายไห ให้ข้าไปช่วยชิมรส ข้าไม่ทันระวังดื่มสุรากับศิษย์น้องจนเมามาย หลังจากตื่นขึ้นในวันถัดมา...”

พร้อมการบอกเล่าของเสวียนเสวียนจื่อ ภาพเหตุการณ์แต่ละฉากคล้ายปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสายตาเทียนจีจื่อ...

 

เวลาย้อนกลับไปเมื่อยี่สิบปีก่อน!

ภายในห้องนอนแห่งหนึ่งในวังปี้โหยว เสวียนเสวียนจื่อซึ่งยังหนุ่มแน่นสวมเสื้อตัวในนั่งบนเตียง สีหน้าท่าทางมึนงงเลื่อนลอย

เต๋อเมี่ยวดรุณีน้อยเสื้อผ้าอาภรณ์หลุดลุ่ยนั่งสะอึกสะอื้นร่ำไห้ที่มุมเตียง

ตอนนี้เองเทียนจีจื่อพลันถีบประตูแล้วเดินเข้าไป สีหน้าอึมครึมหนักอึ้ง ด้านหลังเป็นหยวนหยวนจื่อซึ่งยิ้มอย่างมีเลศนัยเดินตามเข้าไป ทว่าทันทีที่เข้าไปในห้อง หยวนหยวนจื่อก็เปลี่ยนมาทำท่าอดกลั้นความโกรธแค้น

“อาจารย์...” เมื่อเห็นทั้งคู่ เต๋อเมี่ยวก็ปล่อยโฮออกมาเสียงดัง โถมเข้าหาหยวนหยวนจื่อ ร่ำไห้อย่างรวดร้าว

หยวนหยวนจื่อโอบนางด้วยมือเดียว อีกมือชี้มาที่เสวียนเสวียนจื่อ จ้องตาแทบถลน “ศิษย์พี่ ท่าน...ท่านทำเรื่องเยี่ยงนี้ได้อย่างไร”

สีหน้าเสวียนเสวียนจื่อมึนงง มองหยวนหยวนจื่อนิ่งๆ ไม่เอ่ยสักคำ

หยวนหยวนจื่อกล่าวอย่างจงเกลียดจงชัง “ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร เต๋อเมี่ยวก็เป็นศิษย์หลานของท่าน ต่อให้ท่านไม่เห็นว่านางเป็นศิษย์หลาน แต่นาง... แต่นางถึงอย่างไรก็ยังเด็ก!”

ว่าแล้วหยวนหยวนจื่อก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทำท่าฝืนสะกดกลั้นน้ำตา ร่างสั่นเทิ้ม

เสวียนเสวียนจื่อในตอนนี้มีท่าทางเลื่อนลอย ละม้ายไม่กระจ่างว่าเกิดเรื่องใดขึ้น มองหยวนหยวนจื่อและเต๋อเมี่ยว แล้วมองเทียนจีจื่อ มุมปากกระตุกเกร็ง เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงฝาดเฝื่อน “อาจารย์ ข้า...”

ไม่รอให้เขาเอ่ยจบ เทียนจีจื่อก็ปราดเข้ามาหนึ่งก้าว ตบหน้าเขาอย่างรุนแรงครั้งหนึ่ง ชี้หน้าเขาพลางต่อว่าด้วยความเดือดดาล “เดรัจฉาน! ฟั่นเฟือนเสียสติ! เจ้าไสหัวไป ไสหัวไปตอนนี้ นับจากนี้ไปเจ้ากับข้าตัดขาดกัน!”

เทียนจีจื่อกล่าวจบก็ไม่แยแสปฏิกิริยาตอบสนองของลูกศิษย์แม้แต่น้อย ประหนึ่งว่ามองก็ยังไม่อยากมองสักแวบ เขาสะบัดชายแขนเสื้อรุนแรง ก่อนหมุนตัวสาวเท้ายาวจากไป

เสวียนเสวียนจื่ออ้าปากค้าง ตกตะลึงพรึงเพริด เงยหน้าขึ้นอย่างงุนงง มองหยวนหยวนจื่อและเต๋อเมี่ยว เต๋อเมี่ยวหรี่สองตาลงแล้วหมุนตัวโถมเข้าใส่อ้อมกอดหยวนหยวนจื่อ สะอึกสะอื้นร่ำไห้พลางลอบปรายตามองเสวียนเสวียนจื่อ เห็นเสวียนเสวียนจื่อมองมาก็รีบหันศีรษะซุกหน้าหลบ ท่าทางเหมือนตื่นตกใจกระนั้น

“ศิษย์น้อง...” เสวียนเสวียนจื่ออ้าปากพะงาบๆ มองหยวนหยวนจื่อคิดจะเอ่ยบางอย่าง แต่หยวนหยวนจื่อไม่เปิดโอกาสให้เขาเอ่ยคำ เอาแต่ส่ายหน้าไม่หยุด ซอยเท้าถอนใจยาว “เฮ้อ ศิษย์พี่ ท่าน... ระวังตัวให้ดีเถอะ!”

พูดจบเขาก็สะบัดชายแขนเสื้อ อุ้มเต๋อเมี่ยวสาวเท้ายาวจากไป

 

ชั่วพริบตาผ่านไปครึ่งปี นอกเมืองเปี้ยนเหลียง เสวียนเสวียนจื่อสวมชุดขาดรุ่งริ่งมอมแมมนั่งหันหน้าไปทางทิศใต้อยู่บนเนินเขา ในมือถือน้ำเต้าสกปรกเลอะเทอะหนึ่งใบ กรอกสุราเข้าปากเป็นระยะ แววตาเลือนรางเลื่อนลอยไร้อาวรณ์

ตะวันสาดแสงแรงกล้า เมฆขาวริมขอบฟ้าลอยละล่องเคลื่อนคล้อย

อีกไม่นานเสวียนเสวียนจื่อก็คงเหมือนที่แล้วมา สะลึมละลือใกล้หลับผล็อย แต่ในตอนนั้นเอง ที่เชิงเขาพลันแว่วเสียงฝีเท้าม้าเร่งร้อนระยะหนึ่ง

เสวียนเสวียนจื่อหรี่ตามอง ก็เห็นทหารม้ากลุ่มหนึ่งห้อตะบึงมาจากที่ไกล เมื่อถึงแนวป่าเบื้องหน้ากลับผ่อนฝีเท้า ชะเง้อมองซ้ายขวาเหมือนกำลังเสาะหาบางอย่าง

“เอ?” เสวียนเสวียนจื่ออุทานอย่างแปลกใจออกมา จากตำแหน่งที่เขาเอนหลังมองเห็นกลางพงหญ้าไม่ไกลจากทหารม้า สตรีตั้งครรภ์นางหนึ่งกำลังอุดปากตนหลบซ่อนอยู่ตรงนั้น

อีกไม่นานทหารม้าคงพบตัวนาง สตรีนางนั้นหวั่นเกรงจนตัวสั่น เสวียนเสวียนจื่อที่นั่งดูดายอยู่แต่เดิมพลันอดรนทนไม่ได้ ถอนใจแผ่วเบาคราหนึ่ง สำแดงวิชาตัวเบาปรากฏข้างกายสตรีตั้งครรภ์

นางตกใจจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง หันหน้ามามองพบว่าผู้มาแต่งกายอย่างนักพรต ถึงได้ถอนใจอย่างโล่งอก

เสวียนเสวียนจื่อสบตากับนาง ทำสัญญาณมือว่าอย่าส่งเสียง เห็นนางรีบอุดปากพยักหน้าเร็วรี่ เขาถึงเดินไปทางทหารม้าอย่างระมัดระวัง

อาศัยการปิดบังของพงหญ้า เสวียนเสวียนจื่อค่อยๆ ประชิดทหารม้า

ทั้งหมดหกนาย แต่ละนายสวมเกราะอ่อน สะพายคันธนูและดาบ อาชาใต้ร่างสูงใหญ่กำยำ สายตาทั้งหกนายคมกริบเยียบเย็น กำลังสอดส่องอย่างระแวดระวังไปสี่ทิศรอบด้าน

เสวียนเสวียนจื่อขมวดคิ้วมุ่น คนเหล่านี้แม้มิได้สวมชุดทหาร แต่ไม่ว่าการแต่งกาย ความเคลื่อนไหว หรือท่วงท่าล้วนมองออกว่าทั้งหกนายนี้เป็นทหารม้าที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวดกวดขัน

ไม่ทราบว่าสตรีนางนี้มีศักดิ์ฐานะใดกัน ถึงกับมีทหารเหล่านี้มาจับกุม

เสวียนเสวียนจื่อให้นึกสงสัยใคร่รู้ คิดหันไปพินิจพิจารณานางให้ละเอียด

แต่ในตอนนี้เองไก่ป่าตัวหนึ่งกระพือปีกบินขึ้นจากพงหญ้าข้างตัวเขา ทหารม้านายหนึ่งตื่นตกใจ เห็นเขาหมุนตัวขวับ ขณะเดียวกันก็ง้างสายธนูยิงเสียงดังสวบหนึ่ง ชั่วพริบตาก็ยิงไก่ป่าร่วงตก

เมื่อได้ยินเสียง คนอื่นต่างก็มองมา เห็นว่าที่ถูกยิงเป็นไก่ป่าตัวหนึ่ง พวกเขากลับมิได้หัวเราะเยาะ เพียงมองด้วยสายตาเฉยเมยปราดหนึ่ง แล้วหันไปค้นหาสืบต่อ

เสวียนเสวียนจื่อสะท้านวูบในใจ เหงื่อกาฬแตกพลั่กบนหน้าผาก

เดิมทีคิดใช้วรยุทธ์สยบพวกเขา แต่เห็นความสามารถของหลายคนแล้ว ในใจก็เย็นยะเยือกกึ่งหนึ่ง

ต้องทราบว่าคนในยุทธภพที่เกรงกลัวที่สุดหาใช่คู่ต่อสู้ที่มีวรยุทธ์สูงส่งกว่าตนไม่ แต่เป็นทหารที่ผ่านการฝึกฝนอย่างเข้มงวดเป็นระบบเช่นนี้ โดยทั่วไปแล้วพลังฝีมือของทหารไม่นับว่าสูงส่งเกินไป หากต่อสู้หนึ่งต่อหนึ่ง มิใช่คู่ต่อกรของคนในยุทธภพแม้แต่น้อย แต่ประเทศชาติมั่นคงได้ด้วยกำลังทหาร กองทัพย่อมมีวิธีการและมาตรการของตนเอง กล่าวอย่างง่ายดายก็คือสามคำนี้... กระบวนทัพ ธนู และเครือข่าย

ทหารซ่งทุกนายเมื่อเข้าร่วมกองทัพแล้วต้องฝึกฝนศาสตร์การตั้งกระบวนทัพ กระบวนทัพนี้จะกล่าวไปก็ง่ายดายคือขอให้มีความร่วมมือเท่านั้น แต่ก็เพราะความร่วมมือและความไว้วางใจซึ่งกันและกันประเภทนี้ กลับสำแดงศักยภาพออกมาให้ประจักษ์

ธนูนั้นไม่ต้องกล่าวให้มากแล้ว กฎหมายแห่งต้าซ่ง ราษฎรผู้แอบซุกซ่อนอาวุธธนูหรือหน้าไม้ไว้ต้องถูกประหารชีวิต ผู้ให้ที่พักพิงแก่ผู้กระทำผิดถูกประหารล้างโคตร

