2

2

ความประทับใจในวัยไร้เดียงสา

เมื่อนึกย้อนกลับไป แม้จะเรียนห้องเดียวกันเกือบสองปี แต่ความทรงจำระหว่างเขากับกุลกัลยาช่วงก่อนที่จะเกิดเรื่องนั้นกลับมีไม่มากนัก เป็นเพียงภาพจำไม่กี่ภาพที่ก้ำกึ่งระหว่างความประหลาดใจกับประทับใจเสียมากกว่า

แรกๆ ที่ย้ายมาเรียนห้องเดียวกัน ในช่วงเวลาที่ภาพจำของกุลกัลยาสำหรับเขาคือ เด็กผู้หญิงที่มาโรงเรียนเพื่อใช้เวลาไปกับการงีบหลับในทุกๆ คาบเรียน ทว่าพอถึงเวลาสอบกลับได้คะแนนอันดับต้นๆ ราวกับอัจฉริยะ และมีอยู่เหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกสะดุดใจ 

มีครูสอนวิชาชีววิทยาอยู่คนหนึ่ง เป็นผู้ชายอายุยังไม่มากนัก แต่นักเรียนที่เรียนด้วยไม่ค่อยชอบเท่าไหร่เพราะเขามักจะทำท่ากะลิ้มกะเหลี่ย หน้าแดง ตาเยิ้มใส่นักเรียนหญิง บางครั้งยังลามปามไปถึงขึ้นพูดจาแทะโลม หรือหนักข้อขนาดส่งข้อความไปหาเป็นการส่วนตัวก็มี

ทว่าด้วยระบบการศึกษาและสังคมไทยที่ไม่สามารถจัดการอะไรกับครูที่มีปัญหาได้มากนัก เคยมีคนร้องเรียนไปแล้วหลายรอบแต่เรื่องก็เงียบหาย ทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้กับนักเรียนหญิงอยู่หลายห้องและหลายชั้นปี

ฐากรจำได้ว่าตอนที่เกิดเรื่องเป็นช่วงเวลาหลังเลิกเรียนในวันที่มีคาบชีววิทยาเป็นคาบสุดท้ายพอดี ยังมีนักเรียนบางคนนั่งเอ้อระเหยทำการบ้านต่อในห้องเรียนวิทยาศาสตร์ และกุลกัลยาที่นั่งอยู่โต๊ะหลังสุดของห้องก็เป็นหนึ่งในนั้น

ครูคนนั้นเข้าไปคุยกับเด็กสาวหน้าตาดีคนหนึ่งในห้องด้วยคำพูดและแววตาแทะโลม แค่เห็นหน้าตาอิหลักอิเหลื่อ อึดอัดเกินจะทนของเธอ ฐากรก็ลุกจากเก้าอี้เตรียมเข้าไปขวาง แต่ช้ากว่าคนที่เดินมาจากหลังห้องเพียงหนึ่งก้าว

“ครูพูดอะไรอะคะ ขยะแขยง” ใบหน้าเรียวเล็กแสดงออกทางสีหน้าอย่างไม่คิดจะเก็บอารมณ์ “จะอ้วก”

คนที่กำลังทำตาเยิ้มใส่เพื่อนร่วมชั้นของเขาชะงักกึก ใบหน้าที่แดงก่ำอยู่แล้วก่อนหน้านี้ยิ่งแดงจัดด้วยอารมณ์โกรธประหนึ่งลูกมะเขือเทศ โดยเฉพาะผิวบริเวณหน้าผากที่เงาวับสะท้อนแสงไฟ สองแก้มกระตุกระริกจนดูออกว่าอีกฝ่ายกำลังกัดฟัน

“กุลกัลยา” คนสูงวัยกว่าเอ่ยชื่อเธอเสียงเข้ม ดวงตาเป็นประกายขึ้งโกรธ “คะแนนเทอมนี้ไม่อยากได้เต็มแล้วใช่มั้ย” 

คนโดนขู่หักคะแนนแสยะยิ้ม แววตาท้าทาย

“ก็ลองสิคะ ลองดูก็ได้ ถ้าคิดว่าจะตรวจข้อสอบแล้วให้คะแนนหนูแบบนั้นได้ก็ลองดู” 

วาจาพร้อมท่าทางมั่นอกมั่นใจจนน่าหมั่นไส้แบบนั้น ถ้าไม่ใช่คนที่แทบจะได้คะแนนเต็มทุกครั้งของการสอบวิชานี้จนกลายเป็นลูกรักของครูประจำวิชาวิทยาศาสตร์อย่างกุลกัลยาก็คงไม่มีใครกล้าพูด

มาถึงตอนนี้ครูคนนั้นก็หมดอารมณ์จะคุยกับนักเรียนสาวแล้ว ได้แต่เดินทำหน้าตึงออกไปจากห้อง และแน่นอนว่าพอถึงเวลาเขาก็ไม่กล้ายุ่งกับคะแนนของกุลกัลยาอย่างที่เคยขู่เอาไว้

ยอมรับว่าในตอนนั้นแม้แต่ฐากรเองก็ยังมองเธอด้วยแววตาเลื่อมใส 

จริงๆ แล้วจากเหตุการณ์ครั้งนั้น เขาก็ไม่ควรแปลกใจเท่าไหร่ที่ในอีกหนึ่งปีข้างหน้า กุลกัลยาก็ออกมาทำอะไรแบบนี้เพื่อเขาเหมือนกัน เพราะเพื่อนผู้หญิงคนนั้นที่โดนครูแทะโลมเองเพิ่งย้ายมาจากที่อื่น ก่อนหน้านั้นก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรกับเธอเลยด้วยซ้ำไป

ในเวลานั้นเศษเสี้ยวของความรู้สึกส่วนที่นอกเหนือไปจากความประทับใจได้เกิดคำถามขึ้นมาว่า จะมีสักวันหรือไม่ที่ตัวเขาจะได้รับการปกป้องจากใครบางคนแบบนี้เหมือนกัน

ฐากรมองแผ่นหลังบอบบางของคนที่นั่งชันเข่าอยู่บนเก้าอี้นิ่งฟังบรีฟไดฟ์ไซต์แรกของวันนี้อย่างตั้งอกตั้งใจด้วยแววตาเหม่อลอยนิดๆ

