4

บทที่ 3


 

  

บทที่ ๓
 

คีรีหยุดยืนอยู่หน้าประตูเพื่อให้สายตาชินกับความมืดครู่หนึ่ง ก่อนที่ภาพในห้องจะค่อยๆ ชัดเจนขึ้น เขาถอนหายใจโล่งอกนิดๆ ที่คนบนเตียงนอนนิ่ง ท่าทางจะหลับสนิท ไม่ได้ตื่นเพราะเสียงรบกวนจากเขา

เขาเพิ่งเข้าบ้านหลังจากออกไปช่วยคนงานทำคลอดแม่ม้า เนื้อตัวหัวหูมีแต่กลิ่นสาบม้า จึงอาบน้ำสระผมเสียดึก หาไม่แล้วเขาคงจะนอนไม่ได้ และเพราะไม่ชอบนอนทั้งๆ ที่ผมเปียก ทำให้เขาใช้ที่เป่าผม แต่ผมยังไม่ทันแห้งก็รีบปิดไปเพราะนึกได้ว่าห้องข้างๆ มีคนอยู่ และเสียงที่เป่าผมอาจจะปลุกหล่อน เขาจึงใช้ผ้าขนหนูเช็ดแทน และตอนนี้ก็ยังหมาดๆ แต่แม้จะไม่ชอบใจก็คงต้องนอนอย่างนี้ คราวหน้าเขาจะไม่สระผมดึกแบบนี้อีก

ชายหนุ่มเดินไปหยุดข้างเตียงที่เจ้าของไม่รู้ตัวว่าเขาเข้ามายืนอยู่ตรงนี้ หล่อนนอนนิ่ง ผ้าห่มคลุมเรียบร้อยถึงคอ เขาระบายยิ้ม อยากปลุกหล่อนขึ้นมารับจูบราตรีสวัสดิ์จากเขา แต่ก็ได้แค่คิด สายตาหวาดหวั่นของหล่อนที่มองเขาทุกครั้งที่อยู่ใกล้กันทำให้ชายหนุ่มไม่กล้าบุ่มบ่าม เขาต้องให้เวลาหล่อนได้ทำความคุ้นเคยกับเขาเสียก่อนก่อนที่จะทำอะไรลงไป อีกอย่าง...หล่อนยังเด็กเกินไป เขายังไม่อยากทำลายความบริสุทธิ์สดใสของหล่อน จึงต้องอดทน จนกว่า...

จนกว่าจะทนไม่ไหว...

“ฝันดีนะหนูดี” ชายหนุ่มกระซิบ จากนั้นก้มลงใช้ริมฝีปากสัมผัสแผ่วเบาที่หน้าผากหล่อน เมื่อเงยหน้าขึ้นก็หมุนตัวเดินออกจากห้องไปทันที แล้วปิดประตูตามหลังแผ่วเบา

เลยไม่ได้เห็นคนแกล้งหลับเนื้อตัวสั่นระริกด้วยความตกอกตกใจและจินตนาการเลวร้าย

หล่อนหัวใจแทบวายตั้งแต่ได้ยินเสียงประตูเปิดแล้ว จินตนาการสารพัดของการต้อง ทำหน้าที่ วิ่งพล่านในหัวราวกับผึ้งแตกรัง แต่ละความคิดทำเอาหล่อนแทบขาดใจด้วยความหวาดกลัว ยิ่งเมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้ ก้มหน้าลงมาจูบหน้าผากหล่อน หญิงสาวก็ยิ่งรู้สึกราวกับขึ้นไปยืนอยู่บนแดนประหาร รอเพียงบ่วงบาศจะตกลงมาคล้องคอ

ยิหวารู้สึกราวกับตายแล้วเกิดใหม่เมื่อเขาผละไปจากหล่อนแล้วเดินออกจากห้อง ความรู้สึกต่างๆ นานาที่ท่วมท้นพรั่งพรูออกมาพร้อมลมหายใจที่หล่อนกลั้นไว้ โล่งอกโล่งใจจนบรรยายความรู้สึกเป็นคำพูดไม่ถูก

