7

ในวันหวานๆ ของสองเรา

7

ในวันหวานๆ ของสองเรา

 

โดยปกติแล้วธีรดนย์ไม่ใช่คนที่ชอบหอบงานมาทำในร้านกาแฟ เขาชอบทำงานอยู่บ้านมากกว่า สถานที่เงียบสงบทำให้เขามีสมาธิ จดจ่ออยู่กับตัวเลขและการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ อย่างแม่นยำ แต่ในวันนี้สถานที่ทำงานของเขาต่างจากไปเดิมเมื่อเขานั่งจดจ่อกับงานในร้านกาแฟเล็กๆ ใกล้มหาวิทยาลัยแห่ง

ชายหนุ่มเหลือบมองตัวเลขเวลาที่ปรากฏบนหน้าจอแลปทอป เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงเวลานัด เขาจึงปิดคอมพิวเตอร์พกพาเครื่องเล็กลงแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแทน 

คนมองขยับยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นข้อความที่ปรากฏบนนั้น เป็นข้อความจากรินลดาที่เจ้าตัวส่งมาบอกว่าเลิกคลาสแล้วและกำลังเดินทางมาที่นี่ นี่เองคือเหตุผลว่าทำไมคนติดบ้านอย่างเขาเลือกใช้ร้านกาแฟเป็นสถานที่ทำงาน 

ใช่ เขามีนัดกับรินลดา 

เพราะงั้นในฐานะ ‘คนรัก’ เขาจึงอาสามารับเธอที่มหาวิทยาลัยตามประสาคนพร้อมทำหน้าที่อย่างดีเยี่ยม ธีรดนย์ยิ้มอีกครั้งกับสถานะที่เพิ่งแต่งตั้งให้ตัวเองเสร็จสรรพก่อนจะละความสนใจจากเรื่องราวในหัวแล้วพิมพ์ตอบข้อความกลับไป 

‘ให้อาขับรถไปรับที่หน้าตึกไหม’

‘ไม่เป็นไรค่ะ รินกับเฟื่องใกล้ถึงแล้ว อาธีรอแป๊บนึงน้า’

เขายิ้มให้สติกเกอร์ตุ๊กตาดุ๊กดิ๊กที่ถูกส่งกลับมาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันมาจัดการข้าวของที่วางอยู่บนโต๊ะต่อ แก้วกาแฟที่น้ำแข็งเริ่มละลาย บอกได้เป็นอย่างดีว่าเขานั่งอยู่ในร้านแห่งนี้มานานพอสมควรแล้ว

ภายในร้านตอนนี้ยังมีลูกค้าเดินเข้าออกเป็นระยะ มีบ้างที่เลือกใช้สถานที่แห่งนี้นั่งทำงานเหมือนกับเขา แต่ส่วนใหญ่ที่เห็นมักเป็นกลุ่มนักศึกษาเสียมากกว่า 

“อาจารย์ก็สั่งงานเหมือนพวกเราว่างเนอะ เหมือนทั้งมหาลัยมีแค่แกที่สอนอยู่คนเดียว”

เสียงบ่นถึงกองงานจากเด็กโต๊ะข้างๆ ทำเอาธีรดนย์หลุดยิ้ม เผลอนึกไปถึงเด็กน้อยอย่างรินลดาที่มักมาบ่นให้ฟังบ่อยๆ เช่นกัน

ความจริงเขาไม่อยากพูดนักหรอกว่าเขาหลงลืมความรู้สึกพวกนี้ไปนานแล้ว ถ้าให้นึกย้อนถึงตอนปั่นโพรเจกต์แบบหัวหมุนก็เรียกว่าผ่านมานานจนจำแทบไม่ได้ ความรู้สึกวุ่นวายพวกนั้นหวนนึกเท่าไรก็ยิ่งเลือนราง และบางทีเขาก็คิดว่าตัวเองควรหยุดคิดเรื่องพวกนี้ก่อนจะรู้สึกแก่เกินไป

ว่าแล้วคนไม่อยากแก่ก็ละจากความคิดในอดีตแล้วหันมาจัดการกับข้าวบนโต๊ะอีกครั้ง พอทุกอย่างเสร็จสิ้นก็พอดีกับที่ประตูร้านถูกเปิดเข้ามา ใบหน้าสวยหวานของลูกค้าคนใหม่ทำให้ธีรดนย์ยิ้มอัตโนมัติ และรอยยิ้มนั้นก็ค่อยๆ กว้างขึ้นเมื่อทั้งรินลดาและเฟื่องฟ้ารีบเดินตรงเข้ามาหาเขา

“อาธีรอนานไหมคะ”

รินลดาเอ่ยถามทันทีที่เดินมาหยุดตรงหน้าคุณอาหนุ่ม หญิงสาวหอบนิดๆ เพราะไม่ทันได้หยุดพัก ทันทีที่เลิกคลาสเธอถึงรีบกระเตงเพื่อนรักมาที่นี่ด้วยความเร็วแสง

“ไม่นานหรอก อาเพิ่งทำงานเสร็จเหมือนกัน” ธีรดนย์ตอบตามความจริง ถ้านับว่านั่งอยู่ในร้านเกือบสองชั่วโมงแล้วก็จริง แต่ที่เขานั่งรอรินลดาแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น

“โล่งอกไปที รินนึกว่าจะสายซะแล้ว”

คนถามทำสีหน้าโล่งใจ ธีรดนย์จึงยิ้มให้แล้วหันไปพยักหน้าทักทายหญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ 