หมู่เกาะห้าตั้งอยู่ในเขตจังหวัดกระบี่ มีชื่อเสียงสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งกิจกรรมดำน้ำตื้นและดำน้ำลึก จุดเด่นที่เป็นเหมือนจุดหมายของนักดำน้ำคือ คูหาถ้ำขนาดใหญ่บริเวณเกาะห้าใหญ่ที่เมื่อว่ายเข้าไปในถ้ำใต้น้ำแล้วมองออกมาด้านนอก จะพบแสงที่ส่องเข้ามากระทบน้ำสีฟ้าใสเป็นภาพที่สวยงามราวกับวาด

ไดฟ์แรกของทริปจะเป็นเช็กไดฟ์ที่ไดฟ์ลีดจะประเมินนักดำน้ำแต่ละคนว่ามีใครที่มีปัญหาบ้าง เนื่องจากนักดำน้ำมือใหม่ส่วนมากมักจะมีปัญหาเรื่องการลอยตัว โดยเฉพาะช่วงท้ายของไดฟ์ที่ต้องทำเซฟตีสตอปโดยการลอยตัวอยู่กลางน้ำในระยะห้าเมตรจากผิวน้ำ เพื่อระบายก๊าซไนโตรเจนที่สะสมในร่างกาย ซึ่งเป็นช่วงที่อากาศในถังใกล้จะหมด ยิ่งทำให้ง่ายต่อการลอยสู่ผิวน้ำมากขึ้น

หนึ่งในคนที่ทำเซฟตีสตอปอย่างทุลักทุเลในไดฟ์แรกคือกุลกัลยา เนื่องจากตะกั่วที่เธอใช้ถ่วงน้ำหนักน้อยเกินไป ทำให้ร่ำร่ำจะลอยสู่ผิวน้ำอยู่เรื่อยจนฐากรต้องคอยดึงลงมา เพราะยังไม่หมดช่วงเวลาที่ต้องทำเซฟตีสตอปนานสามนาที

โชคดีที่กระแสน้ำไม่รุนแรงมากนัก พอครบเวลาที่สามารถว่ายขึ้นสู่ผิวน้ำได้ หญิงสาวจึงบ่นตัวเองเล็กน้อย

“โอ๊ย ลอยจ้า”

เมื่อวานญาณิศาบอกให้ช่วยดึงด้วยถ้าอีกฝ่ายลอยขึ้นเหนือน้ำ แต่กลับเป็นเธอเองที่ลอยก่อนเขาก่อนใคร

“สงสารน้องหยา” พี่คนหนึ่งในกลุ่มขำ “อยากช่วยอะ แต่ถ้าขึ้นไปลากลงมาพี่ก็คงลอยไปด้วยเหมือนกัน”

“ไดฟ์หน้าเติมตะกั่วด้วยนะ” 

พี่อาร์ทที่เป็นไดฟ์ลีดหันมาบอกนิ่งๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงผวา แต่พอรู้ว่าเขามีนิสัยแบบนี้เฉยๆ ไม่ได้ดุจริงจังอะไรก็เลิกกลัวแล้วรับคำอย่างว่าง่าย

ฐากรลอยตัวห่างออกไปเล็กน้อย ยิ้มให้บทสนทนาของนักดำน้ำในกลุ่มที่ว่าด้วยเรื่องสัตว์ทะเลที่เจอในไดฟ์เมื่อครู่ระหว่างลอยคอรอเรือดิงกีมารับกลับไปเรือใหญ่

“คือจะบอกว่าเมื่อกี้น่ะ หยาลืมใส่คอนแทกต์เลนส์แหละ”

“อ้าว” ญาณิศาร้อง

“เมื่อกี้พี่อาร์ทชี้ให้ดูอะไรสักอย่างคือมองไม่ออกเลย”

“โธ่ น้องหยา” พี่ในกลุ่มอีกคนหัวเราะ “ไม่เป็นไรนะ พี่ถ่ายรูปไว้ เดี๋ยวขึ้นไปชี้ให้ดู”

ดูเหมือนกุลกัลยาจะเปลี่ยนไปมากเหมือนกัน ฐากรจำไม่ได้ว่าตอนนั้นเธอเป็นมิตรกับคนอื่นมากขนาดนี้มั้ย รู้แต่เธอไม่ใคร่พูดคุยเล่นหัวกับใครนักยกเว้นเพื่อนสนิท ไม่ใช่ว่าไปคุยด้วยแล้วหยิ่งไม่ยอมตอบ แต่เป็นคนที่ไม่รู้จะเริ่มบทสนทนาอย่างไรมากกว่า ช่วงพักกินข้าวถ้าไม่กลับขึ้นไปบนห้องก็หายไปอยู่หลังโรงเรียน แทนที่จะอยู่เล่นกับเพื่อนที่สนามกีฬา ดูเป็นคนเข้าถึงยากกว่าตอนนี้ที่ดูเข้ากับคนง่าย อัธยาศัยดีจนทุกคนพากันเอ็นดู

เมื่อเรือดิงกีเคลื่อนเข้ามาใกล้ ร่างเล็กที่แบกอุปกรณ์ดำน้ำลอยคออยู่ในน้ำก็คว้าเชือกข้างเรือถัดจากมือใหญ่ที่จับอยู่ เมื่อเผลอหันมาสบตากับดวงตาคมที่มองอยู่ก่อนแล้วก็ชะงักไปอย่างทำตัวไม่ถูก ได้แต่ส่งยิ้มการค้าไปให้อย่างไม่รู้จะทำอะไรดีกว่านั้น

ทั้งๆ ที่มีนักดำน้ำเกาะอยู่รอบเรือเล็กที่แล่นฝ่าคลื่นกลับไปยังเรือใหญ่กันตั้งหลายคน แต่อยู่ๆ กุลกัลยาก็รู้สึกเหมือนเรือทั้งลำเหลือแค่เธอกับร่างสูงที่สบตากลับมาอย่างเงียบงันเพียงลำพัง

บรรยากาศแบบนี้มันน่ากลัวชะมัด

หลังการดำน้ำแต่ละไดฟ์ นักดำน้ำจะล้างตัวและเปลี่ยนเป็นชุดที่แห้งแล้ว เพราะการใส่ชุดที่เปียกๆ ตลอดเวลาจะทำให้ร่างกายอ่อนเพลียกับการควบคุมอุณหภูมิ กุลกัลยาเปลี่ยนชุดอย่างรวดเร็วแล้วขึ้นไปรอที่ส่วนรับประทานอาหารอย่างใจจดใจจ่อ หมดหนึ่งไดฟ์ก็กินที 

