2

บทที่ 1


 

บทที่ ๑

หนูดีไม่แต่ง

น้ำเสียงดื้อดึง ใบหน้าเชิดน้อยๆ อย่างดื้อรั้นของคนที่ยังมีน้ำตาเต็มหน้าทำให้คีรีถอนหายใจยาว ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ

“เราพูดกันตั้งแต่อยู่โรงพยาบาล และตอนนี้ฉันก็เบื่อจะพูดเรื่องนี้กับเธอเต็มที”

“ก็ไม่ต้องพูด แค่คุณท่านไม่แต่งงานกับหนูดีก็จบค่ะ”

“ฉันรับปากพ่อของเธอไปแล้ว”

“แค่รับปากดูแลหนูดีพ่อก็ดีใจแล้ว ไม่เห็นต้องแต่งงานเลยนี่คะ”

“พ่อเธอตายแทนฉัน...หนูดี ฉันต้องตอบแทนเขาด้วยชีวิตที่เหลืออยู่ของฉัน”

“พ่อยังไม่ตาย คุณท่านอย่ามาแช่งพ่อนะ” ยิหวากรีดร้องราวคนเสียสติแล้วโถมตัวเข้าใส่เจ้านายของพ่อ คนที่เปล่งถ้อยคำร้ายกาจนั้นออกมา

“คนบ้า พูดออกมาได้ยังไง พ่อยังไม่ตาย พ่อต้องไม่ตาย!

หล่อนทั้งพร่ำพูด ทั้งร้องไห้ ทั้งทุบตีเขา ก่อนที่อ้อมแขนแข็งแรงจะรวบตัวหล่อนไว้กับอก แล้วบอกด้วยเสียงอ่อนโยน

“หนูดี ใจเย็นๆ”

“ไม่เย็น หนูดีไม่เย็นแล้ว หนูดีเกลียด หนูดีเกลียดคุณท่าน ปล่อยนะ คนบ้า ปล่อย!” หล่อนทั้งทุบตีทั้งดิ้นรน แต่อ้อมแขนที่แข็งแกร่งปานกรงเหล็กก็ไม่คลายออก จนในที่สุดหล่อนก็หมดแรง ซบหน้าร่ำไห้อยู่กับอกเขา

“คุณท่าน...พ่อจะไม่ตายใช่ไหมคะ คุณท่านมีเงิน หาหมอเก่งๆ มารักษาพ่อได้ ใช่ไหมคะ...ใช่ไหม...ฮือ...”

ชายหนุ่มขบกรามจนเจ็บ เห็นท่าทางราวกับจะขาดใจของหล่อนแล้วทำให้เขารู้สึกเจ็บร้าวไปทั้งทรวงอก เขาอยากบอกหล่อนเช่นนั้น เขามีเงินมากมาย จะหาหมอเก่งๆ ที่ไหนมารักษาพ่อของหล่อนก็ได้ แต่ในความเป็นจริงเขากลับทำไม่ได้ หมอเพิ่งบอกเขาเองว่าศาสตราจะรู้สึกตัวอยู่ได้อีกไม่นาน เพราะการติดเชื้อเริ่มลามไปที่ตับ และท่าทางยาฆ่าเชื้อที่ให้จะเอาไม่อยู่ และหากเชื้อเริ่มลามไปที่อวัยวะภายในอื่นๆ ก็อาจจะไม่รู้สึกตัวอีกแล้ว

เขาต้องรีบ...

“หนูดี...ไปล้างหน้าล้างตาแล้วเตรียมเอกสารเถอะนะ เดี๋ยวเจ้าหน้าที่จากอำเภอจะรอนาน” เขาบอกอย่างอ่อนโยน ใจยวบไหวเมื่อรู้สึกถึงร่างที่สั่นระริกในอ้อมแขน หล่อนสะอื้นตัวโยน น้ำตาไหลจนเขารู้สึกถึงความเปียกชื้นที่ทะลุเสื้อเข้าไปถึงหน้าอก