“ความจริงน่าจะให้อาไปรับที่คณะ เราทั้งคู่จะได้ไม่ต้องฝ่าแดดมาแบบนี้”

เขาไม่ติดปัญหา หากรินลดาเลิกคลาสแล้วโทรศัพท์ให้เข้าไปรับ แต่พอเขาพิมพ์ถามในข้อความก่อนหน้าแล้วเจ้าตัวยืนยันว่าจะเดินทางมาด้วยตัวเอง เขาก็ไม่ขัดอะไรเช่นกัน ทว่าพอเห็นเม็ดเหงื่อผุดซึมตามไรผมของคนทั้งคู่ คนมองก็เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมานิดๆ 

“พอดีเฟื่องนัดเฮียทัพไว้น่ะค่ะ แต่เฮียยังไม่มา เฟื่องก็เลยถือโอกาสมานั่งรอตรงนี้ด้วยเลย นั่งตากแอร์เย็นๆ น่าจะดีกว่านั่งรอร้อนๆ ใต้ตึก” เฟื่องฟ้ารีบอธิบายถึงสาเหตุที่รินลดาไม่ให้อีกฝ่ายไปรับที่คณะ

“แบบนี้นี่เอง”

นอกจากพยักหน้าเข้าใจแล้ว ธีรดนย์ยังต้องคอยส่งกระดาษเช็ดหน้าให้คนทั้งคู่คอยซับหน้าซับเหงื่อ พอดีกับเครื่องดื่มเย็นๆ ที่เขาสั่งไว้ล่วงหน้ามาเสิร์ฟ สองสาวที่กำลังหอบถึงได้รีบคว้าไปดื่มคนละแก้วเพื่อดับกระหาย

“อาสั่งเบเกอรีไว้ด้วยนะ ให้เขาจัดใส่กล่องเตรียมไว้แล้ว เดี๋ยวตอนออกจากร้านเราค่อยแวะไปเอา มีของเฟื่องด้วย”

“อุ๊ย ขอบคุณค่ะ ลาภปากเฟื่องฟ้าจริงๆ”

ธีรดนย์ยิ้มน้อยๆ ไม่ถือสาในความขี้เล่นและช่างพูดของอีกฝ่าย ก่อนจะหันกลับไปสนใจหญิงสาวอีกคนที่ก้มหน้าก้มตาดูดน้ำในแก้ว 

แน่นอนว่าสายตาเอ็นดู้เอ็นดูของคุณอาหนุ่มที่มองเพื่อนรักนั้นทำเอาหัวใจเฟื่องฟ้าคันยุบยิบ เธอเขินแทนคนที่นั่งดูดน้ำไม่รู้เรื่องรู้ราวจนอยากสะกิดว่า ให้มองอย่างอื่นบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ดูดน้ำแบบนั้น เดี๋ยวจะสำลักเสียก่อน

เฟื่องฟ้าส่ายหน้าพลางกลั้นยิ้ม เธอมองเพื่อนแล้วทั้งขำทั้งสงสารอยู่ในที เพราะรินลดานั้นพอได้ยินอาจารย์สั่งเลิกคลาสก็รีบลากเธอมาที่นี่ เรียกว่าเจ้าตัวกระสับกระส่ายตั้งแต่เรียนยังไม่จบคลาสด้วยซ้ำ ตื่นเต้นเพราะว่าที่คู่หมั้นหมาดๆ มารอรับที่มหาวิทยาลัย 

ก็ไม่รู้ว่าวันนี้รินลดาได้ความรู้มากน้อยแค่ไหน หรืออาจจะไม่ได้อะไรเลย เพราะมัวแต่ใจลอยมาหาคนที่นั่งทำหน้าหล่ออยู่ตรงหน้าตอนนี้

หลังจากนั่งดูดน้ำอยู่นาน ในที่สุดคนถูกแอบมองอยู่ก็รู้สึกตัวเสียที รินลดาเขินทีไรก็เก็บอาการไม่เคยอยู่ ส่วนเฟื่องฟ้าที่นั่งมองคนทั้งคู่สลับไปมาแทบอยากหายตัวไปเลยเพราะความอิจฉาตาร้อน

ใจจริงเธออยากเป็นคนชงคู่รักข้าวใหม่ปลามันให้อยู่หรอก แต่เธอไม่รู้จะชงอะไรเมื่อทั้งสองดูจะรักใคร่กลมเกลียวกันเสียยิ่งกว่าเมื่อก่อน ยิ่งต่างฝ่ายต่างเปิดเผยความรู้สึกต่อกันแล้วก็เรียกว่าไม่ต้องให้ถึงมือเธอ

“ค่อยๆ ริน เดี๋ยวสำลัก”

ซึ่งเหมือนจะยังหวานกันไม่พอ เธอถึงได้เห็นฉากที่คุณอาคนหล่อยื่นมือมาช่วยเช็ดน้ำตรงมุมปากเพื่อนเธอให้ 

เอาเลยค่ะ

เอาให้สาแก่ใจพวกคุณเลย

ไม่ต้องห่วงว่าคนโสดคนนี้จะมอดไหม้เพราะความริษยาหรือเปล่า!