ถ้าต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้ทุกคืน หล่อนจะตายเพราะหัวใจวายไหม หญิงสาวอดสงสัยไม่ได้

เมื่อแน่ใจว่าเขาไปแล้วจริงๆ ยิหวาจึงพยายามนอนอีกครั้ง แต่กว่าจะข่มตาหลับลงได้ หล่อนก็รู้สึกราวกับว่า เพิ่งหลับไปได้เพียงไม่กี่นาทีก็ถูกปลุกด้วยเสียงแหลมของนาฬิกาปลุกบนโต๊ะหัวเตียงเสียแล้ว

 

ยิหวาอาบน้ำแต่งตัวและหิ้วกระเป๋านักเรียนออกมาจากห้องนอนตรงไปยังห้องอาหาร ในใจวิตกว่าหล่อนจะทำให้คนที่สั่งให้หล่อนร่วมโต๊ะทุกเช้าต้องรอ เพราะตอนที่นาฬิกาปลุกดังนั้น หล่อนกดให้เงียบเสียงแล้วหลับต่อ เมื่อสะดุ้งตื่นอีกครั้งก็เลยเวลาตื่นปกติไปเกือบครึ่งชั่วโมง หล่อนรีบอาบน้ำลวกๆ และแต่งตัวเร็วสุดชีวิต ถึงกระนั้นก็ยังช้ากว่าปกติถึงสิบกว่านาที

หญิงสาวพ่นลมหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเดินแกมวิ่งเข้าไปในห้องอาหารแล้วพบเพียงป้าสุขใจแม่ครัว กับพี่ต้นหอมที่ทำงานรับใช้ทั่วไปในบ้าน โดยปราศจากเงาของเจ้าของบ้าน

“คุณหนูดีมานั่งสิคะ พ่อเลี้ยงยังไม่มาเลย” ป้าสุขใจบอก

ยิหวาเดินไปนั่งที่โต๊ะอาหารอย่างว่าง่าย หล่อนไม่กล้าถามป้าสุขใจว่าเขาไปไหน และสบายใจกว่าที่จะนั่งรับประทานอาหารเช้าเพียงลำพัง แต่ยังไม่ทันที่แม่ครัวจะตักอาหารเช้าให้หล่อน ภาพที่ปรากฏตรงประตูห้องอาหารก็ทำให้หล่อนอ้าปากค้างนิดๆ

ก็ผู้ชายตัวโตๆ แต่งตัวเหมือนคาวบอยในภาพยนตร์ ด้วยเสื้อเชิ้ตสำหรับทำงานในไร่ กางเกงยีนสีซีด และรองเท้าบูต ขาดก็แต่หมวกหนังปีกกว้างเท่านั้น นอกจากนี้ใบหน้าเรียบเฉยนั้นยังมีรอยเคราเขียวๆ ที่เช้านี้คงจะยังไม่ได้โกน เขาดูดิบเถื่อน แต่กลับหอบช่อกุหลาบดอกโตๆ เดินเข้ามาในห้องอาหารด้วยท่วงท่าการก้าวที่หนักแน่นแต่ไม่ตึงตัง มองอย่างไรก็ไม่เข้ากันเอาเสียเลย

กลิ่นหอมหวานของกุหลาบนำเข้าห้องมาก่อน ยิหวาอดสูดหายใจลึกเอากลิ่นหอมของดอกไม้เข้าปอดไม่ได้ ก่อนที่ที่มาของกลิ่นจะมาหยุดอยู่ตรงหน้าหล่อน

“ให้หนูดีหรือคะ” ยิหวาถาม มองคนยื่นดอกไม้ให้ตาโต

“เอาไปจัดแจกัน”

เขาบอกหล่อนเสียงเรียบ สีหน้าไม่เปิดเผยความรู้สึก และยังคงยื่นช่อดอกไม้มาตรงหน้าหล่อน จนยิหวาต้องยื่นมือไปรับ

