6

ในฐานะ ‘คนรัก’

6

ในฐานะ ‘คนรัก’

 

แม้ว่าธีรดนย์จะอยากพารินลดาไปหาคุณลุงคุณป้าเพื่อคุยเรื่องในอนาคตมาก ต้องการเปิดตัว อยากทำทุกอย่างให้ถูกต้อง แต่หญิงสาวกลับเป็นฝ่ายขอต่อเวลาอีกสักหน่อย ไม่ใช่อะไร เธอแค่เขินเกินกว่าจะเข้าไปคุยกับพวกท่านในตอนนั้น หญิงสาวยังจำวันที่ตัวเองร้องไห้ให้คุณป้ากอดปลอบได้อยู่เลย ทว่าก็แอบเปรยกับผู้ปกครองไว้แล้วว่ามีคนอยากขออนุญาตไปรับประทานมื้อค่ำด้วยสักมื้อ ซึ่งแน่นอนว่าถูกคุณป้าแซวอย่างที่เธอคิดไว้ไม่มีผิด

‘เป็นคนที่ป้ารู้จักดีใช่ไหมนะ แต่ป้าคิดว่าน่าจะใช่แหละ’

รินลดาเขินอายจนแก้มแดงจัด ขนาดฟังแค่เสียงจากโทรศัพท์ใบหน้าเธอยังร้อนวูบวาบ นึกภาพไม่ออกเลยว่าตอนอยู่ต่อหน้าพวกท่าน เธอจะเขินหนักแค่ไหน

‘รินยังไม่บอกหรอกค่ะ บอกก่อนก็ไม่เซอร์ไพรส์พอดี’

แม้ความจริงจะไม่มีอะไรให้ต้องเซอร์ไพรส์เลยต่างหาก ที่พูดไปเช่นนั้นเพราะเธอเขินนั่นเอง 

รินลดาโชคดีที่เติบโตมาในครอบครัวซึ่งค่อนข้างเปิดกว้าง คุณลุงคุณป้าเป็นผู้ปกครองที่เลี้ยงลูกไม่ต่างจากเพื่อนสนิท เปิดใจคุยกันได้ทุกเรื่อง ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องความรักและอาจไปถึงความสัมพันธ์ทางกาย 

เมื่อก่อนคุณป้าคอยให้คำปรึกษาลูกๆ อย่าง ‘ปธานิน’ และ ‘ปิ่นปภา’ หรือพี่ป้องกับพี่แป้งเรื่องการเซฟเซ็กซ์อยู่บ่อยๆ รินลดาในตอนนั้นได้แต่นั่งฟังด้วยความเขินอาย ไม่นึกว่าคราวนี้จะถึงคิวของตัวเอง 

ปธานินและปิ่นปภาเป็นฝาแฝด อายุห่างจากเธอหลายปี รินลดาจึงกลายเป็นคนเด็กสุดในบ้าน ซึ่งถูกพี่ๆ โอ๋และตามใจมาตั้งแต่เด็ก ทว่าตอนนี้พี่ชายเธอไปรับช่วงต่อกิจการในเครือต่างประเทศจึงไม่ค่อยได้เจอกัน ส่วนพี่แป้งหรือปิ่นปภานั้นแต่งงานมีครอบครัวและย้ายไปอยู่กับสามี ทว่ารินลดาและพี่ๆ ก็ยังคุยกันอยู่บ่อยๆ มีแค่ช่วงหลังมานี้ที่เธอถูกแซวว่ามีคนให้ติดมากกว่าพี่ๆ เสียแล้ว

อาจเพราะคุณลุงกับคุณป้าเป็นทั้งผู้ปกครองและที่ปรึกษาที่แสนดี ลูกๆ ทุกคนจึงสนิทสนมและไว้ใจเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง พวกท่านค่อนข้างหัวสมัยใหม่และเปิดกว้าง อะไรที่เป็นความชอบและไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นจะยินดีสนับสนุนเสมอ เพราะอย่างนั้นรินลดาจึงไม่กังวลเลยว่าเรื่องของเธอและคุณอาข้างบ้านจะถูกกีดกัน 

และในวันนี้ ที่เธอรู้สึกว่าตัวเองพร้อมแล้ว รินลดาจึงได้มานั่งอยู่บนรถยนต์ของเขาเพื่อเดินทางกลับบ้านใหญ่ด้วยกัน

“อาธีตื่นเต้นไหมคะ”

แกล้งถามไปอย่างนั้น เพราะคนที่ตื่นเต้นจนนั่งแทบไม่ติดเบาะน่ะคือเธอต่างหาก รินลดาขยับตัวขยุกขยิก เหลือบมองคนอายุมากกว่าก็เห็นว่าเจ้าตัวอมยิ้มมองมาเช่นกัน 

“คำถามนั้นอาควรถามเรามากกว่าไหม” ธีรดนย์หยอก หันมองเด็กข้างกาย ก่อนจะถามคำถามที่เธอใช้กับเขาก่อนหน้า 

“รินตื่นเต้นหรือเปล่า”

คนถูกถามได้แต่ยิ้มกว้าง รินลดานึกไว้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายต้องมองออก เธอจึงพยักหน้ารับอย่างไม่คิดปิดบัง หลังจากนั้นฝ่ามืออุ่นของคนโตกว่าก็เลื่อนมากุมมือเธอไว้แล้วบีบเบาๆ อย่างให้กำลังใจ

“ไม่ต้องกลัว ไม่มีอะไรต้องกังวล อาอยู่กับรินตรงนี้”

