9

ในวันที่ผลตอบแทนไม่เป็นไปตามที่หวัง

 

9

ในวันที่ผลตอบแทนไม่เป็นไปตามที่หวัง

 

“ยายริน! ทางนี้ๆ”

เสียงร้องตะโกนพร้อมทั้งฝ่ามือที่โบกสะบัดไปมาของเฟื่องฟ้าเรียกสายตาผู้มาใหม่ให้หันไปมองได้ไม่ยาก รินลดาโบกมือตอบเพื่อน ก่อนจะเดินลัดเลาะผ่านเก้าอี้ที่วางเรียงเป็นระเบียบในชั้นเรียนเข้าไปหา วันนี้เป็นอีกวันที่เธอกับเฟื่องฟ้ามีเรียนเช้า แต่ที่น่าเศร้ากว่านั้นคือคลาสเรียนอีกคลาสจัดอยู่ในช่วงบ่าย ซึ่งนั่นหมายความว่าเธอกับเฟื่องฟ้าอาจจะต้องวนเวียนอยู่แถวๆ มหาวิทยาลัยทั้งวัน ไม่ต้องเห็นเดือนเห็นตะวันและเรียนกันจนหัวฟู

ไม่หรอก ความจริงเธอก็พูดเว่อร์ไปอย่างนั้น ถึงวิชาหลักของคณะจะโหมกระหน่ำเข้ามาแต่ก็ไม่ถึงกับวุ่นวายจนชีวิตยุ่งเหยิง 

“ทำไมวันนี้มาเร็ว”

รินลดาทักทายเพื่อนคนอื่นๆ ในห้อง ก่อนจะเดินมานั่งลงตรงเก้าอี้ตัวข้างๆ เพื่อนสนิทแล้วเอ่ยถาม ปกติเฟื่องฟ้าไม่ใช่คนจะมานั่งเรียบร้อยก่อนใครในห้อง ดีไม่ดีเจ้าตัวน่ะมาก่อนอาจารย์ผู้สอนแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น

“แวะไปส่งเฮียที่ร้านมา”

“โห พี่ทัพเข้าร้านเช้าขนาดนั้นเลยเหรอ”

“อือ ไม่รู้ขยันอะไรนัก” 

เฟื่องฟ้าว่าขำๆ เมื่อนึกถึงพี่ชายที่เธอเพิ่งไปส่งเมื่อราวๆ สามสิบนาทีก่อน เพราะรถยนต์ส่วนตัวของเขาส่งซ่อม บวกกับเธอที่มีเรียนเช้าพอดีจึงอาสาทำตัวเป็นน้องสาวแสนน่ารัก 

ปกติเธอพักอยู่คอนโดมิเนียมไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยนัก แต่เพราะเมื่อคืนเธอกลับไปหากับครอบครัวจึงนอนค้างที่บ้าน พอตอนเช้าจึงต้องรีบตื่นเพราะต้องเดินทางฝ่ารถติด แถมที่อยากทำตัวเป็นน้องสาวน่ารักจึงทำให้เผื่อเวลาผิดไปหน่อย 

“ฉันว่าฉันน่าจะได้พี่สะใภ้เร็วๆ นี้แน่ เฮียเก็บเงินตัวเป็นเกลียวหัวเป็นนอตเลย”

ว่าแล้วเฟื่องฟ้าก็ทั้งขำทั้งเป็นห่วง รายนั้นทำงานหลายอย่างจนหัวหมุนไปหมด อายุก็แค่สามสิบต้นๆ เธอไม่รู้ว่าเขาจะรีบสร้างเนื้อสร้างไปไหน เหตุผลที่เธอพอนึกออกเห็นจะมีแค่เรื่องพี่สะใภ้จริงๆ 

“ไปว่าเขา พี่ทัพอาจจะแค่อยากหาเงินมาเปย์น้องสาวกินเก่งอย่างแกก็ได้” 

“ก็จริง ในฟิลเตอร์สายตาเฮีย ฉันยังตัวเล็กเท่าเมี่ยงอยู่เลยมั้ง”

รินลดาหลุดหัวเราะทันทีที่ได้ยินแบบนั้น เธอนึกภาพออกเลยว่าที่เฟื่องฟ้าพูดไม่เกินจริงเลย สองสาวแอบเมาท์เรื่องพี่ชายลามไปถึงเรื่องอื่นระหว่างรออาจารย์ผู้สอน เพราะมาก่อนเวลาค่อนข้างมาก ห้องทั้งห้องจึงบางตาเพราะยังไม่มีนักศึกษา

จะว่าไปตอนนี้มหาวิทยาลัยก็เปิดเทอมมาได้เดือนกว่าๆ แล้ว ซึ่งเป็นเวลาพอๆ กับที่รินลดาย้ายออกมาใช้ชีวิตอยู่กับคุณธีรดนย์คนนั้น จะว่าสั้นก็สั้น จะว่ายาวนานก็นานพอสมควร แต่เธอยอมรับว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมา มีเรื่องให้ยิ้มและหัวเราะมากกว่าหงอยเหงา แต่ถ้าจะบอกว่าทุกอย่างราบรื่นราวกับโรยด้วยกลีบกุหลาบก็ดูจะเกินจริงไปหน่อย เพราะมีบางเรื่องที่เธอต้องปรับตัวให้เข้ากับเขาอยู่บ้าง แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยไม่หนักหนาอะไรก็ตาม 

อย่างที่บอกว่าเธอกับคุณธีรดนย์แทบจะเรียกว่าตัวติดกันตลอดเวลา จะมีห่างบ้างแค่ตอนที่เธอออกมาเรียน หรือวันที่เขาเข้าบริษัท นอกจากนั้นก็เหมือนว่าเธอจะทำตัวติดเขาประหนึ่งเด็กเล็กติดคนดูแล บางนิสัยที่ไม่เคยทำต่อหน้าเขาก็เผลอทำจนหมด และบางนิสัยที่ว่านั่นแหละที่ทำให้เธอถูกดุอยู่หลายครั้งหลายหน

