2

เด็กมีปัญหา

2

เด็กมีปัญหา

 

‘บ้านบริมาส’ กว้างขวาง มีสิ่งบันเทิงใจครบครัน ทั้งสนามกีฬา สระว่ายน้ำ ห้องฉายภาพยนตร์ โรงเรือนกระจกน่าแปลกที่บ้านหลังใหญ่โตขนาดนี้กลับมีผู้พักอาศัยน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย มีเจ้านายทั้งหมดสองคนถ้วน 

คนแรกคือแพทย์หญิงผู้ที่ไม่ยอมใช้เวลาแต่ละวินาทีอย่างสูญเปล่า ทุ่มเทแรงกายแรงใจอยู่ในแล็บวิจัยของบริษัทเอกชน ในหนึ่งเดือนจะกลับมาค้างที่บ้านสักสองหรือสามครั้ง และคนที่สองคือหลานสาวลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น ผู้ซึ่งไม่เคยอยู่ติดบ้านเกินสามวัน อย่างน้อยก็ต้องหาเรื่องออกไปเที่ยวเล่นวันละไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมง กล่าวได้ว่าผู้พักอาศัยหลักคือเหล่าแม่บ้านและคนดูแลสวนที่ไม่มีปากไม่มีเสียง และไม่ยุ่งเรื่องของเจ้านายอีกนับสิบคน 

แต่เพราะมีบางสิ่งเกิดขึ้น...จะไม่ยุ่งเลยก็คงไม่ได้

‘แพทย์หญิงดมิสา บริมาส’ ตรงดิ่งจากแล็บวิจัยมาถึงบ้านภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง แม้จะอดหลับอดนอนมาหลายวันติด แต่กลับยังดูคล่องแคล่วไม่เปลี่ยน เป็นแม่บ้านเสียอีกที่วิ่งตามหลังแทบไม่ทัน กระทั่งมาหยุดหน้าห้องนอนของ ‘หลานสาว’ ก็ผลักประตูเข้าไปโดยไม่บอกกล่าว หากเป็นปกติเจ้าของห้องคงอาละวาดจนบ้านแตก แต่ครั้งนี้กลับมีเพียงความเงียบสงบ

ภายในห้องนอนสีขาวขนาดใหญ่เปิดม่านรับแสง แดดเปรี้ยงยามบ่ายส่องกระทบร่างที่ยังหลับใหลอยู่บนเตียง ทั้งที่ถูกรบกวนขนาดนั้น แต่เจ้าตัวก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะลุกขึ้นมา ความจริงเด็กวัยนี้นอนเยอะหน่อยเป็นเรื่องปกติ ผู้ใหญ่ไม่ควรเข้าไปเจ้ากี้เจ้าการกับเรื่องส่วนตัวมากนัก แต่เพราะนี่ล่วงวันที่สองแล้ว จะไม่ให้เป็นห่วงก็คงยาก 

ผู้มาใหม่เข้าไปนั่งริมขอบเตียง กลิ่นหอมจางๆ จากดอกไม้แห้งในชามแก้วลอยต้องจมูก ก่อนโน้มตัวเข้าไปกระซิบปลุกเด็กขี้เซาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน 

“ไคยะ” 

เครื่องปรับอากาศซึ่งตั้งอุณหภูมิไว้ที่สิบเก้าองศายังคงทำหน้าที่ของมัน แต่ตามไรผมของเจ้าของชื่อกลับเต็มไปด้วยเหงื่อผุดพรายเม็ดโต เส้นผมดำขลับที่เปียกลู่แนบกรอบหน้ายิ่งขับเน้นผิวขาวซีดให้เห็นเด่นชัด และไหนจะริมฝีปากเขียวคล้ำ ไม่ต้องให้ถึงหมอหรอก ให้เด็กสามขวบมาพิจารณาก็ยังรู้ว่านี่มันเข้าขั้นคนป่วยแล้ว 

ดมิสาใช้หลังมือแตะหน้าผากเกลี้ยงเกลา เลี่ยงบริเวณที่ปรากฏรอยฟกช้ำวงโต โชคดีที่ไม่ถึงกับตัวร้อนจี๋ พลางเอ่ยถามแม่บ้านที่ยืนคอตกอยู่ด้านข้างด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด 

“เป็นแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว ทำไมไม่โทร. ตามฉันให้เร็วกว่านี้” 

“วันก่อนคุณไคยะเปียกฝนกลับบ้านค่ะ เห็นบ่นอยู่ว่าเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวเหมือนจะมีไข้ ดิฉันคิดว่าให้กินยาแล้วนอนพักสักตื่นก็คงหาย ก็เลย...”