มีคนบอกว่าเวลามาดำน้ำเป็นวงจรของการ ‘Eat Dive Sleep’ คือดำน้ำ แล้วก็ขึ้นมากิน หลังจากนั้นก็นอนพักน้ำรอระหว่างไดฟ์ ทำวนไปจนน้ำหนักขึ้น

แต่อาหารบนเรือมันอร่อยจริงๆ นะ! ไว้ค่อยไปลดน้ำหนักทีหลังแล้วกัน

“เห็นพี่แก้วไปฟิลิปปินส์ เป็นไงบ้างคะ” หญิงสาวเอ่ยถามเพื่อนรุ่นพี่ระหว่างที่ตักข้าวหน้าหมูทอดแกงกะหรี่เข้าปาก

“ดีนะ พี่ไปมาลาปัสกัว14ไฮไลต์เขาคือเทรเชอร์ชาร์ก15กับพวกมาโคร16อะ ไดฟ์ลีดหาให้ดูคือดีงามอยู่”

“โห อยากไปบ้างเลย”

“ไปๆ แนะนำเลย นี่พี่ยังอยากไปอีกรอบ”

“ไปมั้ยแยม” กุลกัลยาหันไปถามเพื่อน

“วันลาฉันปีนี้จะหมดแล้วอะ” ญาณิศาย่นจมูกแล้วเหลือบมองคนที่เพิ่งตักข้าวเดินมาทางนี้ “นี่ไง ชวนเพื่อนแกไปสิ แท็บไปมาลาปัสกัวมายังคะ”

“ครับ?” คิ้วหนาเลิกขึ้นสูง ก่อนชายหนุ่มจะตอบระหว่างนั่งข้างคนผมยาว “อ้อ เคยครับ สวยนะ ทะเลเขาสมบูรณ์มากเลย”

“หยามันอยากไปแต่ไม่มีเพื่อนไปด้วยน่ะค่ะ”

“เฮ้ย” กุลกัลยาเผลออุทานเมื่อเพื่อนทำท่าจะชงเข้ม แล้วก็รู้สึกว่าเงียบไว้น่าจะปลอดภัยกว่า

“ไปมั้ยล่ะ เหมือนพี่บีมจะจัดทริป เดี๋ยวบอกให้ว่าหยาอยากไป”

คนที่กะจะทำเนียนๆ เปลี่ยนเรื่องหันไปมองคนเสนออย่างสนใจ กะพริบตาใส่พลางยิ้มอย่างประจบประแจง

“จริงมั้ย อยากไปอะ”

“จริงสิ” คนตัวสูงเอ่ยแล้วตักหมูชุบแป้งทอดชิ้นพอดีคำใส่ปาก เหลือบมองคนที่อารมณ์ดีขึ้นมาทันทีแล้วอมยิ้ม

พอมีผลประโยชน์เข้าล่อก็สนใจเลยนะ ยายคนนี้...

อีกสองไดฟ์ที่เหลือของวันยังคงอยู่กันที่หมู่เกาะห้า โดยไดฟ์สุดท้ายจะเป็นไนต์ไดฟ์ หรือการดำน้ำกลางคืน นักดำน้ำบางคนอาจจะไม่ชอบเพราะมันมืด อย่างญาณิศาเองก็ขอผ่าน ในกลุ่มดำน้ำจึงมีเพียงกุลกัลยา พี่ในกลุ่มอีกสองคน กับฐากรและพี่อาร์ทที่เป็นไดฟ์ลีด

หลังจากเพิ่มปริมาณตะกั่วและผ่านมาแล้วสามไดฟ์ กุลกัลยาก็ดำน้ำได้ดีขึ้น ไม่ได้มีปัญหาเรื่องการลอยตัวอีก แต่ทักษะการหาของหรือสัตว์น้ำขนาดเล็กจำพวกกุ้งปูหรือทากทะเลยังไม่ค่อยดีนัก เพราะหลักการของการหาสัตว์พวกนี้คือต้องรู้ถิ่นที่อยู่ของพวกมัน อย่างที่นักดำน้ำบางคนเห็นสาหร่ายบางชนิดก็แทบจะเดาได้เลยว่าจะเจออะไรได้บ้าง

เธอเหลือบมองแสงไฟสีแดงที่ห้อยอยู่กับอุปกรณ์ดำน้ำของไดฟ์ลีดกลุ่มตัวเองอยู่ไม่ไกลนักก็หันไปส่องไฟฉายไปตามโขดหินและแนวปะการังต่อ กระทั่งเสียงเคาะถังอากาศดังขึ้นเป็นสัญญาณว่ามีคนเจอ ‘ของ’ หรืออะไรที่น่าสนใจ เรียกให้นักดำน้ำคนอื่นๆ เข้าไปดู

เพราะหาเองไม่ค่อยเจอก็ต้องตามติดไดฟ์ลีดหรือคอยฟังเสียงแบบนี้แหละ

กุลกัลยาพุ่งตัวเข้าไปหาแหล่งเสียง ก่อนจะค้นพบว่ามันคือนูดี้หรือทากทะเลขนาดเล็กสีสันฉูดฉาด พอดูเสร็จแล้วก็พยายามจะถอยออก แต่ติดว่ามีคนว่ายมาต่ออยู่ข้างหลัง จึงหายใจออกแล้วลอยตัวขึ้น แต่ก็ดันเจอนักดำน้ำลอยอยู่ด้านบนอีก ครั้นจะหลบออกด้านข้างก็ไม่วายมีคนอยู่ตรงนั้น ศีรษะเล็กจึงโขกเข้าเต็มแรงกับถังอากาศของเพื่อนร่วมทริป ทั้งเจ็บทั้งตกใจ

ใครบางคนยื่นมือออกมารั้งต้นแขนเธอให้ออกอีกทาง กุลกัลยาแพนิกเล็กน้อย ทว่ายังควบคุมตัวเองได้ดี เธอเงยหน้ามองคนที่พาเธอออกมาจากความชุลมุนนั้นแล้วค้นพบว่าเป็นฐากร

ชายหนุ่มเอียงคอมองพลางทำสัญญาณมือถามว่าเธอโอเคหรือไม่ หญิงสาวจึงทำสัญญาณมือกลับไปว่าเธอยังโอเคดีอยู่ มือใหญ่สื่อสารกับเธอใต้น้ำให้ตามเขาไปอีกทาง

ที่แท้กลุ่มของเธอดำน้ำไปอีกด้านแล้ว หากเขาไม่มาตามหญิงสาวคงหลุดจากกลุ่ม และคงตกใจมากแน่ๆ ยิ่งเป็นการดำน้ำในความมืดด้วย