ยิหวาเงยหน้าขึ้นมองคนที่พูดกับหล่อนอย่างอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ก็เขาเป็นเจ้านายพ่อ แม้หล่อนจะเติบโตมาในไร่แห่งนี้ แต่หล่อนก็ไม่ได้มีโอกาสเสวนากับเจ้านายของพ่อมากนัก นานๆ ครั้งที่เขามากินข้าวเย็นที่บ้าน พ่อจึงเรียกหล่อนมาสวัสดีเสียทีหนึ่ง กับทุกๆ ครั้งที่ผลการเรียนออกที่หล่อนต้องนำไปให้เขาดูที่บ้านใหญ่ เพราะเขาจ่ายค่าเล่าเรียนให้หล่อน แต่ตอนนี้หล่อนกลับร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดเขา ชายผู้ที่กำลังจะกลายมาเป็นสามี

ความคิดนั้นทำให้หล่อนพยายามดิ้นรนให้หลุดจากอ้อมแขนของเขาอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้เขาปล่อยหล่อน ไม่ได้รัดไว้

“ทำเพื่อพ่อเป็นครั้งสุดท้ายนะหนูดี”

ถ้อยคำนั้นคล้ายกับน้ำอุ่นที่ซึมเข้าสู่ทุกอณูหัวใจของหล่อน เพื่อพ่อ...หล่อนต้องแต่งงานกับเขาเพื่อให้พ่อจากไปอย่างสบายใจ ส่วนชีวิตที่เหลือ...จะเป็นอย่างไรก็คงสุดแท้แต่ผู้ชายคนนี้ เจ้านายพ่อที่หล่อนรู้จักอยู่ไกลๆ ตั้งแต่เกิด เขาใจดีกับพ่อเสมอ และหล่อนก็หวังว่าเขาคงจะไม่ใจร้ายกับหล่อน

ในเมื่อพ่อไว้ใจเขา หล่อนก็ต้องไว้ใจเขา...เพื่อความสบายใจของพ่อ

คิดเช่นนั้นแล้วหญิงสาวก็สูดหายใจลึกแล้วบอกอย่างตัดสินใจได้

“ค่ะ...หนูดีจะทำเพื่อพ่อ”

เจ้าหน้าที่จากอำเภอมารออยู่ก่อนแล้ว เตียงพยาบาลถูกปรับยกขึ้นทางด้านศีรษะ ศาสตรานั่งเอนๆ มองลูกสาวคนเดียวกับชายหนุ่มผู้เป็นนายนั่งคู่กันต่อหน้าเจ้าหน้าที่ บนโต๊ะมีสมุดทะเบียนสมรสเล่มใหญ่วางอยู่

การจดทะเบียนสมรสดำเนินไปอย่างไม่มีพิธีรีตองนัก ชายหนุ่มร่างใหญ่จดปากกาลงลายมือชื่อ แล้วยื่นให้สาวน้อยข้างกาย ในขณะที่ผู้เป็นพ่อก็ลงลายมือชื่อในหนังสือยินยอมให้ลูกสาวซึ่งยังเป็นผู้เยาว์ทำการสมรสได้ตามกฎหมาย มีเจ้าหน้าที่ลงลายมือชื่อเป็นพยาน เป็นอันเสร็จพิธี

“ขอบคุณครับคุณหนู ผมฝาก...ลูก...ด้วย” ศาสตราพูดกับผู้เป็นนายเสียงขาดห้วง แล้วยื่นมือไปหาลูกสาว

“หนูดี...”

“ขา...พ่อ...” ยิหวาขานรับ น้ำตาไม่เคยเหือดไปจากใบหน้า หล่อนจับมืออันสั่นเทาของพ่อ มือที่เย็นจนน่าใจหาย หล่อนรู้สึกถึงแรงบีบแผ่วๆ พร้อมๆ กับเสียงแหบพร่าของพ่อ

“เป็นเด็กดี อย่าดื้อกับคุณท่านนะลูก”

หล่อนร้องไห้โฮ แต่ก็พยักหน้ารับคำ สังหรณ์บางอย่างบอกหล่อนว่าเวลาของพ่อใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว แล้วก็เป็นอย่างที่คิด เพราะหลังจากที่พ่อหลับ พ่อก็ไม่ได้ตื่นขึ้นมาหาหล่อนอีกเลย