ทั่วโลกหล้าต่างล่วงรู้ นับแต่โบราณกาลมา กฎหมายแห่งต้าซ่งนับได้ว่าผ่อนปรนที่สุดแห่งยุคสมัย โทษมหันต์บั่นคอน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย พินิจจากเพียงจุดนี้ ย่อมรู้ได้ว่าราชสำนักให้ความสำคัญกับธนูหน้าไม้

ในยุทธภพแม้มียอดฝีมือทางอาวุธลับ แต่เผชิญหน้ากับธนูหรือหน้าไม้ที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษของกองทัพ ยังมิใช่คู่ต่อกรเลยแม้แต่น้อย

ส่วนที่เรียกว่าเครือข่ายก็คือเครือข่ายการจับกุม อีกประการก็คือเครือข่ายข่าวสาร สิ่งนี้ในกองทัพใช้การน้อย กลับเป็นมือปราบของกรมอาญาเห็นความสำคัญยิ่งกว่า

มองทหารม้าทั้งหกนายปูพรมไล่ค้นหา เสวียนเสวียนจื่ออดนิ่วหน้ามิได้ ออกจะลังเล ลอบเอ่ยในใจว่า ‘ไม่ว่าทหารม้าเหล่านี้จะสังกัดหน่วยงานใด ล้วนดูออกว่าพวกเขาเป็นสุดยอดในกองทัพ เด่นชัดว่าผู้อยู่เบื้องหลังพวกเขานั้นไม่อาจล่วงเกินได้อย่างง่ายดาย’

แต่ขณะที่เสวียนเสวียนจื่อเริ่มถอดใจ ด้านหลังไม่ไกลนัก สตรีนางนั้นก็พลันอุดปากโอดโอยอย่างเจ็บปวด เสวียนเสวียนจื่อหันไปมองก็พบว่าหญ้าใต้ร่างนางชุ่มโชกไปด้วยโลหิต เขาตะลึงงัน เข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังจะคลอด

ได้ยินเสียงร้องโอดโอยเจ็บปวด ทหารม้าหกนายก็รีบหันหัวม้ามาทางนี้ทันที

เสวียนเสวียนจื่อทอดถอนใจ รู้ดีว่าตนหมดหนทางถอยอีกแล้ว หากดูดายปล่อยให้สตรีที่กำลังจะคลอดบุตรตายตรงหน้า เกรงว่าทั้งชีวิตเขาคงยากจะสงบจิตใจ

อีกประการหนึ่ง ต่อให้คิดจากไปตอนนี้ เกรงว่าคงไม่อาจไปได้แล้ว

ไม่ว่าจะถูกสถานการณ์บีบคั้น หรือเพื่อมิให้มโนธรรมในจิตใจถูกประณามในภายหลัง เมื่อถึงเวลาเยี่ยงนี้เสวียนเสวียนจื่อก็ตัดสินใจ ไม่ลังเลรั้งรออีกต่อไป โบกมือโปรยผงยาหนึ่งกำออกไปโดยแรง นิ้วมือกระทำมุทราสำแดงศาสตร์ลวงตา

ดวงตาของทหารม้าที่ตกเข้าสู่ห้วงลวงตาต่างพร่าเลือน จากนั้นก็มองมายังบริเวณที่เสวียนเสวียนจื่อยืนอยู่หลายครั้ง ไม่ทราบว่าในห้วงลวงตาพวกเขามองเห็นสิ่งใด สรุปแล้วหลังจากจากผ่านไปหลายอึดใจ พวกเขาก็หันหัวม้ามุ่งไปยังอีกทิศทางหนึ่งเพื่อเสาะหา

ทหารม้าเพิ่งจากไปไม่นาน ด้านหลังเสวียนเสวียนจื่อก็แว่วเสียงร้องของเด็กทารก เขาอดหันไปมองอย่างตื่นตะลึงมิได้ ก็เห็นสตรีนางนั้นนั่งบนพื้น กลางผืนผ้าในอ้อมอกแว่วเสียงร้องอุแว้ๆ นางเห็นคนปรากฏตัว ก็รีบกระถดถอยหลังอย่างตื่นกลัว กอดกระชับทารกในอ้อมอกไว้แน่น เมื่อเห็นเป็นเสวียนเสวียนจื่อถึงได้โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง จากนั้นก็พยายามคุกเข่าค้อมคำนับขณะที่อุ้มทารก

“ขอบคุณท่านนักพรตที่ช่วยชีวิตเราแม่ลูก บุญคุณยิ่งใหญ่ไม่ลืมเลือนตลอดชีวิต หวังเพียงได้ตอบแทนคุณท่านนักพรต”

เสวียนเสวียนจื่อรีบปราดเข้าไปทำท่าจะประคองนางลุกขึ้น ทอดถอนใจก่อนกล่าว “เฮ้อ แม่นางไม่ต้องมากพิธี รีบลุกขึ้นเถิด เจ้าเพิ่งคลอดบุตร ร่างกายยังอ่อนแอ ยังต้องบำรุงดูแลให้ดี”

ในตอนนั้นเองเสียงดังสนั่นกึกก้องพลันแว่วมาจากที่ไกล เสวียนเสวียนจื่อตื่นตกใจ รีบลุกขึ้นมอง ก็เห็นกองทหารควบขี่อาชาฝุ่นตลบห้อตะบึงเร็วรี่มาทางนี้

เสวียนเสวียนจื่อตะลึงงัน หันกลับไปถามนาง “นี่ล้วนมาจับกุมเจ้าหรือ”

นางพยักหน้าเงียบๆ ก้มหน้ามองทารกในอ้อมอก น้ำตาพลันไหลพรากนองหน้า เงยหน้ามองเสวียนเสวียนจื่อแล้วเอ่ย “ท่านนักพรต เห็นแก่เด็กทารก โปรดช่วยข้าสักครั้ง”

เสวียนเสวียนจื่อย่นหัวคิ้ว ส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจ “เฮ้อ นักพรตต่ำต้อยแม้เป็นลูกเล่นในยุทธภพอยู่บ้าง แต่เผชิญหน้ากับกองทหารม้าสวมเกราะเหล็กคงต้านทานไม่ไหว ต่อให้เอาชีวิตเข้าแลกก็ไม่มีประโยชน์อันใดเลย!”

บัดนี้เสียงฝีเท้าม้าดังใกล้เข้ามาทุกที สีหน้านางแตกตื่นลนลาน ส่ายหน้าต่อเนื่อง เอ่ยเสียงรัวเร็วไม่เป็นส่ำ “ไม่ ไม่ ไม่ต้องช่วยข้า ช่วยลูกข้า ช่วยเด็กคนนี้!”

นางพยายามลุกขึ้นยืน ส่งทารกเข้าสู่อ้อมแขนเสวียนเสวียนจื่อ “ช่วยเด็กคนนี้ ช่วยพาเขาไปด้วย ท่านนักพรต ขอร้องท่าน ขอร้องท่าน ช่วยเขาด้วยเถอะ!”

น้ำตานางไหลนองหน้า แววตาที่มองเสวียนเสวียนจื่อเต็มไปด้วยความวิงวอน

“คือ...” เสวียนเสวียนจื่อลังเลครู่หนึ่ง ในใจไม่อาจอดกลั้น ในที่สุดก็ยื่นมือไปรับเด็กมา

เห็นเขารับเด็กไป นางก็รีบถอยหลังหนึ่งก้าว คุกเข่าโขกศีรษะกับพื้น

เวลานี้เสียงฝีเท้าม้ากระชั้นยิ่งขึ้นแล้ว นางลนลานลุกขึ้นเร่งเร้า “ท่านนักพรต ท่านรีบไป รีบไป”

“แล้วเจ้าล่ะ” เสวียนเสวียนจื่อถามอย่างลังเล

นางส่ายหน้า ในรอยยิ้มแฝงด้วยน้ำตา ไม่ตอบคำ

“เฮ้อ!” เสวียนเสวียนจื่อทอดถอนใจ ไม่กล่าวอันใดอีก เท้าพลันเคลื่อนไหว สำแดงวิชาตัวเบาจากไป

“วางใจเถอะ นักพรตต่ำต้อยจะดูแลเขาอย่างดี” เสียงเขาลอยล่องมาจากที่ไกล

สตรีนางนั้นปิดปากร่ำไห้สุดรันทด น้ำตาหลั่งรินไม่ขาดสาย

 

กลางป่าเขาลึก ภายในกระท่อมไม้ ทารกขาวสล้างราวกับหยกสลักนอนอยู่ในเปล เสวียนเสวียนจื่อที่อยู่ด้านข้างกำลังนอนตะแคงฝึกวิชาหทัยมังกรจำศีล

ทารกในตอนนี้อายุหลายเดือนแล้ว สองตากลมโตงดงามกำลังจ้องเสวียนเสวียนจื่อฝึกวิชา พลันยิ้มอย่างน่ารักน่าเอ็นดู น้ำลายไหลยืดจากมุมปาก กำลังส่งเสียงอ้อแอ้

เสวียนเสวียนจื่อหยุดฝึกวิชาตื่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว นั่งบนเตียงพลางถอนใจเฮือกหนึ่ง เอ่ยพึมพำ “เฮ้อ ยังคงไม่สำเร็จ หรือวิชาหทัยมังกรจำศีลกับข้าจะไร้วาสนาต่อกัน”

เขาลุกขึ้นมาถึงข้างเปลก็ยื่นนิ้วไปหยอกทารกน้อย เอ่ยเสียงเบา “หนูน้อย เจ้าอยากมีอายุวัฒนะหรือไม่”

ทารกน้อยพลันหัวเราะเอิ๊กอ๊าก เสวียนเสวียนจื่อก็สำราญใจนัก พยักหน้าเอ่ยชม “เด็กดี มีแวว อายุเพียงเท่านี้ก็อยากมีอายุวัฒนะ ได้ นักพรตชราจะช่วยหาวิธีให้เจ้า”

ว่าแล้วเขาก็ลุกขึ้นเดินออกไป ยกชามใหญ่ใบหนึ่งเข้ามา ใช้ช้อนตักน้ำแกงสีอำพันในชามขึ้นเป่าอย่างระวังก่อนป้อนทารก

หลังทารกดื่มน้ำแกงแล้ว เสวียนเสวียนจื่อก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าช่วยเช็ดมุมปากให้ แล้วยิ้มพลางจิ้มนิ้วไปที่แก้มของทารก

“หนูน้อย เจ้าช่างโชคดีเสียจริง ที่เจ้าดื่มคือน้ำแกงตุ๋นจากไท่สุ้ยพันปีทีเดียวนะ กระทั่งฮ่องเต้ยังไม่แน่ว่าจะเคยดื่ม”

ทารกน้อยมองเสวียนเสวียนจื่อ ปัดป่ายแขนเล็กๆ ไปมา ร้องตอบอ้อแอ้

เสวียนเสวียนจื่อยิ้มพลางอุ้มเขาขึ้น วางในอ่างน้ำอุ่นที่ยังมีไอน้ำลอยกรุ่น น้ำในอ่างก็เป็นสีเหลืองทอง

เขาราดรดบนร่างทารกอย่างระวัง พลางเอ่ยเสียงเบา “นี่คือน้ำสมุนไพรที่ข้ารวบรวมสินแร่ตัวยาวิเศษล้ำค่ามาต้มอย่างพิถีพิถัน ผนวกกับวิชาหทัยมังกรจำศีลของวังปี้โหยว ช่วยให้เลือดลมโคจรสะดวกราบรื่น ฮ่าๆๆ เจ้าเด็กคนนี้ใช้ชีวิตน้อยๆ ได้สำราญกว่าเทพเซียนเสียอีก!”