ช่วงรอสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียวอาจเป็นเพียงช่วงสั้นๆ แต่หัวใจของรินลดากลับอบอุ่นขึ้นมากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ความตื่นเต้นเมื่อครู่ค่อยๆ เลือนหาย หลงเหลือเพียงความอิ่มเอมใจเมื่อได้ยินคำยืนยันหนักแน่นของชายผู้เป็นที่รัก

“รินก็จะอยู่กับอาธีเหมือนกันค่ะ”

 

บรรยากาศของบ้านหลังใหญ่ไม่ได้กดดันเหมือนในละครหลังข่าว ทันทีที่ก้าวเข้ามาทั้งรินลดาและธีรดนย์ก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นเช่นเดิม 

“รินคิดถึงคุณป้าจังเลยค่ะ”

หญิงสาวโผเข้ากอดคุณป้าที่ออกมาต้อนรับ ธีรดนย์ตามเข้ามา พร้อมกับพนมมือไหว้คนเป็นผู้ใหญ่กว่าด้วยรอยยิ้ม 

“สวัสดีครับ”

“ขับรถเหนื่อยเลยสิธี”

“ไม่หรอกครับ วันนี้รถไม่ติดเท่าไหร่”

รินลดามองผู้ใหญ่ทั้งสองคนทักทายกันอย่างเป็นธรรมชาติ ทุกอย่างไม่ได้ดูกระอักกระอ่วนอย่างที่เธอคิดไว้ ออกจะราบรื่นเสียด้วยซ้ำราวกับทุกคนเตรียมพร้อมแล้ว เธอคนเดียวเสียอีกที่เขินจนไม่รู้จะเอามือไปวางไว้ตรงไหน 

“มาๆ เข้าบ้านกันก่อน ทั้งธีทั้งรินเลย ป้าให้เด็กๆ เตรียมของโปรดไว้ให้ตั้งหลายอย่าง”

ที่โต๊ะอาหารมีคุณลุงนั่งรออยู่ก่อนแล้ว รินลดาทักทายท่านพร้อมเข้าไปสวมกอด ส่วนธีรดนย์ทักทายคนมีอายุกว่าอย่างเป็นธรรมชาติเช่นเคย ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ในที่สุดอาหารก็ถูกทยอยนำมาวางบนโต๊ะ ซึ่งรินลดาเห็นว่าเป็นของโปรดของเธอแทบทั้งนั้น

ระหว่างรับประทานอาหารก็ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบและสุขภาพร่างกาย รินลดาที่เพิ่งเปิดเทอมใหม่นั้นมีเรื่องมากมายเล่าให้ผู้ปกครองฟัง มีบ้างที่เธอเผลองอแงเพราะมันยุ่งๆ มีบางเรื่องยังไม่เข้าที่เข้าทาง ทว่าพอหันกลับมามองคนข้างกายที่ยิ้มเอ็นดูไม่ต่างจากญาติผู้ใหญ่ ใบหน้าเธอก็พลันร้อนวูบขึ้นมา

“ตอนอยู่กับธีนี่งอแงเก่งแบบนี้ไหมนะ ป้าชักอยากรู้แล้วสิ”

ดวงดาวเอ่ยถาม ‘คนสนิท’ ของหลานสาว คนที่หลานมาเปรยว่าอยากพามารับประทานอาหารเย็นด้วย ซึ่งก็ไม่ผิดจากที่เธอคิดไว้ ความจริงเธอชื่นชมในตัวธีรดนย์ตั้งแต่ก่อนครอบครัวเขาย้ายไปต่างประเทศ ตอนนั้นเจ้าตัวน่าจะยังไม่ถึงสิบขวบดีด้วยซ้ำ ถือว่าเป็นคนที่เติบโตมาอย่างดีทีเดียว เมื่อก่อนครอบครัวเธอกับธีรดนย์ก็นับว่าสนิทสนมกันไม่น้อย กระทั่งพ่อแม่ของเขาตัดสินใจย้ายไปอยู่ต่างประเทศและลงหลักปักฐานอยู่ที่นั่น พออยู่ห่างไกลกันจึงไม่ค่อยได้ติดต่อพูดคุย แต่ก็กลับมาสนิทสนมกันอีกครั้งตอนธีรดนย์ตัดสินใจย้ายกลับมาอยู่ประเทศไทย 

“ไม่ค่อยต่างเท่าไหร่ครับ แต่ก็น่ารักดี รินไม่ใช่เด็กไม่มีเหตุผล” คนสูงวัยกว่าทั้งสองหันไปส่งยิ้มให้กันเล็กน้อย แต่ทำเอาหลานสาวเขินอายจนหน้าแดงไปหมด 

“ถือว่ารู้จักหลานป้าดีนะเนี่ย” 

ดวงดาวอดแซวไม่ได้จริงๆ ยิ่งเห็นหลานสาวเขินอาย คนเป็นป้าก็ยิ่งแซวหนัก พูดคุยกันพอหอมปากหอมคอแล้ว มื้ออาหารของครอบครัวจึงดำเนินต่อด้วยความราบรื่น เมื่อถึงคราวต้องพูดคุยเรื่องสำคัญ ธีรดนย์ก็ขออนุญาตอย่างตรงไปตรงมา 

“ผมอยากขออนุญาตคบกับรินครับ”

น้ำเสียงของเขาหนักแน่นจริงจัง แววตามุ่งมั่นสื่อถึงสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้อย่างแน่วแน่ ธีรดนย์คิดมาอย่างดีแล้ว นอกจากเขาจะทำเพื่อให้เกียรติรินลดา เขายังอยากให้เธอมั่นใจในตัวเขาเช่นกัน มั่นใจว่าเขาจริงจังกับความสัมพันธ์ครั้งนี้และไม่เคยคิดล้อเล่น

