4

4

ความอ่อนไหวที่อยู่ตรงนั้นตลอดมา

‘ธุระ’ ที่ว่าของเขาคือการเอาของรับขวัญทารกมาให้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่

ทั้งทศวรรษและตมิศาเป็นเพื่อนที่คบหากันมานาน คนหนึ่งเป็นเพื่อนที่เรียนมหาวิทยาลัยมาด้วยกันที่แคนาดา ส่วนอีกคนเป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยมัธยมที่เคยคบหากันในช่วงสั้นๆ ตอนขึ้น ม. ปลาย ทั้งคู่รู้จักกันผ่านการแนะนำของฐากร หลังจากแต่งงานก็ย้ายมาใช้ชีวิตที่บ้านเกิดของฝ่ายหญิง เปิดร้านกาแฟเล็กๆ ในย่านท่องเที่ยวของเมืองภูเก็ต

               ตมิศาเพิ่งคลอดลูกชายคนแรกเมื่อไม่นานมานี้ เขาในฐานะพ่อสื่อที่ถูกยกให้เป็นพ่อทูนหัวของหลานชายจึงถือโอกาสที่มาทำงานที่ภูเก็ตแวะเยี่ยมเยียนเพื่อนและเด็กน้อยวัยสี่เดือน

ทันทีที่ร่างสูงกว่าหกฟุตของทศวรรษพร้อมกับร่างกลมแก้มยุ้ยน้ำลายยืดในอ้อมกอดตรงมายังโต๊ะที่ภรรยากับเพื่อนสนิทนั่งอยู่ ฐากรก็ยื่นมือไปหา

               “ขออุ้มได้มั้ย”

               “เอาไปสิ สักครึ่งวันเลยก็ได้” คนเป็นพ่อว่าพลางวางลูกชายบนตักของเพื่อน แล้วเดินอ้อมไปนั่งข้างภรรยา

               “ไม่ได้ เดี๋ยวอีกสักพักฉันมีเดต จะเอาไปเป็นกอขอคอได้ไงล่ะ” 

               “พูดเป็นเล่น รอบก่อนจะแนะนำสาวให้ยังบอกว่าขี้เกียจ” ทศวรรษเลิกคิ้ว

               “ก็ตอนนี้ไม่ขี้เกียจแล้ว” ฐากรสบตากับร่างอวบนุ่มของเด็กน้อยในอ้อมแขนที่เงยหน้าขึ้นมามองด้วยแววตาสงสัยสุดๆ เมื่อถูกคนแปลกหน้าอุ้ม

               “ไปเจอกันที่ไหน” ตมิศาถามอย่างใคร่รู้

               “ที่รัก คุณมีผมแล้วนะ จะไปสนใจมันทำไม” สามีแกล้งทำเสียงดุใส่ เรื่องที่พวกเขาเคยคบกันสมัยเรียนเป็นเรื่องที่ทศวรรษแกล้งทำเป็นโมโหหึงแบบทีเล่นทีจริงได้ตลอด 

               “อย่าเพิ่งเล่นน่า แท็บดูจริงจังขนาดนี้ ฉันอยากเจอเพื่อนสะใภ้!” หญิงสาวผลักไหล่คนรักเบาๆ แล้วหันไปถามเพื่อนอย่างกระตือรือร้น “ชวนมาเจอที่นี่สิ”

               “แต่เขายังไม่ได้ชอบฉันขนาดนั้น ถ้าพามาเขาจะลำบากใจจนหนีไปหรือเปล่า”

               เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นท่าทางไม่มั่นใจในตัวเองของฐากร จึงยิ่งทำให้อยากเจอคนคนนั้นเข้าไปใหญ่

“อยากเจอจัง”

“เอาไว้ครั้งหน้าเถอะ” ฐากรลังเลนิดหน่อยก่อนเอ่ยต่อ “เธอก็รู้จักนะ เป็นเพื่อนสมัยมัธยม”

“เฮ้ย จริงอะ” เธอเผลอยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตื่นเต้น “อย่าเพิ่งบอกๆ ขอเดาก่อนๆ”

“เดาผิดฉันเอาทองกลับนะ” 

“ไม่ได้ดิ!” คุณแม่มือใหม่ปกป้องทองของลูกชายสุดชีวิต เอื้อมมือไปคว้ากล่องกำมะหยี่มากอดไว้ “หยา?”

“ทำไมรู้...” ใบหน้าคมคายของฐากรปรากฏความงงงันไปวูบหนึ่ง

“จริงด้วย!” ตมิศาเผลอหลุดเสียงกรี๊ดออกมาเบาๆ

“ใครอะ” ทศวรรษหันมองหน้าคนทั้งคู่สลับกันไปมา ขยับแก้วกาแฟของฐากรหนีมือเล็กๆ ของลูกชายที่พยายามเอื้อมคว้า “ไม่เอาครับลูก”