ทารกเล่นน้ำในอ่างอย่างเพลิดเพลิน น้ำกระเด็นโดนใบหน้าเสวียนเสวียนจื่อ เสวียนเสวียนจื่อแสร้งทำโมโห “ว่าอย่างไร ยังไม่พอใจรึ ไม่อย่างนั้นก็รอยาวิเศษไป๋เฉ่าออกจากเตา จะแบ่งให้เจ้าสักสองเม็ด”

ทารกหัวเราะเอิ๊กอ๊าก เสวียนเสวียนจื่อก็สำราญนัก “ดี ตกลงตามนี้”

 

ชั่วพริบตาสามปีผ่านพ้น

ไท่สุ้ยซึ่งมีอายุสามขวบกำลังเล่นเพลินอยู่กลางลานนอกกระท่อม

เสวียนเสวียนจื่อแบกตะกร้ายาสมุนไพรกลับมาจากข้างนอก ไท่สุ้ยมองเห็นเสวียนเสวียนจื่อ แล้ววิ่งเข้าไปหาอย่างดีอกดีใจ ร้องเรียกเสียงนุ่ม “อาจารย์ อาจารย์”

ไท่สุ้ยวิ่งไม่ทันระวัง ล้มคะมำกระแทกพื้น หัวเข่าผุดเลือดซึม เขาปล่อยโฮร้องลั่น

เสวียนเสวียนจื่อตกใจ รีบวางตะกร้ายาลง ประคองเขาขึ้นมาอย่างสงสาร กำลังจะปลอบใจ แต่เมื่อเช็ดบาดแผลของไท่สุ้ย กลับพบว่าบาดแผลที่เลือดออกเมื่อสักครู่สมานกันอย่างรวดเร็ว เสวียนเสวียนจื่อตกตะลึงก่อนเป็นลำดับแรก จากนั้นก็ตื่นเต้นยินดีสั่นสะท้านไปทั้งร่าง

บาดแผลสมานกันได้อย่างรวดเร็วอย่างนั้นหรือ เช่นนั้น... เด็กคนนี้ตายแล้วฟื้นได้หรือไม่

พลันในใจของเสวียนเสวียนจื่อผุดความคิดน่าตื่นตระหนกขึ้น ไม่ลังเลรีรอ อุ้มเด็กน้อยเดินออกไปด้านนอก มาถึงริมหน้าผาแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว สองแขนเสวียนเสวียนจื่อจับตรงช่วงใต้เข่าของไท่สุ้ย ชูเขาขึ้นสูง

ไล่มองตามสายตาเขาไป หน้าผานั้นสูงเพียงไม่กี่จั้ง ทว่าเต็มไปด้วยหินรูปร่างประหลาด หากคนตกลงไปย่อมดับดิ้นแน่นอน

ไท่สุ้ยถูกยกขึ้นกลางอากาศ หัวเราะร่าเริง ดีใจยิ่งนัก ในปากร้องเรียกไม่หยุด “อาจารย์ อาจารย์ สูงขึ้นอีก สูงขึ้นอีก”

ใบหน้าเสวียนเสวียนจื่อเผยให้เห็นความพยายามต่อสู้ดิ้นรนในใจ ในที่สุดก็ชูยกไท่สุ้ยสูงขึ้น เล่นกับเขาสักพัก จากนั้นก็หมุนตัวเดินกลับไป

เขาฝึกฝนมาทั้งชีวิต ที่แสวงหาก็คือศาสตร์แห่งความเป็นอมตะ แต่หลังจากได้เห็นรอยยิ้มอันบริสุทธิ์ของไท่สุ้ยแล้ว เขากลับยินดีละทิ้งความเป็นอมตะ ไม่ยอมเสี่ยงทำร้ายไท่สุ้ยเพื่อพิสูจน์ว่าตนกระทำสำเร็จหรือไม่

 

ชั่วหนึ่งพริบตาเวลาสามปีก็ผันผ่าน

กลางลานนอกกระท่อมไม้ ไท่สุ้ยซึ่งมีอายุหกขวบค้นพบว่าบนต้นไม้มีรังนก ทั้งยังมีเสียงนกกระจอกร้องเรียก เขาเงยหน้าขึ้นมองอย่างสงสัยใคร่รู้ มองอยู่ใต้ต้นไม้สักพัก จากนั้นก็หมุนตัวไปมองประเมินโดยรอบ พบว่ามีม้านั่งตัวหนึ่งวางอยู่ข้างกระท่อม จึงหันกลับไปยกม้านั่งมาวางใต้ต้นไม้ ปีนป่ายขึ้นไปอย่างว่องไว

เพียงแต่เขาอายุยังน้อย คิดการณ์ไม่รอบคอบ ไม่เห็นว่าขาม้านั่งกดทับบนหินก้อนหนึ่ง ม้านั่งโขยกเขยก หลังจากเขาปีนขึ้นไปแล้ว ม้านั่งก็โยกเยก เสียงดังตุบหนึ่ง ไท่สุ้ยล้มลงไปกองกับพื้น ที่บังเอิญก็คือคอของเขาฟาดกับขอบม้านั่งพอดี เสียงแครกดังกังวาน ถึงกับคอหัก

ผลมิต้องเอ่ยถึง ร่างของไท่สุ้ยชักกระตุกเพียงไม่กี่ครั้ง จากนั้นก็แน่นิ่ง ไร้ลมหายใจ

ผ่านไปครู่ใหญ่ เสวียนเสวียนจื่อกลับมาจากด้านนอก มือหนึ่งค้ำไม้เท้า อีกมือถือผลสาลี่ แผ่นหลังสะพายตะกร้าสมุนไพร เพิ่งมาถึงลานบ้านก็ตะโกนเรียกเสียงดัง “ศิษย์น้อย ออกมาเร็ว ดูซิว่าอาจารย์เอาสิ่งใดมาให้เจ้า”

เสวียนเสวียนจื่อทางหนึ่งตะโกนเรียก อีกทางก็เดินเข้าไปด้านใน พลันเห็นไท่สุ้ยล้มกองอยู่ใต้ต้นไม้ เขาตะลึงงันไปครู่หนึ่ง รีบโยนไม้เท้ากับสาลี่ในมือทิ้ง แล้ววิ่งถลันเข้าไป

“ศิษย์น้อย! ศิษย์น้อย...”

 

กลางดึกเสวียนเสวียนจื่อนั่งอยู่หน้าเตียง ร่างของไท่สุ้ยน้อยคลุมด้วยผ้าขาว โผล่ให้เห็นเพียงใบหน้าซีดเผือด

สีหน้าเสวียนเสวียนจื่อโศกเศร้าตรอมตรม สองตาบวมแดง เด่นชัดว่าร่ำไห้มาก่อน เขานิ่งงันมองไท่สุ้ย สุดท้ายฝืนทนความเจ็บปวดปิดผ้าขาวบนใบหน้าไท่สุ้ย

แต่ในตอนนี้เอง เสวียนเสวียนจื่อพลันสะดุ้งโหยง บริเวณฝ่ามือสัมผัสได้ถึงกระแสความร้อน เขาตื่นตระหนกยิ่ง มองไปทางไท่สุ้ยอย่างไม่อยากเชื่อ ก็เห็นปีกจมูกของไท่สุ้ยพลันขยับเขยื้อน จึงรีบอังมือที่จมูกแล้วคว้ามือไท่สุ้ยมาจับชีพจร สีหน้าตื่นเต้นยินดีขึ้นทุกขณะ

จากนั้นสิ่งที่ทำให้ตกตะลึงมากขึ้นก็คือไท่สุ้ยน้อยค่อยๆ ลืมตาขึ้น ใบหน้ากลับมาแดงเปล่งปลั่งอย่างรวดเร็ว

ไท่สุ้ยถึงกับกลับมามีชีวิต!

 

“ไท่สุ้ยน้อยตายแล้วฟื้น ตอนนั้นศิษย์ถึงได้ตระหนักว่าได้แสวงหาหนทางของตนสำเร็จแล้ว แต่ลองกลับมาคิดดู เป็นก้าวใดเดินได้ถูกต้องกันแน่ กระทั่งศิษย์เองก็ไม่กระจ่าง”

“หลายปีนั้นวิธีการที่ศิษย์ทดลองมีมากมายเกินไป ลำพังเฉพาะยาสมุนไพร อย่างจื่ออูเถิง291 โสม แปะก้วย อบเชย ดอกคำฝอย... ก็นับครั้งไม่ถ้วน ยากแยกแยะกระจ่างว่าก้าวใดถูกทางกันแน่ ถึงทำให้เขากลายเป็นมนุษย์พิสดารเช่นนี้”

“นับแต่นั้นมา ศิษย์ก็เรียกเขาว่าปู้สื่อเอ๋อร์ แม้จะเรียกขานเขาเช่นนี้ แต่ก็กำชับเขาว่า ห้ามมิให้ผู้อื่นล่วงรู้ความลับนี้อย่างเด็ดขาด จิตใจมนุษย์นั้นน่าหวาดหวั่นอันตราย ผู้อื่น... คงไม่เหมือนตัวศิษย์ที่เห็นเขาเป็นเหมือนบุตร...”

ฟังถึงตรงนี้ สีหน้าเทียนจีจื่อก็เปลี่ยนแปลง ในใจปลงตกมิวาย

ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาถึงได้จ้องเสวียนเสวียนจื่อแวบหนึ่งแล้วสอบถาม “กล่าวเช่นนี้... วันนั้นที่ข้าเร่งรุดไปช่วยเหลือเจ้ากลับมาถึงสำนัก ไท่สุ้ยก็อยู่ที่ลานแห่งนั้นด้วย?”

เสวียนเสวียนจื่อพยักหน้า ยิ้มขมขื่นบนใบหน้า

“ฮึ!” เทียนจีจื่อแค่นเสียงหนักหน่วง “ซึ่งก็หมายความว่าเจ้ายอมให้เขาเร่ร่อนพเนจรในยุทธภพ ดีกว่าให้อาจารย์รู้ว่าเขามีตัวตนอยู่ เจ้ากังวลว่าหลังอาจารย์รู้ความลับของเขาแล้ว เพื่อศึกษาศาสตร์อมตะจะเป็นภัยต่อเขา”

สีหน้าท่าทางของเสวียนเสวียนจื่อกระอักกระอ่วน ก้มหน้าก้มตาไม่ตอบคำ ถือว่ายอมรับอย่างเงียบๆ

เทียนจีจื่อชี้เขาอย่างไม่สบอารมณ์ พลางเอ่ยด้วยความฮึดฮัด “เจ้านี่นะ ช่างทำให้ข้าโมโหแทบตายแล้ว!”