“สรุปใครเป็นหมอกันแน่ ฉันหรือคุณ” 

แม่บ้านวัยกลางคนตัวสั่นงันงก รีบค้อมตัวขอโทษเป็นพัลวัน “ดิฉันผิดไปแล้วค่ะ” 

หญิงสาวโบกมือไล่แม่บ้านคนดังกล่าว จากนั้นค่อยเริ่มต้นเช็ดตัวลดไข้ให้หลานสาวด้วยตัวเอง เธอนึกถึงช่วงเวลาที่ไคยะยังเป็นเด็กตัวน้อยๆ ไม่ประสีประสาวิ่งไล่จับคนนู้นคนนี้ไปทั่ว ต่อให้เป็นคุณลุงผู้เข้มงวดก็ยังผ่อนปรนกฎบ้านให้อยู่เสมอ ทว่าพออายุครบเกณฑ์เข้าฝึก เด็กหญิงก็เรียนรู้ที่จะดูแลตัวเอง ต่อให้นุ่งกระโปรงเบี้ยวก็ไม่ยอมเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากใคร ตอนนี้ที่อายุครบสิบแปด เรื่องนอนนิ่งเป็นเด็กดีให้คนอื่นมาดูแล...ฝันไปเถอะ

ตอนที่ปลดเปลื้องชุดนอนออก ผู้เป็นน้าสาวถึงกับขมวดคิ้ว ตั้งแต่หัวไหล่ ต้นแขน ข้อศอก และบริเวณหน้าท้องจนถึงสีข้างมีรอยม่วงช้ำจนเกือบดำ บ่งบอกถึงความรุนแรงจากการบาดเจ็บได้เป็นอย่างดี

“ก่อนหน้านี้ไคยะไปไหนมา” หญิงสาวหันไปถามแม่บ้านวัยกลางคนอีกคนที่คอยเป็นผู้ช่วยอยู่ด้านหลัง 

“คุณไคยะไม่ได้บอกค่ะ” 

คนฟังนึกปลง ไม่เซ้าซี้อะไรให้มากความ หลานสาวของเธอนิสัยแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร หากไม่คิดจะพูดซะอย่าง ใครก็ง้างปากไม่ได้ นี่ถ้าไม่เจ็บจนถึงขั้นลุกไม่ขึ้น เธอคงไม่มีวันรู้เรื่องนี้ 

“เฝ้าไว้ ตื่นเมื่อไหร่ให้ไปตามฉัน” 

 

เจ็บ...นั่นเป็นความรู้สึกแรกยามลืมตา 

เสียงแหบแห้งหลุดครางเบาๆ ขณะพยุงร่างให้ลุกขึ้นนั่งพิงพนักอย่างยากลำบาก ทั้งที่รู้ดีว่าของทุกชิ้นยังคงจัดวางเหมือนเมื่อสองปีที่แล้ว แต่ก็ยังกวาดตาสำรวจรอบห้องตามความเคยชิน กระทั่งพบว่าสิ่งที่เปลี่ยนไปไม่ใช่ข้าวของพวกนั้น แต่เป็นชุดที่สวมอยู่ต่างหาก 

ไคยะกัดฟันลงจากเตียง ข่มความเจ็บปวดเปิดประตูออกไป พบว่ามีสองแม่บ้านยืนเฝ้าอยู่หน้าห้อง หนึ่งในนั้นทำท่าจะวิ่งไปรายงานใครสักคน เธอพลันยกมือเป็นเชิงสั่งให้หยุด ใช้สายตาคาดโทษแทนถ้อยคำตำหนิติเตียน ก่อนตรงดิ่งไปยังห้องสมุดที่อยู่อีกฟากหนึ่งแทบจะทันที

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ขอเข้าไปนะคะ” ผู้มาเยือนไม่ลืมบอกกล่าวตามมารยาท เพิ่งพูดจบคนด้านในก็ตอบกลับมา 

“อืม เข้ามาสิ” 

ร่างบางเดินจ้ำอ้าวไปหยุดอยู่หน้าเสื่อของคนที่กำลังนั่งทำสมาธิ เปิดประเด็นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “หนูเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ชอบให้คนเข้ามายุ่งในพื้นที่ส่วนตัว ต่อให้เป็นมิสะเองก็เถอะ” 