“เพื่อนห้องเดียวกันน่ะ ตอน ม. ห้าแฟนเก่าแท็บแพร่ข่าวไปทั่วว่าโดนนอกใจ โดนทำร้ายร่างกาย บอกว่าจะฆ่าตัวตายจนแท็บโดนแบนจากคนเกือบทั้งโรงเรียน โดนครูเรียกไปคุย ตอนนั้นเป็นประธานนักเรียนอยู่ก็ต้องออกจากตำแหน่ง หยาเป็นคนที่บอกให้ฟังความทั้งสองฝ่ายก่อนก็โดนลากไปด่าด้วย ซึ่งจริงๆ แล้วหยามีคลิปเสียงตอนที่แท็บกับแฟนเก่าทะเลาะกันวันนั้น และคนที่โดนทำร้ายร่างกายคือแท็บต่างหาก กว่าเรื่องจะจบได้ ถ้าไม่ใช่ว่าต่างคนต่างแยกย้ายไปคนละทางก็คงเป็นมหากาพย์”

“โห” คนทำหน้าเหลือเชื่อ “ชีวิตมัธยมมึงช่าง...”

ฐากรที่โดนแฉหมดเปลือกยกมือกุมศีรษะ 

“ว่าแต่ทำไมช่วงมัธยมแฟนเก่ามึงเยอะจังวะ” ทศวรรษยังติดใจในประเด็นนี้

“จะให้กูพูดเรื่องของมึงบ้างมั้ย” ฐากรเลิกคิ้ว

ตมิศาหันขวับไปมองสามีเขม็ง เล่นเอาคนถูกจ้องหัวเราะแหะๆ แล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง

ก่อนถึงเวลานัดกับกุลกัลยาไม่นาน เด็กชายตัวน้อยที่นั่งอยู่ในอ้อมกอดของฐากรได้ตั้งนานก็เริ่มโยเย ชายหนุ่มจึงรีบคืนหลานชายให้เพื่อนแล้วขอตัวลาพร้อมคำอวยพรขอให้หลานชายแข็งแรง

“เออ เห็นในไลน์รุ่นหรือเปล่า เดือนหน้าภีมจะแต่งงาน นายจะไปมั้ย” ตมิศาเอ่ยระหว่างเดินมาส่งเขาหน้าประตูร้านเมื่อนึกขึ้นได้ “คงไปสินะ เจ้าสาวเป็นเพื่อนสนิทหยา งั้นเดี๋ยวฉันโอนเงินช่วยงานฝากไปด้วยได้มั้ย ฝากแสดงความยินดีด้วย มีลูกเล็กฉันคงไม่ได้เข้ากรุงเทพฯ ช่วงนี้”

“อ้อ” อันที่จริงก่อนหน้านี้เขาแทบไม่ได้สนใจข้อความในกรุ๊ปไลน์เพื่อนร่วมรุ่นมัธยมมาก่อน แต่พออีกฝ่ายบอกว่าเจ้าสาวเป็นเพื่อนสนิทกุลกัลยา จึงคิดว่าตนเองคงไปร่วมงานแน่ๆ “ได้สิ”

ในเวลาที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยความสุข หัวใจเต็มไปด้วยความหวัง ความสุขสดใสในชีวิตก็มักจะถูกพรากไปอย่างดื้อๆ เสมอ เหมือนลูกโป่งที่ถูกเป่าลมจนพองแล้วโดนเจาะแตก

ทันทีที่เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทร. หากุลกัลยา ข้อความที่เธอทิ้งไว้ในโปรแกรมสนทนาก็ทำให้เขานิ่งงันไป

คงไปร้านขนมกับนายไม่ได้แล้ว ขอโทษนะ’ 

 “ไม่สบายหรือเปล่า” เขาพึมพำอย่างเป็นกังวล ลังเลเล็กน้อยตอนที่กดโทร. ออก

               ฐากรโทร. ไปสี่สายอีกฝ่ายถึงได้กดรับ ชายหนุ่มร้อนใจจนเกือบวิ่งกลับไปที่โรงแรม 

               “ฮัลโหล”

               “หยา เป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่า” 

ปลายสายเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ฐากรสังหรณ์ใจอย่างน่าประหลาด

“ปวดหัวนิดหน่อย คงไปเที่ยวด้วยไม่ได้แล้ว ขอโทษนะ”

“กินยาหรือยัง มียาหรือเปล่า”

“กินแล้ว ขอบคุณ” 

กุลกัลยาวางสายไปแล้ว แต่เขายังยืนมองโทรศัพท์ตัวเองนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น ในอกวูบโหวงกับน้ำเสียงเย็นชาอย่างไม่มีสาเหตุ

ฐากรสัมผัสได้ถึงกำแพงสูงในใจเธอตั้งแต่แรก ทั้งที่เมื่อคืนเขาเพิ่งรู้สึกว่าเธอเหมือนจะเริ่มเปิดใจ แต่เหตุใดรู้ตัวอีกทีกำแพงนั้นก็สูงท่วมหัวไปแล้ว

               ความรู้สึกวูบโหวงในจิตใจเทียบอะไรไม่ได้เลยกับความเจ็บปวดที่เขาได้รับ เมื่อสบสายตากับแววตาว่างเปล่าและอากัปกิริยาเย็นชาของอีกฝ่ายในตอนที่เจอหน้ากันที่สนามบิน