“ธีมั่นใจใช่ไหมว่าอยากทำแบบนี้จริงๆ”

“ผมมั่นใจครับ ถ้าคุณลุง คุณป้าไม่ว่าอะไร ผมก็อยากขอหมั้นน้องไว้ก่อนด้วย”

เป็นความตั้งใจที่ธีรดนย์คิดไว้ตั้งแต่ต้น เขาอยากขอหมั้นรินลดาไว้ก่อน หลังเธอเรียนจบเขาจะขอคุยเรื่องการแต่งงานอีกครั้ง ซึ่งในตอนนั้นครอบครัวของเขาจะเดินทางมาด้วยตัวเอง 

ทว่าคนฟังอย่างรินลดากลับตกใจจนทำอะไรไม่ถูก หญิงสาวไม่คิดว่าเขาจะขอหมั้น นึกว่าเขาแค่จะมาแนะนำตัวว่าคบหากันอยู่ สิ่งที่เขาทำนั้นเกินจากที่เธอจินตนาการไว้มาก แต่ต้องยอมรับว่าตอนได้ฟังหัวใจของเธอเต้นแรงอย่างบ้าคลั่งเลยทีเดียว ผิดกับผู้ใหญ่ทั้งสองคนที่ไม่ตกใจเท่าไรนัก โดยเฉพาะดวงดาวที่ยิ้มน้อยๆ ให้คนทั้งคู่ ก่อนจะพูดอะไรบางอย่าง

“งั้นเอาอย่างนี้ดีไหม ระหว่างนี้ป้าอยากให้เราทั้งคู่ศึกษานิสัยใจคอกันก่อน ลองใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันก่อน แล้วพอถึงตอนนั้นถ้าความรู้สึกของเราทั้งคู่ยังไม่เปลี่ยนก็ค่อยมาคุยกันอีกที”

การคบกันในฐานะแฟนหรือคนรักนั้นแตกต่างจากคำว่าคู่ชีวิตอย่างสิ้นเชิง ซึ่งการที่ธีรดนย์ขอหมั้นหลานสาวของเธอก็คือก้าวแรกไปสู่สิ่งนั้น

“คุณป้าหมายความว่ายังไงครับ”

ดวงดาวยิ้มบาง หันมองสามีที่ระบายยิ้มไม่ต่างกันนัก วิธีของเธออาจขัดต่อค่านิยมของคนในประเทศนี้อยู่มาก แต่ดวงดาวเชื่อว่าในอนาคตมันจะเป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย

“ป้าอยากให้เราทั้งคู่ลองใช้ชีวิตด้วยกันก่อน ค่อยๆ ศึกษากันไป ค่อยๆ ปรับจูนเข้าหากัน ถ้าสุดท้ายแล้วผลจะลงเอยยังไง ป้าก็จะเคารพการตัดสินใจของเราทั้งสองคน” 

เพราะการเป็นแฟนกับการเป็นสามีภรรยานั้นแตกต่างกัน มีสิ่งที่ต้องเรียนรู้และปรับตัวอีกหลายอย่าง ซึ่งถ้ามันจะดี หรือถ้าไปต่อไม่ได้ ดวงดาวก็พร้อมยอมรับการตัดสินใจของคนทั้งคู่

“คุณป้าหมายความว่าจะให้รินย้ายไปอยู่อาธีเหรอคะ”

“ใช่จ้ะ ป้าหมายความแบบนั้นแหละ”

รินลดารู้ดีว่าครอบครัวของเธอเปิดกว้าง แต่พอมาได้ยินแบบนี้ก็ต้องบอกตามตรงว่าเซอร์ไพรส์มากจริงๆ สรุปแล้วคนสร้างเรื่องเซอร์ไพรส์ให้กันนั้นไม่ใช่เธอ แต่เป็นคุณลุงกับคุณป้าของเธอต่างหาก

“แล้วธีล่ะ จะว่ายังไงถ้าป้าขอให้ทำแบบนี้”

หากจะถามความคิดเห็น ดวงดาวคงต้องถามให้ครบทั้งสองฝ่าย ซึ่งแน่นอนว่าอีกคนเป็นชายหนุ่มที่นั่งกุมมือหลานสาวของเธอไว้แน่น

“ผมสัญญาว่าจะดูแลรินให้ดีที่สุดครับ”

ดวงดาวคิดว่าเธอมองคนไม่ผิด แต่ถ้ามันจะผิด ก็ขอให้เป็นการตัดสินใจของพวกเขาทั้งคู่แล้วกัน

 

เพราะสาเหตุนั้น สัปดาห์ถัดมารินลดาจึงต้องย้ายข้าวของเข้ามาในคอนโดมิเนียมของอีกฝ่าย ความจริงนอกจากเสื้อผ้าและหนังสือเรียนแล้ว เธอก็แทบไม่ต้องเอาอะไรมาด้วยซ้ำ เพราะดูเหมือนทางนี้จะเตรียมของทุกอย่างไว้ให้เธอหมดแล้ว 

‘ถ้าธีทำให้เสียใจ รินรู้ใช่ไหมว่ายังมีลุงกับป้า และบ้านหลังนี้ยินดีต้องรับรินเสมอ รินไม่จำเป็นต้องอดทนอะไรนะลูก ป้าจะดีใจถ้าธีเขารักรินและรักษาสัญญาที่ให้ไว้ แต่ถ้ามันไม่ใช่ก็กลับบ้านเรานะ’