“ไคยะไม่สบายไม่ใช่เหรอ น้าเลยเช็ดตัวให้ นอกนั้นก็ไม่ได้แตะข้าวของชิ้นอื่นเลยนะ” ดมิสาตอบโดยไม่ลืมตา ยังคงกำหนดลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ เสมือนกับว่าเรื่องภายนอกเป็นแค่สายลมแผ่วเบาพัดแตะผิวกายเท่านั้น 

คิ้วเรียวของคนฟังมุ่นเข้าหากัน สำหรับเธอแล้วนี่ไม่ใช่บาดแผลสาหัส ถ้าแค่นี้ยังอดทนไม่ไหว เธอคงได้กลายเป็นพวกไร้ประโยชน์อย่างที่คนอื่นตราหน้าจริงๆ 

“ไม่ใช่ครั้งแรกซะหน่อย นอนตื่นมาเดี๋ยวก็หาย ไม่ต้องให้มิสะเสียเวลาหรอก” 

“น้ารู้ว่าไม่ใช่ครั้งแรก แต่หวังว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายสักที” ภาพรอยฟกช้ำสีม่วงคล้ำปรากฏขึ้นในห้วงความคิด ในที่สุดก็เลือกลืมตามองหลานสาวผู้ดื้อรั้น ตั้งใจย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พี่คิโยะยกหลานให้อยู่ในการดูแลของน้าแล้ว ดังนั้นตัดใจซะเถอะไคยะ ยอมรับความจริงว่าหลานไม่มีวันจบภารกิจนี้ได้”

“ตราบใดที่หนูยังมีเวลาเหลือ หนูไม่มีวันยอมแพ้”

“อย่าลืมสิไคยะ หลานแพ้ตั้งแต่สิบปีที่แล้ว ดังนั้นต่อให้หลานสังเวยชีวิตก็ไม่มีวันสมบูรณ์แบบอย่างที่พวกเขาต้องการ มันยังไม่สายเกินไปที่จะกลับมาใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา...” 

เพล้ง!

ยังไม่ทันสิ้นเสียง มือเล็กพลันคว้าแจกันบนโต๊ะเหวี่ยงลงพื้น เศษกระเบื้องขาวขุ่นแตกกระจายไปทั่ว น้ำสีเหลืองอ่อนแผ่ขยายเป็นวงกว้าง สุดท้ายก็เปียกบริเวณขอบเสื่อ ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ คนที่นั่งอยู่กลับไม่ขยับหลบเลยแม้แต่นิดเดียว

“มิสะเองก็แพ้เหมือนกันไม่ใช่เหรอ เพราะแพ้ถึงต้องมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ สุดท้ายแล้วมิสะก็ไม่ต่างอะไรกับคนทรยศพวกนั้น แต่หนูไม่ใช่ หนูทำได้ดีกว่ามิสะ ทำได้ดีกว่ามากๆ ด้วย!” ไคยะหน้าแดงเพราะความอับอายปนโมโห เรื่องที่เธอไม่ผ่านบททดสอบเป็นเหมือนแผลเรื้อรังยากจะรักษา ถูกสะกิดตอนไหนก็ยังเจ็บแปลบอยู่เช่นเดิม 

“ว่ามาสิ ข้อไหนที่ไคยะทำได้ดีกว่าน้า” ดมิสาลุกขึ้นยืน เธอสูงกว่าหลานสาวสิบห้าเซนติเมตร มากพอที่จะทำให้อีกฝ่ายเงยหน้าสบตา “กายภาพ วิชาการ หรือการควบคุมอารมณ์ หลานคิดว่าน้ากลับไปอยู่ในจุดเดิมไม่ได้เหรอ เทียบกับหลานแล้วน้ายังมีทางเลือกกว่ามาก น้าแค่เลือกทางที่เป็นตัวน้าจริงๆ ไม่ใช่ให้คนอื่นมาขีดเส้นบงการ โดยเฉพาะเส้นทางนองเลือดที่ไม่รู้จะจบสิ้นเมื่อไหร่” 

แรกเริ่มเธอฉุนกับคำพูดพวกนั้นอยู่ไม่น้อย แต่พอเห็นดวงตากลมโตแดงก่ำขึ้นเรื่อยๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าไม่ควรถือสาหาความกับเด็ก พลันยกมือลูบกลุ่มผมนุ่มสลวยด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ ทว่ากลับถูกปัดออกทันควัน

เผียะ!

“อย่าแตะต้องตัวหนู!”