               คนที่บอกว่าปวดหัวในตอนช่วงสาย กลับเช็กเอาต์ออกจากโรงแรมไปตั้งแต่ตอนเที่ยง 

               ท่าทางห่างเหินของเธอ แม้แต่คนโง่ที่สุดยังสังเกตได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติระหว่างพวกเขา

               ทุกครั้งที่เขาพยายามจะเดินเข้าไปพูดคุย กุลกัลยามักจะหาทางหลบเลี่ยงไปได้เสียทุกครั้ง และมันน่าหงุดหงิดที่เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองทำอะไรผิด

               เมื่อคืนตอนที่ไปส่งเธอที่ห้อง เขายังได้รับรอยยิ้มที่มาพร้อมแววตาสดใสแฝงความเขินอายจนทำให้ใจเต้นตึ้กตั้กไม่หยุด ผ่านไปแค่คืนเดียวมันแปรเปลี่ยนเป็นความมึนตึงและเย็นชาเช่นนี้ได้อย่างไรกัน

               มันต่างจากตอนที่เธอเอ่ยคำผลักไสแบบกวนประสาทด้วยแววตาเลิ่กลั่ก และท่าทางลุกลี้ลุกลนขัดกับพวงแก้มแดงจัดตอนที่อยู่บนเรือด้วยกัน  ตอนนั้นแม้จะเป็นถ้อยคำปฏิเสธ แต่เขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองถูกปฏิเสธอย่างจริงจังเท่าท่าทีของเธออย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้

               ฐากรขบกรามขณะมองตามแผ่นหลังของคนที่เดินออกไปจากเลานจ์ของสายการบิน

               แผ่นหลังที่อยู่ในความฝันมาตลอดเวลาหลายปี แต่ตอนนี้กลับทำให้เขาอึดอัดจนหายใจไม่ออก

               ...

               “ทำอะไรน่ะ!”

               กุลกัลยาร้องออกมาเบาๆ เมื่อข้อมือถูกคนตัวสูงบีบรัด ฉุดกระชากให้เดินไปทางตรงกันข้ามกับทางกลับไปเลานจ์ของสายการบินหลังจากออกจากห้องน้ำ 

               “ขอคุยด้วยหน่อย”

               “จะถึงเวลาขึ้นเครื่องแล้วนะ!”

               “อีกยี่สิบนาที”

               ฐากรลากเธอเดินไปจนสุดอีกฝั่งของอาคารผู้โดยสาร ห่างจากเกตของพวกเขามากพอจะทำให้รู้สึกกังวลว่าจะวิ่งกลับไปไม่ทันถ้าถึงเวลาเกตเปิด และไกลเกินกว่าที่คนจากกลุ่มดำน้ำเดียวกันจะสังเกตเห็นพวกเขา

               “...ถ้ากลัวไม่ทันจะให้ฉันแบกเธอแล้ววิ่งเหมือนเมื่อคืนก็ได้”

               กุลกัลยาเริ่มนับหนึ่งถึงสิบ

               “เธอเป็นอะไร” ฐากรเริ่มเจรจาด้วยน้ำเสียงราวกับกำลังสะกดกลั้น

               “อะไร” 

หญิงสาวย้อนถามขณะหางคิ้วเรียวเลิกขึ้น แววตาหลากอารมณ์จนเขาอ่านเธอไม่ออก

               “ก็ที่ทำท่าเย็นชาอยู่แบบนี้ เมื่อเช้าที่บอกว่าปวดหัวคือโกหกใช่มั้ย”

               “ใช่ ฉันโกหก เพราะไม่อยากไปไหนกับนายแล้ว” เธอมองท่าทางอึ้งงันของเขานิ่งๆ “อยากได้ยินฉันพูดแบบนี้ใช่มั้ย”

               “...โกหก เธอไม่ได้หมายความแบบนั้นจริงๆ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ฐากรกัดฟันกรอด

               “พอตอนบอกว่าปวดหัวก็ว่าโกหก มาตอนนี้ก็ยังบอกว่าโกหก ตกลงจะเอายังไงกันแน่”

               “ทำไมอยู่ๆ ถึงได้เป็นแบบนี้” ฐากรอยากจะจับคนตรงหน้าเขย่าให้หัวคลอนพอๆ กับที่อยากจะดึงเธอเข้ามาจูบจนกว่าที่ปากเล็กๆ นั่นจะเลิกพูดจากวนประสาทจนเขาแทบเป็นบ้า

               “ฉันก็เป็นแบบนี้มาตลอด นายต่างหากที่ไม่เคยรู้จักฉันเลย” 

อยู่ๆ เขาก็คิดว่าเหมือนจะเห็นแววตาตัดพ้อซ่อนอยู่ในความเย็นชา

               นายต่างหากที่ไม่เคยมองมาที่ฉันเลย    

               “ฉันรู้ว่าเธอเองก็มองออกว่าฉันคิดยังไง..”