คนที่อยู่ๆ ก็กลายเป็นก้างอย่างเฟื่องฟ้าคิดขำอยู่คนเดียว นี่ถ้าไม่ติดว่าเธอกำลังรอพี่ชายบังเกิดเกล้ามารับ คงขอออกจากตรงนี้ก่อนเพราะทนความหวานชื่นไม่ไหว 

ส่วนรินลดานั้นนอกจากจะถูกพลังทำลายล้างจากคนตัวสูงตรงหน้าแล้ว เธอยังต้องพยายามเมินข้อศอกของเพื่อนรักที่สะกิดยิกๆ อยู่ข้างๆ นี่ด้วย 

เธอจะไม่อะไรหรอกหากว่าเฟื่องฟ้าไม่ยิ้มกรุ้มกริ่มล้อเลียน ตอนนี้หน้าเธอร้อนจนแยกไม่ออกแล้วว่าเพราะอากาศข้างนอก หรือเพราะเพื่อนตัวดีที่นั่งสะกิดอยู่ข้างๆ กันแน่ แต่ถือว่าโชคยังเข้าข้างเธออยู่บ้าง เพราะเขินอายอยู่แค่ไม่กี่นาที เฮียจอมทัพที่เพื่อนรักรออยู่ก็เปิดประตูเข้ามาในร้าน 

สองหนุ่มได้ทักทายกันแค่เล็กน้อย เพราะเฟื่องฟ้าและพี่ชายต้องรีบเดินทางเยี่ยมอากงที่โรงพยาบาล 

“งั้นเราก็ไปกันเถอะค่ะ”

หลังจากส่งเฟื่องฟ้าให้พี่ชายแล้ว รินลดาก็กลับมาสนใจชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ อีกครั้ง เธอคว้าหมับเข้าที่ท่อนแขนของเขา เพิ่งสังเกตว่าคุณอาหนุ่มกับเชิ้ตสีดำนั้นโดดเด่นสะดุดตาแค่ไหน คุณธีรดนย์คนนี้หล่อเหลาไม่ต่างจากภาพวาดในงานแสดงนิทรรศการศิลปะเลยสักนิด 

“ทำไมมองอาแบบนี้” 

คนถูกจับได้กระแอมกระไอเล็กน้อย แน่นอนว่าเธอไม่ยอมรับหรอกว่าแอบมองเขาอยู่ 

“รินเปล่ามองสักหน่อย”

แต่สุดท้ายเธอก็ได้ยินเสียงหัวเราะดัง ‘หึๆ’ เป็นเชิงว่าไม่เชื่อกัน 

รินลดาย่นจมูกใส่อีกฝ่ายอย่างนึกหมั่นไส้ คนอะไรขนาดทำหน้านิ่วคิ้วขมวดยังดูหล่อ โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมกับผู้คนเอาเสียเลย

“งั้นก็รีบไปขึ้นรถได้แล้ว เมื่อกี้ใครบ่นกับอาว่าหิว”

“รินเอง หิวจนจะกินอาธีเข้าไปได้ทั้งตัวแล้วเนี่ย”

ไม่ว่าเปล่า เจ้าตัวยังยื่นหน้าเข้ามายิ้มแป้นใกล้ๆ ธีรดนย์จึงใช้โอกาสนั้นดีดหน้าผากมนของเธอไปหนึ่งทีเพราะมันเขี้ยว และยิ่งมันเขี้ยวหนักกว่าเดิมเมื่อมือเขาแตะโดนนิดเดียว แต่กลับได้ยินเสียงโอดโอยเกินจริง

คนอายุมากกว่าส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะคว้าเอากระเป๋าของเจ้าตัวมาถือให้ แล้วค่อยๆ ใช้ท่อนแขนดุนหลังคนทำหน้าพิลึกพิลั่นให้รีบเดินไปขึ้นรถเสียที เพราะขืนอยู่แบบนี้ต่อเขาคิดว่าน่าจะมีเด็กดื้อโมโหหิวเข้าจริงๆ 

ส่วนรินลดาที่ถูกโอบประคองก็ยิ้มกว้างเต็มใบหน้า คิดว่าถึงวันนี้จะเรียนไม่รู้เรื่อง แต่ถือว่าคุ้มกับโมเมนต์ที่ได้รับ เรื่องบทเรียนไว้เดี๋ยวเธอค่อยไปอ่านทบทวนทีหลัง และที่บอกว่าหิวจนแทบกินเขาเข้าไปได้ทั้งตัวนั้นเธอไม่ได้พูดเกินจริงแต่อย่างใด

รินลดาก้าวขึ้นมานั่งข้างคนขับ ปกติแล้วก็ใช่ว่าเธอกับเขาจะไม่เคยไปไหนมาไหนด้วยกัน เพียงแต่วันนี้พิเศษกว่าครั้งก่อนๆ เพราะเขาอาสามารับเธอใน ‘สถานะ’ ที่เปลี่ยนไปครั้งแรก ถ้าจะบอกว่าวันนี้เป็นวันที่เธออารมณ์ดีมากอีกวันก็คงไม่ผิดนัก

“รินเปิดเพลงนะคะ”

“เอาสิ ตามใจรินเลย”

เพราะแบบนี้ไง

เพราะเขาขยันตามใจกันเช่นนี้ จะไม่ให้เธออารมณ์ดีได้อย่างไร

รินลดายิ้มกว้างฮัมเพลงตามจังหวะอย่างอารมณ์ดี คนข้างกายลอบมองเป็นระยะ ธีรดนย์ส่ายหน้ายิ้มๆ กับคนที่คงลืมไปแล้วว่าตัวเองหิว ถึงได้ใช้พลังงานเปลืองแบบไม่ถนอมไว้เลย