ถึงส่วนใหญ่เขาจะยังน่ารักกับเธอเหมือนเมื่อก่อน แต่เวลาดุทีก็ทำเอาซ่าไม่ออกเช่นกัน แค่น้ำเสียงกับสายตาของเขาก็น่ากลัวจนเธอไม่กล้าหือแล้ว ช่วงหลังมานี้เธอจึงไม่ค่อยกล้าทำตัวให้เกเรให้เขาดุเท่าไร

โดยเฉพาะเรื่องรับประทานอาหารไม่ตรงเวลานี่มาอันดับหนึ่ง ส่วนเรื่องที่สองคือเธอเป็นคนประเภทติดนิสัยเปิดดูอะไรไปเรื่อยระหว่างนั้น เมื่อก่อนตอนอยู่กับคุณลุงคุณป้า พวกท่านไม่เคยดุเธอในเรื่องนี้ ที่บ้านเดิมพวกเธอไม่จำเป็นต้องรับประทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตาหรือมีกฎระเบียบเคร่งครัด ใครหิวหรือถ้าใครติดธุระก็ตั้งโต๊ะก่อนได้เลยโดยไม่ต้องรอ เรียกว่าเป็นมารยาทที่แตกต่างกันค่อนข้างมากเลยทีเดียว 

เธอไม่ต้องตื่นเช้าเพื่อลุกขึ้นมาด้วยสาเหตุอะไรก็ไม่รู้ ไม่เคยถูกปลูกฝังค่านิยมที่ว่าผู้หญิงต้องตื่นเช้าและเก่งงานบ้าน เป็นแม่ศรีเรือนที่พรั่งพร้อมตามขนมธรรมเนียมดั้งเดิมที่มีมายาวนาน

ใช่ว่าเธอไม่เคยสงสัยในสิ่งที่ตัวเองได้รับการปฏิบัติมาตั้งแต่เด็ก เธอเคยถามพวกท่านว่าทำไมถึงไม่เคร่งครัดเหมือนอย่างผู้ปกครองบ้านอื่นๆ ที่เธอเคยได้ยินมา แต่คุณป้าเพียงพูดกับเธอยิ้มๆ ว่าท่านแค่อยากเป็นพ่อแม่เหมือนวัยเด็กที่ท่านอยากได้

รินลดาคิดว่าคุณของเธอป้าเจ๋งมาก เธอไม่เคยเจอใครเจ๋งเท่านี้มาก่อนเลย 

จากนั้นมาเธอจึงไม่เคยมีคำถาม ถึงอย่างนั้นครอบครัวของเธอกลับไม่ได้ห่างเหินเพราะการให้อิสระนี้ ตรงข้ามที่ความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ในบ้านยิ่งผูกพันแน่นแฟ้น เธอกับลูกๆ ของท่านสนิทสนมและพูดคุยได้ทุกเรื่อง พวกเธอแค่เคารพซึ่งกันและกัน หรืออาจจะเรียกว่าเป็นความสบายใจบนพื้นฐานอิสระที่เธอได้รับก็ไม่ผิด 

ทว่าพอมาอยู่กับธีรดนย์ เธอต้องปรับตัวกับเรื่องพวกนี้อยู่เล็กน้อย อย่างแรกคือการรับประทานอาหารพร้อมหน้าถ้าอยู่ด้วยกัน แถมเขาจะชอบดุไม่ให้เธอเล่นไปด้วยระหว่างนั้น ซึ่งการดุแต่ละครั้งเจ้าตัวก็ให้เหตุผลตามแบบฉบับคนรักสุขภาพ ถ้าแนบงานวิจัยมาได้เขาคงทำด้วยเพราะอยากชี้ให้เธอเห็นถึงข้อเสีย

ชายหนุ่มบอกเธอว่ามันมีผลเสียมากกว่าผลดี บลาๆ อีกหลายเรื่องที่เธอจำเป็นต้องพยักหน้ายอมรับ เพราะที่เขาพูดมาไม่มีเรื่องไหนผิด ช่วงหลังมานี้เธอจึงต้องค่อยๆ ปรับตัว ซึ่งพอได้ลองทำจริงๆ เธอก็มองมันว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือเหลือบ่ากว่าแรงอะไร รู้สึกว่าดีด้วยซ้ำที่ตัวเองจะมีเวลาอ้อนเขามากขึ้น ความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ นี้ทำให้เธอมองเห็นข้อดีหลายอย่าง ทั้งจากการมีอิสระและการทำตามกฎเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 

เพราะไม่ว่ารูปแบบใดเธอก็มีความสุขมากอยู่ดีเมื่อได้อยู่กับคนที่รัก 

“เฮ้อ”

เสียงถอนหายใจหนักๆ ที่ดังอยู่ข้างหูดึงคนที่อยู่ในภวังค์ให้หันกลับมามอง รินลดาขมวดคิ้วเมื่อเห็นเพื่อนสนิทฟุบหน้าลงกับโต๊ะจนผมเผ้ายุ่งเหยิง ก่อนเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ของอีกฝ่ายจะตามมาอีกระลอก ท่าทางกลัดกลุ้มราวกับคนมีเรื่องทุกข์ร้อนเสียเต็มประดา

“เป็นอะไรเนี่ย ตื่นเช้าเกินไปเหรอ” เธอถามเพื่อนยิ้มๆ จ้องมองใบหน้าของอีกฝ่ายที่หันมาเธอพลางกลอกตามองบนใส่หนึ่งที

“เอ้า! เป็นอะไร ผีเซื่องซึมเข้าสิงเหรอ”