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหายตกใจแล้ว ฐากรก็หันไปส่องไฟฉายส่องตามแนวปะการังต่อ ถ้าปากไม่ได้คาบเมาท์พีซของเรกูเลเตอร์ไว้เขาคงหลุดยิ้ม เพราะคนที่เพิ่งเกือบจะหลงกลุ่มมาหมาดๆ ดูจะเกาะติดเขาอย่างเห็นได้ชัด พอเจอกุ้งตัวตลกสีสันน่ารักเลยชี้ให้คนที่ว่ายตามมาไม่ห่างได้ดู

มือเล็กคว้าแขนแข็งแรงเพราะพุ่งเข้ามาแล้วเบรกตัวเองไม่ได้ ก่อนเธอจะชะโงกเข้าไปดูสิ่งที่เขาส่องไฟคาไว้ให้ดูอย่างสนใจ

ขนาดใส่คอนแทกต์เลนส์ยังต้องเพ่ง อยากจะพกแว่นขยายเสียจริง

ถึงจะเจอเรื่องตื่นเต้น แต่โดยรวมแล้วนับว่าเป็นการดำน้ำที่น่าประทับใจ เมื่อกุลกัลยาขึ้นไปก็เล่าให้เพื่อนฟังอย่างขำขันว่าเอาหัวโหม่งเข้ากับถังอากาศใครก็ไม่รู้

“ชุลมุนมาก สว่างยังกับไฟเทค”

เพราะทุกคนที่ลงไปเปิดไฟฉาย แถมลงไปทีละเกือบยี่สิบคน ไม่สว่างก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร

“มันมืดอะ ฉันไม่ชอบ ว่าแต่เพื่อนแกนี่ให้อารมณ์พระเอกมากนะ จังหวะยังกับซีรีส์เกาหลี”

“เลิกชงซะทีเถอะน่า ฉันหวั่นไหวแล้วอกหักไปทำไง” กุลกัลยาพูดทีเล่นแต่หมายความตามนั้นจริงๆ มือไถหน้าจอโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ ระหว่างรอพ่อครัวตั้งอาหารเย็น ดูเหมือนจุดที่เรือจอดจะมีสัญญาณโทรศัพท์เป็นระยะ แต่คืนนี้ระหว่างที่เรือแล่นคงไม่มีสัญญาณอีก หญิงสาวจึงรีบกดส่งรูปที่ถ่ายไปให้พี่สาวก่อนจะวางโทรศัพท์มือถือลง

“หิว” คนที่เพิ่งเสียพลังงานไปกับการดำน้ำบ่น ชะเง้อมองเด็กเรือทยอยเอาอาหารมาตั้งที่โต๊ะกลางอย่างสนใจ เมื่อพบว่าเป็นอาหารทะเล มีทั้งกุ้งเผา ปูทะเลนึ่ง หมึกนึ่งมะนาวก็ลุกขึ้นไปถ่ายส่งไปยั่วแก้วเจ้าจอม

Yha : อาหารบนเรือยั่วๆ จ้า

YOK : ชั่วมาก ชั้นลงเวร ยังไม่ได้กินตั้งแต่เที่ยง

Yha : น่าสงสาร สั่งมากินสิ

ประโยคสุดท้ายส่งไปไม่ถึงเพราะเรือออกพอดี เมนูที่เพิ่มขึ้นมาระหว่างที่เธอคุยกับพี่สาวคือปลากะพงนึ่งซีอิ๊ว หอยแมลงภู่นึ่งกับใบโหระพาและข้าวผัดปู ขณะหญิงสาวลงมือตักอาหารก็ได้ยินเสียงแก้วที่นั่งกินอาหารอยู่ร้องบอก

“หยาไม่ต้องเอาปลามานะ พี่เอามาตัวหนึ่งแล้ว”

“โอเคค่า”

“พี่ขอจานมาใส่เปลือกใบหนึ่งด้วยจ้า”

ฐากรเข้ามาในส่วนห้องอาหาร มองหาร่างเล็กเป็นอย่างแรก เมื่อพบแล้วก็เดินไปตักอาหารแล้วเข้าไปนั่งประจำที่ข้างๆ คนที่กำลังตักข้าวผัดปูใส่ปากแล้วหลับตาพริ้มด้วยท่าทางมีความสุข

“แท็บกับน้องหยานี่เป็นเพื่อนกันเหรอคะ” พี่คนหนึ่งบนโต๊ะถามขึ้นมาอย่างสนใจ

“ครับ เป็นเพื่อนมัธยม แต่เพิ่งมาเจอกันทริปนี้” ชายหนุ่มตอบยิ้มๆ แล้วหันไปถามคนที่นั่งอยู่ข้างๆ “กินไข่ปูมั้ย”

“กิน!” เธอตอบอย่างกระตือรือร้นแล้วก็เกรงใจนิดๆ “นายไม่กินเหรอ”

“ไม่กิน” จริงๆ ก็กิน แต่เห็นท่าทางการกินอย่างเอร็ดอร่อยแล้วก็อยากให้ ฐากรวางกระดองปูที่มีไข่สีส้มเกาะไว้บนจานของคนที่กำลังมีความสุขกับการกิน แล้วหันไปแกะปูต่อ

มุมปากของชายหนุ่มกระตุกเมื่อเห็นเปลือกตาบางปิดพริ้มพร้อมด้วยสีหน้าฟินสุดๆ เมื่อได้ลิ้มรสเนื้อปูขาวจั๊วะที่ทั้งหวานทั้งแน่น มองแล้วก็รู้สึกอยากจะไปขโมยปูมาให้เธออีกสักตัวสองตัว

คนอะไรจะกินได้น่ารักขนาดนี้

หลังมื้ออาหารกุลกัลยา ฐากร ญาณิศา และแก้วที่เป็นรุ่นพี่นักดำน้ำในกลุ่มดำน้ำเดียวกันพากันไปเปิดเพลงฟัง นั่งชิลบนที่นั่งหน้าห้องกัปตันเรือ ปล่อยให้ลมเย็นๆ ปะทะใบหน้า ฟังเพลงเคล้ากับน้ำอัดลม

เสียงเครื่องยนต์บวกกับเสียงลมและคลื่นค่อนข้างดัง กระนั้นหญิงสาวก็ยังได้ยินคำถามของคนที่นั่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล

“หลังจากไปแลกเปลี่ยนแล้วกลับไปเรียน...เป็นยังไงบ้าง”