แพทย์สาวถอนหายใจ ทุกครั้งที่ปะทะคารมกัน ความสัมพันธ์ก็จะเหินห่างไปอีกก้าว ซึ่งตอนนี้เธอและหลานสาวแทบจะยืนกันคนละขอบโลกอยู่แล้ว ดังนั้นเธอจึงเป็นฝ่ายยกธงขาวก่อนที่คนตรงหน้าจะเดินหนี 

“เอาละๆ น้าขอโทษ น้าผิดเอง ต่อไปน้าจะไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องส่วนตัวของไคยะอีก เอาเป็นว่าหลานอยากทำอะไรก็ตามสบาย ขอแค่พวกเราเลิกทำสงครามเย็นกันได้ไหม” 

ไคยะนิ่งงันเมื่อได้ฟังคำขอโทษ ความโกรธกรุ่นเมื่อครู่ค่อยๆ เบาลง ยอมรับว่าตัวเองทำตัวไม่น่ารักก่อน ถึงอย่างไรมิสะก็เป็นญาติเพียงคนเดียวที่เธอมีที่นี่ หากไม่มีอีกฝ่าย...เธอก็แทบไม่เหลือใครแล้ว

“เย็นนี้มิสะจะอยู่กินข้าวที่บ้านรึเปล่า” สุดท้ายก็วางทิฐิถามออกไป เธอนั่งกินข้าวบนโต๊ะอาหารสิบที่นั่งคนเดียวมาร่วมเดือน คงจะดีถ้ามีคนมาคลายความเหงาบ้าง

แพทย์หญิงดมิสาชำเลืองมองนาฬิกา ก่อนให้คำตอบด้วยแววตารู้สึกผิด “ขอโทษนะไคยะ น้าต้องกลับไปก่อนหกโมงเย็น เอาไว้ครั้งหน้านะ”

ดวงตาสีน้ำหมึกหลุบซ่อนความรู้สึก ครั้งหน้า...แปลว่าเมื่อไหร่ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้เอ่ยถามให้หายแคลงใจ ยังคงพยักหน้าอย่างว่าง่ายเหมือนทุกครั้ง 

“ครั้งหน้าก็ได้ค่ะ ไม่เป็นไร”  

 

ตั้งแต่ที่ไคยะจำความได้ เธอรู้อยู่เสมอว่าตนเองเป็นพวกอยู่ไม่นิ่ง ทั้งยังชอบความครึกครื้นเป็นที่สุด ดังนั้นความสุขในวัยเด็กของเธอคือการเล่นกับพวกพี่น้องที่โรงฝึก เธอตัวเล็กที่สุด แต่ก็ว่องไวที่สุด ทุกครั้งที่เล่นวิ่งไล่จับ น้อยคนนักจะคว้าตัวเธออยู่ เธอเผยสีหน้าภูมิใจอย่างไม่ปิดบังเวลาที่พวกเขาเปรียบเทียบว่าเธอปราดเปรียวเหมือนแมว และพยักหน้ารับอย่างตรงไปตรงมาเวลาได้ยินผู้ใหญ่ชื่นชมว่าเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์และพรแสวง ไม่ใช่แค่คนรอบตัว แม้กระทั่งตัวเธอเองยังถูกหล่อหลอมให้เชื่อว่าโตขึ้นจะต้องมีชีวิตราบรื่น เป็นผู้สืบทอดที่ทุกคนภาคภูมิใจแน่ๆ 

สิ่งที่พวกเขาหรือแม้แต่ตัวเธอเองยังคิดไม่ถึงก็คือ...เธอไม่ผ่านบททดสอบการก้าวข้ามสู่ความเป็นผู้ใหญ่ทั้งสองรอบ กลายเป็นของมีตำหนิไร้ค่าในสายตาทุกคน ถูกโยนออกมาจากบ้านเกิดให้มาทำ ‘ภารกิจ’ ที่ตลอดยี่สิบปีมานี้ไม่มีใครทำสำเร็จ และถ้าเธอทำไม่ได้...จะไม่มีสิทธิ์กลับไปที่นั่นอีกตลอดกาล 

“เส้นไม่นิ่งเลย คิดถึงเรื่องอะไรอยู่เหรอ” 

“ก็คิดถึงต้นวิสทีเรียไงคะ อาจารย์ปลื้มให้หัวข้อฤดูใบไม้ผลินี่นะ” ไคยะยักไหล่ตอบ ตั้งแต่ย้ายมาประเทศไทยเธอเรียนรู้การพูดโกหกจนชิน พอคนเห็นว่าเป็นเด็ก คนส่วนใหญ่มักเลือกที่จะไม่ถือสา