รินลดาว่ากลั้วหัวเราะ ไม่บ่อยนักที่เธอจะได้เห็นคนพลังงานเต็มหลอดอย่างเฟื่องฟ้าเหมือนคนหมดแรง จะว่าไปช่วงนี้ใบหน้าของเจ้าตัวก็ออกจะหม่นหมองเล็กน้อย เธอจึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังเพราะความเป็นห่วง

“เรื่องคุณปัฐอะไรนั่นเหรอ”

เพียงแค่ชื่อที่เธอเอ่ยขึ้นเบาๆ ก็ทำเอาคนที่แทบจะนอนราบไปกับโต๊ะทะลึ่งตัวลุกขึ้นนั่ง รินลดาสะดุ้งจนเกือบหงายหลังเมื่อเห็นท่าทีแปลกๆ ของเพื่อนสนิท 

“ก็ใช่น่ะสิ! แกดูนี่นะยายริน ดูเลยดู”

นอกจากจะทะลึ่งตัวลุกขึ้นมากะทันหัน เฟื่องฟ้ายังรีบคุ้ยหาบางอย่างในกระเป๋าสะพายใบโปรด สุดท้ายก็หยิบโทรศัพท์มือถือสีดำออกมาพลางกดอะไรอยู่สักพัก ไม่นานนักโทรศัพท์ที่เปิดค้างบนห้องสนทนาห้องหนึ่งก็ถูกยื่นมาให้เธอดู

“อะไรเหรอ”

“แกอ่านดูเลย” 

รินลดาส่ายหน้าช้าๆ อย่างไม่เข้าใจ ทว่าสุดท้ายก็เลื่อนอ่านตัวอักษรนั้นตามคำคะยั้นคะยอของเพื่อน ข้อความหลายบับเบิลนั้นดูคล้ายๆ เวลาเขียนไดอะรีหรือบันทึกความทรงจำ เสียแต่ว่าบันทึกเหล่านั้นไม่ได้เก็บไว้อ่านเอง แต่ถูกส่งให้ใครบางคนอ่าน

“นี่แกยังไม่เลิกส่งข้อความหาคุณเขาอีกเหรอ ไหนว่าจะเลิกส่ง จะตัดใจแล้วไง”

เธอถามยิ้มๆ พลางเลื่อนอ่านข้อความ พอรู้อยู่หรอกว่าเฟื่องฟ้าปักใจกับคุณปฐพีคนนี้มานานเกินกว่าจะท้อแท้เพราะเขาอ่านข้อความแล้วไม่ตอบ ดูจากข้อความส่วนใหญ่ที่เทน้ำหนักไปทางขวาก็เดาได้ ไม่สิ เรียกว่าเก้าสิบจุดเก้าเก้าเปอร์เซ็นต์มาจากฝั่งของเฟื่องฟ้าล้วนๆ เลย 

“ฉันลองแล้ว แต่แกดูนี่สิ”

คนอยากให้ดูจิ้มจึ้กๆ ลงบนหน้าจอโทรศัพท์ที่เธอถืออยู่ แต่รินลดาไม่เข้าใจว่าที่เพื่อนจิ้มให้ดูนั้นให้ดูอะไร ในเมื่อหน้าจอโทรศัพท์ก็ไม่เห็นมีอะไรแตกต่าง นอกจากคำบ่นแกมตัดพ้อของเพื่อนรักที่มีต่อชายในดวงใจตอนที่เขาไม่สนใจ

“ตรงไหน ไม่เห็นมีอะไรให้ดู”

รินลดาสอดส่ายสายตาหาแล้ว แต่เธอไม่รู้จริงๆ ว่าควรโฟกัสตรงจุดไหน เพราะมองไปทางใดมีแต่ข้อความจากฝั่งของเพื่อน

“นี่ไง แกเห็นไหม เนี่ยๆๆๆ” ซึ่งเนี่ยๆๆๆ ที่เฟื่องฟ้าว่า ก็คือสัญลักษณ์จุดหนึ่งจุดที่เล็กมากจนเธอมองแทบไม่เห็น

“จุดเล็กๆ นี่น่ะนะ?”

“อืม เขาให้ความหวังฉัน”

“ฮ่าๆ”

เรียกว่าเป็นครั้งแรกของวันที่รินลดาหัวเราะเกือบสุดเสียง เธอยกมือตะครุบปากตัวเองแทบไม่ทันเมื่อเห็นเพื่อนคนอื่นมองมาด้วยความสงสัยว่าเธอหัวเราะเรื่องอะไร ก็จะไม่ให้เธอตลกได้อย่างไรในเมื่อสิ่งที่เห็นตรงหน้าคือเครื่องหมายจุดเล็กๆ จุดเดียวที่คั่นระหว่างข้อความยาวเหยียดของเพื่อนเธออยู่ 

ตอนนี้รินลดาไม่รู้เลยว่าระหว่างเพื่อนสนิทของเธอที่คิดว่าผู้ชายให้ความหวัง กับผู้ชายคนนั้นที่ส่งเครื่องหมายจุดเล็กๆ มา ใครกันแน่ที่เป็นคนตลก

“ขอโทษๆ ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”

รินลดาพยายามฮึบไม่ให้ตัวเองหลุดขำออกมาอีกครั้ง กว่าจะเรียกสติคืนมาได้ เธอก็ต้องใช้พลังในการอดกลั้นเกือบนาทีจึงสำเร็จ

“ว่าแต่คุณปัฐนี่เขาเป็นคนตลกใช่ไหม”

“ตลกก็ดีน่ะสิ เฮ้อ”

“โอเคๆ ไม่เล่นแล้ว ไหนเล่ามาซิ เรื่องทั้งหมดมันเป็นยังไง” พอเห็นเพื่อนทำท่าจะฟุบลงไปอีกครั้ง รินลดาถึงได้รีบกระแอมกระไอแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจังเป็นการเป็นงาน