 

การติดเชื้อในกระแสเลือดของศาสตราลุกลามสู่อวัยวะต่างๆ แม้หมอจะยังให้ยาฆ่าเชื้อ พยายามพยุงอาการ แต่เพียงสามวันหลังจากที่ผู้จัดการไร่ของไร่ภูคีรีไม่ได้สติ เขาก็จากไปตลอดกาล

แม้จะวุ่นวายอยู่กับคดีความที่มีคนลอบเข้ามาในบ้านเพื่อขโมยของและเกิดการต่อสู้กันจนทำให้ผู้จัดการไร่ถึงแก่ความตาย แต่คีรีก็ยังจัดการงานศพให้คนที่ตอนนี้เลื่อนฐานะมาเป็นพ่อตาเขาอย่างสมเกียรติ ยิหวายังเด็กและเศร้าโศกอยู่กับความสูญเสียจนไม่เป็นอันทำอะไร และเขาก็ไม่โทษหล่อน แต่ช่วยจัดการทุกอย่างแทนหล่อน เพราะไม่ว่าอย่างไรหล่อนกับเขาก็เป็นคนคนเดียวกันแล้วตามกฎหมาย

เสร็จจากงานศพ คีรีก็จัดงานเลี้ยงคนงานในไร่ พร้อมประกาศข่าวการแต่งงานระหว่างเขากับยิหวาให้รับรู้โดยทั่วกัน

“จากนี้ไป คุณหนูดีจะย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านใหญ่ และขอให้ทุกคนปฏิบัติกับเธอในฐานะนายหญิงของไร่ภูคีรี” เขาเน้นคำว่า ‘คุณหนูดี ราวกับต้องการประกาศว่าคนงานควรจะเรียกหล่อนอย่างที่เขาเรียกเป็นตัวอย่าง

ในขณะที่ คุณหนูดี ได้ยินแล้วก็ใจหายวาบ...ถึงเวลาแล้วใช่ไหม

เด็กสาวใจสั่นไหว ถึงแม้หล่อนจะยังไม่เคยมีเพื่อนชาย แต่หล่อนก็ไม่ได้ไร้เดียงสาจนไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างหญิงชายที่เป็นสามีภรรยากัน และหล่อนก็ยังไม่พร้อม หล่อนยังเป็นเด็กนักเรียนมัธยมปลาย อายุยังไม่เต็มสิบแปดดีด้วยซ้ำ หล่อนทำใจไม่ได้ที่จะต้องมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนที่สำหรับหล่อนแล้วเป็นเพียงเจ้านายของพ่อ เป็นเจ้าของ บ้าน ที่หล่อนอาศัยมาตั้งแต่เกิด เป็นทุกอย่างที่ห่างไกลจากคำว่าสามี ที่ลายเซ็นบนทะเบียนสมรสวันนั้นทำให้เขาเป็น

หล่อนจะทำอย่างไรดี...

 

คีรีให้คนไปช่วยหล่อนเก็บของและย้ายเข้ามาอยู่บ้านใหญ่กับเขา ส่วนบ้านที่หล่อนอยู่กับพ่อนั้นเป็นบ้านประจำตำแหน่งผู้จัดการไร่ ซึ่งเจ้าของบ้านคนใหม่จะย้ายเข้าหลังจากที่หล่อนย้ายออกแล้ว

ยิหวายืนมองบ้านที่หล่อนเติบโตมาตาละห้อย ก้อนสะอื้นตีขึ้นมาจุกคอหอยเมื่อคิดว่าไม่มีอีกแล้ว บ้านอันอบอุ่นที่เคยอยู่กับพ่อ หล่อนไม่เหลือพ่อ และตอนนี้ก็กำลังจะไม่เหลือบ้าน เหลือก็แต่...ผู้ชายสีหน้าเรียบเฉยที่กลายมาเป็นสามีทั้งที่หล่อนไม่ได้เต็มใจ