“เดี๋ยวป้าให้ต้นหอมทำให้นะคะ พ่อเลี้ยงจะรับข้าวเช้าเลยไหมคะ เดี๋ยวคุณหนูดีสาย” ป้าสุขใจพูดกับผู้เป็นนาย

คีรีพยักหน้าให้แม่บ้านแล้วหันไปพูดกับยิหวา “ขอโทษที ฉันมัวแต่...ดูกุหลาบอยู่” ประโยคสะดุดนิดๆ เพราะเปลี่ยนคำจาก เลือก เป็น ดู ในนาทีสุดท้าย

“ต้นหอมแน่ะ ไปหาแจกันมาใส่ดอกไม้หน่อยไป วางบนโต๊ะนี่อันนึงนะ ที่เหลือก็ในห้องพ่อเลี้ยง ห้องคุณหนูดี ห้องนั่งเล่นด้วยนะ” ป้าสุขใจบอกลูกมือในครัว แล้วหันไปง่วนกับการตักอาหารเช้าให้ผู้เป็นนายทั้งสอง

ยิหวายื่นช่อดอกไม้ให้ต้นหอม พึมพำขอบคุณ แล้วหันมาก้มหน้าก้มตากิน เพราะเลยเวลาที่รถตู้จะออกจากไร่เพื่อไปส่งที่ไปโรงเรียนแล้ว ถ้าหล่อนยังไม่ออกไป รถก็ต้องจอดรอนาน อาจจะทำให้คนอื่นๆ พลอยสายไปด้วย รถตู้รับ-ส่งนักเรียนของไร่ภูคีรีต้องตระเวนส่งหลายโรงเรียน

“ไม่ต้องรีบ เดี๋ยวฉันจะไปส่ง” คีรีบอกหลังจากมองคนที่ตักข้าวต้มเข้าปากโดยไม่พูดไม่จา ไม่เงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาอยู่พักหนึ่ง

“แต่รถตู้...”

“ฉันสั่งให้รถตู้ออกไปแล้ว”

คำพูดของเขาทำให้หล่อนเงยหน้าขึ้นมองเขา ปากอ้า ตาโต

“ทำไมคะ หนูดีไปรถตู้ก็สะดวกดี คุณภูไม่ต้องไปรับไปส่งหนูดีหรอกค่ะ”

“แค่วันนี้เท่านั้น ฉันทำให้เธอสาย ไม่อยากให้รถตู้เสียเวลา” เขาบอกแล้วก้มลงให้ความสนใจอาหารตรงหน้าโดยไม่สนใจหล่อนอีก

“อ้อ...ค่ะ” ยิหวาพึมพำรับรู้แล้วกลับมาจดจ่อกับอาหารตรงหน้า ไม่พูดคุยใดๆ กับคนร่วมโต๊ะอีก

ยิหวาวางช้อนเมื่ออิ่ม ป้าสุขใจเข้ามาเก็บชามไป หลังยกแก้วน้ำขึ้นดื่มหล่อนก็รอให้คนร่วมโต๊ะกินเสร็จก่อนอย่างมีมารยาท แต่เขาก็นั่งกินอย่างสบาย ท่าทางละเลียดข้าวต้มช้าๆ นั้นทำให้ยิหวาไม่พอใจนิดๆ หล่อนสายแล้วแต่เขายังดูใจเย็น ไม่ได้ร้อนอกร้อนใจไปกับหล่อนเลย

คนสายลอบถอนหายใจเมื่อเห็นคนใจเย็นวางช้อนในที่สุด หล่อนแทบจะรอให้เขาลุกไม่ไหวแล้ว แต่เขากลับบอกราวกับแกล้ง

“รออีกนิด ฉันไปอาบน้ำแต่งตัวเดี๋ยว”

ยิหวาเม้มปาก ใจอยากอาละวาด เขาพูดเองว่าทำให้หล่อนสาย แล้วเขายังไม่รีบอีก แต่ก็ทำได้เพียงคิด เพราะหล่อนจะไปอาละวาดเขาได้อย่างไร ที่ทำได้ก็เพียงแค่ฮึดฮัดและหน้าบึ้งเท่านั้นเอง