“ฉันตั้งใจตัดใจจากเขาจริงๆ” รินลดาแปลกใจเล็กน้อยตอนที่ได้ยินคำพูดนั้น ทว่าเธอยังตั้งใจฟังเพื่อนต่อโดยไม่พูดแทรกให้เสียอรรถรส

“ฉันไม่ทักหาเขาเป็นสัปดาห์แล้วด้วย ไม่กดเข้าช่องแชตเลย แต่ก็อย่างแกที่เห็นนั่นแหละ แค่เขาส่งจุดเล็กๆ มาจุดเดียว ที่ฉันตั้งใจไว้ก็เป๋หมด”

เฟื่องฟ้าฟุบหน้าลงกับโต๊ะพลางตัดพ้ออยู่อีกหลายคำ แต่สักพักเจ้าตัวก็ลุกขึ้นนั่ง แถมยังทึ้งผมตัวเองจนคนเป็นเพื่อนสนิทต้องรีบห้าม รินลดาเห็นท่าทางของเพื่อนแล้วอยากขำแต่ขำไม่ออก พอได้ฟังคำอธิบายจากเฟื่องฟ้าเธอถึงเข้าใจเรื่องราวขึ้นมาบ้าง 

เรื่องที่เฟื่องฟ้าส่งข้อความหาคุณปฐพีมานานหลายปีนี้เธอรับรู้มาตลอด ทั้งสองมีเรื่องผิดใจในอดีตที่ยังขุ่นเคืองกันไม่หาย ซึ่งเฟื่องฟ้านั้นพยายามง้อเขามาหลายปีแล้ว ส่งข้อความหาเขาวันละไม่ต่ำกว่าสิบข้อความ แต่เขาก็ไม่เคยตอบกลับมา

ทว่าเรื่องที่ทำให้เพื่อนเธอยังพอมีหวังคงเพราะอีกฝ่ายไม่ได้บล็อกช่องทางการติดต่อ คุณปฐพีคนนั้นยังอ่านข้อความอย่างครบถ้วน ทำให้เฟื่องฟ้ารู้สึกว่ายังพอมีความหวังอยู่บ้าง แต่เรื่องนี้รินลดากลับเห็นตรงข้าม เพราะต่อให้รักแค่ไหน ถ้าต้องวิ่งตามอยู่ฝ่ายเดียว สักวันคงเหนื่อย ซึ่งเธอคิดว่าเพื่อนของเธอน่าจะวิ่งจนแทบหมดแรงแล้ว

รินลดาไม่กล้าแนะนำให้ใครตัดใจจากคนที่รัก เพราะเธอรู้ดีว่ามันยากแค่ไหน ที่ผ่านมาเธอจึงทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดี และคอยแนะนำในสิ่งที่เธอพอช่วยได้มาตลอด ทว่าช่วงหลังมานี้เธอไม่เห็นเฟื่องฟ้าบ่นให้ฟังก็นึกว่าทุกอย่างราบรื่น นึกว่าผู้ชายคนนั้นยอมใจอ่อนให้เพื่อนเธอแล้ว 

แต่ที่ไหนได้ นอกจากจะลุ่มๆ ดอนๆ แล้วเพื่อนเธอยังคิดจะตัดใจจากเขาอีกต่างหาก เสียแต่ว่าความตั้งใจทั้งหมดพังลงไม่เป็นท่าเพราะจุดเพียงจุดเดียวของเขา

“หรือว่าเขากำลังจะใจอ่อนให้แกแล้ว”

รินลดาวิเคราะห์ตามจริงจากหลักฐานแวดล้อมที่เธอเห็น เพราะสำหรับเธอ ถ้าบอกว่าไม่สนใจหรือรำคาญก็คือปิดกั้นช่องทางการติดต่อทุกอย่างทันที และหากถูกคนที่ไม่ชอบส่งข้อความหาเป็นปีๆ เธอคงบล็อกเขาตั้งแต่วันแรกและคนคนนั้นจะหายไปจากชีวิตของเธอทันที 

แต่นี่ไม่ใช่ ผู้ชายคนนั้นยังอ่านข้อความที่เฟื่องฟ้าส่งให้อย่างครบถ้วน แถมไอ้จุดๆ ที่ส่งมานี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกเช่นกัน เพราะจากที่เธอเลื่อนอ่านดูแล้ว เจ้าตัวมักส่งมาช่วงที่เฟื่องฟ้าห่างหายจากการส่งข้อความหาเขาจริงๆ 

เห็นแบบนี้ในฐานะนักพยากรณ์ผู้คร่ำหวอดด้านการให้คำปรึกษา รินลดาจึงขอฟันธงเลยว่าอีกไม่นานความรักของเฟื่องฟ้าต้องเป็นสีชมพูอย่างแน่นอน!

“แกกำลังจะขายออกแล้วเฟื่อง ลุกๆ อย่ามามัวนอนอืดอยู่แบบนี้!”

รินลดาเขย่าปลุกเพื่อนรักที่เหมือนจะแบตเตอรี่หมดตั้งแต่เช้าของวันให้เงยหน้าขึ้นอย่างกระตือรือร้น พอดีกับอาจารย์ผู้สอนที่เปิดประตูเข้ามาในห้อง คนที่หมดแรงจึงต้องเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างเสียไม่ได้ 

แต่ในเสี้ยววินาทีเล็กๆ นั้นรินลดาแอบเห็นว่าดวงตาคู่สวยของเพื่อนมีประกายความพอใจบางอย่างฉายอยู่ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์อย่างเธอจึงอมยิ้ม มองอยู่เงียบๆ ไม่ได้เอ่ยอะไร