               “นายคิดผิดแล้ว เพราะฉันมองไม่ออก”

               “ฉันชอบเธอแทบบ้า! ทำไมถึงบอกว่ามองไม่ออก” เสียงห้าวดังจนเกือบจะเป็นตะโกน

               ดวงตาคู่โตเบิกกว้างขึ้น สั่นไหวไปด้วยความรู้สึก ทว่าวูบเดียวก็เปลี่ยนเป็นความโกรธคุกรุ่นแผ่ออกมาจากร่างเล็กบาง

               “นายไม่รู้จักอะไรเกี่ยวกับฉันด้วยซ้ำ เอาอะไรมาบอกว่าชอบฉันกัน”

               ฐากรมองเธอด้วยสายตาราวกับไม่อยากจะเชื่อ

               “เป็นเพราะฉันช่วยนายเมื่อตอนนั้นเหรอ” 

               ฐากรสะอึก 

               “นายเองก็รู้นี่ ว่าต่อให้เป็นคนอื่น แต่ถ้าอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นฉันก็ช่วยเหมือนกัน ต่อให้เป็นหมาข้างถนนแต่ถ้ากำลังลำบาก ยังไงฉันก็ต้องช่วย” เสียงใสเย็นเยียบเหมือนน้ำแข็งที่สาดโครมใส่หน้าจนคนฟังชาไปทั้งตัว “มันไม่ได้มีอะไรที่พิเศษไปกว่านั้น”

               เหมือนอากาศทั้งหมดได้หายไปจากปอดเขา ฐากรแทบไม่รู้สึกถึงการเต้นของหัวใจตัวเองด้วยซ้ำ

               วินาทีนั้นเขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะร้องไห้ได้แล้วจริงๆ

               “นี่คือคำตอบของเธอเหรอ” ไม่รู้ว่าใช้เวลาเท่าไหร่ กว่าเขาจะบังคับให้ตัวเองพูดออกไปด้วยเสียงที่แหบพร่า “ว่าสำหรับเธอแล้ว ฉันก็ไม่ได้มีค่าไปมากกว่าหมาตัวหนึ่ง”

               “...”

               “นี่คือการปฏิเสธของเธอสินะ”

               กุลกัลยากัดเนื้ออ่อนๆ ในปากจนเจ็บ พยายามกลั้นน้ำตาร้อนผ่าวไว้อย่างสุดความสามารถ เธอหลุบตามองพื้นเพื่อหลีกเลี่ยงการสบสายตากับเขา แม้จะรู้สึกได้ว่าเขายังมองเธอด้วยแววตาค้นหาอยู่อย่างนั้น 

เนิ่นนานจนเธอเริ่มเจ็บหน้าอกเพราะกลั้นหายใจ ร่างสูงก็หมุนตัวจากไปพร้อมถ้อยคำที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน

“เข้าใจแล้ว”

น้ำหยดหนึ่งร่วงเผาะลงบนเสื้อยืดสีอ่อน ก่อนจะซึมหายไปจนไม่เห็นร่องรอย

               

               ทั้งๆ ที่ตำแหน่งของที่นั่งบนเครื่องบินห่างไกลจนมองกันไม่เห็น แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอารมณ์ความรู้สึกจากฐากรแผ่มาถึงตรงนี้ หรือมันเป็นความรู้สึกของตัวเธอเองกันแน่ที่ทำให้รู้สึกว่า การนั่งเครื่องบินที่กินเวลาไม่ถึงชั่วโมงยาวนานราวกับสักสิบปี ทรมานจนอยากจะกระโดดลงไปให้รู้แล้วรู้รอด

               ความรู้สึกอัดอั้นที่จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออกช่างเกินจะทานทน

               เป็นเขาแท้ๆ ที่ทำให้เธอเจ็บปวด แต่ไม่รู้ทำไมทั้งสายตาท่าทางของเขากลับทำให้รู้สึกเหมือนว่าเป็นเธอเอง ที่ทำร้ายจิตใจเขาอย่างรุนแรงโดยไร้เหตุผล

               สิ่งที่เธอพูดมันผิดตรงไหนกัน

               เป็นเขาเองแท้ๆ ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ไม่เคยเห็นเธออยู่ในสายตา 

ฐากรแทบไม่รู้จักเธอเลยด้วยซ้ำ แต่เป็นเพราะด้านดีๆ ของเธอที่เขาเห็นทำให้เขารู้สึกยึดติดคนที่เข้ามาเป็นผู้กอบกู้เขาในตอนนั้น มันไม่ใช่ความรู้สึกชอบหรือความรักจริงๆ เสียหน่อย

ทำไมต้องทำท่าเหมือนคนใจสลายแบบนั้นด้วย

เป็นเธอต่างหากที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ สายตาก็ถูกดึงดูดให้เฝ้ามองเขาเสมอมา ไม่ว่าจะสิบกว่าปีที่แล้วหรือตอนนี้ก็ตาม

กุลกัลยาคิดว่าฐากรกำลังสับสน การที่เธอเข้าไปทำดีด้วยในช่วงเวลาที่เขากำลังเปราะบางถือเป็นการฉวยโอกาสอย่างหนึ่ง และบางทีนี่อาจจะเป็นความผิดที่เธอได้ทำไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ ดังนั้นเธอจึงไม่ควรฉวยโอกาสนั้นจากเขาอีกครั้งในตอนนี้

หญิงสาวบอกตัวเองอย่างมั่นใจ

แต่ไม่รู้ว่าทำไม ความว่างเปล่าในโพรงอกกลับยิ่งขยับขยายกินพื้นที่กว้างจนรู้สึกเคว้งคว้าง เหมือนสูญเสียบางสิ่งที่สำคัญไปทั้งๆ ที่เธอไม่เคยได้มันมา...