นั่นเป็นคำพูดที่คุณป้าบอกเธอด้วยรอยยิ้มก่อนออกมาจากบ้าน รินลดาซาบซึ้งใจจนต้องสวมกอดท่านไว้แน่น เธอให้สัญญาว่าจะไม่ฝืนตัวเองหรือบังคับให้เขาเป็นอย่างที่ต้องการ เพราะถ้าสุดท้ายแล้วเขาจะเปลี่ยนใจ เธอก็พร้อมยอมรับการตัดสินใจของเขา

รินลดาอยากมีความสุข แต่เธอไม่สามารถทนเห็นอีกฝ่ายทุกข์ใจได้เช่นกัน ดังนั้นเธอจึงอยากเก็บเกี่ยวช่วงเวลาเหล่านี้เอาไว้อย่างเต็มที่ เธอจะทำทุกอย่างให้ออกมาดีที่สุด เพื่อว่าวันข้างหน้าจะได้ไม่มีอะไรต้องเสียดาย

แต่ถึงจะเผื่อใจไว้บ้าง ทว่าลึกๆ รินลดายังเชื่อว่าทุกอย่างจะราบรื่น เธอกับเขาไม่ได้รู้จักกันแค่วันสองวัน นิสัยใจคอพื้นฐานที่รู้จักกันคงช่วยให้ทุกอย่างง่ายขึ้น อีกอย่างคุณธีรดนย์ก็มักนึกถึงเธอก่อนเสมอ อย่างที่พักตรงนี้เขาก็เลือกเพราะอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยเธอ ชายหนุ่มใช้เวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์เนรมิตอะไรหลายๆ เตรียมไว้ให้ เช่น โต๊ะทำงานสองตัว รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับเธอครบครัน

ซึ่งวันนี้เป็นวันแรกที่รินลดาเริ่มต้นใช้ชีวิตกับเขาแบบมี ‘สถานะ’ เธอบอกอย่างไม่อายว่ากำลังตื่นเต้นกับครั้งแรกที่ว่านี้ หัวใจเธอเต้นแรงจนเหนื่อยตั้งแต่ก้าวเข้ามาในห้องพักห้องเดิมของเขา ห้องที่เธอไม่ได้เหยียบย่างเข้ามาตั้งแต่เหตุการณ์หวามไหวครั้งนั้น เพราะส่วนใหญ่แล้วเขาจะเป็นฝ่ายไปขลุกอยู่กับเธอที่ห้องมากกว่า

การอยู่ด้วยกันครั้งแรกทำให้รินลดาต้องปรับเปลี่ยนอะไรหลายอย่าง ที่เห็นชัดเจนตอนนี้เลยคือการอาบน้ำ เธอต้องหอบหิ้วชุดนอนเข้าไปเปลี่ยนด้วย เพราะเก้อเขินเกินกว่าจะใส่แค่เสื้อคลุมอาบน้ำแล้วเดินออกมา ซึ่งผิดกับอีกฝ่ายลิบลับ รายนั้นน่ะเดินเปลือยท่อนบนอวดกล้ามเนื้อแน่นตึงให้เธอดูโดยไม่เขินอายใดๆ ทั้งสิ้น แถมเจ้าตัวดูเหมือนจะชอบใจไม่น้อยตอนเห็นเธอเขินจนต้องวิ่งลิ่วหนีเข้าห้องน้ำ 

รินลดาไม่เคยรู้มาก่อนว่าอีกฝ่ายเป็นคนขี้แกล้ง แต่แกล้งเธอด้วยวิธีนี้มันออกจะขี้โกงไปหน่อยหรือเปล่า เธอดันหวั่นไหวเพราะเขาจนหลุดหน้าแดงไปหลายครั้งทีเดียว แม้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาจะข้ามขั้นกันไปไกลแล้ว แต่บอกตามตรงว่าเธอยังไม่ชิน ใบหน้าพานจะร้อนวูบวาบไปหมด 

อย่างตอนนี้ที่เธอเพิ่งก้าวออกจากห้องน้ำหลังจัดการธุระส่วนตัวเสร็จ

“มานั่งตรงนี้สิ หยิบหวีมาด้วย อาจะหวีผมให้”

เสียงเรียกแผ่วเบาของคนที่นั่งอยู่บนเตียงทำเธอหลุกหลิกเล็กน้อย คนตัวโตตบมือลงบนพื้นที่ว่างตรงหน้าเพื่อเป็นสัญญาณให้เธอก้าวไปหา ซึ่งแน่นอนว่าเธอไม่คิดปฏิเสธ

รินลดาค่อยๆ ขยับขึ้นไปนั่งบนเตียง เธอนั่งขัดสมาธิโดยมีคุณอาข้างบ้านที่เพิ่งเปลี่ยนสถานะนั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง เธอรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายตัวสูงมาก แต่ไม่คิดว่าจะมากถึงขนาดที่เขาเกยคางบนศีรษะเธอได้พอดี

หลังจากรินลดาได้ที่นั่งเหมาะเจาะแล้ว คนที่รออยู่ด้านหลังก็หยิบหวีไปจากมือเธอ ก่อนจะค่อยๆ แตะต้องเส้นผมเธออย่างทะนุถนอม นี่เป็นครั้งแรกที่มีผู้ชายมาหวีผมให้ เป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่ทำให้หัวใจรินลดาเต้นแรงจนควบคุมไม่อยู่ 