ครั้งนี้เธอจะยังไม่แซวเพราะกลัวเพื่อนเขิน และเกรงว่าอาจารย์ประจำวิชาของคณะจะเขม่นเด็กปีสี่ที่เอาแต่คุยกันจนรบกวนเพื่อนคนอื่น แน่นอนว่าพออาจารย์ผู้สอนเข้าประจำที่เสียงพูดคุยจอแจของนักศึกษาก่อนหน้าก็ค่อยๆ สงบลง ก่อนคลาสเรียนแรกของช่วงเช้าจะดำเนินต่อ

 

“เอาละเด็กๆ วันนี้พอแค่นี้แล้วกัน”

เสียงสวรรค์ของอาจารย์ประจำวิชาแทบจะเรียกความกระปรี้กระเปร่ากลับคืนสู่เหล่านักศึกษาภายในห้อง เพราะเพียงไม่นานเสียงตอบรับของทุกคนก็ดังกึกก้อง เรียกว่าแทบจะกลายเป็นความวุ่นวายขนาดย่อมจนอาจารย์อดส่ายหน้ามองไม่ได้ 

เป็นธรรมดาที่นักศึกษาชั้นปีสุดท้ายจะค่อนข้างสนิทกับอาจารย์ผู้สอน โดยเฉพาะอาจารย์ประจำคณะก็ยิ่งแสดงความคุ้นเคยและเป็นกันเองได้มากกว่า 

“เอาไงต่อดี เหลืออีกตั้งหลายชั่วโมงกว่าจะถึงคลาสบ่าย” เฟื่องฟ้าหันมาถามเพื่อนที่กำลังเก็บของอยู่ข้างๆ 

“ขี้เกียจกลับห้องนะ ช่วงนี้รถคงติดแน่ๆ” 

“งั้นหาร้านนั่งชิลแถวๆ ม. ไหม”

“โอเค ดีล”

สองสาวแปะมือกันเปาะแปะเมื่อความเห็นตรงกันอย่างรวดเร็ว สุดท้ายคาเฟ่เล็กๆ ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยก็ถูกเลือก ร้านที่ว่าก็คือร้านที่รินลดาเคยนัดกับคุณธีรดนย์เมื่อครั้งก่อนนั่นเอง มีบรรยากาศดีและพื้นที่ใช้สอยด้านในค่อนข้างกว้างขวาง แม้จะมีบรรดานักศึกษาและลูกค้าเข้าไปเกาะกลุ่มทำงานอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วถือว่าไม่น่าอึดอัดอะไร 

ซึ่งทีเด็ดสำหรับรินลดาอีกเรื่องก็คือ นอกจากเครื่องดื่มและขนมหวานในร้านจะรสชาติถูกปากแล้ว เธอยังชอบติ่มซำซึ่งเป็นเมนูแนะนำของร้านด้วย เมื่อเช้าเธอรีบมากจนจัดการอาหารเช้าไปได้ไม่กี่คำ พอต้องใช้สมองในการเรียนร่วมสองชั่วโมงจึงรู้สึกว่าพลังงานใกล้หมดหลอด ต้องรีบเติมอย่างเร่งด่วน

โชคดีที่เธอกับเฟื่องฟ้ามีรสนิยมและความชอบหลายอย่างคล้ายคลึงกัน เวลาเลือกสถานที่แฮงเอาต์หรือเรื่องอื่นๆ พวกเธอจึงไม่เคยทะเลาะกันเพราะความเห็นไม่ลงตัวเลยสักครั้ง ส่วนมากจะเป็นแบบ ‘เอาสิ อันนี้เก๋ เอาเลย อันนี้ดี’ เสียมากกว่า เรียกว่านอกจากป้ายยากันเก่งแล้ว พวกเธอยังเชียร์อัปกันเก่งอีกด้วย

“ฉันชอบร้านนี้เพราะมีที่จอดรถเยอะนี่แหละ”

เฟื่องฟ้าออกความเห็นระหว่างพารถคันเล็กของตัวเองเข้าจอดยังลานกว้าง แม้จะมีแสงแดดแผดเผาอยู่บ้าง แต่ไม่ถือว่าเป็นปัญหาถ้าเทียบกับร้านอื่นๆ ที่ไม่มีสถานที่ให้รถจอด

“ไปกันเถอะ”

“อืม”

รินลดาตอบรับเพื่อนพร้อมกับปลดเข็มขัดนิรภัย เธอวางกระเป๋าสะพายใบใหญ่ไว้ในรถแล้วถือออกไปแค่กระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์มือถือ

เป็นไปตามคาดที่คาเฟ่แห่งนี้มีผู้แวะเวียนมาใช้บริการอย่างคับคั่ง ทว่าการจัดสรรพื้นที่ของร้านกลับยังทำได้ดีจนไม่รู้สึกว่าคับแคบหรือน่าอึดอัด รินลดาเลือกโต๊ะตัวเล็กมุมสุดสำหรับลูกค้าสองที่ ก่อนจะสั่งอาหารและเครื่องดื่มให้ทั้งตัวเองและเฟื่องฟ้าที่ขอไปเข้าห้องน้ำก่อน แน่นอนว่าเมนูที่เธอหมายตาไว้ในใจถูกสั่งมาหลายอย่าง นอกจากนั้นก็เป็นเครื่องดื่มและเมนูที่เฟื่องฟ้าฝากสั่งไว้ก่อนหน้า

“รับออร์เดอร์เรียบร้อยแล้ว คุณลูกค้ารอสักครู่นะคะ”

“ขอบคุณค่ะ”

รินลดาเอ่ยขอบคุณพนักงานเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เฟื่องฟ้าเดินกลับมาถึงโต๊ะพอดี 

“สั่งไปแล้วเหรอ”

“อื้ม แกจะเอาอะไรเพิ่มไหมล่ะ”

คนถูกถามส่ายหน้า เฟื่องฟ้าไม่อยากบอกเลยว่าเธอรู้สึกอิ่มเอมใจจนแทบไม่นึกอยากอาหาร เหมือนหัวใจฟูฟ่องตั้งแต่ตอนคุยกับรินลดาเมื่อเช้าแล้ว แต่เธอจะไม่บอกออกไปหรอก เพราะกลัวจะถูกอีกฝ่ายล้อเลียน ทว่าคนกลัวถูกล้อกลับต้องรีบหลบตาเพื่อนที่มองอย่างจับผิด

“อะไร ทำไมต้องมองหน้าฉันแล้วยิ้มแปลกๆ ด้วย”

“เปล๊า!”