ฮัมเพลงได้ไม่นาน สารถีคนหล่อก็ขับพามาถึงร้านอาหารที่รินลดาปักหมุดไว้ ซึ่งร้านอาหารที่เธอเลือกมาวันนี้เป็นร้านอาหารเวียดนามที่มีทั้งอาหารแบบดั้งเดิมและอาหารที่ปรับให้ถูกปากของคนในประเทศแล้ว 

เมื่อเดินตามพนักงานเข้ามาในร้าน รินลดาก็เลือกโต๊ะตัวเล็กมุมหนึ่งที่มีความเป็นส่วนตัว แต่ไม่ใช่จุดอับสายตา เธอขอบคุณพนักงานอีกครั้ง ก่อนจะหยิบเมนูอาหารขึ้นมาแล้วกวาดตามองอย่างถ้วนทั่ว

เพราะต้องรักษาเวลาเนื่องจากมีที่ที่ต้องไปอีก เธอกับธีรดนย์จึงเลือกสั่งจานหลักเป็นกวยจั๊บญวนคนละชาม นอกนั้นก็มีของกินเล่นอย่างปากหม้อญวน หมูย่างใบชะพลู และยำญวน ซึ่งเป็นเมนูแนะนำของทางร้าน ตบท้ายด้วยแหนมเนืองชุดใหญ่ที่สั่งกลับบ้านไว้รับประทานเป็นมื้อเย็นของวันนี้

เนื่องจากคนในร้านยังไม่มากนัก ใช้เวลาไม่นานอาหารหน้าตาน่ารับประทานทั้งหมดก็ทยอยมาเสิร์ฟ จากที่คิดว่าสั่งน้อยๆ แต่พออาหารมาครบก็วางเกือบเต็มโต๊ะเล็กๆ 

“ดูทำหน้าเข้า” ธีรดนย์ยิ้มขำกับดวงตาเป็นประกายของคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม ที่ก็สลับไปมาระหว่างพอใจกับหงอย

“รินลืมไปเลยว่ากวยจั๊บมันต้องร้อนอะ”

คนลืมทำหน้างอเมื่อนึกได้ว่าของโปรดที่เลือกมานั้นไม่เหมาะที่จะกินในทันที เธอได้แต่นั่งมองกลุ่มควันจางๆ ที่ลอยขึ้นจากชามด้วยสายตาละห้อย

“ให้อาเป่าให้ไหมล่ะ”

“รินไม่ใช่เด็กสักหน่อย”

‘ก็ที่ทำอยู่นี่แหละเด็ก’ 

ธีรดนย์คิด แต่ไม่ได้เถียงออกไป เขากำลังขบขันกับสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งงอแงของคนโมโหหิวตรงหน้า ก่อนจะเลือกคลายหิวให้เด็กน้อยโดยตักของว่างให้เธอก่อน

“งั้นก็กินนี่ไปก่อน มาอาตักให้”

ว่าพร้อมกับตักปากหม้อญวนชิ้นพอดีคำใส่ในจานแบ่งของคนงอแง พอเจ้าตัวอารมณ์ดีแล้วดวงตาคู่สวยก็สดใสเป็นประกายอีกครั้งจนคนมองยิ้มเอ็นดู

“ขอบคุณค่ะ งั้นเดี๋ยวรินตักให้อาธีบ้างนะ”

ธีรดนย์ส่ายหน้าช้าๆ ด้วยความอ่อนใจ ใบหน้าเขาประดับด้วยรอยยิ้มอบอุ่น สรุปแล้วทั้งคู่ก็ผลัดกันตักอาหารให้กันไปมาจนครบทุกเมนู กว่าจะลงมือรับประทานได้ กวยจั๊บญวนชามใหญ่ที่เคยมีไอลอยกรุ่นก็อุณหภูมิลดเหลืออุ่นๆ พร้อมรับประทานพอดี

มื้อเที่ยงดำเนินไปอย่างราบรื่นอีกครั้งเพราะต่างฝ่ายต่างหิว เมื่ออาหารหน้าตาน่ารับประทานตรงหน้าถูกจัดการจนหมด ธีรดนย์ก็เรียกพนักงานมาคิดเงิน แล้วเดินทางออกจากร้านอาหารเพื่อไปทำธุระต่ออีกครั้ง โดยสถานที่ที่ต้องไปนั้น ความจริงแล้วคือร้านหนังสือที่รินลดาต้องไปซื้อเพิ่มนั่นเอง ดังนั้นเขาจึงขับรถพาเจ้าตัวมาที่ห้างสรรพสินค้าใกล้บ้านเพื่อความสะดวก

“อาธีจะเดินดูหนังสือในนี้ด้วยใช่ไหมคะ”

“อืม อาว่าจะซื้อสักเล่มเหมือนกัน”

รินลดาพยักหน้าเข้าใจ เธอถามเพื่อให้แน่ใจ เพราะธีรดนย์มักสั่งหนังสือจากเว็บไซต์ต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ หญิงสาวไม่อยากให้เขาต้องรอนาน พอได้ยินคำยืนยันจากเขาแล้วคนถามก็ยิ้มกว้าง และยิ่งยิ้มกว้างเข้าไปอีกเมื่อได้ยินคำพูดประโยคถัดมาของเขา

“ถ้ารินเลือกได้แล้วถือมาให้อานะ เดี๋ยวอาจ่ายเอง”

ถึงจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เธอเห็นและได้รับจนคุ้นชิน แต่พอได้ยินเขาพูดตรงๆ รินลดาก็อดแซวไม่ได้

“ชอบจังเลยค่ะ ผู้ชายสายเปย์เนี่ย” ว่าแล้วคนชอบก็ยักคิ้วหลิ่วตาให้ ทะลึ่งทะเล้นจนธีรดนย์อยากดึงแก้มกลมๆ ทั้งสองข้างให้ยืดคามือ

“อาก็เปย์ให้เรามาแต่ไหนแต่ไรแล้วไหม หืม”

ฝ่ามือใหญ่ของคุณอาหนุ่มขยี้เส้นผมสีน้ำตาลของคนตัวเล็กตรงหน้าอย่างมันเขี้ยว ส่วนคนที่ผมยุ่งเหยิงนั้นอยากโวยวายแทบตาย แต่ไม่กล้าส่งเสียงรบกวน จึงได้แต่ปัดมือเขาเบาๆ 

เมื่อเห็นว่าตัวเองได้รับชัยชนะแล้ว ธีรดนย์จึงหยุดแกล้ง คนอารมณ์ดีลูบเส้นผมนุ่มให้เป็นทรงก่อนจะพูดต่อ

“ไปเลือกหนังสือได้แล้วไป ถ้าช้าอาไม่รอนะ” 

“อาธีไม่กล้าทิ้งรินไว้ที่นี่หรอก รินรู้”

“รู้มาก”

คนรู้มากหัวเราะคิกคัก พอได้ยินคำตอบที่ต้องการแล้วเธอถึงได้เดินไปเลือกหนังสือด้วยความสบายอกสบายใจ ทิ้งให้คนมองตามได้แต่ส่ายหน้าคล้ายระอา ทว่าซ่อนยิ้มมุมปากเอาไว้ไม่มิดเลย

‘จะให้ทิ้งได้ยังไง ก็อยู่ด้วยแล้วมีความสุขขนาดนี้’

ธีรดนย์คิดขำๆ ก่อนจะเดินไปเลือกซื้อหนังสือที่น่าสนใจบ้าง ใช้เวลาในนั้นกันสักพักสุดท้ายทั้งเขาและรินลดาก็ได้หนังสือกันมาคนละเล่ม ของรินลดานั้นเกี่ยวกับวิชาเรียนเสริมที่เจ้าตัวตั้งใจมาซื้อตั้งแต่แรก ส่วนของเขาเป็นเพียงหนังสืออ่านเล่นธรรมดาๆ เล่มหนึ่ง

หลังจ่ายเงินค่าหนังสือทั้งหมดก็ถือว่าภารกิจของวันนี้เสร็จสิ้นและถึงเวลากลับบ้าน โชคดีที่การจราจรตอนนี้ไม่หนาแน่นเหมือนช่วงเช้า ใช้เวลาไม่นานนักธีรดนย์ก็ขับรถกลับมาถึงคอนโดมิเนียมซึ่งเป็นที่พักอาศัย

ชายหนุ่มหยิบถุงหนังสือ รวมถึงอาหารเวียดนามที่ตั้งใจให้เป็นมื้อค่ำของวันนี้มาถือ ส่วนมืออีกข้างก็คว้าเอามือของหญิงสาวข้างกายมากุมไว้ด้วยความคุ้นชิน ท่าทางเป็นธรรมชาตินั้นทำเอาคนถูกจับมือยิ้มกว้าง ถ้าไม่ติดว่าจะเขินอาย รินลดาก็อยากเดินร้องเพลงเข้าไปในตึกเพราะอารมณ์ดี 

“ข้างนอกร้อนมาก” รินลดาบ่นเบาๆ หลังเดินเข้ามาในห้อง เครื่องปรับอากาศในห้องนั่งเล่นถูกเปิดขึ้นเป็นลำดับแรก ไม่กี่นาทีห้องนั่งเล่นที่เคยร้อนอบอ้าวก็ฉ่ำเย็นและสดชื่น 

หญิงสาวที่วันนี้เป็นฝ่ายรับมาตลอดทำตัวเป็นเด็กดี โดยอาสาเอามื้อค่ำกึ่งสุขภาพไปเก็บในตู้เย็น ก่อนเด็กดีคนเดิมจะเดินกลับมาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาเบดเพื่อสัมผัสความเย็นจากเครื่องปรับอากาศอย่างสบายอารมณ์ ไม่นานนักคนที่เพิ่งแยกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองสบายๆ ก็ตามมานั่งด้วย คนที่รอจังหวะอยู่ก่อนแล้วอย่างรินลดาไม่รอช้า รีบเอียงศีรษะลงกับไหล่แข็งแรงของอีกฝ่ายทันที 

ธีรดนย์ยิ้มน้อยๆ กับท่าทางออดอ้อนนี้ บอกตามตรงว่าหัวใจเขาจะวายนับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่กับรินลดา เด็กคนนี้ขยันทำให้เขาเสียอาการนัก ถึงอีกฝ่ายจะทำไปโดยไม่รู้ตัวว่าทำให้เขาแพ้ก็ตามที

“ไปเปลี่ยนชุดก่อน”

ศีรษะกลมๆ ส่ายไปมาบนไหล่ชายหนุ่มอย่างต้องการปฏิเสธ รินลดายังอยู่ในชุดนักศึกษาถูกระเบียบเหมือนเมื่อเช้าทุกกระเบียดนิ้ว แม้จะกลับมาถึงห้องแล้ว แต่เธอยังอิดออดไม่ยอมเปลี่ยนเสื้อ แถมปลายจมูกยังซุกลงกับเสื้อยืดตัวนุ่มที่เขาสวม สูดกลิ่นหอมของน้ำยาปรับผ้านุ่มอีกต่างหาก