รินลดานึกขอบคุณที่เธอนั่งหันหลังให้เขา ไม่อย่างนั้นธีรดนย์คงได้เห็นว่าผิวแก้มเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดแค่ไหน สัมผัสแผ่วเบาของเขาทำเอาเธอเคลิบเคลิ้มไม่ต่างจากสปา ไม่นานเธอกลับสัมผัสได้ว่าคนด้านหลังทำอะไรบางอย่างกับเส้นผมของเธอ

“อาธีถักเปียให้รินเหรอคะ”

“ครับ ไม่ชอบเหรอ”

“เปล่าค่ะ รินแค่ไม่คิดว่าอาธีจะทำเป็น”

เธอไม่คิดว่าชายหนุ่มจะมีมุมนี้ และคาดไม่ถึงด้วยว่าจะถึงขั้นถักเปียให้ผู้หญิงได้ แม้จะเป็นเปียบางๆ แบบธรรมดา แต่นั่นก็ถือว่าพิเศษมากแล้วสำหรับเธอ

“ตอนเด็กๆ ยายนีชอบมางอแงให้อาทำให้น่ะ แต่ก็จำได้มาจนถึงทุกวันนี้” ธีรดนย์ตอบกลั้วหัวเราะเบาๆ เมื่อก่อนนีรชามักมางอแงขอให้เขาถักเปียให้เป็นว่าเล่น เด็กน้อยจะร้องไห้จ้าทุกครั้งถ้าเขาปฏิเสธ สุดท้ายจึงต้องไปฝึกตามคลิปในอินเทอร์เน็ตเพื่อทำให้เธอ

“อาธีอบอุ่นจัง รินชักอิจฉาสาวๆ คนก่อนของอาธีแล้วสิ”

พอคิดไปถึงว่าที่ผ่านมาเขาอบอุ่นและอ่อนโยนกับผู้หญิงของตัวเองมากแค่ไหน รินลดาก็เผลอย่นจมูกคนเดียว เธอนึกสงสัยว่าคนเราหึงหวงย้อนหลังได้ไหม แน่นอนว่าตอนนี้เธอเผชิญความรู้สึกนั้นอยู่ 

“อาไม่ได้ทำแบบนี้กับทุกคน นอกจากน้องสาวแล้วก็มีแค่รินที่อาทำให้...แค่รินคนเดียว”

น้ำเสียงหนักแน่นจากด้านหลังทำเอาหัวใจคนฟังเต้นแรงขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ คำว่า ‘แค่เธอคนเดียว’ ของเขาไม่ต่างจากการเปิดสวิตช์ความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของของรินลดาเลยสักนิด เป็นประโยคที่ทำให้เธอโลภ อยากครอบครองเขาไว้คนเดียว 

อยากให้เขาเป็นของเธอแค่คนเดียว

“อาธีรักรินไหมคะ”

รินลดาถามเสียงแผ่ว ทว่าพอถามไปแล้วกลับรู้สึกว่าไม่ควรถามเลยสักนิด เธอโทษความโลภที่ทำให้เผลอไผล เพราะความจริงเธอควรเป็นคนแรกที่เข้าใจเขา ขนาดตอนนั้นเธอยังใช้เวลาตกตะกอนความคิดตั้งหลายปีกว่าจะมั่นใจ แล้วเธอจะมาอยากได้ความมั่นใจอะไรจากเขาตอนนี้ 

เธอรอได้

ในเมื่อรอเขามาตลอดอยู่แล้ว รออีกสักนิดคงไม่เป็นไร

แต่ความเงียบของคนถูกถามนั้นกลับไม่ใช่การปฏิเสธ ธีรดนย์สอดแขนกอดคนคิดมากไว้หลวมๆ เขารู้ว่ารินลดาคิดอะไรและครั้งนี้คงถึงเวลาแล้วที่เขาต้องทำให้เธอมั่นใจในความรู้สึกเขาเสียที

หลายสัปดาห์ที่ผ่านมาไม่ใช่แค่รินลดาที่เป็นฝ่ายตกตะกอนความคิด เขาเองก็เช่นกัน และหลายวันมานี้คำตอบในใจของเขามันชัดเจนเกินกว่าจะปฏิเสธได้

เขายังปรารถนาดีกับรินลดาไม่ต่างจากเมื่อก่อน เขายังอยากเห็นเธอมีความสุข อยากได้ยินเสียงหัวเราะสดใส ยังรู้สึกเจ็บทุกครั้งเวลาเธอเจ็บไข้หรือไม่สบาย ยิ่งในยามที่เห็นเธอร้องไห้ หัวใจของเขายิ่งคล้ายจะแหลกสลายยิ่งกว่า

ความรู้สึกเหล่านี้เป็นความรู้สึกที่เขามีต่อรินลดามาเนิ่นนาน แต่ความรู้สึกที่เพิ่งเคยเกิดขึ้นในใจเขาคือ ‘หวงแหน’

ธีรดนย์ไม่คิดว่าการหึงหวงใครสักคนเป็นความรู้สึกธรรมดาทั่วไป เขาเพิ่งเกิดความรู้สึกนี้กับรินลดาเป็นครั้งแรก ยิ่งในยามที่เจ้าตัวพร้อมจบความสัมพันธ์และเริ่มต้นใหม่ หัวใจของเขายิ่งร้อนรนจนต้องทำอะไรสักอย่าง และการกระทำนั้นคือการยอมรับความรู้สึกของตัวเอง