เฟื่องฟ้ารู้สึกว่าตัวเองคิดผิดที่ว่าจะปกปิดเอาไว้ได้ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอไม่เคยเก็บซ่อนอะไรจากรินลดาได้มิดเลย เหมือนจะหลุดพิรุธให้อีกฝ่ายจับโป๊ะได้ตลอด

“อารมณ์ดีก็ยิ้มเฉยๆ ไง”

‘อารมณ์ดีเฉยๆ แต่เสียงสูงมาเชียว’ เฟื่องฟ้าคิด แต่ไม่ได้โต้ตอบเพราะรู้ว่าตัวเองยังเป็นฝ่ายเสียเปรียบ กระทั่งนึกขึ้นได้ว่ารินลดาก็มีจุดอ่อนเป็นอดีตคุณอาข้างบ้านคนนั้น เธอถึงได้ยิ้มกรุ้มกริ่มแล้วเริ่มเอาคืน

“ใช่สิ ใครมันจะไปอารมณ์ดีเพราะคนรักจะพาไปเลี้ยงโอมากาเสะร้านดังอย่างคุณรินลดากันล่ะ”

“ฉันชวนแกแล้วเถอะ”

เรื่องนี้รินลดาขอคัดค้าน เธอจำได้ว่าหลังธีรดนย์อนุญาต เธอก็รีบโทรศัพท์ชวนเพื่อนรักทันที มีแต่เฟื่องฟ้านั่นแหละที่เป็นฝ่ายปฏิเสธเธอ

“จ้าๆ ใครจะอยากไปนั่งมองคนรักอ้อนกันไปอ้อนกันมาแบบนั้น ต่อให้อาหารอร่อยเลิศแค่ไหน ฉันก็ไม่สู้หรอกจ้า”

ส่วนคนที่ถูกกล่าวหาก็ยอมรับอย่างเต็มใจ เฟื่องฟ้าบิดริมฝีปากพร้อมทั้งกลอกตาเล็กน้อยพอเป็นพิธี แสดงอาการต่อต้านพอให้รินลดามองออกว่า เธออิจฉาตาร้อนคนมีความรักมากแค่ไหน 

“ว่าแต่แกเถอะ ไม่ใช่ขยันหวาน ขยันทำการบ้าน เผลอๆ มีหลานตัวน้อยมาเรียกฉันพี่เฟื่องๆ หรอกนะ”

“บ้าสิ! หลานเหลินอะไร...อาธีป้องกันทุกครั้งเถอะ” ท้ายประโยครินลดาคิดว่าตัวเองพึมพำในใจ แต่กลายเป็นว่านั่นไม่ใช่เสียงที่อยู่แค่ในความคิด

คนหลุดโป๊ะอยากตะครุบปากตัวเองไว้ แต่เธอก็รู้ว่าไม่ทันแล้ว แค่เห็นสายตากรุ้มกริ่มที่เฟื่องฟ้ามองมา รินลดาก็แทบอยากมุดโต๊ะเพราะความเขิน แก้มทั้งสองข้างร้อนวูบวาบ รู้สึกเหมือนอุณหภูมิรอบตัวก็สูงขึ้นทั้งที่เครื่องปรับอากาศภายในร้านถูกปรับจนเย็นเฉียบ

“รู้แหละว่าขยันทำการบ้าน แต่มันจำเป็นต้องขิงเพื่อนขนาดนี้เลยเหรอ”

“ยายเฟื่อง!”

อดไม่ได้ที่จะตีแขนเพื่อนไปหนึ่งทีก่อนรีบเก็บสีหน้า รินลดาพยายามเก็บมุมปากที่กำลังยกยิ้มให้ตึงขึงขัง แต่เธอก็รู้สึกว่ายากเหลือเกิน 

แล้วสมมุติถ้าเธอมีลูกจริง อะไรคือการที่เฟื่องฟ้าจะมาให้ลูกน้อยของเธอเรียกตัวเองว่าพี่ ไม่ใช่แล้ว อย่างเฟื่องฟ้าน่ะต้องเป็นแม่เฟื่อง หรือไม่ก็ป้าเฟื่องสิถึงจะถูก!

“แต่ว่านะยายริน ฉันว่าแกปล่อยท้องเลยเถอะ ฉันว่าฉันพร้อมเลี้ยงหลานแล้ว”

“ยายเพื่อนบ้า แกจะมาอยากเลี้ยงหลานอะไรตอนนี้เล่า”

ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในสถานที่ส่วนรวม เฟื่องฟ้าคงเอามือทุบโต๊ะตึงๆ เพราะความอิจฉาที่แทบล้นทะลัก เธอแค่พูดเล่นขำๆ แต่อีกฝ่ายน่ะสิหน้าแดงจนถึงใบหูแล้ว 

แต่จะว่าไป เธอคิดว่าลูกๆ ของรินลดากับอดีตคุณอาข้างบ้านคนนั้นต้องน่ารักน่าเอ็นดูมากแน่ๆ เพราะพ่อแม่ทั้งสวยและหล่อ ส่วนคนถูกพาดพิงอย่างรินลดากลับทั้งจะเขิน ทั้งจะขำ อยู่ๆ เรื่องราววกมาตรงจุดนี้ได้อย่างไรก็ไม่อาจทราบได้ ทว่ายังไม่ทันแก้ต่างให้ตัวเอง เฟื่องฟ้าก็ฮืดฮาดไปก่อนแล้ว 