“ศิลปะคือจินตนาการ แต่บางครั้งศิลปะก็สะท้อนความจริงนะ ไม่เชื่อลองมองด้วยตัวเองสิ” ผู้พูดเป็นชายวัยกลางคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควร นอกจากเป็นอาจารย์พิเศษด้านศิลปะชื่อดังที่คนแทบจะอัญเชิญขึ้นพานไปสอน ยังรับหน้าที่เป็นเพื่อนต่างวัยให้แก่สาวน้อยลูกครึ่งหัวร้อนตรงหน้า 

มือที่ถือพู่กันหยุดชะงัก ดวงตาสีน้ำหมึกพลันพิจารณาภาพวาดกิ่งไม้เบื้องหน้า เส้นสีน้ำตาลหม่นผสมดำทั้งแข็งกระด้างและโดดเดี่ยว ให้ความรู้สึกเหมือนต้นไม้ยืนต้นตายในฤดูหนาวมากกว่าต้นวิสทีเรียในฤดูใบไม้ผลิ ไม่แปลกที่จะถูกจับเท็จได้

“นี่ไง เติมดอกไม้เข้าไปก็สวยแล้ว ศิลปะไม่มีคำว่าผิด อาจารย์ปลื้มสอนเองนี่คะ” หญิงสาวแก้ตัวข้างๆ คูๆ ขณะแต่งแต้มสีชมพูเพิ่มลงไป ทว่ากลับยิ่งเพิ่มความขัดแย้งให้แก่ภาพวาด ยิ่งแก้ไขมากเท่าไหร่ ผลลัพธ์ยิ่งออกมาแย่กว่าเดิม สุดท้ายก็ตวัดปลายพู่กันไปมามั่วๆ หากไม่ใช่คนวาดคงมองไม่ออกว่ามันเคยเป็นต้นไม้มาก่อน 

“ไคยะ”

“อาจารย์ปลื้มไม่ต้องเสียดายหรอก แค่ของไร้ประโยชน์ชิ้นเดียวเอง” กล่าวพลางตวัดพู่กันทำลายภาพที่อุตส่าห์นั่งหลังขดหลังแข็งวาดเกือบสองชั่วโมงทิ้งอย่างไม่นึกเสียดาย เลิกฝืนในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

“ทำกับศิลปะเกินไปแล้ว ถ้าอยู่ที่มหาวิทยาลัย อาจารย์จะเอาพู่กันเบอร์ยี่สิบเคาะหัวเรา แต่เพราะคุณดมิสาย้ำหนักย้ำหนาว่าห้ามใช้ความรุนแรง อาจารย์เลยจะไม่ทำ” 

“ถ้าอยากทำก็ทำได้นะคะ ตอนอยู่ญี่ปุ่นหนูโดนครูฝึกเอาชิไน2 ตีประจำเลย เป็นรอยเท่านี้ ตีแล้วก็ต้องลุกขึ้นมาให้ได้ด้วย ห้ามพร่ำพรรณนาว่าเจ็บ ไม่งั้นจะโดนหนักกว่าเดิม เพราะฉะนั้นต่อให้อาจารย์ปลื้มตีหนูก็ไม่โอดครวญหรอก” สาวลูกครึ่งคุยจ้อ ขณะที่เล่าก็ทำมือประกอบไปด้วย ด้วยความที่มีเพื่อนที่เป็นคน ‘ปกติ’ น้อยมาก จึงไม่รู้เลยว่าสิ่งที่พูดออกมาผิดปกติมากแค่ไหน

“อาจารย์สอนศิลปะนะ ไม่ได้สอนต่อยตี” 

“การต่อยตีคือศิลปะแขนงหนึ่ง” ไคยะกะพริบตาปริบด้วยความงุนงง สุภาษิตไทยก็มีคำว่ารักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี ไฉนคนเป็นอาจารย์ถึงกังวลกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ดังนั้นจึงเน้นย้ำด้วยแววตามุ่งมั่น “อาจารย์จะพลั้งมือตีแรงหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไร ตีแล้วจะได้จำ พอจำแล้วจะได้ไม่ทำผิดซ้ำซากอีก” 

หมดคำจะกล่าว...