ถ้าการที่เขาปรารถนาอยากเห็นใครสักคนมีความสุข หวงแหนทุกรอยยิ้ม และอยากเก็บเธอไว้ข้างกาย ถ้าความรู้สึกเหล่านั้นรวมอยู่ในนิยามของ ‘ความรัก’ เขาก็คงเป็นผู้ชายที่เพิ่งรู้ตัวว่ารักเธอหมดหัวใจเช่นกัน 

“อาไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้เรียกความรักไหม เพราะความรู้สึกที่อามีต่อรินมันพิเศษมาตั้งนานแล้ว”

รินลดาเคยพิเศษในแง่ที่ทำให้เขารู้สึกว่าชีวิตอันน่าเบื่อของตัวเองในช่วงนั้นในที่สุดก็มีอะไรสนุกๆ ให้ทำเสียที อย่างน้อยๆ อาจเริ่มจากการทะเลาะกับเด็กตัวกะเปี๊ยกที่ต่อปากต่อคำกับเขาด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว 

ธีรดนย์จำได้ว่าสาเหตุที่เขากลับมาประเทศไทยในครั้งนั้น เพราะอยากพักผ่อนและหาแรงบันดาลใจ เขาเหนื่อยและรู้สึกหมดไฟจากการทำงานหนักมานานหลายปี และรินลดาเป็นเด็กที่ทำให้เขาหัวเราะได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้า ธีรดนย์คิดว่าความรู้สึกของเขาในตอนนั้นคงเรียกว่า ‘ถูกชะตา’ ทว่าตอนนี้ความพิเศษของเธอกลับมีเรื่องอื่นเพิ่มเข้ามาจนเขานับไม่ไหม

“อาเพิ่งรู้ว่าความรู้สึกบางอย่างของอากำลังเปลี่ยนไป อาไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร แต่มันเกิดขึ้นแล้วริน”

มันเกิดขึ้นและชัดเจนอยู่ในใจของเขามาสักพักแล้ว อาจเป็นตั้งแต่ช่วงก่อนที่รินลดาจะสารภาพความรู้สึกกับเขา ช่วงที่ความรู้สึกของเธอเริ่มก่อตัวเป็นรูปร่าง อาจจะเป็นตอนนั้นที่ความรู้สึกของเขาค่อยๆ ถูกแกว่งไกวจนเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเองเช่นกัน

“อาเชื่อว่าคงไม่มีผู้ชายคนไหนหวงผู้หญิงสักคน ถ้าเขาไม่รู้สึกอะไรด้วย”

ที่ผ่านมาเขาไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้กับใคร หากจะมีความสัมพันธ์ทางกายกับใครสักคนล้วนเกิดขึ้นและจบลงด้วยข้อตกลงที่ยินยอมพร้อมใจทั้งสองฝ่าย เขาต้องแน่ใจว่าจะไม่เกิดปัญหาตามมาให้ยุ่งยาก เพราะเขารู้ดีว่าตัวเองยังไม่พร้อมจะผูกมัดกับใคร แต่กับรินลดาเขารู้ว่ามันไม่ใช่

“แต่กับรินอาหวง” 

เขาหวง 

ทั้งหวง ทั้งเป็นห่วง

“หวงทุกอย่างที่เป็นริน หวงแม้กระทั่งรอยยิ้ม อยากหวงไว้ให้อาคนเดียว อาไม่อยากแบ่งมันให้ผู้ชายคนไหนทั้งนั้น รินคิดว่าตอนนี้ความรู้สึกของอาเรียกว่าความรักได้หรือเปล่า”

“อาธี”

“อาเคยคิดอยากให้ตัวเองมั่นใจในความรู้สึกมากกว่านี้ แต่ไม่มีเหตุผลไหนให้อาปฏิเสธได้เลย” 

“...”

“อารักริน”

เขารักรินลดา 

แม้ธีรดนย์ไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร แต่ในเมื่อตอนนี้เขารู้ใจตัวเองแล้ว เขาจะไม่มีวันปล่อยเธอไปอีกเป็นอันขาด

 

“อะ...อาธีขา”

เสียงเรียกชื่อกระท่อนกระแท่นดังขึ้นยามเมื่อสัมผัสหนักๆ จากริมฝีปากของชายหนุ่มแตะลงบนท่อนขา ธีรดนย์ไล่จูบขึ้นมาตั้งแต่ปลีน่องขาวกระทั่งหยุดลงบนต้นขาด้านใน ความหวามไหวนั้นทำเอาคนใต้ร่างถึงกับกระถดหนี

ชายหนุ่มกดจูบเบาๆ อย่างหยอกล้อ ก่อนจะอาศัยจังหวะที่คนบนเตียงนอนระทดระทวยเคลื่อนใบหน้าลงต่ำ ค่อยๆ แตะปลายลิ้นสากชิมกลีบเนื้ออ่อนไหวจนกายคนใต้ร่างกระสับกระส่าย แต่รินลดาก็ทำได้เท่านั้น เมื่อสะโพกของเธอถูกเขากดตรึงไว้ 

“ตรงนั้นมัน อื้อ!”