กุลกัลยาที่นั่งห้อยขาหันหลังให้ห้องกัปตันเรือหันขวับไปมองคนพูด ด้วยความมืดทำให้เธอไม่เห็นแววตาคนถาม แต่สัมผัสได้ถึงท่าทางหูผึ่งของเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ติดกัน

มันไม่ใช่คำถามถามสารทุกข์สุกดิบธรรมดา เธอรับรู้ได้ถึงความนัยในประโยคนั้น ไม่ใช่แค่ ‘สบายดีมั้ย’ ‘เป็นยังไงบ้าง’ แต่หมายความว่า ‘เจออะไรบ้าง’ มากกว่า

“ก็...ไม่มีอะไรนะ สงบดี” เธอหมายความเช่นนั้นจริงๆ ไม่ได้พูดแค่เพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ “ตอนกลับมาพวกรุ่นเดียวกับพวกเราเขาเข้าเรียนมหาลัยกันหมดแล้ว ฉันเรียนกับรุ่นน้อง”

เขาทำเสียงในลำคอ ดวงตาหลุบต่ำ

กุลกัลยาทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ควรเปลี่ยนเรื่องหรือคุยเรื่องนี้ต่อ อยากจะถามเหมือนกันว่าหลังจากที่เธอไปแลกเปลี่ยนเหตุการณ์ตอนนั้นจบอย่างไร แต่ก็ไม่กล้า

ให้พูดกันตามตรง กุลกัลยาไม่กล้าพูดถึงเรื่องนี้ต่อหน้าเขาด้วยซ้ำไป เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นนับว่าร้ายแรงอยู่ ฐากรกับคู่กรณีถึงขั้นถูกเรียกผู้ปกครองเข้ามาคุย เธอเองก็ได้รับผลกระทบพอสมควร โดยปกติแล้วเวลาเกิดเหตุการณ์แบบนี้ คนส่วนใหญ่มักจะเข้าข้างคนที่ออกตัวว่าเป็นเหยื่อ และโกรธแค้นผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำ แต่พอเธอพูดอะไรออกไปที่ขัดแย้งกับกระแสของคนหมู่มาก จึงโดนวิพากษ์วิจารณ์ไม่ใช่น้อย

“เวลาปีหนึ่งจะว่านานก็นาน คนลืมกันหมดแล้วละตอนนั้น”

“ดีแล้ว” เขานิ่งไปนิดหนึ่งก่อนเอ่ยต่อ “จริงๆ ก็ไม่อะไรแล้วแหละ แต่เป็นห่วงเพื่อนๆ ในตอนนั้นที่อยู่ข้างเรามากกว่า”

“เอาจริงๆ ด้วยนิสัยฉันก็ไม่ใช่คนที่แคร์สายตาคนอื่นอยู่แล้ว ไม่ต้องกังวลหรอก” เธอนิ่งไปนิดหนึ่งก่อนพูดต่อ “จริงๆ มองย้อนกลับไปก็คิดว่าตัวเองใจร้อนไปหน่อย”

กุลกัลยาหัวเราะแห้งๆ เมื่อนึกถึงตัวเองในตอนนั้น

“แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่ว่าจะตอนนั้นหรือตอนนี้ฉันก็คิดว่าตัวเองทำถูกแล้วแหละ ถึงแม้จะไม่ได้เป็นพฤติกรรมที่น่าชื่นชมเท่าไหร่ก็เถอะ”

ญาณิศาชะโงกหน้าไปพูดกับคนที่นั่งอยู่อีกข้างของเพื่อน

“ไม่รู้เหมือนกันว่ามีเรื่องอะไรกัน แต่หยามันมีหลักการของตัวเองในแบบที่โดนเพื่อนด่าว่าชั่วด้วยความเอ็นดูเป็นประจำ ปากมันแย่แต่เสียงมันพาสเทล ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครเกลียดมันหรอกค่ะ”

“จะบอกว่ามีแต่คนชอบฉัน?”

“เปล่า จะบอกว่าไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครเกลียดเพราะมีแน่ ฉันแล้วคนหนึ่ง” หญิงสาวพูดหน้าตาเฉย

“เพื่อนชั่ว”

“ก็จริงอะ นิสัยชั่วแต่เสือกใจดี โคตรประหลาด”

“อันนี้จริง” ฐากรเอ่ยกลั้วหัวเราะอย่างเห็นด้วย “เหมือนจะไม่สนใจโลก แต่ถ้าใครมีปัญหาก็จะเป็นคนที่เข้าไปถามเขาแบบเงียบๆ ว่าให้ช่วยอะไรมั้ย เหมือนจะนิสัยไม่ดีแต่ก็เป็นคนดีน่ะ”

“ส่วนนี่ก็เหมือนจะด่าแต่ก็ไม่ด่า” กุลกัลยาถอนหายใจ

“ว่าแต่” ญาณิศาพูดขึ้นมาหลังจากหยุดหัวเราะได้ “แท็บนี่สนิทกับหยาเหมือนกันนะ ไม่งั้นคงไม่รู้นิสัยกันขนาดนี้”

“ก็ไม่เชิง บังเอิญได้เป็นคนที่เขาเข้ามาถามน่ะ ว่าเป็นอะไรมั้ย”

“มีความหลังกันนี่เอง” คนพูดยิ้มกรุ้มกริ่มพลางปรายตามองคนที่หันมาถลึงตาใส่

“ห้องอาบน้ำว่างแล้วมั้ง ไปอาบน้ำเลยไป” หญิงสาวรีบไล่เพื่อนก่อนจะโดนแซวไปมากกว่านี้

“ด๊ายยย ไม่อยู่เป็นก้างขวางคอก็ได้”

กุลกัลยาหมั่นไส้จนฟาดสะโพกคนที่ทำเป็นกระฟัดกระเฟียดไปหนึ่งที

“จริงๆ แล้ว...” ฐากรเท้าคางกับราวพนักเหล็ก แล้วเอียงหน้ามองหญิงสาวผมยาวที่หันมาฟังอย่างตั้งใจ “เมื่อกี้ตั้งใจจะชมนะ”

“ขอบคุณ”