แม้ในใจจะเดือดปุด แต่ภายนอกหล่อนแค่นั่งตัวตรง วางกระเป๋าหนังสือบนพื้นข้างตัว เห็นป้าสุขใจวนเวียนมายิ้มให้ราวกับจะปลอบใจ จึงต้องฝืนยิ้มตอบ แต่หล่อนรออยู่ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงทุ้มดังมา

“ไปกันเถอะ ขอโทษที่ทำให้คอย”

“ค่ะ” ยิหวาตอบรับ ยังไม่คลายสีหน้าบึ้งตึง

หล่อนเดินตามเขาไปที่รถที่ใครสักคนคงจะเอามาจอดไว้ให้หน้าบ้าน แม้จะใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวไม่นาน แต่เขาก็ออกมาในเสื้อผ้าชุดใหม่ แม้จะเป็นเสื้อเชิ้ตพับแขนขึ้นไปใต้ข้อศอกกับกางเกงยีน แต่ก็ดูไม่เหมือนชุดใส่ทำงานในไร่ เพราะคราวนี้เป็นรองเท้าหนังสีดำ ไม่ใช่รองเท้าบูต เขาคาดแว่นกันแดดไว้บนศีรษะ ผมแห้ง คงจะไม่ได้สระ แต่ไรผมก็ชื้นอย่างที่รู้ว่าเพิ่งอาบน้ำมา

ตัวเขา...หอม...อย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นกลิ่นตัวของผู้ชายตัวใหญ่ ไว้หนวดเคราเขียวๆ ที่โกนบ้างไม่โกนบ้างและวันนี้คงไม่ได้โกนเพราะมันเขียวกว่าปกติ กลิ่นนั้นหอมหวานคล้ายกับกลิ่นดอกไม้ที่เขาหอบเข้าบ้านมา ยิหวาไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาอยู่กับดอกไม้ตลอดเวลาจนกลิ่นติดตัวเขากลายเป็นกลิ่นประจำตัวหรือเปล่า

หรือว่าเขาจะฉีดน้ำหอมกลิ่นกุหลาบ...หญิงสาวคิดอย่างซุกซนแล้วต้องกลั้นหัวเราะ คงตลกดีถ้าผู้ชายท่าทางดิบเถื่อนแบบเขาฉีดน้ำหอมกลิ่นกุหลาบ และยิ่งตลกเข้าไปใหญ่เมื่อคิดว่าเขาฉีดน้ำหอมแล้วเข้าไปทำงานในไร่

“หายโกรธแล้วหรือ”

เสียงทุ้มของคนที่เพิ่งก้าวเข้ามานั่งประจำที่คนขับทำเอายิหวาสะดุ้ง

“คะ...คะ?” หล่อนถามเลิ่กลั่ก

“หายโกรธแล้วหรือ” เขาถามย้ำคำเดิม

“หนูดีไม่ได้โกรธนี่คะ” หล่อนไม่ยอมรับ แต่ในใจนั้นคิด...ก็รู้แล้วยังจะแกล้งอีก...ว่าแต่ทำไมเขาถึงคิดว่าหล่อนหายโกรธเล่า

คีรีปรายตามองคนปากแข็งแล้วหันกลับไปตั้งสมาธิกับการขับรถ เขาบอกโดยไม่หันมองหล่อน

“ไม่ต้องโกรธหรอก เธอถึงโรงเรียนก่อนโรงเรียนเข้าแน่” เขาว่าเช่นนั้นแล้วไม่ได้พูดอะไรกับหล่อนอีก

ระหว่างทางไปโรงเรียน ภายในห้องโดยสารของรถยนต์เอสยูวีคันใหญ่มีเพียงเสียงเพลงจากวิทยุคลอเบาๆ ไม่มีบทสนทนาตลอดการเดินทางสี่สิบนาทีนั้น จนกระทั่งรถเข้าไปจอดยังจุดจอดรับ-ส่งหน้าโรงเรียน ก่อนเวลารถตู้จะมาถึงราวสิบนาที ยิหวาจึงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้น