“ไปกันได้แล้ว คนจะได้เข้ามาทำความสะอาดเตรียมไว้รอผู้จัดการไร่คนใหม่ เขาจะมาถึงวันมะรืน” เจ้าของเสียงทุ้มบอก

ยิหวาหันหน้าไปมองคนพูด หล่อนมองไม่เห็นอะไรในสีหน้าของเขานอกจากความเฉยชา แม้เขาจะดูแลหล่อนอย่างดีนับแต่พ่อจากไป ช่วยจัดการงานศพแทนหล่อนทุกอย่าง แต่หล่อนก็สัมผัสได้เพียงความเย็นชาจากเขา ผู้ชายที่พ่อฝากหล่อนไว้กับเขา แต่เขาไม่มีอะไรเหมือนพ่อเลย เขาไม่มีความรักความอบอุ่นให้อย่างที่พ่อมี และหล่อนไม่รู้ว่าการที่หล่อนย้ายเข้าไปอยู่บ้านเดียวกับเขา จะหมายความว่าถึงเวลาที่หล่อนต้องทำหน้าที่ของภรรยา ตอบแทนเขาด้วยร่างกายของหล่อนเองแล้วหรือเปล่า

รถเอสยูวีสีดำคันใหญ่ของเขาแล่นมาจอดหน้าบ้านหลังใหญ่บนเนิน ก่อนที่คนขับจะเดินลงมาเปิดประตูให้แล้วบอกเสียงดุๆ ในความรู้สึกของคนฟัง

“ลงมา”

ยิหวาเม้มริมฝีปาก น้ำตาคลอ แม้หล่อนจะรู้จักเขาตั้งแต่เกิด แต่ก็ไม่ได้สนิทสนม ไม่รู้จักนิสัยใจคอ แล้วตอนนี้เขาจะให้หล่อนมาอยู่ร่วมบ้านกับเขา อาจจะร่วมห้อง...ร่วมเตียง...แค่คิดหญิงสาวก็หวาดหวั่นจนก้าวขาไม่ออก

รู้สึกราวกับกำลังเดินเข้าสู่แดนประหารอย่างไรอย่างนั้น

หากไม่มีมือแข็งแรงของเขาจับข้อศอกแล้วกึ่งผลักกึ่งลาก ยิหวาคงยังยืนขาแข็งอยู่ข้างรถ แต่ตอนนี้หล่อนกำลังยืนอยู่ในบ้าน หน้าห้องห้องหนึ่งที่ประตูปิดสนิท หญิงสาวเงยหน้ามองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ หล่อนคล้ายผู้คุมนักโทษ หน้าเสียเหมือนคนจะร้องไห้

เขายื่นมือไปเปิดประตู ยิหวาหลับตาลงช้าๆ สูดลมหายใจลึกเข้าปอด เตรียมใจ...ทำใจ...เผชิญกับอะไรก็ตามที่อยู่ในห้องนั้น แต่แล้วเมื่อลืมตาขึ้น มองเห็นภายในห้องเต็มตา หล่อนก็หันไปมองคนเปิดประตูอย่างประหลาดใจ

คีรีมองหล่อนอยู่ก่อนแล้ว เขาเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นหล่อนหันไปมองเขา ยิหวาคิดว่ามองเห็นประกายบางอย่างในดวงตาเขา คล้ายว่าจะเป็นความขบขัน แต่สีหน้าของเขายังเรียบเฉย บอกหล่อนด้วยน้ำเสียงไม่แสดงอารมณ์

“ห้องนอนของเธอ”

ยิหวามองรอบห้อง ห้องนอนสีขาว ผ้าม่านเป็นลูกไม้สีอ่อน ชุดผ้าปูเตียงเป็นสีที่มองอย่างไรก็ไม่น่าใช่ห้องนอนของผู้ชายตัวโตๆ นอกจากนั้นแล้ว บนเตียงขนาดควีนไซซ์นั้น นอกจากหมอนและหมอนอิงลายน่ารัก ยังมีตุ๊กตาหมีหลากขนาดอีกสามตัวจัดวางอยู่ บนพื้นมีกระเป๋าเสื้อผ้าของหล่อนที่ใครบางคนคงจะเอาเข้ามาวางไว้ก่อนที่หล่อนจะมาถึง