เสวียนเสวียนจื่อกลืนไม่เข้าคายไม่ออก รีบเอ่ยอธิบาย “อาจารย์คลายโทสะ เพราะเด็กคนนี้พิเศษอย่างแท้จริง ศิษย์ไม่กล้าเสี่ยง”

เทียนจีจื่อถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “เฮ้อ เจ้าเป็นศิษย์ที่ข้าเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ เจ้าเห็นไท่สุ้ยดั่งบุตรในสายเลือด ข้าเองไหนเลยจะมิได้มองเจ้าเช่นนี้ ข้าจะใจดำทำร้ายหลานตนเองได้ลงคอหรือ”

“อาจารย์...” เสวียนเสวียนจื่อทั้งซาบซึ้งทั้งนึกละอายแก่ใจมิวาย สองตารื้นแดงโดยไม่รู้ตัว

เทียนจีจื่อโบกมือตัดบทเขา “ทว่าเจ้าระมัดระวังสักหน่อยก็มีเหตุผล สถานการณ์ของไท่สุ้ยไม่เหมาะให้คนมากมายล่วงรู้ มิฉะนั้นหากแพร่งพรายออกไป อาจก่อให้เกิดความยุ่งยากอย่างแท้จริง”

“ขอรับ” เสวียนเสวียนจื่อยกแขนขึ้นขยี้ตา ตรึกตรองสักพักก่อนเอ่ย “แต่ว่าตอนนี้เขาเติบใหญ่รู้ความ ตัวเขาเองสมควรระวัง มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่อง ล้วนเป็นคนของหน่วยดาวพิฆาต หลายคนนั้นท่านเองก็เคยพบ ล้วนซื่อสัตย์ดีงาม ไม่น่าจะทำร้ายเขา”

เทียนจีจื่อพยักหน้า จากนั้นก็ครุ่นคิดแล้วส่ายหน้า

“ไม่! ตอนนี้ไท่สุ้ยมักออกไปทำคดีภายนอก ย่อมหลีกลี้หนีไม่พ้นการต่อสู้ เมื่อมีการต่อสู้ ย่อมยากหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บ ข้ากังวลว่าเวลานานเข้าจะมีผู้อื่นค้นพบความพิเศษนี้ของเขา”

เสวียนเสวียนจื่อพยักหน้าเห็นด้วย แต่ก็มิรู้จะทำอย่างไร

เทียนจีจื่อครุ่นคิด หน้านิ่วคิ้วขมวดก่อนเอ่ยข้อเสนอออกมา “พรสวรรค์ของไท่สุ้ยพิเศษเหนือธรรมชาติ ช้าเร็วต้องสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักวังปี้โหยว ให้เขารั้งอยู่บนเขาจำศีลฝึกตบะเสียเลย”

ทว่าเสวียนเสวียนจื่อได้ฟังแล้วกลับยิ้มเจื่อน ถอนหายใจกล่าว “อาจารย์ ท่านน่าจะดูออก ด้วยนิสัยใจคอของเด็กคนนั้น ย่อมไม่มีวันรับปาก ต่อให้พวกเราบีบให้รั้งอยู่ เกรงว่าเขาคงหาโอกาสลอบหลบหนี”

“เฮ้อ!” นึกถึงนิสัยใจคอของไท่สุ้ย เทียนจีจื่อก็ปวดเศียรเวียนเกล้า เดินกลับไปกลับมาหลายก้าว เงยหน้ามองไปด้านนอกพลางระบายลมหายใจเฮือก “ช่างเถอะ พวกเราคิดอยู่ตรงนี้ก็ไร้ประโยชน์ สอบถามเขาก่อนเถอะ ดูว่าเขาจะว่าอย่างไร”

เทียนจีจื่อและเสวียนเสวียนจื่อเดินออกจากถ้ำเทียนจี เห็นไท่สุ้ยกำลังยืนสนทนากับไคหยางและเปาเจิ่งในที่ไกลออกไป

“ไท่สุ้ย เจ้ามานี่สักหน่อย” เสวียนเสวียนจื่อร้องเรียกเสียงดัง

พอได้ยิน ไท่สุ้ยก็รีบวิ่งเข้าไป คำนับเทียนจีจื่อก่อนคำนับเสวียนเสวียนจื่อ

“อาจารย์ มีเรื่องอันใดหรือ”

เทียนจีจื่อมองประเมินไท่สุ้ยขึ้นลง พบว่าอาการบาดเจ็บของไท่สุ้ยทุเลาแต่แรกแล้วอย่างแท้จริง จึงสบตากับเสวียนเสวียนจื่อแวบหนึ่งก่อนพยักหน้า

“ไท่สุ้ย ข้าถามเจ้า วิชาหทัยมังกรจำศีลเจ้าฝึกถึงขั้นใดแล้ว”

ไท่สุ้ยเกาศีรษะแกรกๆ ตอบอย่างนึกอาย “ยังคงขั้นที่สอง ระยะนี้เรื่องราวค่อนข้างมาก ไม่มีเวลาฝึกฝน”

เทียนจีจื่อพยักหน้าเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้เจ้ารั้งอยู่บนเขาเพื่อฝึกฝนกับข้า ด้วยพรสวรรค์ของเจ้า ใช้เวลาไม่นานก็สามารถล้ำหน้าข้า ภายภาคหน้าวังปี้โหยวต้องอาศัยเจ้าสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนัก พลังตบะของเจ้าในตอนนี้ยังอ่อนด้อยมากเกินไปอย่างแท้จริง”

“มิได้ๆ อาจารย์ปู่ท่านลืมแล้วหรือ ข้ายังทำงานในหน่วยดาวพิฆาต มีคดีให้จัดการทั้งวี่ทั้งวัน ไหนเลยจะมีเวลาอยู่ฝึกฝนบนเขา” ไท่สุ้ยรีบกล่าว

เทียนจีจื่อขมวดคิ้วกล่าวว่า “ทำคดีสำคัญหรือฝึกฝนสำคัญ?”

ไท่สุ้ยอึ้งงัน ก้มหน้าตรึกตรอง แล้วมองเทียนจีจื่ออย่างเอาจริงเอาจัง “อาจารย์ปู่ ข้าบอกแล้วท่านอย่าโมโห!”

เทียนจีจื่อพอได้ฟังก็รู้แน่แก่ใจ แต่เขายังคงทอดถอนใจเอ่ย “เจ้าว่ามาเถอะ ข้าไม่โมโห”

ไท่สุ้ยลอบมองสีหน้าเขา ลองสอบถามหยั่งเชิง “เช่นนั้นข้าพูดจริง”

“ให้เจ้าพูดเจ้าก็พูด พล่ามมากความมาจากที่ใด” เสวียนเสวียนจื่อที่อยู่ด้านข้างถลึงตาเอ่ยตำหนิ

ไท่สุ้ยเกาท้ายทอย ยิ้มอย่างตะขิดตะขวงใจ ทว่าก็หุบยิ้มอย่างรวดเร็ว สีหน้าท่าทางจริงจังขึ้นมาทันควัน “ทำคดีสำคัญ”

เสวียนเสวียนจื่อทำท่าจะตี ไท่สุ้ยรีบถอยหลบ ร้องเสียงสูง “อาจารย์ เป็นท่านให้ข้าพูด!”

“ช่างเถอะ!” เทียนจีจื่อโบกมือห้ามปรามเสวียนเสวียนจื่อ กวักมือเรียกไท่สุ้ยให้เขาเข้ามาใกล้

ไท่สุ้ยมองสีหน้าอาจารย์แวบหนึ่ง ก่อนยิ้มเอาอกเอาใจเดินเข้าไป

“ไท่สุ้ย เจ้าบอกให้ข้าฟัง เหตุใดเจ้าถึงคิดว่าทำคดีสำคัญกว่าฝึกฝนบำเพ็ญตบะ”

ไท่สุ้ยลองคิดดู ก่อนตอบด้วยสีหน้าเป็นการเป็นงาน “ทำคดีสามารถช่วยเหลือคน ลงโทษคนชั่ว แต่ฝึกฝนบำเพ็ญตบะ นอกจากทำให้พลังตบะของตนสูงขึ้นมาหน่อยแล้ว ประโยชน์อย่างอื่นล้วนไม่มี ส่วนเรื่องอายุวัฒนะ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่เชื่อ นับจากโบราณกาลถึงบัดนี้ ข้าไม่เคยได้ยินว่าผู้ใดสามารถฝึกฝนจนถึงขั้นมีอายุวัฒนะเป็นอมตะ ยิ่งกว่านั้น... ช่างน่าหดหู่อย่างแท้จริง วันทั้งวันขังตัวเองนั่งขัดสมาธิในห้องเล็กๆ แตกต่างอันใดกับเข้าคุกติดตะราง แบบนี้ต่อให้มีอายุวัฒนะแล้วมีความหมายอันใด ถึงอย่างไรข้าอยู่แบบนี้มิได้”

ฟังวาจาของเขา เทียนจีจื่อและเสวียนเสวียนจื่อก็สบตากันแล้วยิ้มเจื่อน เทียนจีจื่อส่ายหน้าพลางถอนหายใจ “เฮ้อ ช่างเถอะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เสวียนเสวียนจื่อเจ้าก็ลงเขาไปพร้อมไท่สุ้ยเถอะ เขาเป็นความหวังในอนาคตของวังปี้โหยว เจ้าต้องปกป้องคุ้มกันเขาให้ดี แม้เขาไร้ใจฝึกฝนบำเพ็ญตบะในตอนนี้ แต่ช้าเร็วย่อมเข้าใจพวกเรา”

เสวียนเสวียนจื่อลังเลไปพักหนึ่ง มองเทียนจีจื่ออย่างเป็นห่วง “อาจารย์ หากศิษย์ลงจากเขา ข้างกายท่านไหนเลยจะมีผู้ดูแล หากมีคนหาเรื่อง...”

เทียนจีจื่อโบกมือ ยิ้มเล็กน้อยก่อนกล่าว “ข้าไร้สมบัติพัสถาน วังปี้โหยวก็กลายเป็นเช่นนี้แล้ว ผู้ใดยังคิดเสาะหาความยุ่งยากกับข้า กลับเป็นเจ้า หลังลงจากเขาแล้วต้องช่วยพวกไท่สุ้ยให้มาก ‘ภาพผลักหลัง’ นั้นถึงอย่างไรก็ถือกำเนิดจากน้ำมือปรมาจารย์ ฮาฟั่นผู้นั้นเป็นราชครูของต่างแดน หากให้เขาอาศัยสิ่งนี้กระทำการร้ายจนสะท้านสะเทือนทั่วหล้า พวกเราก็ต้องรับกรรม”

“ขอรับ อาจารย์วางใจ ศิษย์ย่อมเสาะหา ‘ภาพผลักหลัง’ กลับมาได้อย่างแน่นอน”

เทียนจีจื่อพยักหน้าพลางถอนหายใจ ในดวงตาแฝงความอ่อนล้า “เดิมทีเรื่องนี้สมควรเป็นข้าไปจัดการเอง แต่ข้าอายุอานามมากแล้วอย่างแท้จริง ระยะนี้มักรู้สึกเรี่ยวแรงไม่อำนวย ไม่ยอมรับว่าชรามิได้แล้ว”

“อาจารย์ ท่านต้องรักษาสุขภาพ ผู้คนนับจากบนลงล่างในวังปี้โหยวล้วนฝากความหวังไว้ที่ท่าน” เสวียนเสวียนจื่อมองอาจารย์อย่างห่วงใย ในใจบังเกิดความลังเล หรือว่าตนสมควรรั้งอยู่เป็นเพื่อนอาจารย์

ราวกับคาดเดาความคิดอ่านของเสวียนเสวียนจื่อได้ทะลุปรุโปร่ง เทียนจีจื่อโบกมือกล่าว “วางใจเถอะ แม้อาจารย์ชราแล้ว แต่ในชั่วครึ่งค่อนขณะยังไม่ตายง่ายๆ”

ไท่สุ้ยเอ่ยแทรก “ไม่ชราหรอก อาจารย์ปู่ยังหนุ่มแน่นหล่อเหลา ท่วงท่าสง่างาม ยืนพร้อมอาจารย์ข้า ที่ไม่รู้ยังคิดว่าท่านเป็นหลานชายของเขา จะชราได้อย่างไร”

ได้ยินไท่สุ้ยเปรียบอาจารย์เป็นหลานชายตนเอง เสวียนเสวียนจื่อก็ตวาดอย่างโมโหทันที “หุบปาก!”