หลังจากเครื่องบินลงจอดที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กุลกัลยาและฐากรก็แยกย้ายกันไปคนละทิศ ระหว่างที่รอสัมภาระก็ยืนกันคนละมุมของสายพาน ต่างกับตอนที่เจอกันที่ภูเก็ตราวฟ้ากับเหว 

กุลกัลยาตัดสินใจแยกตัวเองออกมาเมื่อเห็นว่ากลุ่มนักดำน้ำที่ไปกรุ๊ปเดียวกันดูจะยังคุยกับเขาอย่างติดพัน เธอมองภาพชายหนุ่มร่างสูงที่เปล่งประกายเจิดจ้าอยู่ท่ามกลางผู้คนราวกับเดือนล้อมดาวด้วยความรู้สึกหลากหลาย

ภาวนาให้แก้วเจ้าจอมมาถึงเร็วๆ เพราะเธอไม่อาจอยู่เพียงลำพังไปได้นานกว่านี้ การร้องไห้กลางสนามบินไม่ใช่เรื่องน่าอภิรมย์สักเท่าไหร่

กุลกัลยาก้มหน้ามองโทรศัพท์แล้วถอนหายใจเบาๆ เมื่อพบว่าพี่สาวมาถึงได้สักพัก พอได้กระเป๋าครบก็รีบเข็นรถเข็นออกไป แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองแผ่นหลังกว้างแวบหนึ่งตอนที่เดินผ่าน

หลังจากนี้คงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว

พบกันครั้งนี้ก็แค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น... 

ฐากรทิ้งตัวลงบนโซฟานุ่มริมหน้าต่างที่กินพื้นที่ด้านหนึ่งของผนังห้องชุดแบบดูเพล็กซ์ ซึ่งนอกจากของที่ผู้เช่าตกแต่งไว้ให้แล้วก็แทบไม่มีสิ่งใดที่เขาซื้อหามาวางไว้เพิ่มเลย 

เพราะที่นี่ไม่ใช่บ้านของเขา

เอาจริงๆ ฐากรก็ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าจะมีที่ไหนที่เขาเรียกว่าบ้านอย่างเต็มปาก ไม่ว่าจะเป็นบ้านของพ่อที่อาศัยอยู่ร่วมกับภรรยาและลูกชายคนใหม่ บ้านของสามีใหม่แม่กับลูกติดที่แม่ของเขารักยิ่งกว่าลูกที่คลอดออกมาเอง หรือแม้แต่บ้านของครอบครัวป้าแท้ๆ ที่เขาไปอาศัยอยู่ด้วยตลอดระยะเวลาไม่กี่ปีระหว่างที่เรียนไฮสกูลที่แคนาดา 

ไม่มีที่ไหนที่เป็นบ้านของเขาอย่างแท้จริง

หลายๆ ครั้งระหว่างที่ใช้ชีวิตบินไปมาหลากหลายประเทศ เขาเคยคิดอยู่ในใจว่า ‘อยากกลับบ้าน’ แต่ช่างน่าเศร้าที่แม้แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าบ้านที่ว่านั้นคือที่ไหนกันแน่

ฐากรมองออกไปนอกหน้าต่างที่เปิดม่านทิ้งไว้ 

ท้องฟ้าด้านนอกมืดลงแล้ว ทว่ากลับสว่างไสวด้วยไฟที่บ่งบอกสัญญาณของชีวิตผู้คนที่อยู่ด้านนอก ระหว่างที่เหม่อมองแสงไฟขยับไหวไปมาบนถนน ฐากรก็นึกถึงช่วงเวลาเกือบหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา

มีอยู่บ้างบางขณะจิตที่เขาเหมือนจะตามหา ‘บ้าน’ ของตัวเองเจอ แล้วสุดท้ายก็หลุดมือไป

ฐากรชินชากับชีวิตที่ต้องอยู่ลำพัง ทว่านี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่รู้สึกเคว้งคว้าง ราวกับเขาเป็นเพียงของไร้ค่าที่ไม่มีใครต้องการ

แสงไฟจากหน้าจอมือถือสว่างวาบก่อนจะดับลง ชายหนุ่มมองมันด้วยความรู้สึกว่างเปล่าอยู่ครู่หนึ่งกว่าที่จะตัดสินใจเปิดดู

‘อาทิตย์หน้าวันเกิดลูกใช่มั้ย มากินข้าวที่บ้านสิ’

มันน่าจะเป็นเรื่องปกติที่จะใช้เวลากับบุพการีในวันคล้ายวันเกิดของตัวเอง แต่สำหรับฐากรที่ไม่เคยมีช่วงเวลาเหล่านั้นตั้งแต่จำความได้ แม้ว่าพวกเขาจะเคยใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน ข้อความนั้นกลับเป็นดั่งสัญญาณเตือนภัยชนิดหนึ่ง