“แล้ว...คุณท่าน...” ยิหวาถามเสียงแผ่ว

“ห้องฉันอยู่ทางโน้น” เขาชี้ไปยังอีกฟากของห้อง

ตอนนั้นเองที่ยิหวาสังเกตเห็นว่าผนังห้องด้านหนึ่งมีประตูอีกบาน ชายหนุ่มเดินไปเปิดประตูออกกว้าง เผยให้เห็นห้องนอนอีกห้องที่มีขนาดใหญ่กว่าห้องของหล่อน เครื่องเรือนและสีที่ใช้ในห้องบ่งบอกว่าเป็นห้องนอนของเขาไม่ผิดแน่

“เอาละ เธอจะทำอะไรก็ตามสบาย อีกครึ่งชั่วโมงเข้าไปหาฉันในออฟฟิศ” เขาบอกแล้วเดินผ่านประตูเข้าไปในห้องของเขา จากนั้นประตูก็ปิดตามหลัง

ยิหวาถลาไปที่ประตูก่อนจะใจหายวาบเมื่อพบว่าลูกบิดไม่มีล็อก!

โอย...ทำยังไงดี หญิงสาวคิด ถ้าเขาเปิดประตูเข้ามาตอนที่หล่อนหลับอยู่เล่าจะทำอย่างไร แต่คิดไปแล้วก็ชะงัก เมื่อนึกได้ว่าหล่อนเป็นภรรยาเขา เขาจะ เข้าหา หล่อนเมื่อไรก็ได้ เมื่อตระหนักถึงความจริงข้อนั้นก็ยิ่งเศร้าหมอง จากที่ตอนแรกหัวใจโลดขึ้นอย่างยินดีเมื่อเห็นว่าหล่อนมีห้องของตนเอง ไม่ต้องอยู่ร่วมห้องกับเขา แต่ตอนนี้หัวใจกลับเหี่ยวเฉา เมื่อพบว่าห้องของเขาอยู่ติดกับห้องของหล่อนนี่เอง แถมประตูที่เชื่อมถึงกันก็ไม่มีล็อก จะเปิดเข้าออกเมื่อไรก็ได้

ยิหวาเดินไปทรุดตัวนั่งลงบนเตียงแล้วทอดถอนใจกับชะตาชีวิตของตน คงไม่มีแล้ววาสนาที่จะได้รู้จักความรัก ได้อยู่ในชุดเจ้าสาวฟูฟ่องราวกับเจ้าหญิงในวันสำคัญกับคนที่รักกันสุดหัวใจ

ตอนนี้หล่อนเป็นภรรยาของผู้ชายคนหนึ่ง คนที่หล่อนนับถือในฐานะเจ้านายของพ่อ ผู้มีพระคุณที่รับภาระเรื่องการเรียนของหล่อนมาตั้งแต่เข้าชั้นอนุบาล และสำหรับเขาก็คงเห็นหล่อนเป็นแค่ลูกสาวผู้จัดการไร่ที่เขารับผิดชอบต่อจากพ่อ

แม้เขาจะจดทะเบียนสมรสกับหล่อน บอกให้คนในไร่ยกย่องหล่อนในฐานะนายหญิง แต่เขากลับไม่ได้ปฏิบัติกับหล่อนอย่างคนที่เป็นนายหญิงจริงๆ หล่อนต้องอาศัยอยู่ห้องข้างๆ ที่เขาจะเปิดเข้ามาหาความสำราญกับร่างกายของหล่อนเมื่อไรก็ได้ แต่หล่อนคงไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่มย่ามในห้องของเขา

ยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้า เพราะคิดแล้วหล่อนก็ไม่ต่างอะไรกับนางบำเรอของเขาเลย...