“เธอเป็นคนเดียวบนโลกที่ทำให้รู้สึกว่าติดหนี้บุญคุณ ถ้าไม่มีเธอคงผ่านช่วงเวลาพวกนั้นได้ลำบาก” เขาชะงักไปนิดหนึ่ง ปากบางเม้มอย่างลังเลว่าจะพูดดีหรือไม่ “ช่วงที่เธอไปแลกเปลี่ยน ฉันไปเมืองที่เธออยู่หนหนึ่ง ระหว่างที่อยู่ที่นั่นเวลาไปไหนจะต้องหันหน้าหันหลังมองหาไปทั่ว หวังว่าจะได้บังเอิญเจอกันสักครั้ง มีเรื่องที่อยากจะพูดด้วยเยอะแยะเลย เสียใจมากที่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้เจอกัน”

“ตามหาคนในเมืองใหญ่ขนาดนั้น คิดจะพิสูจน์ทฤษฎีโลกกลมหรือไง” คิ้วเรียวเลิกสูง

ชายหนุ่มหัวเราะ มุมปากผุดรอยยิ้มจาง

“ทำไมไม่คิดว่าเป็นการพิสูจน์เรื่องพรหมลิขิตล่ะ”

“ก็เพราะงั้น ถึงได้ไม่เจอกันยังไงล่ะ” คนที่เป็นฝ่ายถูกตามหาเอ่ยหน้านิ่ง

โดนสวนกลับแบบนั้นทว่าฐากรก็ยังหัวเราะออกมาได้ บรรยากาศระหว่างทั้งคู่ผ่อนคลายอย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับก่อนหน้านี้สนิทสนมกันมากมาย และไม่มีช่วงเวลาสิบเอ็ดปีที่ห่างเหิน

“เรือมีเป็นสิบเป็นร้อยลำ แต่ได้มาลงลำเดียวกัน ถ้าไม่เรียกว่าพรหมลิขิตจะให้เรียกว่าโชคช่วยเหรอ”

“อาจจะเรียกว่าเวรกรรม...” เสียงใสไร้อารมณ์พอๆ กับใบหน้า 

“โธ่เอ๊ย หมดมู้ด” ฐากรหัวเราะจนเกือบหงายหลัง

“สี่ทุ่มแล้ว...ง่วง” หญิงสาวนิ่วหน้าเมื่อก้มมองนาฬิกา “ไปนอนนะ”

บ่นว่าง่วงแล้วก็ปุบปับลุกขึ้นเดินหายเข้าไปในห้องนอน คนที่ยังนั่งอยู่หัวเรือมองตามแล้วฟุบหน้าลงกับขอบราวกั้น

ใบหน้าร้อนผ่าว หัวใจเต้นตึ้กตั้ก สมองมึนเบลอเหมือนกินเหล้าขาวเข้าไปทั้งขวด

ยายคนนิสัยเสีย จะปฏิเสธก็อย่าทำตาแบบนั้นสิ

ส่วนตัวเขาเนี่ย...จะเขินอะไรกันนักหนาฮะ!

“...สำหรับจุดดำน้ำตอนบ่ายคือหินแปดไมล์ กระแสน้ำเชี่ยวมากนะครับ โอกาสเจอเจ้าจุด17กับแมนตา18สูงมาก แต่พี่แนะนำว่าลงไปแล้วให้เกาะหิน ระวังอย่าโดนปะการัง รอให้เขาว่ายวนมา อย่าตาม เพราะเราจะเหนื่อยมาก” พี่บีมที่เป็นคนบรีฟทำหน้ายิ้มๆ “ถ้าหลุดกลุ่มไปก็เจอกันมาเลนะครับ เอาพาสปอร์ตมากันหรือเปล่า”

คนที่เพิ่งเจอกับกระแสน้ำเชี่ยวกรากของกองหินตาลังจนตาเหลือกเมื่อเช้าถึงกับเหม่อเมื่อได้ยินว่าเจอน้ำเชี่ยวอีกแล้ว  ส่วนญาณิศาที่นั่งฟังบรีฟอยู่ข้างกันหันไปมองท้องฟ้า

“แล้วคือฝนลงแบบนี้ทะเลจะยังไงเนี่ย”

“ฉันเอาฮุกเกี่ยวพี่อาร์ทไว้เลยได้มั้ย” กุลกัลยาเอ่ยเหมือนละเมอ

คนเป็นเพื่อนเหล่มอง “แกมีฮุก?”

“ไม่มี...” 

ฮุกคือตะขอที่ทำจากโลหะมีด้ามจับ เอาไว้เกี่ยวซอกหินเวลาเจอกระแสน้ำแรงๆ ได้ เพราะหินใต้น้ำนอกจากจะลื่นแล้ว บางครั้งยังมีหอยเม่นหรือสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลเกาะอยู่ ทำให้ไม่สามารถเกาะเกี่ยวหินได้เวลาที่จำเป็น

“แล้วมาพูด” ญาณิศาหลุดขำ “เอาจริงๆ เกาะเพื่อนแกดีกว่ามั้ย ฉันว่าเขาดูอยากให้เกาะ”

“พูดมากน่า” กุลกัลยาทำเสียงดุ

ที่บอกว่าน้ำเชี่ยวก็เห็นลางตั้งแต่ตอนจะโดดลงจากเรือแล้ว ไดฟ์นี้ต้องรีบโดดไม่ให้ขาดช่วง เพราะถ้าช้ากระแสน้ำจะพัดไปไกลจนหลุดจากกลุ่มได้ 

ถึงจะไม่แน่ใจว่าเรื่องโดนน้ำพัดเข้าประเทศมาเลเซียจะเกิดขึ้นได้จริง แต่กุลกัลยาคิดว่าไม่เสี่ยงดีกว่า เย็นนี้เธอยังอยากขึ้นเกาะหลีเป๊ะนะ

คลื่นด้านบนค่อนข้างสูง กระแสน้ำด้านล่างก็เชี่ยวกรากอย่างบ้าคลั่ง กุลกัลยารีบจับทุ่นก่อนที่น้ำจะพัดพาไปไกล พอปล่อยลมจากบีซีดีแล้วหายใจออกพาตัวเองดำดิ่ง ก็แพนิกเล็กน้อยกับกระแสน้ำที่แรงกว่าที่คาดไว้ 

หญิงสาวถึงกับอุทานในใจเมื่อร่างของเธอสะบัดราวกับผืนธงอยู่บนเชือกที่ผูกทุ่นระหว่างที่ค่อยๆ พาตัวเองลงไป พอถึงด้านล่างแล้วกระแสน้ำกลับไม่รุนแรงมากเท่าตอนที่ไต่เชือกลงมา กุลกัลยาจึงพอจะมีแก่ใจมองไปรอบๆ เผื่อว่าจะเจอสัตว์ทะเลตัวใหญ่ๆ อย่างใครเขาบ้าง กระทั่งเสียงเคาะถังอากาศดังรัวมาจากด้านหน้า พี่อาร์ทที่เป็นไดฟ์ลีดของกลุ่มก็รีบพาไปทางทิศนั้น แต่ก็พบว่าฉลามวาฬได้จากไปทางอื่นแล้ว มีเพียงกลุ่มแรกที่ทันเห็น

ถ้าไม่ได้ใส่แมสก์แล้วคาบเรกูเลเตอร์ไว้ในปาก เธอคงอ้าปากค้างด้วยความเหวอ 

ออกแรงว่ายมาตั้งเยอะ! รอหน่อยไม่ได้รึไง!