อาจารย์ปลื้มได้แต่มองคนรุ่นลูกด้วยแววตาเวทนา เขารับสอนเด็กคนนี้ก็เพราะคุณดมิสาเคยช่วยรักษาภรรยาที่ป่วยเป็นมะเร็งระยะที่สามไม่ให้ลุกลามไปมากกว่านั้น ตอนที่เจอหลานสาวคุณดมิสาครั้งแรก เขาได้รับคำเตือนอยู่ก่อนแล้วว่าอีกฝ่ายมีอารมณ์ไม่ปกติ นึกไม่ถึงว่าเด็กสาววัยสิบหกจะอารมณ์รุนแรงจนถึงขั้นน่ากลัว ไม่พอใจเป็นต้องทำลายข้าวของ บางทีก็โกรธจัดจนลงมือทำร้ายตัวเอง ตัวเขาเป็นแม่พิมพ์ของชาติก็จริง ทว่าไม่เคยรับมือกับเด็กมีปัญหา เย็นวันนั้นถึงกับรีบแจ้นไปขอใช้หนี้บุญคุณด้วยวิธีอื่นแทน 

อย่างไรก็ตาม คุณดมิสาเลือกที่จะขอร้องเขา และยังเปิดอกบอกเล่าปัญหาครอบครัวอย่างไม่ปิดบัง ตอนไคยะอยู่ที่ญี่ปุ่นเรียนแบบโฮมสกูลมาโดยตลอด ด้วยความที่อยู่แบบครอบครัวใหญ่จึงพอมีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันอยู่บ้าง แต่เพราะปัญหาบางอย่างทำให้อีกฝ่ายถูกส่งตัวมายังประเทศไทยแบบไม่เต็มใจนัก 

แรกเริ่มคุณดมิสาก็ส่งหลานสาวเข้าเรียนที่โรงเรียนนานาชาติชื่อดัง ทว่าการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย บวกกับการที่เด็กคนนี้มีปัญหาเรื่องการเข้าสังคมอยู่แล้ว จากการทะเลาะกันแบบเด็กๆ ที่ผู้ใหญ่มองข้าม ใครจะเชื่อว่าวันหนึ่งมันจะนำไปสู่การที่อีกฝ่ายตั้งใจผลักเพื่อนร่วมชั้นเรียนตกบันไดแขนหักสามคน สุดท้ายจึงต้องนำตัวกลับมาเรียนแบบโฮมสกูลเหมือนเดิม

สารภาพตามตรงว่าเขาเองก็เคยระแวงเด็กคนนี้ แต่มีครั้งหนึ่งที่อีกฝ่ายขอให้เขาเล่าเรื่องมหาวิทยาลัยให้ฟัง เขาก็ทำตามคำขอแบบไม่คิดอะไร พอมาสอนครั้งต่อมา กลับพบว่าลูกศิษย์อายุน้อยไปสรรหาเครื่องแบบนักศึกษามาใส่ ทั้งยังให้เหตุผลด้วยสีหน้าแจ่มใสว่าอยากเลียนแบบลูกศิษย์คนอื่นๆ ของเขาบ้าง 

นั่นเป็นครั้งแรกที่เขามองว่าไคยะไม่ใช่เด็กมีปัญหา แต่เป็นวัยรุ่นที่อยากออกไปใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาคนหนึ่ง น่าสงสารที่ต้องมาติดแหง็กอยู่ในบ้านหลังโต อยู่ในสภาพแวดล้อมที่คนในครอบครัวเลือกสรรว่าดี ไม่มีโอกาสได้รู้ว่าสังคมข้างนอกจริงๆ มันเป็นยังไง

นี่ก็ล่วงเข้าปีที่สองแล้ว เขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่าจากที่ทำไปตามหน้าที่ จะเปลี่ยนเป็นให้ความเอ็นดูอีกฝ่ายเหมือนลูกเหมือนหลานได้ถึงขนาดนี้ 

“อาจารย์เกือบลืมไปเลย วันศุกร์หน้ามหาวิทยาลัยที่อาจารย์สอนมีงานโอเพนเฮาส์ อืม...จะอธิบายว่าไงดี เหมือนเปิดให้เด็กมัธยมเข้าไปดูสถานที่และบรรยากาศของคณะที่อยากเรียน เด็กๆ จะได้มีกำลังใจอ่านหนังสือสอบ ไคยะอยากมาดูไหม” 