“ขอบคุณค่ะ” หล่อนว่าพร้อมพนมมือ ค้อมศีรษะไหว้ ก่อนจะเงยหน้ามองเขาตาโตเมื่อได้ยินคนมาส่งบอก

“เย็นนี้ไม่ต้องกลับกับรถตู้ ฉันจะมารับ”

“ไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ หนูดีกลับกับรถตู้ได้”

“นี่เธอตั้งใจจะดื้อกับฉันทุกเรื่องเลยหรือเปล่า” เขาถามน้ำเสียงติดรำคาญ

ยิหวาเม้มปาก ไม่ตอบ

“ฉันจะมารับ” เขาบอกอีกครั้ง

“ค่ะ” ยิหวาตอบรับเสียงเรียบ ไม่พอใจ แต่หล่อนจะมีสิทธิ์มีเสียงอะไรกับเขาได้

หล่อนยกมือไหว้เขาอีกครั้งก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ พึมพำขณะยืนมองรถยนต์คันใหญ่เคลื่อนตัวจากไป

“เผด็จการ!

เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน ยิหวาเดินตรงไปยังรถยนต์คันใหญ่จากไร่ภูคีรีที่จอดรออยู่หน้าโรงเรียนกับผู้ปกครองคนอื่นๆ หญิงสาวเปิดประตูเข้าไปนั่งแล้วยกมือไหว้คนมารับ จากนั้นก็นั่งนิ่ง ก้มหน้างุด มองมือที่ประสานอยู่บนตัก

“เป็นอะไร” คนที่เพิ่งออกรถถามโดยไม่หันมอง

ยิหวายิ่งก้มหน้าเมื่อได้ยินเสียงเหมือนคนหงุดหงิดถามมา หล่อนกลัวเขา ยิ่งเขาทำเสียงแบบนี้หล่อนยิ่งไม่อยากคุย ไม่อยากตอบ เขาเป็นคนอื่น คนอื่น...ที่คงจะมองความ เป็นอะไร ของหล่อนอย่างรำคาญใจมากกว่าจะเข้าใจ

“ฉันถามว่าเป็นอะไร” คีรีเสียงดังขึ้นเมื่อไม่ได้รับคำตอบ

“เปล่าค่ะ”

เสียงสั่นพร่าทำให้ชายหนุ่มหันไปมอง แล้วหัวใจก็อ่อนยวบ เมื่อเห็นคนตัวเล็กในชุดนักเรียนมัธยมค้อมตัว ก้มหน้า ไหล่สั่นไหวน้อยๆ ราวกับกำลังสะอึกสะอึ้น

คีรีให้สัญญาณไฟแล้วพารถเลี้ยวไปจอดข้างถนน เขาถามอย่างพยายามทอดเสียงให้อ่อนโยนที่สุดตามความรู้สึกในหัวใจที่อ่อนนำไปไกลแล้ว

“หนูดี...เป็นอะไร”

เสียงทุ้มอ่อนโยนของคนที่ยังนั่งอยู่ที่ที่นั่งคนขับแต่หันมามองหล่อนเต็มตัวทำให้ยิหวาร้องไห้หนักขึ้น

ถ้าเพียงแต่...ถ้าเพียงแต่คนที่ถามหล่อนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเจือความห่วงใยตรงนี้จะเป็นพ่อ ไม่ใช่ผู้ชายตัวโตหน้าเคร่งที่หล่อนหวาดหวั่นทุกครั้งที่เข้าใกล้เขาคงจะดีกว่านี้ หล่อนคงจะโถมตัวเข้าใส่ ร้องไห้กับอก แล้วบอกเล่าความรู้สึกที่อัดแน่นภายใน

แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะตรงหน้าหล่อนคือเขา คนที่เป็นส่วนหนึ่งของความรู้สึกที่อัดแน่น และอกที่หล่อนโหยหาก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้หล่อนร้องไห้อยู่ตอนนี้

ทุกสิ่งผิดที่ผิดทางไปหมด หล่อนเกลียดชีวิตตัวเอง เกลียดเขา เกลียดทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับหล่อนในตอนนี้

ยิหวาอยากได้ชีวิตเรียบง่าย ชีวิตที่มีแต่หล่อนกับพ่อในบ้านพักคนงานของไร่ภูคีรีกลับคืนมา หล่อนต้องการแค่นั้นเอง แต่เป็นแค่นั้นที่หล่อนรู้ดีว่าไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่มีทางเลย...