ฐากรว่ายมาตรงหน้า ทำสัญญาณมือบอกให้เธอกับคนในกลุ่มเกาะหินรอกันตรงนี้ระหว่างรอให้ฉลามวาฬว่ายกลับมา

เหมือนจะง่ายแต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากกระแสน้ำไม่เอื้ออำนวยให้ลอยตัวอยู่นิ่งๆ แต่จะให้ตีขาอยู่ตลอดก็ไม่ไหว สุดท้ายเลยต้องหาหินว่างๆ ไร้หอยเม่นจับจองเกาะไว้ แต่กุลกัลยาไม่มีถุงมือ หินก็ลื่นทำเอามือหลุดอยู่บ่อยครั้ง จนคนที่ว่ายไปช่วย ‘เก็บ’ นักดำน้ำจากกลุ่มอื่นให้มาเกาะหินด้วยกันวนมาเจอเข้าพอดี

ฐากรพุ่งไปหาคนที่กำลังสบตากับปลาการ์ตูนหวงถิ่นอยู่หน้ากองดอกไม้ทะเลแล้วปลดฮุกหรือตะขอเกี่ยวออกจากชุดของตนเองยื่นให้ พร้อมทั้งคล้องกับบีซีดีให้อย่างเรียบร้อยไม่ต้องกลัวหล่นหาย 

กุลกัลยาหันมามองคนที่ยัดฮุกใส่มือให้อย่างตกใจ นึกเกรงใจว่าเขาเองก็ต้องใช้เหมือนกัน แต่อีกฝ่ายกลับมองมาด้วยแววตาเหมือนยิ้มได้แล้วบีบไหล่เธอแรงๆ หนึ่งที ก่อนจะพุ่งไปหานักดำน้ำคนอื่นที่ทำท่าจะสู้กับกระแสน้ำไม่ไหวราวกับมีพลังงานล้นเหลือ

จนท้ายไดฟ์ ฉลามวาฬก็ไม่โผล่มาอีกเลย ถึงจะแทบไม่เจออะไรนอกจากได้สบตากับปลาการ์ตูนที่มองตอบกลับมาอย่างอาฆาตมาดร้ายด้วยความจำเป็น แต่นับว่าเป็นจุดดำน้ำที่น่าประทับใจในแง่ความแรงของกระแสน้ำอยู่เหมือนกัน เพราะการจะลงก็ไม่ง่าย จะขึ้นเรือก็ยังไม่ง่ายอีก คลื่นลมรุนแรงจนกว่าที่จะตะกายกลับขึ้นเรือได้ก็เล่นเอาหอบเลยทีเดียว

“ปวดหัวหรือเปล่า” 

กุลกัลยาที่เปลี่ยนชุดเรียบร้อยเงยหน้ามองคนถาม

“นิดหน่อย”

ฐากรพยักหน้า “เป็นเพราะเมื่อกี้โช้คอากาศเข้าไปเยอะน่ะสิ กินของว่างแล้วไปนอนซะ” 

“อืม” หญิงสาวคลึงขมับ แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ “เออ ฮุกอยู่ที่ชุด...”

“เก็บไว้เลย เผื่อต้องใช้”

“แล้วนาย...”

“เก็บไว้เถอะน่า” เขาหัวเราะ ลูบหัวเปียกๆ ของกุลกัลยาสองที เมินสีหน้าอึ้งงันของเธอแล้วเดินจากไป

ลามปามถึงขั้นลูบหัว ปกติแล้วควรจะด่า แต่...

กุลกัลยาฟุบหน้าลงกับโต๊ะซ่อนใบหน้าร้อนผ่าว ไม่ต่างจากเมื่อคืนที่ต้องรีบร้อนกลับห้องก่อนจะเสียอาการจนอีกฝ่ายจับสังเกตได้ หัวใจเต้นตึ้กตั้กเป็นจังหวะเดียวกับเส้นเลือดที่เต้นตุบๆ อยู่ในหัว

หลับไปตื่นหนึ่งอาการปวดหัวก็ดีขึ้นมากจริงๆ อย่างที่ฐากรว่า กุลกัลยากระตือรือร้นที่จะขึ้นเกาะหลีเป๊ะ ขณะมีบางคนที่เคยมาหลายรอบจนเบื่อแล้วเลือกนอนรออยู่บนเรือ แล้วฝากคนอื่นซื้อของแทน

การขึ้นเกาะจะใช้เรือดิงกีเช่นเคย บรรยากาศบนเกาะหลีเป๊ะค่อนข้างคึกคัก สองข้างทางมีร้านขายอาหารและของที่ระลึก 

“อยากกินโรตี” กุลกัลยาทำจมูกฟุดฟิดตอนเดินผ่านร้านขายโรตีที่มีเกือบทุกๆ ยี่สิบก้าว

“แต่เดี๋ยวเย็นนี้ก็มีสุกี้ จะอิ่มก่อนมั้ย” ญาณิศาท้วงแต่ดวงตาก็จ้องแป้งโรตีเขม็งไม่ต่างกัน

“ซื้ออันเดียวกินด้วยกันไง เอาแค่พอหายอยาก”

พอเป็นเรื่องกิน เพื่อนก็ไม่เคยห้ามเพื่อนเลย สุดท้ายก็มานั่งรอโรตีกันอย่างใจจดใจจ่อราวกับไม่ได้เพิ่งกินของว่างไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ไม่นานทั้งคู่ก็ได้โรตีที่สั่งไว้