ลูกศิษย์อายุน้อยทำหน้าครุ่นคิด เอ่ยถามด้วยแววตาค่อนไปทางซุกซน “หนูไปได้เหรอคะ ถ้าถูกจับได้ว่าไม่ใช่เด็กมัธยมจะทำยังไง อาจารย์ก็รู้ว่าหนูไม่ถนัดหาข้อแก้ตัว หนูถนัดใช้กำลัง” 

“คนเยอะแยะ ไม่มีใครสนใจหรอก” อาจารย์ปลื้มส่ายหน้า ไม่ลืมเน้นย้ำเรื่องสำคัญอีกอย่าง “แต่ต้องสัญญามาก่อนว่าจะทำตัวดีๆ และห้ามไปมีเรื่องกับใครโดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะไม่มีครั้งหน้าแล้ว”

ไคยะพยายามซ่อนความลิงโลดเอาไว้ให้ลึกที่สุด เธอกำลังหาข้ออ้างโดดเรียนวิชาอื่นอยู่พอดี ถ้าเอาอาจารย์ปลื้มมาอ้าง น้าสาวก็จะว่าอะไรเธอไม่ได้ อีกอย่างต่อให้เธอมีเรื่องจริง คนตรงหน้าก็ไม่มีทางรู้ 

หลอกอาจารย์ง่ายกว่าหลอกแพทย์หญิงเยอะ!

“ก็ได้ค่ะ หนูจะพยายามยุบหนอพองหนอก็แล้วกัน”

 

เครื่องแบบนักเรียนหลายสิบชุดกระจัดกระจายเต็มพื้น ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนนานาชาติ โรงเรียนเอกชน โรงเรียนรัฐบาล อาชีวศึกษา พาณิชยการ แม้กระทั่งชุดยุวกาชาดและชุดเนตรนารีก็มี หรือจะเป็นชุดนักศึกษาเสื้อไซซ์รัดติ้วไปจนถึงเสื้อตัวหลวมโพรก กระโปรงยาวตั้งแต่สามคืบจนถึงตาตุ่มก็ครบ มีให้เลือกทุกแบบทุกประเภทที่ต้องการ ต่อให้เป็นร้านขึ้นชื่อในห้างสรรพสินค้าก็ยังไม่ครอบคลุมเท่านี้ เรียกได้ว่ารวมเครื่องแบบของวงการศึกษาจากทั่วทั้งประเทศมาไว้ที่เดียวก็ไม่เกินจริง 

ทว่า...ผู้รื้อค้นกลับยังไม่พบที่ถูกใจ 

ไคยะนั่งขัดสมาธิหน้าตู้เสื้อผ้าใหญ่ยักษ์ คว้าโทรศัพท์มือถือมาค้นหาคำว่า ‘Open House’ เพื่อดูเป็นแนวทางการแต่งตัว เวลาออกไปข้างนอกเธอไม่ชอบทำตัวแปลกแยกจากคนอื่น เลยคิดว่าถ้ามีคนกลุ่มไหนมากสุด เธอก็จะใส่ชุดนั้นแหละ 

สุดท้ายก็มาจบที่ชุดนักเรียนรัฐบาล...อีกแล้ว 

หญิงสาวช้อนตามองคนในกระจก ลูบผมหน้าม้าที่ยาวขึ้นจนทิ่มตา ก่อนเปิดลิ้นชักค้นหากรรไกรเหล็ก ค่อยๆ เล็มส่วนที่เกินออกมาอย่างระมัดระวัง แต่เพราะอาการบาดเจ็บบริเวณสีข้างกำลังปวดหนึบได้ที่ ฝืนยกแขนได้สักพักเป็นต้องหมดแรง งานที่ควรจะเสร็จภายในสิบนาทีกลับกินเวลาไปเป็นครึ่งชั่วโมง อีกทั้งพออยู่คนเดียวเงียบๆ คำพูดน่าโมโหก็ดังขึ้นในหัว

‘...โทษทีว่ะ คนอย่างพี่เบามือไม่เป็น’

เคยได้ยินกิตติศัพท์ของหน่วยรังผึ้งที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตมานานปี แต่เพราะก่อนหน้านี้ ‘องค์กร’ เสียคนมีฝีมือไปมากหากเลี่ยงการเผชิญหน้ากับภาครัฐเจ้าถิ่นได้จะดีกว่า ตลอดสองปีมานี้เธอเลยไม่เคยเฉียดกรายเข้าไปใกล้คนในเครื่องแบบ ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายยังจะโคจรมาพบเจอด้วยตัวเอง 