“ถ้าเธอไม่บอกฉันก็ไม่รู้นะหนูดี” คีรีพยายามใจเย็น เขาไม่ชอบเห็นหล่อนร้องไห้ อยากปลอบประโลม แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เขาเป็นลูกคนเดียว ไม่เคยมีพี่น้อง ไม่รู้ว่าควรจะพูดกับเด็กสาววัยรุ่นอย่างไรให้หยุดร้องไห้

ยิหวาไม่รู้ว่าเขาจะอยากรู้ไปทำไม แต่หล่อนก็ยอมบอกเขา เผื่อว่าเขาจะออกรถเสียที

“หนูดี...แค่...คิดถึงพ่อ...” หล่อนบอกแล้วก็ร้องไห้โฮ ไม่จำเป็นต้องกลั้นสะอื้นอีกต่อไป

คำตอบของหล่อนทำให้คีรีถอนหายใจ เขาบอกหล่อนด้วยความรู้สึกจากใจ แม้จะรู้ว่าคำพูดนั้นคงไม่ทำให้หล่อนรู้สึกดีขึ้นมาสักเท่าไร

“ฉันเสียใจเรื่องพ่อของเธอ ฉันขอโทษ” เขาเสียใจที่เป็นสาเหตุให้พ่อของหล่อนตาย แต่เขาก็พยายามชดเชย...ด้วยชีวิตที่เหลืออยู่ทั้งหมด แม้ว่าหล่อนจะไม่ได้ต้องการเลย...เขารู้ดี...

ยิหวาเมินมองไปทางอื่น หล่อนไม่โทษเขา เขาไม่ได้ทำให้พ่อตาย แต่เป็นคนที่ยิงพ่อต่างหากที่ฆ่าพ่อ และหล่อนก็รู้ว่าเขารักษาสัญญาที่ให้พ่อไว้ว่าจะดูแลหล่อนต่อจากพ่อให้เอง เพียงแต่หล่อนไม่อยากได้ หล่อนอยากให้พ่อไม่ตาย และทุกๆ วันที่ผ่านไปหล่อนก็ยิ่งคิดถึงพ่อ เมื่อมองไปทางไหนก็เห็นแต่ความอ้างว้าง บ้านที่หล่อนอยู่ ห้องที่หล่อนนอน แม้จะใหญ่โตหรูหรา แต่ก็หาความอบอุ่นอย่างความรักของพ่อไม่มีเลย

ตอนนี้ชีวิตของหล่อนมีแต่เขา เขาให้หล่อนทุกอย่าง บ้านที่อยู่ ความสุขสบายทางกาย ส่งเรียนหนังสือ แต่เขา...เขาก็ไม่ใช่พ่อ...

คีรีถอนใจเมื่อเห็นท่าทางของหล่อน รู้สึกระทดท้ออยู่ลึกๆ หล่อนดูไม่เปิดใจกับเขาเลย ไม่ว่าเขาจะทำดีกับหล่อนแค่ไหน แต่แม้จะรู้สึกเช่นนั้น คนที่ตั้งใจแล้วก็จะยังคงทำต่อไป บางทีเมื่อคุ้นกันมากขึ้น หล่อนคงจะไม่แสดงท่าทางรังเกียจเขาเช่นนี้กระมัง

ชายหนุ่มออกรถเมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่มีท่าทีจะพูดคุยกับเขา หล่อนยกมือเช็ดน้ำตา เมินมองออกไปนอกหน้าต่าง อย่างน้อยหล่อนก็หยุดร้องไห้แล้ว