กว่าเหตุการณ์จะกลับมาสงบก็ตอนที่พนักงานนำอาหารและเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ เรื่องวุ่นๆ ในจินตนาการของสองสาวจึงถูกเบรกไปโดยปริยาย 

“แล้วเรื่องฝึกงานนี่เอาไง ตกลงแกยื่นบริษัทไหนไปนะ”

บทสนทนาของนักศึกษาปีสี่ถูกเปลี่ยนมาเป็นหัวข้อสำคัญที่จริงจังแทนเรื่องเดิมที่ค่อนข้างเด็กน้อย เดิมทีรินลดากับเฟื่องฟ้าลงความเห็นว่าอยากลองแยกกันฝึกงานดูเพื่อความเป็นผู้ใหญ่ ความจริงเฟื่องฟ้าได้บริษัทที่ยื่นฝึกงานและทางนั้นตอบรับมาเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่รินลดาที่ยังลังเลระหว่างสองบริษัทซึ่งเธอยังตกลงกับตัวเองไม่ได้ว่าจะยื่นฝึกกับที่ไหน

“ขอเวลาตัดสินใจอีกนิด”

รินลดาลังเลระหว่างบริษัทต่างชาติที่มีความน่าสนใจทั้งระบบการทำงานและสังคมใหม่ที่เธอยังไม่เคยลอง กับอีกหนึ่งบริษัทซึ่งเป็นของคนไทยและค่อนข้างมีชื่อเสียง และเพื่อความมั่นใจเธอจึงขอเวลาทบทวนอีกนิด

“อย่าให้ช้านักล่ะ เดี๋ยวเขาปิดรับสมัครก่อนแล้วจะยุ่ง”

“รู้น่า ขอคิดอีกวันสองวัน”

คนขอเวลาคิดเอ่ยพลางจิ้มขนมจีบเข้าปากแล้วเคี้ยวหงุบหงับ เฟื่องฟ้าจึงส่ายหน้ายิ้มขำเพราะความไม่เป็นเดือดเป็นร้อนของเพื่อน 

“อ๊ะ!”

“อะไร!”

รินลดาตกใจจนสะดุ้งที่อยู่ๆ เฟื่องฟ้าก็อุทานเสียงดัง ดีที่มุมที่พวกเธอนั่งอยู่ไม่มีลูกค้าคนอื่นจึงไม่มีใครมองด้วยสายตาประหลาดๆ 

“เฟื่อง เป็นอะไร”

รินลดายังไม่ได้คำตอบจากเพื่อนที่นั่งทำตาโตอยู่ตรงหน้า ปากเล็กๆ ของเฟื่องฟ้าอ้าๆ หุบๆ ตาก็เอาแต่จ้องอยู่กับหน้าจอโทรศัพท์ พอเห็นแบบนั้นเธอจึงยื่นมือไปคว้าเครื่องมือสื่อสารเจ้าปัญหามาดูบ้าง กระทั่งเห็นอะไรบางอย่างที่ปรากฏตรงหน้าถึงได้เข้าใจว่าทำไมเฟื่องฟ้าถึงต้องทำหน้าตื่นตกใจ

“อีตาคุณปัฐเล่นแกแล้วแน่ๆ”

รินลดาว่าพลางยิ้มกรุ้มกริ่มก่อนจะยื่นโทรศัพท์คืนให้เพื่อน บนจอหน้าป๊อปอัปที่เธอเห็นเมื่อครู่คือ ‘สติกเกอร์’ หนึ่งตัวที่ผู้ใช้นามว่าปฐพีส่งมา ตัวการ์ตูนดุ๊กดิ๊กน่ารักนั้นเด่นหราและคิดว่าน่าจะเป็นตัวเดียวจากแชตฝั่งซ้าย แต่ที่รินลดานึกขำจนหลุดหัวเราะ เห็นจะเป็นท่าทางของเพื่อนสนิทตรงหน้ามากกว่า

“ไม่ตอบข้อความเหรอ”

รินลดาถามย้ำเมื่อเห็นเพื่อนรักคว่ำหน้าจอโทรศัพท์ลงโดยไม่โต้ตอบอะไร นับว่าเป็นภาพที่แปลกตายิ่งกว่าสติกเกอร์ที่เธอเห็นเมื่อครู่นี้อีก

“ไม่ละ ฉันว่าคราวนี้ฉันควรเล่นตัว”

คนกำลังเล่นตัวขยับไปมาบนเก้าอี้ กระแอมกระไอกลบเกลื่อนทั้งที่สองแก้มพาดริ้วสีชมพูจางๆ เพราะความเขิน รินลดามองภาพนั้นแล้วนึกเอ็นดูเพื่อนสนิทอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน บอกตามตรงว่าเธอเองก็ดีใจเช่นกันที่เรื่องราวของเฟื่องฟ้าจะไปได้สวยอย่างที่เจ้าตัวคาดหวังไว้

ตึ๊ง!

“เขาส่งมาอีกแล้วริน! คราวนี้พิมพ์ชื่อฉันมาเลยเนี่ย!”