ทีแรกเธอไม่ได้มีความคิดจะลงมือให้ถึงตาย แค่ขู่แล้วกะว่าจะทำให้สลบเท่านั้น ทว่าผึ้งปากเสียนั่นดันกัดไม่ยอมปล่อย ดังนั้นจึงมีแวบหนึ่งที่เธอตั้งใจจะ ‘ปิดปาก’ อีกฝ่ายจริงๆ เพราะถ้าถูกพวกเจ้าหน้าที่จับตัวได้...ผลลัพธ์ต้องไม่คุ้มกันแน่ 

ได้เผชิญหน้ากับคนจากหน่วยรังผึ้งก็ดี ต่อไปจะได้ไม่พลาดกับเรื่องเดิมๆ อีก แต่สิ่งที่เธอไม่แน่ใจคือฝั่งนั้นจะจำลักษณะของเธอได้มากน้อยแค่ไหน ต่อไปพกแค่ริบบิ้นผูกผมอย่างเดียวคงไม่พอ อาจต้องพกอาวุธอย่างอื่นติดตัวด้วย ถ้าเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยจะได้ลงมืออย่างรวดเร็ว

“หึ อีหนูบ้านแกสิ” เจ้าของดวงตาสีน้ำหมึกก่นด่าขณะจัดแต่งทรงผม หงุดหงิดที่ตัวเองอ่อนซ้อมจนฝีมือตก ถึงได้พลาดให้ผึ้งตำรวจน่าตายนั่นซ้อมเป็นกระสอบทรายไปหลายหมัด ทว่าด่าได้ไม่เท่าไหร่ สายตาพลันหยุดกึกที่ข้อมือว่างเปล่า ได้แต่กะพริบตาถี่ๆ อยู่หลายรอบ

ไม่...เธอไม่ได้ตาฝาด

สร้อยข้อมือหายไป!

ร่างบางลุกพรวดด้วยความตื่นตระหนก ลืมอาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้ไปสิ้น เธอวิ่งไปค้นตะกร้าผ้าที่ใส่แล้ว ค้นภายในห้องนอน ค้นทุกซอกทุกมุมที่เดินผ่านตลอดหลายวันมานี้ ยอมแม้กระทั่งวิ่งหน้าตั้งไปห้องสมุดอีกรอบ 

“คุณป้าช่วยฉันหาสร้อยข้อมือหน่อยค่ะ ฉันเผลอทำหล่นที่ไหนก็ไม่รู้” 

น้อยครั้งที่เธอจะขอความช่วยเหลือจากคนอื่น บวกกับท่าทางกระวนกระวายที่น้อยครั้งจะแสดงออกมาให้เห็น เหล่าแม่บ้านต่างรวมตัวกันช่วยหาของที่หายไปทั่วทุกที่อย่างไม่รีรอ อยู่มาสองปีบ้านบริมาสเพิ่งจะคึกคักเป็นครั้งแรก แต่เป็นสถานการณ์ที่เธอไม่คิด ไม่ฝัน และไม่เคยอยากให้มันเกิดขึ้น 

กระทั่งผ่านไปหลายชั่วโมง หนึ่งในนั้นก็เข้ามารายงานด้วยแววตารู้สึกผิด   

“คุณไคยะ ดิฉันให้คนหารอบๆ แล้ว แต่...ไม่พบค่ะ”

ลมหายใจของคนฟังสะดุดกึก ก่อนทิ้งตัวบนโซฟาอย่างหมดเรี่ยวแรง สีหน้าที่เพิ่งมีสีสันกลับไปซีดเซียวอีกรอบ ถ้าไม่อยู่ในบ้านก็แสดงว่าหายข้างนอก เช่นนั้นยังจะมีโอกาสได้คืนอยู่อีกเหรอ 

‘ไปซะไคยะ...ไปแล้วอย่ากลับมา พี่สาวคนนี้จะสืบทอดตำแหน่งของคุณแม่เอง’

ไคยะพลันอยากหัวเราะอย่างไม่มีเหตุผล ทว่าสุดท้ายก็กัดฟันข่มกลั้นเอาไว้ได้ กระทั่งของสำคัญชิ้นสุดท้ายยังรักษาไว้ไม่ได้ เหมือนกับที่คนอื่นว่าไว้ไม่มีผิด คนไร้ค่าย่อมไร้ค่าอยู่วันยังค่ำ สมควรแล้วที่ไม่มีใครต้องการ

“คุณไคยะจะให้พวกดิฉัน...”

“ช่างเถอะ”

“คุณไคยะ...”

“มันไม่ควรเป็นของฉันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น