หลังรถแล่นไปเงียบๆ ได้ระยะหนึ่ง ยิหวาก็หันไปมองคนขับเลิ่กลั่ก เมื่อสังเกตว่าเขาไม่ได้กำลังพาหล่อนกลับบ้าน แต่ก็ปากหนักเกินกว่าจะไต่ถาม ในใจลึกๆ รู้ว่าเขาจะไม่พาหล่อนไปฆ่าไปแกงที่ไหน จึงนั่งเงียบอย่างยอมจำนน ให้เขาพาไปขึ้นเขาลงห้วยตามแต่เขาจะต้องการ

เขาห้วยของชายหนุ่มเป็นห้างสรรพสินค้ากลางใจเมือง เขาจอดรถแล้วเดินอ้อมมาเปิดประตูให้

“ลงมาสิ” เขาเอ่ยเสียงเรียบ

ยิหวาเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเขามองหล่อนด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่หัวคิ้วขมวดน้อยๆ หล่อนไม่ถามว่าเขาพาหล่อนมาที่นี่ทำไม แต่เดาเอาว่าเขาอาจจะมีธุระ จึงก้าวลงจากรถแต่โดยดี

คนตัวโตผายมือให้หล่อนเดินก่อน แล้วแตะข้อศอกหล่อนอย่างสุภาพ พาเดินเข้าไปในตัวอาคาร ยิหวาเดินไปเงียบๆ เขาไม่บอกหล่อนก็ไม่ถาม จนกระทั่งเขาพาหล่อนมาหยุดอยู่หน้าร้านไอศกรีม แล้วก้มลงพูดกับหล่อน

“กินไอติมกันดีกว่า”

เขาบอก ไม่ใช่ถามความเห็น เพราะพอพูดจบเขาก็พาหล่อนเข้าไปในร้าน เมื่อพนักงานมาต้อนรับ เขาก็ยกมือชูสองนิ้ว

“สองคนครับ”

พนักงานพาเขากับหล่อนไปนั่งที่โต๊ะเล็กสำหรับสองคน จากนั้นก็ยื่นเมนูให้ โค้งตัว แล้วถอยไปอย่างสุภาพ

คีรีก้มลงอ่านเมนูเพียงครู่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นบอกคนนั่งตรงข้าม

“สั่งให้หน่อย”

“คุณภูชอบกินอะไรคะ” ยิหวาถาม ไม่เข้าใจว่าเขาจะให้หล่อนสั่งให้ทำไม เมนูก็อยู่ตรงหน้า แต่แม้จะคิดเช่นนั้น หล่อนก็เปิดเมนูเพื่อสั่งให้เขาตามคำสั่ง

“อะไรก็ได้ เอาแบบเธอก็ได้” ชายหนุ่มตอบง่ายๆ เขาไม่เคยชอบไอศกรีม แต่จำได้ว่าศาสตรามักจะเล่าถึงลูกสาวอย่างเอ็นดูว่าเจ้าหล่อนชอบกินไอศกรีม เวลางอนพ่อ แค่ไอศกรีมโคนเดียวก็หายแล้ว เขาจึงพาหล่อนมาที่นี่ เผื่อว่าจะทำให้หล่อนรู้สึกดีขึ้นจากอะไรก็ตามที่ทำให้หล่อนร้องไห้

ยิหวาไม่รู้ตัวว่าหล่อนมองค้อนเขา ก็เขาเป็นคนพาหล่อนมา แต่กลับทำท่าไม่ยินดียินร้ายว่าจะกินอะไร หล่อนเลยสั่งไอศกรีมซันเดให้เขาและหล่อนคนละถ้วย ของหล่อนเป็นช็อกโกแลตส่วนของเขาเป็นถั่วแมคาเดเมีย หล่อนไม่รู้ว่าเขาชอบกินอะไร เลยสั่งอย่างที่พ่อชอบให้