เมื่อเหลือบตาดูนาฬิกาแขวนผนัง ยิหวาก็กระวีกระวาดเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา หล่อนต้องไปพบเขาในห้องทำงานในอีกไม่กี่นาทีนี้แล้ว ไม่รู้ว่าเวลาครึ่งชั่วโมงผ่านไปเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร

ยิหวาสำรวจเสื้อผ้าที่หล่อนใส่อยู่ เป็นชุดกระโปรงผ้ายืดความยาวเพียงเข่า แขนเสื้อพอง คอกลม ดูสุภาพพอสำหรับการไปพบเขาในห้องทำงาน จึงไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า เพียงแต่หวีผมและผัดหน้าด้วยแป้งเด็กกับเติมลิปมัน แล้วจึงออกจากห้อง

หล่อนเคยเข้าไปในห้องทำงานของเขาซึ่งอยู่ชั้นล่างของตัวบ้านอย่างน้อยก็เทอมละครั้ง ตอนที่เอาผลการเรียนไปให้เขาดู จึงเดินตรงไปทันทีอย่างคุ้นเคยดีอยู่แล้ว

หญิงสาวเคาะประตู รอจนได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยอนุญาตจึงผลักประตูเปิดเข้าไป

“นั่งสิ” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากเอกสารบนโต๊ะ แล้วผายมือเชื้อเชิญให้หล่อนนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของเขา

“ขอบคุณค่ะ” ยิหวาพึมพำพร้อมนั่งลง

“พอใจกับห้องนอนไหม” เขาถามเสียงเรียบ

“ค่ะ...ขอบคุณมากค่ะคุณท่าน” หล่อนว่าพร้อมพนมมือค้อมศีรษะไหว้เขา แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นก็แอบสะดุ้งในใจ เมื่อเห็นเขามองหล่อนเขม็ง หัวคิ้วขมวดน้อยๆ หน้าบึ้งคล้ายไม่พอใจ แต่ยิหวาแน่ใจว่าหล่อนยังไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการกวนโทสะของเขาเลย

“เมื่อไรเธอจะเลิกเรียกฉันว่าคุณท่าน” เขาถามเสียงห้วน

“ก็...” หล่อนพูดไม่ออก ก็ในเมื่อหล่อนเรียกเขาเช่นนี้มาตั้งแต่รู้ความ แล้วทำไมตอนนี้ถึงมีปัญหา

“ไม่มีเมียที่ไหนเรียกผัวว่าคุณท่าน เรียกฉันอย่างอื่น” เขาบอก...สั่ง...เสียงห้วน

“ค่ะ...คุณคีรี” หล่อนลองใหม่ แม้จะไม่ชินปาก แต่อีกเดี๋ยวคงชิน

“เรียกฉันภู” ดูเขาจะยังไม่พอใจที่หล่อนเรียกชื่อจริงของเขา

“ค่ะ...คุณภู” หล่อนว่าง่าย

ยิหวาคิดว่ามองเห็นริมฝีปากเขาแย้มออกเล็กน้อย แต่ก็เร็วมากจนหล่อนไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือเขายิ้มจริงๆ เพราะตอนนี้สีหน้าเขากลับมาเรียบเฉยอีกครั้ง

“มีอะไรขาดเหลืออีกไหม จะพาไปซื้อ” ประโยคหลังเขาทอดเสียงอ่อนลงเล็กน้อย

“ไม่ค่ะ...มีแค่...เอ่อ...” หล่อนตะกุกตะกัก รู้ว่าไม่ควรแต่หล่อนอยากลองดูก่อน

“มีอะไร” เขาถามอย่างใจร้อน ราวกับว่ารอให้หล่อนพูดจนจบประโยคไม่ไหว

“ประตูระหว่างห้อง มัน...ไม่มีล็อกค่ะ” หล่อนกลั้นใจบอกไป

เพราะมัวแต่ก้มหน้ามองโต๊ะ หล่อนเลยไม่ได้เห็นว่าสายตาคนฟังฉายประกายขบขันขึ้นมาวูบหนึ่ง แม้แต่ตอนพูดใบหน้าเขาก็แต้มรอยยิ้ม แต่คนฟังไม่มีโอกาสได้เห็น
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น