“รินอยากนอนตัก” รินลดาบอกอ้อมแอ้ม เธอเคยบอกหรือยังว่าการนอนหนุนตักคุณธีรดนย์นั้นสบายที่สุด ยิ่งเขาลูบศีรษะเวลานอนก็ยิ่งรู้สึกผ่อนคลาย 

“อยากนอนก็ไปเปลี่ยนชุดก่อน”

“อาธีอะ”

“ถ้าไม่เปลี่ยนอาก็ไม่ให้นอน”

“ก็ได้ค่ะ” คราวนี้ถึงจะยังอิดออดอยู่มาก แต่เพราะความอยากนอนหนุนตักเขามีมากกว่า เธอจึงต้องยอมลุกจากโซฟาในที่สุด

ธีรดนย์มองตามหญิงสาวที่เดินฮัมเพลงเข้าไปในห้องอย่างคนอารมณ์ดีก็ได้แต่ส่ายหน้าช้าๆ ระหว่างรอรินลดากลับออกมา เขาก็หยิบหนังสือที่เพิ่งเลือกซื้อออกมาจากถุงผ้าขึ้นมาดูอีกครั้ง หน้าปกสะอาดตากับคำโปรยบนปกนี้ค่อนข้างน่าสนใจสำหรับเขาทีเดียว 

ไม่นานนักคนที่เข้าไปเปลี่ยนเป็นชุดอยู่บ้านก็เดินออกมาพร้อมกับหนังสือและเอกสารชุดหนึ่ง ซึ่งธีรดนย์เดาว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับวิชาเรียนของเธอ คุณอาหนุ่มขยับไปนั่งชิดมุมโซฟาด้านหนึ่งอย่างรู้งาน หลังจากนั้นก็หยิบหมอนอิงมาวางลงบนตัก พร้อมทำหน้าที่เป็นเบาะรองนั่งให้คนที่เดินยิ้มแป้นเข้ามาอย่างเต็มอกเต็มใจ 

ใครมาเห็นเขาในมุมนี้คงแทบไม่อยากเชื่อสายตา ฉายา ‘ไม่สนโลก’ ของเขาคงถูกถอดเก็บเข้ากรุแล้วล็อกกุญแจอย่างแน่นหนา แต่ธีรดนย์คิดว่าคนเราก็ต้องมีบางเรื่องที่เป็นข้อยกเว้นอยู่แล้ว ซึ่งสำหรับเขานั้นคำตอบเดาได้ไม่อยากเลย

รินลดากลับออกมาจากห้องด้วยชุดลำลองสบายๆ ตามที่ได้รับคำสั่ง พอเดินมาถึงห้องนั่งเล่น ก็เห็นคุณอาหนุ่มตบหมอนเบาๆ อย่างเชิญชวนโดยไม่ได้ละสายตาจากหนังสือที่ถืออยู่ แค่นั้นก็ทำเธอหลุดขำไปหลายครั้ง 

ก็ท่าทางแบบนี้น่ะ เหมือนคนแก่ฟอร์มจัดไม่มีผิด ทั้งที่ก่อนหน้าเขาเพิ่งบ่นเธออยู่แหม็บๆ แต่มาตอนนี้กลับเป็นฝ่ายตบปุๆ ลงกับหมอนเพื่อเชิญชวนเธอ

“ถ้ารินเสียคนเพราะถูกสปอยล์ ก็ไม่ต้องเดาเลยว่าเป็นเพราะใคร”

รินลดาบอกเสียงกลั้วหัวเราะ แน่นอนว่าเธอไม่คิดปฏิเสธการเชิญชวนให้เสียเวลา เจ้าของร่างเล็กเดินเข้าไปใกล้แล้วทิ้งตัวลงนอนบนตักของอีกฝ่ายอย่างว่าง่าย พอได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ คล้ายล้อเลียนจากเขาก็ย่นจมูกใส่ไปหนึ่งที 

หลังจากนั้นคนใส่ชุดลำลองสบายๆ ก็ขยับไปมาหามุมเหมาะ พอได้ที่แล้วเธอก็คว้าเอาเอกสารที่หยิบติดมือเมื่อครู่ขึ้นมาอ่านอย่างตั้งอกตั้งใจ

ความจริงแล้วชีวิตช่วงเปิดเทอมของรินลดายังไม่มีอะไรน่ากังวลนัก ยังไม่มีงานค้างให้ต้องสะสาง หรืองานหนักๆ ที่ถาโถมเข้าใส่ จะมีบ้างก็เป็นควิซเล็กๆ เพื่อเก็บคะแนนระหว่างคลาสเรียน ส่วนเรื่องหาสถานที่ฝึกงานในเทอมหน้าเธอก็มีดูๆ ไว้แล้ว ดังนั้นช่วงนี้จึงมีเพียงการอ่านทบทวนและทำความเข้าใจเนื้อหาของบทเรียนไปพลางๆ ก่อน ช่วงสอบเธอจะได้ไม่ต้องเครียดหรือกังวลว่าจะอ่านหนังสือไม่ทัน