ขณะที่คนตรงหน้าก้มหน้าก้มตากินไอศกรีม คีรีก็มองไปรอบๆ ร้านไอศกรีมขนาดไม่เล็กนักนั้น โต๊ะตัวใหญ่ฝั่งนั้นมีนักเรียนชายหญิงกลุ่มใหญ่จับจอง เด็กหนุ่มสาวสนุกสนานกับการพูดคุยเสียงดัง เลยไปหน่อยเป็นโต๊ะเล็กลง มีผู้ใหญ่ที่น่าจะเป็นพ่อแม่กับเด็กหญิงในวัยมัธยมต้นนั่งกินไอศกรีมกันอยู่ บางโต๊ะมีผู้ใหญ่เพียงคนเดียวกับเด็กๆ ที่น่าจะเป็นลูกอีกโต๊ะละคนสองคน

ชายหนุ่มหันกลับมามองตนเอง แม้ว่าเขาจะอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีน แต่ด้วยวัยของเขากับหญิงสาวที่อยู่ในชุดนักเรียน แม้จะตั้งใจ พาเมียมาเดต แต่ในสายตาคนอื่นคงจะเห็นเขาเป็นหนึ่งในผู้ปกครองที่ พาลูกสาวมากินไอติม’ เสียละกระมัง

เฮ้อ...

 

สองหนุ่มสาวนั่งละเลียดกินไอศกรีมโดยไม่ได้พูดคุยอะไรกันนัก คีรีไม่ใช่คนช่างพูด ส่วนยิหวา แม้พ่อจะเคยบอกว่าหล่อนเป็นพวกพูดจนลิงหลับ แต่เพราะยังไม่คุ้นกับเขา หล่อนจึงเก็บปากเก็บคำ ก้มหน้าก้มตากินไอศกรีม รสหวานเจือขมนิดๆ ของช็อกโกแลตทำให้หล่อนรู้สึกดีขึ้นมาก ความเศร้าหมองและร้าวรวดในอกเมื่อคิดถึงพ่อคลายลง

หญิงสาวได้แต่หวังว่า คงมีสักวันที่หล่อนจะคิดถึงพ่อได้โดยไม่เจ็บปวดและเสียน้ำตาเช่นนี้

“กินไอติมเสร็จอยากดูหนังสักรอบก่อนกลับบ้านไหมหนูดี” คีรีถามก่อนจะห้ามตนเองทัน

ยิหวาเงยหน้ามองคนถามแล้วนิ่งคิดสักครู่ ในใจนึกถึงการบ้านวันนี้ ตามประสาเด็กหล่อนอยากดูหนังมากกว่ากลับบ้าน แต่ความรับผิดชอบในฐานะเด็กเรียนก็ค้ำคอ อยากดูหนังก็อยากอยู่ แต่การบ้านที่ต้องส่งนั้นสำคัญกว่า จึงตอบอย่างเสียดาย

“หนูดีมีการบ้านค่ะ”

ดูเหมือนคีรีจะอ่านสีหน้าหล่อนออก เขาบอกด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม

“งั้นกลับบ้านกัน แล้ววันหยุดฉันค่อยพามาดูหนังอีกที”

“ค่ะ คุณภู” ยิหวารับคำเขาอย่างว่าง่าย

หลังจากทั้งสองจัดการไอศกรีมในถ้วยจนหมด ชายหนุ่มก็เดินไปจ่ายเงินหน้าเคาน์เตอร์ เสร็จแล้วจึงเดินกลับไปหาคนที่ยังนั่งรออยู่ที่โต๊ะ

“ไป...กลับบ้านกัน”

ยิหวาอดยิ้มให้เขาไม่ได้ หล่อนไม่เคยคิดว่าเขาจะมาสนใจอะไรกับหล่อน แต่วันนี้เขากลับมาส่งที่โรงเรียน มารับกลับ พาหล่อนมากินไอศกรีมเมื่อเห็นหล่อนร้องไห้ แล้วยังสัญญาจะพาหล่อนมาดูหนังในวันหยุดอีก ความรู้สึกที่หล่อนมีต่อเขาจึงเปลี่ยนไปนิดๆ

จริงๆ แล้วเขาอาจจะใจดีกว่าท่าทางเย็นชาที่เขามักจะแสดงออกก็ได้

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น