เทียนจีจื่อกลับถูกเย้าจนหัวเราะ โบกมือไปทางเสวียนเสวียนจื่อ ยิ้มมองไท่สุ้ยแล้วกล่าว “เจ้าเด็กคนนี้ซุกซนนัก! อาจารย์ปู่มีศาสตร์คงความอ่อนเยาว์ แต่มิได้หมายความว่าอายุที่แท้จริงจะอ่อนวัยเหมือนรูปลักษณ์ภายนอก เอาละ ไม่เอ่ยให้มากความแล้ว พวกเจ้าลงจากเขาไปตอนนี้เถอะ” เอ่ยถึงตรงนี้เทียนจีจื่อก็ออกจะเหนื่อยล้า

เห็นดังนั้น เสวียนเสวียนจื่อก็ไม่เอ่ยอันใดอีก เพียงแต่ค่อยๆ คุกเข่าลงคำนับอย่างเคารพ

ไท่สุ้ยพอเห็นก็รีบคุกเข่าตาม

“อาจารย์ ศิษย์จากไปแล้ว”

“อาจารย์ปู่ ไท่สุ้ยก็จากไปแล้ว รอจัดการคดีนี้แล้วเสร็จ ข้ากับอาจารย์จะกลับมาเยี่ยมท่าน”

เทียนจีจื่อพยักหน้าพลางยิ้มเล็กน้อย ยื่นแขนมาทำท่าให้ทั้งสองลุกขึ้น “เอาละ ลุกขึ้นเถอะ”

เสวียนเสวียนจื่อและไท่สุ้ยโขกศีรษะอย่างเคารพหลายครั้งก่อนลุกขึ้น บอกเปาเจิ่งและไคหยาง กล่าวอำลาเทียนจีจื่อแล้วลงจากเขาไป

มองเงาหลังที่จากไปของพวกเขา เทียนจีจื่อก็ระบายลมหายใจเฮือก ก่อนหันไปมองซากปรักหักพังของวังปี้โหยว ใบหน้าฉายความเจ็บปวดและเศร้าหมอง

ผ่านไปอีกสักครู่ ตี้หลิงจื่อก็แบกตะกร้ายากลับมา มองซ้ายมองขวา พบว่าเสวียนเสวียนจื่อและคนอื่นๆ ต่างจากไปแล้ว สีหน้าครุ่นคิดหนักหน่วง บัดนี้เทียนจีจื่อได้ยินเสียงก็หันกลับมามอง ตี้หลิงจื่อรีบตั้งสติเดินเข้าไปคำนับ

“อาจารย์อา ยามาแล้ว”

เทียนจีจื่อพยักหน้า “วางยาไว้ที่นั่นก่อนเถอะ ศิษย์หลานตี้หลิงจื่อ เสวียนเสวียนกับไท่สุ้ยลงจากเขาไปแล้ว วังปี้โหยวหลังถูกเผาทำลาย ลูกศิษย์บางคนกระจัดพลัดพรากอยู่ภายนอก เจ้าไปรับพวกเขากลับมา พวกเราก่อที่พักบำเพ็ญปฏิบัติเป็นการชั่วคราว สักวันหนึ่งวังปี้โหยวต้องสร้างขึ้นใหม่!”

สีหน้าตี้หลิงจื่อตื้นตัน พลันคุกเข่าลง กล่าวเสียงดัง “อาจารย์อา ศิษย์เองก็อยากลงจากเขา”

เสวียนเสวียนจื่อตะลึงงัน

ตี้หลิงจื่อดูสะเทือนอารมณ์ “อาจารย์มีพระคุณใหญ่หลวงต่อศิษย์ ความแค้นของอาจารย์ยังมิได้ชำระ ศิษย์กินนอนไม่เป็นสุข ไร้แก่ใจจะบำเพ็ญปฏิบัติบนเขา ขออาจารย์อาอนุญาตให้ศิษย์ลงจากเขา”

เทียนจีจื่อเงียบงันไปครู่หนึ่งก่อนถอนหายใจแผ่วเบา ขึ้นหน้าไปประคองตี้หลิงจื่อ

“เอาเถอะ เจ้าไปเถอะ เพียงจดจำไว้ อย่าทำให้ตนหลงทางเพราะความแค้น ยิ่งไม่อาจทำร้ายผู้บริสุทธิ์เพราะเหตุนี้”

ตี้หลิงจื่อโขกศีรษะสามครั้งก่อนลุกขึ้น เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “อาจารย์อาวางใจ ตี้หลิงจื่อไปคราวนี้เพื่อสังหารฮาฟั่นเพียงคนเดียว”

 

กลางป่ารกร้าง เสียงสวบสาบดังขึ้นจากพงหญ้าเตี้ยๆ กระต่ายป่าตัวหนึ่งกำลังหาอาหารอยู่ สองหูตั้งขึ้น เงยหน้ามองสี่ทิศรอบด้านอย่างระแวดระวังเป็นระยะ

ทันใดนั้นเงาร่างสองสายหนึ่งหน้าหนึ่งหลังปรากฏขึ้น ห้อตะบึงไปไกล

กระต่ายป่าตกใจ ฝูงนกในที่อยู่ห่างออกไปก็แตกตื่น กระพือปีกฮือ

ด้านหลังต้งหมิง หลิ่วสุยเฟิง และเหยากวงทยอยปรากฏตัว ไล่กวดไม่ลดละ

 

“ศิษย์น้อง รอข้าด้วย” ไท่สุ้ยและคนอื่นๆ ลงจากเขามาไม่นาน ด้านหลังพลันแว่วเสียงตี้หลิงจื่อดังขึ้น

ทั้งสี่คนหมุนตัวไปมอง ก็เห็นเงาร่างของตี้หลิงจื่อแฉลบมาอย่างรวดเร็วราวกับลูกธนู

“ศิษย์พี่ตี้หลิงจื่อ ไฉนท่านก็ลงจากเขามาด้วย” เสวียนเสวียนจื่อมองเขาอย่างประหลาดใจ

คนอื่นๆ ก็เข้ามาคำนับ

ตี้หลิงจื่อประสานมือคำนับไปทางทุกคนก่อน แล้วกล่าวกับเสวียนเสวียนจื่อ “ศิษย์น้อง เจ้าก็รู้ว่าข้ามีความแค้นสังหารอาจารย์กับราชครูชี่ตันผู้นั้น หากไม่อาจสังหารคู่อาฆาตด้วยมือ ศิษย์พี่ก็ยากจะกินนอนเป็นสุข อีกประการหนึ่ง ‘ภาพผลักหลัง’ สลักสำคัญ ข้าเองก็อยากช่วยลงแรงด้วย”

เสวียนเสวียนจื่อดีใจนัก คนอื่นๆ ก็หน้าตาชื่มมื่นยินดี

“ศิษย์พี่ตี้หลิงจื่อ ท่านมีวรยุทธ์สูงส่งแกร่งกล้า มีท่านร่วมทาง พวกเราก็มั่นใจขึ้นหลายส่วน”

หลายคนยิ้มแย้มขณะเดินทางลงจากเขา มาถึงถนนหลวงอย่างรวดเร็ว

เมื่อใกล้ถึงทางแยกเบื้องหน้า เห็นขบวนธงโบกสะบัดพัดพลิ้ว คนกับม้ามากมีรวมตัวกันหยุดอยู่ตรงนั้น ทุกคนต่างสบตากันก่อนชะงักฝีเท้าแต่ไกล

ไคหยางยกมือบังแดด ชะเง้อมองไปข้างหน้า พบว่าคนเหลานี้สวมเกราะใหม่เอี่ยม มีขบวนทหารม้าคอยคุ้มกันสองข้างทาง กลางขบวนมีร่มฉัตรทองกั้นกางสูงเด่น บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยนายทหาร

“นี่คือขบวนเสด็จ ไฉนจึงปรากฏที่นี่” ไคหยางเอ่ยอย่างฉงนสงสัย

เปาเจิ่งมองทิศทางซ้ายขวาอยู่ครู่หนึ่ง “ดูจากทิศทาง เหมือนว่ากลับมาจากเขตล่าสัตว์หลวง พอดียิ่ง พวกเราทูลฝ่าบาทและไทเฮา เรื่อง ‘ภาพผลักหลัง’ ได้”

กลางขบวนหลิวเอ๋อร์และจ้าวเจินนั่งอยู่บนรถม้า ปาเสียนอ๋องและแม่ทัพใหญ่เฉาขี่ม้าขนาบซ้ายขวาคอยคุ้มกัน

ขบวนหยุดลง องครักษ์นายหนึ่งวิ่งมาถึงตรงหน้าร่มฉัตรแล้วร้องเสียงสูง “ทูลฝ่าบาท ด้านหน้ามีผู้ขวางขบวนขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ กล่าวว่าเป็นไคหยางและไท่สุ้ยแห่งหน่วยดาวพิฆาต เปาเจิ่งตุลาการสำนักศาลต้าหลี่ และนักพรตวังปี้โหยวอีกสองท่าน”

“หือ? ให้พวกเขาเข้ามาเถอะ” เมื่อได้ยินว่าไท่สุ้ยอยู่ด้วย จ้าวเจินก็นึกยินดีขึ้นมาทันที รีบกำชับสั่ง

“รับพระบัญชา” องครักษ์รับคำสั่งแล้วถอยออกไป

คนแถวหนึ่งถูกพาเข้ามาตรงหน้าฮ่องเต้อย่างรวดเร็ว

หลายคนนั้นประสานมือคำนับ ร้องเสียงดังอย่างพร้อมเพรียง “ถวายบังคมฝ่าบาท ไทเฮา”

“ทุกท่านไม่ต้องมากพิธี” จ้าวเจินกล่าวเสียงกังวาน พูดจบก็กวาดตามองซ้ายขวา พบว่ามีสี่คน จึงอดถามอย่างสงสัยมิได้ “เมื่อครู่กล่าวว่านักพรตสองท่านมิใช่หรือ เหตุใดขาดไปหนึ่งท่าน”

ไท่สุ้ยหันไปมอง ก็พบว่าอาจารย์ของตนหายไปแล้ว จึงอดมองตี้หลิงจื่ออย่างแปลกใจมิได้

สีหน้าตี้หลิงจื่อกระอักกระอ่วน กระซิบกระซาบ “อาจารย์เจ้าจู่ๆ ก็เกิดปวดท้อง...”

มุมปากไท่สุ้ยกระตุก หันมาอย่างจนใจ ทูลรายงานจ้าวเจิน “ฝ่าบาท อาจารย์ข้าเมฆเลื่อนลอยกระเรียนป่า292 ไม่ประสากฎเกณฑ์ราชสำนัก...”

เขาคิดแล้ว ไม่อาจแต่งสรรปั้นเรื่องที่ชอบด้วยเหตุผลใดออกมาได้ จึงได้แต่ทอดถอนใจ เอ่ยออกมาตามจริง “คือว่า... อาจารย์ข้าเกิดปวดหนัก ไปสุขาแล้ว”

หลิวเอ๋อร์ปิดปากลอบยิ้ม จ้าวเจินฮ่องเต้น้อยปล่อยหัวเราะพรวดออกมา

“ไม่เป็นอันใด” จ้าวเจินหัวเราะสองเสียง รู้ว่าออกจะเสียมารยาท รีบกลั้นหัวเราะแล้วสอบถาม “พวกท่านมาด้วยเรื่องใดกัน”

ทุกคนมองไปทางเปาเจิ่ง เป็นนัยให้เขาก้าวขึ้นหน้ากราบทูล

เปาเจิ่งพยักหน้า ย่างหนึ่งก้าวขึ้นหน้าทูลรายงาน “ฝ่าบาท เป็นเช่นนี้...”