รินลดาซุกใบหน้ากับเสื้อยืดสีพื้นที่ของเจ้าของตักเพื่อขอให้อีกฝ่ายลูบศีรษะให้อย่างที่เคยทำ ซึ่งคนตัวโตกว่าไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะเพียงไม่นานเขาก็เอื้อมมาลูบเส้นผมเธอเบาๆ แม้สายตาของเขาจะยังจดจ่ออยู่กับหนังสือเล่มบางที่เพิ่งเลือกซื้อมา แต่พอเธอขยับเอกสารที่อ่านลงมาวางบนอก ก็เห็นคุณอาหนุ่มยกยิ้มมุมปากอย่างที่เขาชอบทำ

สมาธิที่จดจ่ออยู่กับบทเรียนของรินลดาหลุดไปชั่วครู่ ก่อนเธอจะกระแอมกระไอแล้วหยิบเอกสารขึ้นมาอ่านใหม่ ทำทีเป็นไม่หวั่นไหวและจดจ่ออยู่กับเนื้อหาสาระตรงหน้า แต่หัวใจดวงน้อยกลับเต้นแรงจนแทบทะลุออกมาด้านนอก

ถ้าในตอนนี้มีใครสักคนบอกเธอว่านี่เป็นความฝัน รินลดาคิดว่าเธอพร้อมจะเชื่ออย่างสนิทใจ เพราะภาพที่เธอเห็นอยู่ตอนนี้ไม่ต่างจากความฝันเลยสักนิด 

ก่อนหน้านั้นเธอเกือบตัดใจและละทิ้งความรู้สึกที่มีต่อเขา กำลังจะยอมแพ้และเลือกเดินออกมาจากความสัมพันธ์ แต่ก่อนที่เธอจะได้ไปไหนก็กลับมีมือของอีกฝ่ายที่เอื้อมมาหา ประตูความเสี่ยงที่เธอกล้าเปิดออกและเดินเข้าไปในตอนนั้น บัดนี้มีเขายืนรออยู่อีกฝั่ง 

รินลดานึกภาพไม่ออกเลยว่าถ้าความรู้สึกของเธอไม่ถูกตอบรับตอนนี้เธอจะทำอะไรอยู่ เธออาจจะยังร้องไห้โดยมีเฟื่องฟ้าคอยปลอบอยู่ข้างๆ อาจจะเสียศูนย์จนตั้งหลักไม่ได้ หรืออาจจะคิดถึงเขาสุดหัวใจ ก็ไม่อาจคาดเดาคำตอบได้เช่นกัน 

แม้จะเป็นอย่างนั้น เธอไม่เคยคิดอยากย้อนเวลากลับไปที่จุดเริ่มต้นเลย ต่อให้วันข้างหน้าจะเสียใจมากกว่านี้ ต่อให้จะต้องร้องไห้หนักกว่านี้ เธอก็ยังยินดีจะบอกความรู้สึกให้เขารับรู้

เธออยากให้อาธีรู้ อยากให้เขารู้ว่าเธอรักเขามากแค่ไหน

“รินรักอาธีนะคะ” 

คนที่จู่ๆ ก็ถูกบอกรักชะงักไปเล็กน้อย เพียงไม่นานบนใบหน้าของคุณอาหนุ่มก็ปรากฏรอยยิ้มอบอุ่น ธีรดนย์วางหนังสือที่อ่านอยู่ลงเพราะไม่เหลือสมาธิใดๆ อีกต่อไป ก่อนจะจ้องมองคนเด็กกว่าที่นอนมองเขาตาแป๋วอยู่เช่นกัน

“อ้อนเอาอะไร”

ชายหนุ่มเอ่ยถามเสียงเรียบเรื่อย ก่อนจะยิ้มมุมปากด้วยความพอใจ เมื่อเห็นใบหน้างอง้ำของอีกฝ่าย ความจริงเขารู้ว่ารินลดาไม่ได้พูดเพื่อต้องการอ้อนขอหรืออยากได้อะไร ปกติก็มักเป็นเธอที่แสดงความรักต่อเขาอยู่แล้ว เพียงแต่ครั้งนี้กะทันหันเกินไปและเขาตั้งตัวไม่ทันเท่านั้นเอง

ธีรดนย์ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้าผากของคนบนตักขึ้นให้ แอบขำนิดๆ ตอนเจ้าตัวหน้ามุ่ยเพราะเขาแกล้งบีบจมูกรั้นๆ นั่นไปอีกที

“รินไม่ได้จะเอาอะไรสักหน่อย” คนงอแงเถียงอย่างไม่ยอมแพ้ ถึงเรื่องอื่นเธอจะว่าง่าย แต่เรื่องนี้รินลดายอมไม่ได้เลยจริงๆ เธอไม่ได้บอกรักเพื่อจะอ้อนขออะไรจากเขาสักหน่อย 

“แล้วร้านอาหารญี่ปุ่นที่เราบ่นอยากไปล่ะ มีคิวว่างหรือยัง” 

“ยังเลยค่ะ อีกตั้งเดือนหนึ่งแน่ะ เอ๊ะ! อาธีแกล้งรินนี่” 

ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่ถูกชักจูงไปทางนั้น แต่รู้ตัวอีกทีเธอก็เห็นรอยยิ้มล้อเลียนของอีกฝ่ายที่ล่อลวงเธอได้สำเร็จ รินลดาตีมือบนหน้าท้องแกร่งของคนอายุมากกว่าเพราะเพิ่งรู้ตัวว่าเสียท่า แต่พอได้ยินเสียงเขาโอดโอยว่าเจ็บเธอก็รีบหยุดมือทันที หารู้ไม่ว่านั่นเป็นเธอที่หลงกลเขาอีกแล้ว เพราะทันทีที่หยุด ข้อมือทั้งสองข้างของเธอก็ถูกรวบไว้เพื่อป้องกันการประทุษร้ายโดยสมบูรณ์แบบ 