และฐากรคิดว่าตัวเองพอจะเดาต้นสายปลายเหตุได้ 

บ้านเก่าแก่หลังใหญ่ในซอยเล็กๆ บนทำเลทองย่านธุรกิจของธนา พ่อของเขา ถ้ามีเด็กเข้าไปเล่นซ่อนแอบ ให้หากันทั้งวันทั้งคืนก็คงไม่เจอ เหมือนกับที่ฐากรเคยหาที่หลบซ่อนจากสายตาของคนในบ้าน จนพวกเขาล้มเลิกความตั้งใจไปกันเอง มีอยู่หลายครั้งด้วยซ้ำที่เขาคิดว่าหากตัวเองตายไปในบ้านหลังนี้ อาจอาศัยเวลาเป็นวันกว่าที่คนพวกนั้นจะพบเจอร่างของเขา

ความคิดที่ว่าตัวเองคงมีสภาพร่างน่าสมเพชเกินทนกว่าจะได้รับการเผา ทำให้เขาล้มเลิกความคิดที่จะทำอัตวินิบาตกรรมไปได้ทุกครั้ง

“พ่อล่ะ” ฐากรหันไปถามแม่บ้านที่เดินออกมาด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง

โชคดีไปที่คนที่เดินออกมาเป็นคนรับใช้เก่าแก่ของครอบครัว หาไม่แล้วฐากรคงต้องเสียเวลาอธิบายอีกว่า ‘พ่อ’ ที่ว่านี่หมายถึงใครในบ้าน

“ตีกอล์ฟอยู่หลังบ้านค่ะ”

ชายหนุ่มทำเสียงในลำคอเป็นเชิงรับรู้แล้วเดินทะลุไปสวนหลังบ้านอย่างคุ้นเคย 

ธนาในวัยกลางคนยังดูดีอ่อนกว่าวัย แต่สำหรับฐากรที่ไม่ได้เจอบิดามาเกือบสองปีตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เขากลับมาเมืองไทยกลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายดูแก่ขึ้นโข 

สวนหลังบ้านนอกจากแปลงดอกไม้ของคุณผู้หญิงของบ้านแล้ว ยังมีเนินหญ้าสำหรับซ้อมพัตต์ลูกกอล์ฟอยู่สองหลุมที่ถูกใช้ตีวนไปวนมาอยู่ทั้งปีทั้งชาติ

“แท็บ” ธนาหันไปเห็นลูกชายคนโตก็ยิ้มกว้าง แล้วยืนพัตเตอร์ในมือให้ “ลองมั้ย พ่อเพิ่งให้คนปรับหลุมใหม่ ไม่ได้เล่นนานแล้วสิ”

ถ้าไม่บอกเขาก็คงไม่รู้ว่าหลุมกอล์ฟในบ้านเพิ่งปรับใหม่ สำหรับคนที่เคยเล่นกีฬาชนิดนี้ในช่วงเวลาไม่กี่ปีในวัยเด็กเพียงเพื่อเอาใจคนสำคัญ ก่อนจะพบว่ามันช่างไร้ความหมายอย่างฐากร ต่อให้ธนาทำสนามไดรฟ์กอล์ฟไว้ในบ้าน เขาในตอนนี้ก็ไม่สนใจอยู่ดี

ดวงตาคมเหลือบมองห้องกระจกริมสวนแวบหนึ่ง แต่ไม่อาจรอดพ้นจากสายตาของคนเป็นพ่อ อีกฝ่ายหัวเราะก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนจนฐากรขนลุก

“คุณน้าเขาทำอาหารอยู่ในครัว เตรียมของโปรดของแท็บตั้งแต่เช้าแล้ว”

ข้อความที่เอ่ยน่าขนลุกยิ่งกว่าเสียอีก...

ทว่าชายหนุ่มไม่คิดจะเปิดโปงอีกฝ่ายในตอนนี้ ถ้าพวกเขาอยากจะเล่นละคร ฐากรก็จะชมจนกว่ามันจะจบ

แน่นอนว่าต่อให้อาหารบนโต๊ะจะรสเลิศเพียงใด แต่บรรยากาศช่างฝืดเคืองเต็มไปด้วยความฝืนทนจนน่าขัน รอยยิ้มใจดีของแม่เลี้ยงเขา แม้แต่ดาราไทยยังเล่นละครได้สมจริงมากกว่า

จู่ๆ ฐากรก็นึกถึงกุลกัลยาขึ้นมา 

แม้ว่าการมีเธออยู่ข้างๆ จะทำให้เขาอุ่นใจเหมือนได้เจอพื้นที่ปลอดภัยแค่ไหน แต่ที่แบบนี้เป็นสิ่งสุดท้ายบนโลกที่เขาจะยอมปล่อยให้เธอได้พบเจอ

คิดถึงตรงนี้ฐากรก็ชะงักไปนิดหนึ่ง เมื่อนึกได้ว่าอีกฝ่ายคงไม่มีโอกาสได้มาอยู่ในสถานการณ์น่าอึดอัดแบบนี้อยู่แล้ว

“แท็บกลับมาคราวนี้อยู่ยาวเลยได้มั้ย ไปๆ มาๆ พ่อคิดถึง” ธนาเอ่ยระหว่างรอให้คนเข้ามาเสิร์ฟของหวาน “กลับมาอยู่บ้านเรา ห้องเดิมของแท็บก็ยังอยู่ตลอด”