ไท่สุ้ยและคนอื่นๆ กำลังเข้าเฝ้า อีกฟากหนึ่งเสวียนเสวียนจื่อกลับหลบอยู่ในแนวป่า ชะเง้อมองขบวนเสด็จแต่ไกลๆ ด้วยสีหน้าตระหนกสะท้าน

เขามองหลิวเอ๋อร์ซึ่งสวมอาภรณ์ชาววัง บางครั้งท่าทางประหลาดใจระคนยินดี บางครั้งก็ดูกระวนกระวายใจ

ที่แท้นางยังมีชีวิตอยู่ ที่แท้นางเป็นไทเฮาในตอนนี้

เช่นนั้นไท่สุ้ย... ไหนเลยมิใช่มีเชื้อสายราชวงศ์

หากให้ไท่สุ้ยแสดงตัว เช่นนั้นไท่สุ้ยก็กลายท่านอ๋องแล้ว

เสวียนเสวียนจื่อลังเลในใจ ข้างหูแว่วเสียงของอาจารย์ “พรสวรรค์ของไท่สุ้ยพิเศษเหนือธรรมชาติ ช้าเร็วต้องสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักวังปี้โหยว...”

เสวียนเสวียนจื่อมองขบวนเสด็จที่อยู่ไกลๆ อย่างเงียบงัน ข้างหูแว่วเสียงสนทนาระหว่างตนเองกับไท่สุ้ยในกาลก่อน

“อาจารย์ ข้าได้ท่านช่วยเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็ก ในสายตาข้า ท่านเป็นทั้งอาจารย์และเป็นทั้งบิดา ภายภาคหน้าศิษย์แต่งงานมีลูก ลูกข้าจะเรียกท่านว่าท่านปู่ ถึงตอนนั้นพวกเราอาศัยด้วยกัน หากลูกข้ารู้ความ ท่านช่วยสอนวิชาให้เขา ถ้าเขาไม่เชื่อฟัง ท่านตีเขาได้เลย ถึงอย่างไรให้ท่านถือว่าเขาเป็นหลานแท้ๆ”

เสวียนเสวียนจื่อฟังแล้วดีอกดีใจยิ่ง หัวเราะเสียงดัง “แล้วถ้าเป็นเด็กหญิงเล่า”

“เด็กหญิงก็เช่นกัน ล้วนเป็นลูกหลานของท่าน”

ผ่านไปอีกสักครู่ใหญ่ เสวียนเสวียนจื่อก็ตื่นจากภวังค์ มองขบวนเสด็จที่อยู่ไกลๆ ในที่สุดก็ระบายลมหายใจยาว เอ่ยพึมพำเสียงเบากับตนเอง “ไท่สุ้ย อย่าโทษอาจารย์ ราชสำนักไม่พร่องหนึ่งท่านอ๋อง อาจารย์... กลับมีเจ้าเพียงคนเดียว เข้าสู่ครอบครัวสูงศักดิ์ดั่งจมสมุทร หากเข้ารั้วเข้าวังเล่า”

 

“อันใดนะ! เรื่องนี้ถึงกับมีราชครูชี่ตันเกี่ยวข้องด้วยหรือ” หลิวเอ๋อร์ฟังคำรายงานของหลายคนเสร็จสิ้น สีหน้าก็แปรเปลี่ยนใหญ่โต ลุกพรวดขึ้นยืน

“มิใช่เข้าร่วม ฮาฟั่นก็คือตัวการพ่ะย่ะค่ะ” เปาเจิ่งเอ่ยเสียงทุ้ม

หลิวเอ๋อร์ตกตะลึง รีบออกคำสั่ง “เจ้าหน้าที่ ให้ทหารองครักษ์ไปจับกุม...”

ยังไม่ทันสิ้นเสียง ปาเสียนอ๋องก็ก้าวออกมาหนึ่งก้าว เอ่ยปราม “ไทเฮา มิได้พ่ะย่ะค่ะ!”

หลิวเอ๋อร์มองปาเสียนอ๋องอย่างสงสัย

ปาเสียนอ๋องเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ไทเฮา ฮาฟั่นผู้นั้นเป็นราชครูของชี่ตัน เข้ามาในต้าซ่งในฐานะราชทูต หากจับกุมโดยตรงย่อมก่อให้เกิดสงครามระหว่างสองแผ่นดิน และฝ่าบาททรงเสาะหา ‘ภาพผลักหลัง’ เดิมทีก็เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามที่ไร้ความหมาย ให้ราษฎรได้มีชีวิตอันสุขสงบ หากสู้รบเพื่อการนี้อาจจะได้ไม่คุ้มเสีย ลำดับความสำคัญกลับตาลปัตร!”

“แต่ว่า... หาก ‘ภาพผลักหลัง’ ถูกชาวชี่ตันได้ไป...” หลิวเอ๋อร์มีสีหน้าเป็นกังวล

ตอนนี้เองจ้าวเจินก็ลุกขึ้นยืนประคองหลิวเอ๋อร์ให้นั่งลง ยิ้มเล็กน้อยก่อนเอ่ย “ท่านแม่ อย่าร้อนใจ”

หลิวเอ๋อร์มองเขาอย่างสงสัย แต่ไม่ต่อต้าน หลังนั่งลงแล้วก็รอเขาเอ่ยคำ

จ้าวเจินหันไปมองปลอบใจนาง ก่อนหันไปมองทุกคน เอ่ยเสียงกังวาน “ยินดีที่ได้มา ยอมรับที่เสียไป รากฐานแห่งการดำรงอยู่สืบต่อของราชวงศ์หนึ่งคือจิตใจแห่งราษฎร ต้าซ่งเจริญรุ่งเรืองอย่างไร ต้องพิจารณาจากการบริหารราชการแผ่นดินของฮ่องเต้แต่ละรัชสมัย ต้องพิจารณาขุนนางบุ๋นบู๊ปฏิบัติหน้าที่อย่างไร หาใช่ขึ้นอยู่กับ ‘ภาพผลักหลัง’”

เอ่ยถึงตรงนี้ จ้าวเจินก็ทอดสายตามองไกล แหงนหน้ายืดอกด้วยจิตใจฮึกเหิม “เราคิดว่าหากผู้ที่เป็นฮ่องเต้บริหารราชการแผ่นดินได้ถูกต้องเหมาะสม ผู้ที่เป็นขุนนางมีจิตใจมุ่งมั่นเพื่อราษฎร ชาวประชาย่อมมีใจสวามิภักดิ์ศรัทธา เมื่อถึงตอนนั้นต่อให้มีผู้นำ ‘ภาพผลักหลัง’ มาปลุกปั่นสร้างสถานการณ์ก็ไม่มีประโยชน์อันใด ในทางกลับกัน ไม่ต้องใช้ ‘ภาพผลักหลัง’ หากชีวิตราษฎรยากดำเนินต่อไปได้ ผู้ปกครองย่อมถูกปฏิวัติล้มล้าง”

ทุกคนต่างมีสีหน้าตื่นตระหนกตกใจ จากนั้นก็คุกเข่าลงถวายบังคม กู่ก้องร้องเสียงสูง “ฝ่าบาททรงพระปรีชา”

หลิวเอ๋อร์มองฮ่องเต้น้อยอย่างชื่นชม พยักหน้าเล็กน้อย ผุดรอยยิ้มเบิกบานใจ

จ้าวเจินกล่าวถึงตรงนี้ แล้วมองไปทางพวกไท่สุ้ยก่อนเอ่ยเสียงกังวาน “ไท่สุ้ย ไคหยาง พวกท่านกลับไปบอกผู้บังคับการต้งหมิง เรื่องนี้หน่วยดาวพิฆาตเพียงทำให้ดีที่สุดก็พอ ไม่จำเป็นต้องฝืน ต่อให้สุดท้ายหา ‘ภาพผลักหลัง’ ไม่พบ เราก็ไม่ลงโทษพวกท่าน”

ไท่สุ้ยและไคหยางคำนับพลางเอ่ยพร้อมกัน “ขอบพระทัยฝ่าบาท”

ปาเสียนอ๋องเดินออกมาจากด้านข้าง เอ่ยเสริม “ฝ่าบาททรงพระปรีชา ทว่าราชทูตชี่ตันแม้พวกเราไม่อาจจับกุม ก็ไม่อาจปล่อยให้พวกเขาเที่ยวก่อความวุ่นวายในแผ่นดินต้าซ่งของเราตามอำเภอใจ! มิสู้ให้แม่ทัพใหญ่เฉานำกำลังทหารไป กักบริเวณชาวชี่ตันโดยอ้างว่าเพื่อคุ้มกัน ให้นอกในตัดขาด ป้องกันพวกเขาลอบส่งข่าวสาร เมื่อเป็นเช่นนี้สามารถหน่วงเหนี่ยวเวลาให้หน่วยดาวพิฆาตสืบเสาะที่ซ่อน ‘ภาพผลักหลัง’ ได้สะดวก”

จ้าวเจินฟังแล้วก็พยักหน้าไม่หยุด “ที่ท่านอากล่าวถูกต้องยิ่งนัก! แม่ทัพเฉา ท่านนำกำลังพลไปที่กู่ชุยไถ ดำเนินการตามที่ท่านอากล่าวมา”

“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา” เฉาเหว่ยรับคำสั่งแล้วถอยออกมา

ทหารในขบวนเสด็จแบ่งออกเป็นสองสายอย่างรวดเร็ว ฮ่องเต้น้อย หลิวเอ๋อร์ และปาเสียนอ๋องเดินทางต่อไปยังพระราชวัง ส่วนแม่ทัพใหญ่เฉาและพวกไท่สุ้ยนำกำลังทหารองครักษ์บางส่วนยืนตรงอย่างเคารพรอขบวนเสด็จของฮ่องเต้จากไปก่อน

หลังขบวนเสด็จจากไปแล้ว เสวียนเสวียนจื่อก็พลันปรากฏตัวที่ข้างกายไท่สุ้ย

ไท่สุ้ยมองอาจารย์อย่างประหลาดใจ “อาจารย์ อยู่ดีๆ ท่านเกิดปวดท้องอันใดกัน น่าเสียดายนัก ฮ่องเต้ไปเสียแล้ว ท่านไม่มีวาสนาได้เห็น”

เสวียนเสวียนจื่อแกล้งกุมท้องแล้วยิ้มแห้งๆ “มนุษย์ต้องขับถ่าย ช่วยไม่ได้นี่”

แม่ทัพใหญ่เฉามองไท่สุ้ยอย่างไม่พอใจแวบหนึ่ง พลางคำรามลั่น “ขึ้นม้า!”