รินลดาละล่ำละลักแทบจับใจความไม่ได้ แต่นั่นไม่ได้ทำให้ปลายลิ้นของชายหนุ่มหยุดรุกเร้าแต่อย่างใด มันยังพลิ้วไหวและเร่าร้อน ตวัดชิมน้ำหวานที่ค่อยๆ ซึมออกมาเพราะความซ่านเสียวทรมาน

บางครั้งเขาก็ขบเม้มดูดดึง บ้างก็สอดลิ้นลึกเข้าไปด้านในจนหญิงสาวดิ้นเร่า

ธีรดนย์จับท่อนขาเรียวของหญิงสาวแยกกว้าง พาดไว้บนบ่าตนพลางกดจูบเบาๆ ก่อนจะกดหน้าเข้าหาส่วนอ่อนไหวที่ฉ่ำเยิ้มไปด้วยความต้องการ ละเลงลิ้นกับใจกลางความอ่อนไหวที่ตอบรับสัมผัส ฝ่ามือใหญ่ของเขากระชับเอวคอดเล็ก และทันทีที่ปลายลิ้นตวัดรัวถี่กระชั้น เขาก็ได้ยินเสียงหวีดหวามของเธอ

รินลดาดิ้นพราดอยู่บนเตียงกว้าง หนีบขาทั้งสองเข้าหากัน แต่ยิ่งทำให้อีกฝ่ายรังแกกันหนักหน่วง คุณธีรดนย์ไม่ใจดีกับเธอเลยสักนิด ทั้งริมฝีปากทั้งปลายลิ้นของเขาเล่นงานเธอจนสติแทบพร่าเลือน 

“อ๊ะ”

ลมหายใจของหญิงสาวสะดุดเป็นพักๆ ยิ่งยามที่ถูกลิ้นนุ่มตวัดรัวเข้าใส่ ร่างกายยิ่งลอยหวือไม่ติดเตียง ส่ายสะโพกมน หวังหลบความเสียวซ่าน แต่ก็ถูกฝ่ามือทั้งสองข้างของเขากดแนบไว้ไม่ยอมปล่อย ทำราวกับจะกลั่นแกล้งให้เธอทรมานแสนสาหัส ปลายลิ้นร้อนก็ละเลงอย่างเอาแต่ใจไม่เว้นจังหวะให้เธอได้หายใจเลยสักนิด 

คนถูกรุกอย่างรินลดาเหมือนจะตายเสียให้ได้ ส่วนอ่อนไหวของเธอเปียกชุ่มเยิ้ม แต่ชายหนุ่มก็กลืนกินไว้ทั้งหมด ธีรดนย์พ่นลมหายใจหนักๆ อย่างต้องการควบคุมอารมณ์ เขาถอนใบหน้าออกห่างจากความหวานซ่าน ทว่าไม่นานมันก็ถูกแทนที่ด้วยอย่างอื่น 

เสียงคำรามทุ้มต่ำของชายหนุ่มดังอยู่เบื้องล่าง ขยับปลายนิ้วเข้าหาส่วนอ่อนนุ่มอย่างเชื่องช้า เขาสัมผัสได้ถึงปลายเท้าเล็กที่จิกลงบนแผ่นหลังท่ามกลางเสียงครางหวามที่แสนยั่วยวนจนตบะเขาแทบแตกกระเจิง

เขาอยากถอนปลายนิ้วออก แล้วกดจ่อส่วนแข็งขึงเข้าไปแทนที่ อยากกระแทกกายเข้าใส่หนักๆ ตามแรงอารมณ์ที่พุ่งสูง อยากได้ยินเสียงหวานๆ ของเธอร้องเรียกชื่อเขาให้ดังกว่าที่เป็นอยู่ อยากเอาแต่ใจกับร่างกายหอมหวานนี้จนแทบทนไม่ไหว

ทว่าสิ่งที่เขาทำได้กลับเป็นการขยับปลายนิ้วเข้าใส่เป็นจังหวะถี่เร็ว ปรนเปรอคนอ่อนประสบการณ์กว่าให้ระทดระทวยอยู่ใต้ร่าง ตวัดลิ้นชิมติ่งไตชูชัน ฝ่ามืออีกข้างก็เคล้นคลึงปลุกปั่นคนเด็กกว่าให้สุขสม

ร่างบางข้างใต้แทบจะระเบิดในนาทีนั้น นาทีที่ทั้งปลายนิ้วและปลายลิ้นของเขาเล่นงานกันอย่างหนัก 

“อา อาธีขา รินจะไม่ไหวแล้ว”

รินลดารู้รับได้ถึงร่างกายตัวเองที่ร้อนไปทั้งร่าง ริมฝีปากอิ่มอ้าค้างและครางชื่อเขาซ้ำๆ วอนขอให้เขาช่วยปรนเปรอกายร้อนของเธอมากกว่านี้ เธอต้องการอย่างอื่นที่มากกว่านี้ ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ยินยอมมอบให้ราวกับเขาตั้งใจจบทุกอย่างลงเพียงแค่ภายนอก

“อื้อ!”

ด้วยจังหวะรัวลิ้นถี่กระชั้น เพียงไม่นานร่างเล็กๆ ของรินลดาก็กระตุกสั่น ปลดปล่อยน้ำหวานความต้องการอันฉ่ำเยิ้ม

“อะ...อาธี” 

รินลดาแทบผวาตามเจ้าของร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มตอนเขาปลดเรียวขาเธอลงจากบ่า ทำท่าจะผละลงจากเตียง 

“รินอยากทำ อยากได้มากกว่านี้”

ความต้องการรุนแรงที่เล่นงานอยู่ทำเอาเธอวอนขออย่างไร้ซึ่งความอาย เธอเองก็เห็นว่าอีกฝ่ายทรมานไม่ต่างกัน ดูจากส่วนนั้นที่ดุนดันผ่านเนื้อผ้าเธอก็เดาได้  

“ไม่ได้แล้วครับ” ถ้อยคำปฏิเสธนั้นทำเอาเธอขัดเคืองใจไม่น้อย

“ฮือ”

“พรุ่งนี้รินมีเรียนเช้า อาไม่อยากให้รินเหนื่อย”