มาดของคนกำลังเล่นตัวถูกสั่นคลอนจนรินลดากลั้นขำไม่อยู่ เธอหัวเราะจนเหนื่อย สุดท้ายจึงยอมยื่นมือออกไปรับโทรศัพท์ที่เพื่อนยื่นมาจ่อตรงหน้า

‘เฟื่องฟ้า’

คำว่าเฟื่องฟ้าถูกส่งต่อจากสติกเกอร์ตัวนั้น แน่นอนว่าเจ้าของชื่อตื่นเต้นดีใจจนแทบเหลวลงไปกับโต๊ะ เรื่องนี้ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีที่สุดสำหรับนักพยากรณ์กิตติมศักดิ์อย่างรินลดาเลยก็ว่าได้ เพราะถ้าใครได้มาเห็นข้อความยาวเหยียดที่เพื่อนเธอส่งหาเขาเป็นปีๆ แต่ไม่มีอะไรตอบกลับ อันนี้จึงถือว่าพิเศษสุดแล้ว

“เอาไงทีนี้ ยังจะเล่นตัวอยู่ไหม”

เธอยื่นโทรศัพท์คืนเพื่อน ระหว่างนั้นก็ลอบมองสำรวจว่าอีกฝ่ายจะทำเช่นไรต่อด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งขบขัน 

“อะๆ ตอบนิดนึงก็ได้”

สุดท้ายรินลดาก็ยิ้มกว้างพลางกลอกตาใส่คนที่เพิ่งบอกว่าจะเล่นตัวไปหนึ่งทีเมื่อได้ฟังคำตอบ เฟื่องฟ้าหันมากรี๊ดกับเธอเบาๆ โดยไม่เก็บอาการอะไรอีกต่อไปแล้ว เจ้าตัวรัวนิ้วพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับโทรศัพท์อยู่เป็นนาน รินลดาเห็นแบบนั้นก็ได้แต่หวังว่าครั้งนี้จะเป็นก้าวแรกที่ไปได้สวยของเพื่อน

“แล้วสรุปเย็นนี้อาธีจะมารับแกกี่โมงนะ”

พอจบเรื่องของตัวเอง เฟื่องฟ้าจึงเงยหน้าขึ้นมาถามเพื่อนเพื่อเปลี่ยนหัวข้อสนทนาบ้าง อย่างที่เธอแซวไปตอนแรกว่ารินลดามีนัดกับคนรักที่ร้านอาหารญี่ปุ่นสุดพรีเมียมที่เคยชวนเธอเมื่อคราวก่อน ร้านที่รินลดามาหว่านล้อมให้เธอฟังเช้าเย็นว่ารีวิวดีอย่างนั้นอย่างนี้ เรียกว่ากาปฏิทินรอตั้งแต่วันแรกกระทั่งวันนี้มาถึงเลยทีเดียว 

“น่าจะประมาณสี่โมงมั้ง ฉันจองร้านไว้หกโมงครึ่ง เผื่อเวลาเดินทางก็น่าจะพอดี”

พวกเธอเรียนเสร็จตอนสี่โมงเย็น คิดว่าคุณอาหนุ่มคงกะเวลามารับราวๆ นั้น หรือไม่เธอก็คงโทรศัพท์ไปถามอีกทีเพื่อความแน่ใจ

“ว่าแล้วก็โทร. ถามเลยดีกว่า” รินลดาตัดสินใจในนาทีนั้น ทว่ายังไม่ทันได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหมายเลขที่คุ้นเคย เสียงสั่นครืดของเครื่องมือสื่อสารตรงหน้าก็ดังขึ้นเสียก่อน 

“พูดถึงก็โทร. มาพอดี อายุยืนชะมัด”

เฟื่องฟ้าแซวยิ้มๆ ระหว่างมองเพื่อนสนิทรีบกุลีกุจอกดรับสายคนรักด้วยสีหน้าแช่มชื่น เธอส่ายหน้าไปมาก่อนจะละความสนใจกลับมายังอาหารต่อเพราะไม่อยากขัดความหวาน ถึงอย่างนั้นก็ยังได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของเพื่อนที่คุยกับคนปลายสายพลางเขี่ยหลอดในมือไปมา

“ค่ะ รินไม่เป็นไร”

ทว่าคุยไปได้ไม่กี่ประโยค เฟื่องฟ้ากลับสังเกตเห็นว่าใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มค่อยๆ จืดเจื่อนลง คนมองอย่างเธอพยายามคิดในแง่ดีว่าคุณธีรดนย์คนนั้นอาจแค่มารับเพื่อนเธอช้า หรือถ้าแย่หน่อยก็คงให้รินลดาไปเจอกันที่ร้านเพราะเหตุสุดวิสัย แต่หลังรินลดาวางสาย เธอกลับได้ยินน้ำเสียงที่พยายามให้สดใสของอีกฝ่ายดังขึ้นแทบจะทันที

“เฟื่อง แกอยากไปกินโอมากาเสะไหม”

“หือ?”

“เย็นนี้ไปกัน ไปกันสองคนนี่แหละ”

“ฮะ! เดี๋ยวๆ หมายความว่ายังไง” เฟื่องฟ้างุนงงเล็กน้อย ทว่าพอได้ฟังคำเฉลยของเพื่อนแล้วเธอก็แทบวางสีหน้าไม่ถูก 

“อาธีไม่ว่างแล้ว”

“อ่า”

“ไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยนะ”

น้ำเสียงหงอยเหงานั้นทำเอาคนตั้งใจปฏิเสธในตอนแรกกลืนคำพูดลงคอแทบไม่ทัน เฟื่องฟ้าจึงต้องพยักหน้างงๆ ราวกับคนโดนสะกดจิต เธออดกังวลไม่ได้ว่ารินลดาจะผิดหวังเพราะเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะเพื่อนเธอตั้งตารอวันนี้มานานนับเดือน เหลืออีกแค่ไม่กี่ชั่วโมงร้านอาหารที่เจ้าตัวหมายมั่นว่าจะได้ไปลิ้มลองกับคนรัก ทว่ากลับถูกเขายกเลิกกะทันหัน

เฟื่องฟ้าไม่รู้ต้นสายปลายเหตุว่าทำไมคุณธีรดนย์คนนั้นถึงเทนัดรินลดาเอาป่านนี้ ซึ่งเธอคงไม่คิดหาคำตอบ เพราะหน้าที่ของเธอตอนนี้คือทำอย่างไรก็ได้ให้รินลดาไม่คิดมาก

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น