“ไม่ละครับ ผมคงอยู่ไทยอีกแค่ไม่กี่เดือน คอนโดหมดสัญญาก็คงไป” เขาตัดรอนด้วยใบหน้านิ่งสนิท

“จริงๆ พ่อก็แก่มากแล้ว อยากจะวางมือเรื่องธุรกิจ...แท็บคือคนที่พ่อไว้ใจที่สุด” 

น้ำเสียงอ่อนโยนของบิดาทำให้คนเป็นลูกชายเลิกคิ้วสูง เหลือบมองไปทางรสรินผู้เป็นแม่เลี้ยงด้วยใบหน้ายิ้มๆ โดยไม่ตอบอะไร

“แล้ววันนี้ธามไปไหนเหรอครับ” เขาถามถึงน้องชายต่างมารดาที่อายุห่างกันสิบปี

“ช่วงนี้ธามเรียนพิเศษกลับดึกทุกวัน ใกล้จะสอบเข้ามหา’ลัยแล้ว เลยลงพวกคอร์สติวไว้ ขาดไปสักคลาสนี่ตามไม่ทันเลย ไม่งั้นคงมากินข้าววันเกิดแท็บด้วยแล้ว เขาตื่นเต้นจะตายที่รู้ว่าพี่ชายจะมาบ้าน” 

น้ำเสียงเป็นมิตรจนผิดธรรมชาติของรสรินทำให้มุมปากของฐากรกระตุก คล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม

“ตั้งใจเรียนขนาดนี้ คนที่พ่อควรไว้ใจมากที่สุดน่าจะเป็นธามมากกว่านะครับ”

“ธามเขาจะเรียนหมอ” 

ผ่านมาหลายชั่วโมง ในที่สุดฐากรก็ค้นพบสิ่งที่อยู่เบื้องหลังละครบทนี้ และเขาก็เหนื่อยกับการแกล้งโง่เกินกว่าจะยอมให้ทั้งคู่พูดจาอ้อมไปอ้อมมาเพื่อต้อนเขาลงไปอยู่ในอวย

“สรุปคืออยากให้ผมเข้าไปรับช่วงทำธุรกิจ เพราะธามอยากเป็นหมอเหรอครับ”

“หุ้นส่วนของพ่อจะเป็นของแท็บเกือบทั้งหมด” นี่คือคำตอบของธนา

“เกือบเหรอครับ” ฐากรเกือบหัวเราะออกมา ถ้าไม่ติดว่าจริงๆ แล้วเขารู้สึกว่ามันน่าโมโหมากกว่าน่าขำ 

“เงินเดือนหมอช่วงแรกคงไม่เยอะเท่าไหร่ อย่างน้อยน้องก็ยังได้เงินปันผล...”

“สรุปคือใช้ผมเป็นวัวเป็นควายทำงานหาเงินให้ลูกของพ่อทำตามความฝันเหรอครับ”

“...”

“แล้วความฝันของผมล่ะครับ...” มุมปากของฐากรก่อนหน้านี้เหยียดเป็นรอยยิ้มแม้มันจะส่งไปไม่ถึงดวงตา ทว่าบัดนี้แม้แต่รอยยิ้มบนใบหน้าก็ไม่เหลือแล้ว

ผ่านมาเป็นสิบปี แต่ตอนที่พูดประโยคนั้นออกมา ฐากรก็ยังไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้เจ็บปวดได้อยู่ดี 

“บ้านที่เขาใหญ่ กับคอนโดที่ทองหล่อ พ่อจะยกให้แท็บด้วย” ธนากัดฟัน 

ใบหน้าของรสรินเริ่มมืดครึ้ม

“แล้วที่ที่แม่ริมล่ะครับ ผมชอบที่ผืนนั้นนะ” ทั้งใบหน้าและน้ำเสียงของฐากรนิ่งสนิท สายตาเย็นชาจับจ้องที่บิดานิ่งๆ

รสรินหันขวับไปมองสามี ที่ตรงนั้นที่ฐากรว่าเป็นมรดกตกทอดมาจากพ่อของธนา มีโครงการว่าจะสร้างรีสอร์ตหรูในอีกไม่ช้า ถ้ายกให้ฐากรที่ยังไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไร หรือทำแล้วไม่รู้จะแบ่งผลประโยชน์ให้พวกเธอหรือไม่ ก็อาจจะได้ไม่คุ้มเสีย

“ถ้าพ่อยกให้ แท็บจะเข้ามาเรียนรู้งานที่บริษัทจริงๆ ใช่มั้ย” ธนาไม่เหลือบไปมองหน้าภรรยาสักแวบ

“เปล่าครับ ผมก็ถามไปงั้น” ฐากรกระตุกยิ้มมุมปาก “ถ้าวันหนึ่งพ่อตาย แล้วลูกชายพ่อเขาจะไม่รับช่วงบริษัทต่อ ก็ปล่อยให้มันตกไปเป็นของคนอื่นเขาเถอะครับ ผมไม่ขอมีส่วนได้ส่วนเสียในจุดนี้”