“เออ ที่เมื่อคืนแกคุยกับเพื่อนแก คือมีเรื่องอะไรกันเหรอ” ญาณิศาถามอย่างสนใจ

“อ๋อ เรื่องสิบกว่าปีแล้ว จำอะไรไม่ค่อยได้แล้วละ” กุลกัลยาตอบทั้งที่ยิ้ม 

คนเป็นเพื่อนย่นจมูก ดูก็รู้ว่าไม่ได้จำไม่ได้อย่างที่พูด แต่ไม่อยากจะพูดเพราะเป็นเรื่องของฐากรมากกว่า ญาณิศาไม่อยากเซ้าซี้ ถ้าอีกฝ่ายไม่อยากจะเล่าก็คงเพราะมีเหตุผลของตัวเอง

“ตายยากจริง” ญาณิศามองไปด้านหลังเพื่อน เห็นคนตัวสูงเดินดุ่มๆ ตรงมาด้วยสายตามุ่งมั่นก็ลอบยิ้ม

“หืม?” กุลกัลยามองตามสายตาคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วก็ชะงัก

ฐากรผู้มุ่งมั่นก้าวยาวๆ เพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงตัวเป้าหมาย

“กินโรตีเหรอ”

“นั่งกินด้วยกันสิ หยามันอยากชิมเลยสั่งมากินด้วยกัน” เพราะเพื่อนมัวแต่นั่งทำหน้านิ่ง ญาณิศาเลยออกปากชวนแทน

ชายหนุ่มเหลือบมองใบหน้านวลของอีกคนแวบหนึ่ง ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งตามคำชวน เสนอหน้าเข้าไปช่วยกินโรตีอย่างไม่ขัดเขิน พอเพื่อนของกุลกัลยาชวนคุยก็คุยด้วยอย่างคนอัธยาศัยดี 

กุลกัลยาที่นั่งตัวเกร็งนิดๆ มาตลอดเวลาถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเดินกลับมาถึงท่าเรือที่รอเรือดิงกี เธอกลัวใจญาณิศาจนเข้าขั้นหลอน ว่าจะหลุดพูดอะไรแปลกๆ ต่อหน้าฐากรอีก 

แต่ถอนหายใจยังไม่ทันจะหมดปอด ญาณิศาก็หันไปบอกกับฐากรเอาดื้อๆ 

“เรือยังไม่มา เราไปดูของตรงนั้นแป๊บนึง ฝากหยาหน่อยนะ” พูดจบก็จ้ำอ้าวกลับเข้าไปในถนนที่ขายของเต็มสองข้างทาง ทิ้งเพื่อนที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกให้มองตาค้าง

“ไอ้นี่...”

“ทำไมเหรอ” 

ดวงตาชายหนุ่มที่หลุบลงมามองใสซื่อจนกุลกัลยาถอนหายใจอีกรอบ 

“ไม่มีอะไร ไปรอตรงนู้น...” จะบอกว่าตรงนี้มันขวางทางคน แต่ยังพูดไม่ทันจบประโยค ก็เหลือบไปเห็นเด็กเล่นสเกตบอร์ดพุ่งตรงมาหา จนคนที่หันไปเจอได้แต่อ้าปากเหวออย่างไม่รู้จะหลบอย่างไรถูก

มือแข็งแรงจับต้นแขนเล็กกระชับดึงเข้าหาตัว หญิงสาวจึงรอดพ้นจากการถูกชนแค่เส้นยาแดงผ่าแปด

ถึงจะไม่ได้โถมเข้าใส่อกอีกฝ่ายเต็มตัวเหมือนเมื่อคืนวันที่มาถึงภูเก็ต แต่ก็ใกล้จนใจเต้น กุลกัลยาเหลียวมองใบหน้าคมคายเปื้อนยิ้มที่เหมือนจะก้มลงมานิดๆ ดวงตาของอีกฝ่ายเป็นประกายเจิดจ้า 

ใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจเป่ารดใบหน้า...

ฐากรยังยิ้มในหน้าระหว่างมองคนที่ชะงักไปนิดๆ แล้วเอนตัวออกไปโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า

“เอ้อ...ขอบคุณนะ” กุลกัลยาขืนตัวออก มือบางยกขึ้นลูบผมเหมือนไม่รู้จะวางมือไว้ตรงไหน

“ไม่เป็นไรครับ”

ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่สะดุดและดวงตาที่ตวัดมองของอีกฝ่าย มุมปากกระตุกเป็นรอยยิ้มเมื่อเขาเหลือบมองนวลแก้มขึ้นสีเรื่อ 

...ชอบให้พูดเพราะๆ เหรอ

บนเรือยังเตรียมอาหารมื้อเย็นที่เป็นสุกี้ไม่เสร็จ และเพราะเป็นอาหารที่ไม่เหมาะกับการกินระหว่างที่เรือแล่น เรือใหญ่จึงลอยอยู่ไม่ไกลจากเกาะเพื่อหลบคลื่นลม หลายๆ คนจึงถือเป็นโอกาสเปิดประตูขึ้นไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ยามเย็นจากมุมสูง

กุลกัลยาปล่อยให้ญาณิศาขึ้นไปก่อน เพราะนึกได้ว่าตัวเองลืมเก็บไฟฉายขึ้นจากถังน้ำท้ายเรือออกมาชาร์จแบต

ร่างเล็กบางชะงักฝีเท้าไปนิดหนึ่งจนยากจะจับสังเกตเมื่อเห็นคนตัวสูงยืนพิงอยู่ท้ายเรือ ดวงตากลมเลื่อนสายตาไปที่บุหรี่บนมือของอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ

พอหันมาเห็นกุลกัลยา ชายหนุ่มก็หันมายิ้มให้จนตาโค้งเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว

“มาเอาไฟฉายน่ะ” กุลกัลยารีบบอกก่อนอีกฝ่ายจะถาม 

“เอาด้วยมั้ย”

กุลกัลยาก้มลงมองของในมือที่อีกฝ่ายยื่นให้ตาปริบๆ

...บุหรี่กับไฟแช็ก

เอาจากไหนมาคิดว่าเธอจะสูบ...

เอ๋?

อยู่ๆ ภาพยามเย็นบริเวณหลังโรงเรียน แสงอาทิตย์โรยแรงที่ลอดผ่านต้นไม้ครึ้ม กับกลิ่นฉุนของบุหรี่ที่ลอยอวลเคล้ากลิ่นของลมหนาวก็ผ่านวาบเข้ามาในสมอง

 รอยยิ้มประหลาดจุดขึ้นบนมุมปากเล็ก

“ฉันไม่สูบบุหรี่” ดวงตาของคนพูดมีรอยขบขัน “ก็บอกแล้วไงล่ะว่าไม่ได้สูบ”

ฐากรยิ้มค้าง


 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น