เมื่อเถียงก็ไม่ได้ ใช้กำลังก็ไม่ได้ รินลดาจึงได้แต่บ่นพึมพำ 

“รินบอกแล้วไงว่าไม่ได้จะอ้อนขออะไรสักหน่อย”

“ก็ไม่เห็นเป็นไร อาอยากให้ เอาเป็นว่าเราจองร้านนั้นไว้ก่อน แล้วเดือนหน้ารินกับอาค่อยไปด้วยกัน”

“จริงนะคะ! อาธีจะไปกับรินจริงๆ นะ”

คนถูกตกด้วยอาหารลืมคำพูดก่อนหน้าของตัวเองไปจนหมดสิ้น รินลดาแทบกระเด้งตัวขึ้นมาแล้วโผกอดคุณอาหนุ่มเต็มรักในนาทีนั้น 

ถ้าเป็นร้านอาหารร้านอื่นเธอคงไม่ตื่นเต้นขนาดนี้ แต่ร้านนี้เป็นร้านที่เธอดูคิวมาแล้วเป็นเดือนๆ แต่ยังไม่มีคิวว่าง เธออยากจองไว้ล่วงหน้า แต่ก็กลัวอีกฝ่ายจะไม่ว่างถ้าถึงวันนั้น พอได้ยินคำยืนยันจากเขาจึงอดไม่ได้ที่จะดีใจ

“ครับ อาสัญญา”

“รินรักอาธีที่สุดเลย!”

ท่าทางตื่นเต้นดีใจทำเอาธีรดนย์อดยิ้มไม่ได้ เขากอดคนตัวเล็กไว้แนบอกเพราะกลัวเธอจะตกจากโซฟาไปเสียก่อน หลังจากนั้นเขาก็ได้ยินทั้งคำขอบคุณและคำบอกรักสลับไปมาจนนับครั้งไม่ถ้วน 

เอาเป็นว่าคนรักสายเปย์อย่างเขามีความสุขเพราะเรื่องนี้ไม่น้อยไปกว่ากันเลย เพราะต่อให้รินลดาไม่อยากได้อะไร แต่เขาอยากให้ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย และเขายืนยันได้ว่าในโลกนี้คงไม่มีใครรู้ใจรินลดาเท่าเขาอีกแล้ว

“แต่วันนี้เราต้องกินแหนมเนืองไปก่อนนะ ได้ข่าวว่ามีใครบางคนซื้อชุดใหญ่มา” 

“อุ่ย”

แน่นอนว่าใครบางคนที่ว่ารีบยิ้มกว้างอย่างเอาใจ รินลดายื่นริมฝีปากเข้าไปจุ๊บแก้มเขาเบาๆ เพื่อติดสินบนและป้องกันเสียงบ่นที่อาจจะตามมาทีหลัง ทว่าดูเหมือนผลลัพธ์จะผิดแผนไปเล็กน้อย เธอไม่ได้ยินเสียงบ่นแล้วก็จริง แต่กลายเป็นริมฝีปากถูกอีกฝ่ายจู่โจมแทน

“อื้อ”

ธีรดนย์กลืนกินกลีบปากเด็กช่างยั่วเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ทวีความร้อนแรงขึ้น ชายหนุ่มกวาดลิ้นร้อนไล่ชิมไปทั่วโพรงปาก หยอกล้ออยู่กับลิ้นของเธออย่างเอาอกเอาใจ 

บางครั้งก็อ่อนโยนสมกับความเป็นผู้ใหญ่ แต่บางทีก็ดุดันและเอาแต่ใจตามประสาคนไม่อาจหักห้ามความรู้สึก นานหลายนาทีที่เขาแทบจะกลืนกินคนตรงหน้าด้วยความหิวกระหาย กระทั่งเอกสารการเรียนหล่นกระจายอยู่บนพื้น สติเขาจึงกลับเข้าร่าง 

ธีรดนย์เพิ่งรู้วันนี้เองว่าเขาก็เป็นภัยต่อการศึกษาไม่น้อย แต่ถึงจะคิดได้ เขากลับยังอ้อยอิ่งอยู่กับเนื้อตัวนุ่มนิ่มของคนใต้ร่างอยู่นานกว่าจะยอมปล่อยให้เธอเป็นอิสระ

เสียงลมหายใจหอบกระชั้น รวมถึงริมฝีปากบวมเจ่อที่ถูกเขาระดมจูบของรินลดา ยิ่งทำเขาอยากรักแกเด็กดื้อมากกว่าเก่า เสียแต่ว่าเด็กตาแป๋วคนนี้ยังมองเขาอย่างงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมตัวเองถึงถูกจูบเอาจูบเอา พอเห็นแบบนั้นแล้วธีรดนย์ก็หลุดยิ้มและรังแกต่อไม่ลงจริงๆ เขาถอนใบหน้าออกมาเล็กน้อยแล้วจูบเบาๆ บนหน้าผากมนของคนในอ้อมแขน

“อาก็รักรินครับ”

เขารักรินลดา

นี่เป็นอีกเรื่องที่เขาอยากบอกให้เธอรู้ไว้เช่นกัน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น