“แท็บ!” ใบหน้าที่คล้ายคลึงกับลูกชายแดงก่ำโดยความโกรธที่ปะทุอยู่ในอก “ที่มีวันนี้ได้เพราะอะไรแล้วก็เพราะใคร สันดานอกตัญญูแบบนี้ไปเอาจากไหนมา”

“จะด่าตรงๆ ว่าเหมือนแม่ก็ไม่ว่าหรอกนะ เพราะสันดานเสียของผม แม่เขาก็ว่าเหมือนพ่อเหมือนกัน”

“แท็บ!” ธนาโกรธจนไม่รู้จะเอ่ยคำใดมาด่า

ร่างสูงใหญ่ของผู้อ่อนวัยกว่าลุกขึ้นจากเก้าอี้จนได้ยินเสียงดังครืด

“ขอบคุณสำหรับปาร์ตีวันเกิดนะครับ ซาบซึ้งมากเลย”

“ฐากร!”

ชายหนุ่มหันหลังออกจากห้องอาหารโดยไม่คิดจะหันหลังกลับไปมอง หากรสรินไม่ได้กรีดเสียงร้องเรียกชื่อบิดาบังเกิดเกล้าของเขาด้วยน้ำเสียงหวาดวิตก

“กรี๊ด!...คุณธนา...คุณธนา...ใครก็ได้ช่วยที...คุณธนา!”

ฐากรเพิ่งรู้ว่าธนามีปัญหาความดันโลหิตสูงเรื้อรังอยู่แล้ว บวกกับวิถีชีวิตสมัยยังหนุ่มๆ และไม่ได้ดูแลสุขภาพ พอมีปัจจัยเรื่องความเครียดจึงส่งผลให้หลอดเลือดในสมองแตกอย่างเฉียบพลันเมื่อสองวันก่อนจนต้องเข้ารับการผ่าตัด โชคดีที่ธนาได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ทำให้ฐากรรอดพ้นจากการเป็นต้นเหตุการเสียชีวิตของบิดาผู้ให้กำเนิดไปได้อย่างหวุดหวิด 

แต่ไม่อาจหลุดพ้นจากแรงอารมณ์ของมารดาเลี้ยงไปได้

ทันทีที่เห็นหน้าฐากรบนทางเดินไร้ผู้คนที่ทอดยาวไปยังอาคารผู้ป่วยใน รสรินก็ถลาเข้าไปผลักลูกเลี้ยงจนเซถอยหลังทั้งๆ ที่อีกฝ่ายตัวใหญ่กว่าเป็นเท่าตัว

“เลี้ยงเสียข้าวสุก ไม่รู้จักบุญคุณคน” รสรินเค้นเสียงลอดไรฟัน ต่างจากท่าทีรักใคร่เอ็นดูเมื่อสองวันก่อนราวฟ้ากับเหว “เป็นแบบนี้แม่แกถึงได้ทิ้งไปอุ้มชูลูกติดผัวใหม่ แล้วยังจะไม่สำนึกอีกว่ามีได้อย่างทุกวันนี้เพราะใคร”

ฐากรแสยะยิ้ม

“จะมีได้วันนี้เพราะใครก็เป็นเรื่องของผมกับคนที่ทำให้ผมเกิดมา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคนที่มาทีหลังอย่างคุณเลยแม้แต่นิดเดียว คุณมันคนนอก อย่าสะเออะ”

เผียะ!

รสรินเงื้อมือฟาดลงบนหน้าของลูกเลี้ยงเต็มแรง...เหมือนเช่นที่เคยทำตลอดมาสมัยเมื่ออีกฝ่ายยังเด็ก

แม้ตอนนี้เขาจะเป็นชายหนุ่มโตเต็มวัยที่สูงใหญ่จนข่มร่างเล็กของอีกฝ่ายให้เหลือนิดเดียวได้ แต่แรงมือของรสรินก็ยังมากพอที่จะทำให้รู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวเลือดในโพรงปาก 

ฐากรหลุบตามองแม่เลี้ยงด้วยสายตาอันตราย ทว่าความโกรธและถือดีทำให้คนสูงวัยกว่าขาดสติ เงื้อมือหมายจะตบหน้าเขาจนกว่าจะสาแก่ใจ

มือหนาที่กำอยู่ข้างลำตัวกระตุก

ขณะที่คิดจะทำให้คนตรงหน้าได้รู้สำนึกว่า เขาไม่ใช่เด็กผู้ชายคนนั้นที่เธอจะทุบจะตีอย่างไรก็ได้อีกต่อไป ใครบางคนที่ปรากฏตัวบนทางเดินอันเงียบงันว่างเปล่าเบื้องหน้าก็ทำให้มือใหญ่ที่ยกขึ้นมาตกลงข้างกาย

แวบแรกฐากรเกือบคิดว่าตนเองฝันไป เขากะพริบตาหลายครั้งจนกระทั่งเชื่อมั่นว่าภาพที่เห็นนั้นเกิดขึ้นจริง ใช่เพียงจินตนาการ

 ชายหนุ่มมองสีหน้าตื่นตะลึงของคนที่เดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แล้วเริ่มวางเดิมพันกับตัวเองอย่างเงียบๆ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น