ทหารองครักษ์โดยรอบเดิมทียืนเงียบไร้วาจา ทันทีที่ได้รับคำสั่งก็กระโดดขึ้นม้าอย่างพร้อมเพรียง

ไท่สุ้ยลูบปลายจมูก ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน รู้ดีว่าว่าที่พ่อตาขัดหูขัดตาตนจึงไม่เอ่ยอันใด ก่อนเดินทางไปพร้อมกองทหาร

 

กู่ชุยไถ เขตพำนักของคณะทูตชี่ตัน ประตูกลางเปิดกว้าง ทหารยามยืนรักษาการณ์ซ้ายขวาหน้าประตูข้างละนาย มองโดยรอบอย่างระแวดระวัง

ทันใดนั้นคนปิดหน้าผู้หนึ่งก็ทะยานลงจากฟ้า แฉลบร่างแล้วบุกฝ่าเข้าไป

ความเคลื่อนไหวของเขาฉับไว ทหารยามไม่ทันตอบสนองก็ไม่เห็นเงาคนเสียแล้ว จึงอดตื่นตระหนกมิได้ กำลังจะหมุนตัวเพื่อไปรายงานก็เห็นกองทหารกลุ่มใหญ่ควบม้าตะบึงเข้ามา ไม่พูดพร่ำทำเพลง ล้อมเขตพำนักไว้อย่างรวดเร็ว

สองทหารยามรีบยกอาวุธขึ้นพลางถอยหลัง หนึ่งคนปิดประตู อีกคนรีบวิ่งเข้าไปรายงาน

แต่ไม่รอให้พวกเขาปิดประตู ทหารหลายนายพุ่งเข้ามาแล้วเปิดประตู จากนั้นก็ดันทหารยามไปอยู่ด้านข้าง

ผู้นำกองทหารองครักษ์ลงจากม้า มิใช่ใครอื่น... เป็นเฉาเหว่ย แม่ทัพใหญ่เฉา

แม่ทัพใหญ่เฉาในตอนนี้อยู่ในชุดเกราะสีเงินวาววับ บั้นเอวห้อยกระบี่ยาว สีหน้าเคร่งขรึมน่ายำเกรง สาวเท้ายาวเดินเข้าไป พลานุภาพบีบคั้นผู้คน

เขาไม่แยแสทหารยามที่ล้มกองกับพื้นแม้แต่น้อย เดินอาดๆ เข้าไปพร้อมนายทหารคนสนิท

ตอนนี้เองอี่ซินอุปทูตชี่ตันนำกำลังคนจากด้านในก้าวยาวออกมา ไม่ทันได้เข้าใกล้เฉาเหว่ย ก็ถูกทหารองครักษ์หลายนายถืออาวุธขวางไว้ จึงได้แต่ร้องประท้วงเสียงดังอยู่ไกลๆ

“พวกเจ้าเป็นผู้ใดกัน! เขตพำนักเป็นตัวแทนศักดิ์ศรีของแผ่นดินข้า พวกเจ้าเข้ามาโดยพลการ อยากเปิดสงครามกับพวกเราอย่างนั้นหรือ”

แม่ทัพใหญ่เฉาไม่ใส่ใจเขาแม้แต่น้อย หันไปกวาดตามองโดยรอบหลายครั้ง ก่อนงอแขนขวาขึ้นกวักมือไปเบื้องหน้าเป็นสัญญาณให้ลุยเข้าไป พลางคำรามเสียงทุ้ม

“ค้น!”

เพิ่งสิ้นเสียง ทหารองครักษ์ก็กรูกันเข้าไปด้านใน

อี่ซินร้องลั่น “ข้าจะประท้วงต่อฮ่องเต้ของพวกเจ้า!”

แต่ไม่ว่าเขาจะข่มขู่อย่างไร เฉาเหว่ยและทหารองครักษ์คล้ายมองไม่เห็นคนผู้นี้กระนั้น ไม่แยแสสนใจเขาโดยสิ้นเชิง

ไม่นานนัก ทหารนายหนึ่งก็กลับมา เดินไปหยุดตรงหน้าแม่ทัพใหญ่เฉาแล้วส่ายหน้าช้าๆ

เฉาเหว่ยขมวดคิ้ว หันไปมองอี่ซินแล้วกวักมือเรียก “ให้เขาเข้ามา”

เมื่อทหารองครักษ์ได้รับคำสั่ง ก็ปล่อยอี่ซินให้ผ่านเข้าไป แต่ขวางกั้นชาวชี่ตันผู้ติดตามด้านหลังทันที

อี่ซินฝีเท้าเร็วเดินเข้าไป กวาดตามองทหารองครักษ์หนึ่งปราด ก่อนมองไปทางแม่ทัพใหญ่เฉา กล่าวอย่างโมโห “แม่ทัพท่านนี้ พวกเจ้าไม่สนใจมารยาทพิธีการของสองแผ่นดิน บุกฝ่าเข้ามาในเขตพำนักของเราโดยพลการ เรื่องนี้ข้าย่อมกราบทูลฮ่องเต้ต้าเหลียวของข้า!”

เฉาเหว่ยเอ่ยเสียงเรียบ “ท่านไปกราบทูลได้ พวกข้ามาเพื่อจับกุมมือสังหาร เพื่อความปลอดภัยของราชทูตประเทศท่าน หากมีที่ล่วงเกินก็ยากหลีกเลี่ยง”

“มือสังหาร?” อี่ซินตกตะลึง

ตอนนี้ทหารยามหน้าประตูถูกนำตัวเข้ามา มองทหารองครักษ์โดยรอบอย่างโกรธเคืองก่อนปราดหนึ่ง จากนั้นก็รายงานไปทางอี่ซิน

“เจ้าเห็นกับตาว่ามีมือสังหารเข้ามาหรือ” อี่ซินนิ่วหน้า

“ขอรับ คนปิดหน้าเพิ่งลอบเข้ามาเมื่อครู่” ทหารยามรายงามตามความจริง

อี่ซินลองใคร่ครวญ จากนั้นก็โบกมือพลางยิ้มเย็นชา เป็นนัยให้ทหารยามถอยออกไป แล้วหันมองเฉาเหว่ย

“กลางวันแสกๆ มีมือสังหารปิดคลุมโฉมหน้าบุกเข้ามา จากนั้นแม่ทัพก็นำกำลังคนไล่กวดเข้ามาทันที มีเรื่องบังเอิญถึงเพียงนี้หรือ”

เฉาเหว่ยมองอุปทูต พยักหน้าอย่างเป็นงานเป็นการ “นั่นสิ ข้าเองก็รู้สึกว่าช่างบังเอิญมาก”

“ท่าน...” อี่ซินเดือดดาล กว่าจะสะกดกลั้นเพลิงโทสะได้ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วถาม “เช่นนั้นไม่ทราบว่าแม่ทัพค้นหามือสังหารพบหรือไม่”

เฉาเหว่ยส่ายหน้า แสร้งถอนหายใจเฮือก “เฮ้อ มือสังหารเจ้าเล่ห์นัก อาจหลบหนีไปแล้ว หรืออาจหลบซ่อนในเขตพำนัก”

อี่ซินหอบกระชั้น “ท่าน...”

เฉาเหว่ยไม่รอเขาเอ่ยคำก็ตัดบท สอบถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “จริงสิ ราชครูของพวกท่านล่ะ”

พอได้ยินอี่ซินก็กระจ่างฉับพลัน ยิ้มเย็นชา “ราชครูของพวกเราย่อมไปท่องเที่ยวชมทัศนียภาพ ราชครูมิใช่นักโทษ แม่ทัพอาศัยอันใดสอบถาม”

“หึๆ” เฉาเหว่ยแค่นหัวเราะ “ถามไปเช่นนั้นเอง ไยต้องเคร่งเครียดเพียงนี้”

“ฮึ!” อี่ซินแค่นเสียงเบาคราหนึ่ง “ในเมื่อค้นหามือสังหารไม่พบ มิทราบว่าแม่ทัพจากไปได้หรือยัง”

เฉาเหว่ยรีบส่ายหน้า กล่าวอย่างเอาจริงเอาจัง “นี่ย่อมมิได้ มือสังหารผู้นี้อันตรายเป็นพิเศษ พวกเราต้องเฝ้าระวังไว้ ไม่อาจให้เขาหลบหนี”

เห็นสีหน้าอี่ซินไม่น่าดูชม เฉาเหว่ยก็กล่าวคล้ายปลอบใจ “ท่านวางใจเถอะ พวกเราจะเฝ้าที่นี่ให้อย่างดี ไม่ให้เขาทำร้ายพวกท่าน”

อี่ซินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยักหน้าอย่างแรง ไม่กล่าวสักประโยค ก่อนหมุนตัวเดินกลับไป

 

กลางป่ารกร้าง ข้างหน้าผาแห่งหนึ่ง

วิ้ว...

ลมกระโชกรุนแรงระยะหนึ่ง นกกากลุ่มใหญ่บินแฉลบบนท้องฟ้ากว้างใหญ่ไพศาล เงาร่างสองสายกระโดดลงบนพื้น

สองคนเพิ่งแตะพื้นก็หมุนตัวตั้งท่าเตรียมพร้อม มองสี่ทิศรอบด้านอย่างระแวดระวัง สักพักหนึ่งพวกเขาถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก

ฮาฟั่นยกชายแขนเสื้อปาดเหงื่อบนหน้าผาก พึมพำเสียงต่ำ “นับว่าสลัดพวกเขาพ้นแล้ว”

เห็นว่าสลัดทหารไล่ล่าพ้นชั่วคราว บุคคลลึกลับก็สอบถามฮาฟั่นเพราะทนไม่ไหว “ขณะที่ข้ามองป้ายทองแดงนั่นถูกเปลวไฟลามเลีย มีสี่ห้าตัวอักษรที่มองไม่เห็น คำปริศนาทั้งสิ้นท่านรีบกล่าวมาหนึ่งเที่ยว!”

ฮาฟั่นพยักหน้า ไม่บอกปัด เอ่ยเสียงเบา “อ้อ ข้ากำลังจะกล่าวออกมาให้ท่านร่วมพิจารณา คำปริศนานั้นคือ ‘เงาขาดหนึ่งนิ้ว คลาดเคลื่อนพันลี้ พิกัดขั้วเหนือ สูงต่ำแตกต่าง’...”

สถานที่นี้เสียงลมพัดหวีดหวิว อีกประการหนึ่งถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องลับ ดังนั้นฮาฟั่นจงใจเปล่งเสียงแผ่วเบา บุคคลลึกลับก็ไม่คิดมาก อดประชิดเข้าไปใกล้เขาหลายก้าวมิได้

ในตอนนี้เอง ฮาฟั่นพลันป่าเถื่อนขึ้น สองฝ่ามือซัดใส่บุคคลลึกลับอย่างรุนแรง

บุคคลลึกลับยืนใกล้ฮาฟั่นอย่างมาก กำลังตั้งอกตั้งใจฟังเขาเอ่ยคำปริศนา ทางหนึ่งฟัง ทางหนึ่งจดจำในใจ เมื่อเกิดปฏิกิริยาตอบสนองก็ถูกสองฝ่ามือของฮาฟั่นซัดเข้าที่อกอย่างจัง

“อ๊า!” บุคคลลึกลับร้องลั่น ไม่ทันโคจรลมปราณต้านทาน ทั้งร่างถูกซัดลอยหวือไปกลางอากาศ สองมือปัดป่ายสะเปะสะปะสองครา ก่อนร่วงตกลงไปตามแนวผา

ฮาฟั่นเดินขึ้นหน้าหลายก้าว ทอดสายตามองลงไปในหน้าผาแล้วยิ้มเย็นชา “ ‘ภาพผลักหลัง’ เพียงชุดเดียว จะพอแบ่งสองคนได้อย่างไร” พูดจบเขาก็แหงนหน้าหัวเราะหลายครั้ง ท่าร่างเคลื่อนไหว เหินทะยานจากไป

 

หนึ่งชั่วยามต่อมา ฮาฟั่นกลับมายังกู่ชุยไถ แต่มองเห็นสถานการณ์ในเขตพำนักแต่ไกล เขาก็รีบชะงักฝีเท้า หลบเข้าไปตรงมุมหนึ่งข้างทาง

บัดนี้นอกเขตพำนักเต็มไปด้วยทหาร ทหารนับจำนวนไม่ถ้วนยืนเรียงราย มีพลม้าและพลธนู ล้อมเขตพำนักนอกในสามชั้น ดูสภาพนั้นแล้วกระทั่งแมลงวันสักตัวยังบินเข้าไปมิได้

ฮาฟั่นที่ยืนอยู่ในมุมชะโงกหน้ามอง ก็อดขมวดคิ้วมิได้ แต่ไม่ทันไรก็ยิ้มอย่างเยียบเย็นออกมาทันที ลอบหมุนตัวจากไป

‘คิดจับกุมข้ารึ ไหนเลยจะง่ายดายเช่นนั้น!’

หลังออกจากเขตพำนักมาแล้ว ฮาฟั่นมิได้มุ่งไปทางผู้คนพลุกพล่าน แต่เดินออกนอกเมือง ไม่นานก็เข้าไปในเขตภูเขา

เขาเดินไปสักพัก เห็นต้นไม้สูงใหญ่อายุเก่าแก่ขึ้นเรียงรายโดยรอบ ภายในรัศมีสิบลี้เงียบสงัดไร้ผู้คน จึงนั่งขัดสมาธิใต้ต้นไม้เก่าแก่ต้นหนึ่ง สองคิ้วพันกันแน่น เริ่มขบคิดคำปริศนาเกี่ยวกับ ‘ภาพผลักหลัง’ ที่พบเห็นเมื่อครู่

“ ‘เงาขาดหนึ่งนิ้ว คลาดเคลื่อนพันลี้ พิกัดขั้วเหนือ สูงต่ำแตกต่าง’ เฮ้อ มันคือของเล่นอันใดกันแน่ รู้แต่เนิ่นๆ ไม่น่าซัดเขาจนตายเลย มีเขาอยู่ย่อมขบคิดได้กระจ่างแน่”

ฮาฟั่นลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม เดินกลับไปกลับมาภายในป่า

ทันใดนั้นเขาเหมือนตระหนักได้ ชะงักฝีเท้ากึก เอ่ยพึมพำ “ในเมืองเปี้ยนเหลียงผู้มีความรู้ความสามารถลึกล้ำมากมี ข้าไปจับตัวบัณฑิตในสำนักราชบัณฑิตมาสักคน ไม่เชื่อหรอกว่าเขาก็ไม่เข้าใจ!”

พูดจบฮาฟั่นก็แสยะยิ้ม สาวเท้ายาวเดินออกนอกพงไพร

ฮาฟั่นลัดเลาะอยู่กลางป่า พลันชะงักฝีเท้าเหมือนสัมผัสบางอย่างได้ กวาดตามองรอบด้านอย่างระมัดระวัง เอ่ยเสียงทุ้ม “มิทราบว่าเป็นวีรบุรุษท่านใด สะกดรอยตามข้ามาตลอดทาง สมควรปรากฏกายแล้ว”

“แปะๆ ราชครูมีวรยุทธ์ประเสริฐ ถูกท่านค้นพบเข้าจนได้” เพิ่งสิ้นเสียงฮาฟั่น คนผู้หนึ่งก็ปรบมือเดินออกมา ใบหน้าผุดรอยยิ้มเลื่อมใส

“เป็นท่าน? เหยี่ยลี่ต๋า”

ฮาฟั่นตกตะลึง นิ่วหน้ามองประเมินอีกฝ่าย จากนั้นก็มองเลยไปทางด้านหลังของเขา พบว่าอีกฝ่ายมิได้พาผู้ใดมา ถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก

“เหยี่ยลี่ต๋า ท่านตามข้ามาตลอดทาง มีจุดประสงค์ใด”

“ไม่ถึงกับมีจุดประสงค์ เพียงแต่ได้ฟังว่าราชครูเหมือนก่อเรื่องลำบากยุ่งยาก มิตรภาพสองชาติเราแน่นแฟ้น หากต้องการความช่วยเหลือ ราชครูเอ่ยปากได้เต็มที่” เหยี่ยลี่ต๋ายิ้มราบเรียบ

ฮาฟั่นแค่นหัวเราะพลางโบกมือ “เรื่องยุ่งยากเพียงเล็กน้อย ไม่รบกวนท่านให้เหน็ดเหนื่อยแล้ว”

เหยี่ยลี่ต๋าได้ฟัง ก็ยิ้มเล็กน้อยเอ่ย “ราชครูฮาฟั่นไม่จำเป็นต้องระแวงตัวข้า เพราะต้าเหลียวดำรงอยู่ ต้าซ่งถึงไม่คิดเปิดศึกสองด้านให้เหน็ดเหนื่อยรับมือ ถึงได้ดำเนินนโยบายเอาใจต่อซีเซี่ยของข้า แต่งตั้งหัวหน้าเผ่าของข้าเป็นซีผิงอ๋อง อนุญาตให้หัวหน้าเผ่าตั้งรกรากที่ชายแดนซีเป่ย ซีเซี่ยของพวกเราและชี่ตันของท่านมิตรภาพแน่นแฟ้น เป็นครอบครัวเดียวกัน!”

“อือ” ฮาฟั่นได้ฟัง รู้สึกว่าอีกฝ่ายว่ามามีเหตุผล สีหน้าจึงดีขึ้นมาบ้าง ก่อนพยักหน้า “ใต้เท้ากลับเฉียบคม ในเมื่อเช่นนี้ เรื่องของราชครูอย่างข้า ท่านก็อย่าได้สอบถามอีกเลย!”

พูดจบฮาฟั่นก็ก้าวขาจะจากไป เหยี่ยลี่ต๋ากลับไม่ขัดขวาง เพียงมองเขาอย่างใจเย็น ยิ้มเล็กน้อยก่อนเอ่ย “คนของราชครูล้วนถูกชาวซ่งกักบริเวณแล้ว บัดนี้อาศัยราชครูผู้เดียว กระทำการใดเกรงเพียงมีใจไร้เรี่ยวแรง! ยิ่งไปกว่านั้นชาวซ่งกำลังตามหาท่านให้ควั่ก ราชครูยิ่งก้าวย่างลำบาก สิ่งของชิ้นนั้น ไยราชครูไม่นำออกมาแบ่งปันกับข้า เหยี่ยลี่ต๋ายินดีช่วยท่านอีกแรง!”

ฮาฟั่นตะลึงงันจะงักฝีเท้า มองไปทางเหยี่ยลี่ต๋าแล้วกล่าวว่า “ท่าน... ถึงกับล่วงรู้เป้าหมายที่ข้ามาต้าซ่งหรือ”

เหยี่ยลี่ต๋ายิ้มแต่ไม่ตอบคำ

ฮาฟั่นนึกลังเล สีหน้าบางครั้งอำมหิต บางครั้งครุ่นคิด ความคิดสังหารคนปิดปากและแบ่งปันความลับกับคนอื่นกำลังงัดข้อต่อสู้กัน

เหยี่ยลี่ต๋าเห็นสภาพการณ์แล้วก็ได้แต่ยิ้มเล็กน้อย เอ่ยโน้มน้าวสืบต่อไป “หัวหน้าเผ่าข้าคิดก่อร่างสร้างแผ่นดินมาโดยตลอด คิดกระทำการใหญ่ให้สำเร็จย่อมหนีไม่พ้นความช่วยเหลือของต้าเหลียว ดังนั้นราชครูไม่จำเป็นต้องกังวลว่าข้าจะทรยศหักหลัง สมบัติชิ้นนั้น เราสองชาติร่วมแบ่งปัน ภายภาคหน้าช่วยเหลือเกื้อกูล สยบซ่งจนถึงทั่วหล้าพร้อมกัน มีอันใดไม่ดี”

ฮาฟั่นจ้องเหยี่ยลี่ต๋าอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดก็ตัดสินใจ

“ได้! ท่านลั่นสาบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวซีเซี่ยนับถือ ร่วมแบ่งปัน ‘ภาพผลักหลัง’ ไม่ทรยศโดยเด็ดขาด”

เหยี่ยลี่ต๋าพยักหน้าอย่างสบายอกสบายใจ ชูสามนิ้วขึ้น เอ่ยพึมพำอยู่ครู่หนึ่ง

ฮาฟั่นถอนใจอย่างโล่งอก ผ่อนคลายความระแวดระวังลง “ไม่ขอปิดบัง วัตถุนั้นข้าเองก็ยังไม่ได้มา”

“ข้าลั่นสาบานแล้ว ราชครูยังไม่ยอมเชื่อข้าอีกหรือ” เหยี่ยลี่ต๋าอดขมวดคิ้วมิได้

“ข้ามิได้ปิดบังท่าน สมบัติชิ้นนั้นข้ายังมิได้ครอบครองอย่างแท้จริง ได้แต่เพียงคำปริศนา บ่งบอกถึงที่ซ่อนสมบัติชิ้นนั้น แต่ข้าขบคิดไม่กระจ่างในชั่วขณะ!”

พูดพลางฮาฟั่นหยิบกิ่งไม้ขึ้นมากิ่งหนึ่ง เขียนตัวอักษรบนพื้น จ้องมองตัวอักษรโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าเอ่ยกับเหยี่ยลี่ต๋า “ท่านมาลองดู คาดเดาความนัยที่แฝงอยู่ได้หรือไม่”

เหยี่ยลี่ต๋าเข้าไปใกล้อย่างเชื่องช้า “ข้าลองดู”

เขาเดินมาข้างกายฮาฟั่น ค้อมเอวไปอ่านตัวอักษรเหล่านั้น แต่เพียงชั่วครู่ก็เห็นเขาลงมือไวปานสายฟ้าแลบ สกัดจุดตรงร่องคอของฮาฟั่นในชั่วพริบตา

ฮาฟั่นรู้สึกชาวาบไปทั้งร่าง อ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรง ในชั่วขณะกระทั่งกระดิกนิ้วมือยังไม่อาจกระทำได้

เขาตระหนกตกใจ ได้แต่คงท่านั่งยองๆ ค้อมเอวอยู่กับที่ กล่าวอย่างโมโหยากสะกดกลั้น “ท่านกลับกลอกปลิ้นปล้อน ไม่กลัวผิดต่อคำสาบานหรือ”

เหยี่ยลี่ต๋าหัวเราะหึๆ มองเขา “แน่นอนว่าไม่กลัว ข้ามิใช่ชาวซีเซี่ยเสียหน่อย”

“ท่านเป็นใคร” ฮาฟั่นตะลึงงัน จากนั้นก็เดือดดาลนัก

“ข้าน่ะหรือ...” เหยี่ยลี่ต๋าพูดพลางยื่นมือไปลูบสัมผัสใบหน้า กลายเป็นอีกโฉมหน้า จอนผมขาวสองข้าง ท่ามกลางความสุภาพเรียบร้อยแฝงด้วยความจัดเจนกร้านโลก คลับคล้ายบัณฑิตเปี่ยมความรู้ แต่ไม่ประสบความสำเร็จในการงาน

เขายิ้มเล็กน้อยขณะมองฮาฟั่น ประสานมือคำนับอย่างมีมารยาท “ข้าคืออิ่นกวง อิ่นกวงแห่งหน่วยดาวพิฆาต!”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น