เห็นอีกฝ่ายขัดใจแล้วธีรดนย์ก็ได้แต่เอ็นดู รินลดาคงไม่รู้ว่าเขาน่ะอยากโจนจ้วงเข้าหาเธอยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด อยากได้ยินเสียงครางหวีดหวานของเธอจนแทบบ้า อยากปลดปล่อยความต้องการทั้งหมดใส่เธอซ้ำๆ แต่เพราะเขารู้ว่าคนของเขาอยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียน คนแก่กลัดมันจึงต้องข่มความต้องการแล้วยอมอดทนอดกลั้น เขามีเวลาอยู่กับรินลดาตลอดชีวิต และถึงวันนั้นเมื่อไรเขาจะทบต้นทบดอกที่ต้องอดทนไว้ให้หมด

“ริน เดี๋ยว อ่า”

ทว่าในตอนที่ฝ่ามือนุ่มๆ ของรินลดาแตะลงมาตรงกลางกาย ก็คล้ายสติของเขาถูกกระชาก ธีรดนย์คำรามเสียงต่ำพร่า ดวงตาคมเข้มสั่นไหวตอนถูกคนตัวเล็กกว่าผลักให้นอนราบลงบนเตียง 

“ริน...”

เสียงร้องห้ามของเขากลืนหายลงในลำคอตอนร่างเล็กเปลือยเปล่าวาดขามาคร่อมทับ หลังจากนั้นหัวใจของอดีตคุณอาข้างบ้านก็แทบระเบิดเมื่อเห็นใบหน้าหวานค่อยๆ ก้มต่ำลงเรื่อยๆ 

“รินจะทำอะไร ริน อ่า ไม่เอาแบบนี้ครับ”

รินลดาไม่จำเป็นต้องมาทำแบบนี้ให้เขา ทว่าดูเหมือนคนเด็กกว่าจะไม่ฟังเสียงห้ามปรามใดๆ ทั้งนั้น เพราะทันทีที่กางเกงนอนและชั้นในของเขาถูกดึงลง ลิ้นเล็กๆ ของเธอก็แลบเลียส่วนแข็งขึงที่เต็มไปด้วยความต้องการของเขาทันที

“อ่า”

ร่างกายของธีรดนย์เกร็งแน่นไปทุกส่วน ยิ่งตอนที่ปากเล็กๆ กลืนกินเขา เลือดลมในกายก็ตีรวนจนต้องสบถดังๆ ผิดกับคนอยากลองเป็นฝ่ายรังแกที่อิ่มเอมทั้งที่โพรงปากยังกลืนกินความใหญ่โตของเขาเอาไว้ มันคับแน่นจนกลืนกินได้ไม่หมด ต้องอาศัยฝ่ามือเล็กๆ คอยช่วยรูดรั้ง

ดวงตาคู่สวยเป็นประกายมองคนตัวโตด้วยความซุกซน ยิ่งเห็นเขามีสีหน้ายุ่งยากราวกับกำลังไม่พอใจเธอก็ยิ่งสนุก พอตวัดปลายลิ้นลงกับส่วนปลายฉ่ำเยิ้ม รินลดาก็ได้เห็นสีหน้าบิดเบี้ยวของอีกฝ่ายเป็นครั้งแรก 

“อืม”

คนใจกล้าเมินเฉยต่อสายตาคาดโทษที่มองมาอย่างดุดัน เธอยังตั้งหน้าตั้งตาปรนเปรอเขาด้วยความตั้งใจเต็มล้น แม้จะไม่ประสีประสา แต่ยามได้เห็นสีหน้าเสียวซ่านของเขาแล้วก็รวบรวมความกล้าค่อยๆ ลิ้มลอง

เป็นไอติมแท่งใหญ่ที่ทั้งร้อนและคับไปทั่วทั้งปาก 

ดื่มด่ำได้ไม่ทันไรร่างกายก็ถูกคนโตกว่าจับคว่ำลง การกระทำนั้นรวดเร็วเสียจนเธอเกือบคะมำลงกับหมอน ยังไม่ทันจับต้นชนปลายถูก ส่วนอ่อนไหวของเธอก็ถูกความแข็งขึงแทรกลึกเข้ามา

“อื้อ!”

ธีรดนย์จับร่างคนเด็กกว่าให้นอนคว่ำ ฝ่ามือดันแผ่นหลังเนียนให้แนบสนิทบนเตียง หลังจากนั้นท่อนกายร้อนผ่าวก็เสยแทรกเข้าไปราวกับต้องการลงโทษ ทว่าคงเป็นบทลงโทษที่เบามาก คนใต้ร่างเขาถึงได้ครางหวามแทนที่จะห้ามปราม 

“อือ ดีจัง”

เสียงบอกอู้อี้เมื่อใบหน้าแนบชิดอยู่กับหมอน ถึงอย่างนั้นคนฟังอย่างธีรดนย์กลับยังจับใจความได้ แถมยังเป็นถ้อยคำที่ทำเอาร่างกายเขาร้อนลวกจนแทบระเบิด คำพูดคำจาของคนใต้ร่างนั้นน่าตีจนต้องสวนสะโพกเข้าใส่หนักๆ แทนการลงโทษ

“ดื้อ”

รินลดาชักจะดื้อดึงขึ้นทุกวัน ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อ เขาก็ไม่รู้จะอดทนไม่จัดการเธอหนักๆ ไปได้ถึงเมื่อไร

“ถ้าพรุ่งนี้ไปเรียนไม่ได้อย่ามาโทษอา”

คุณอาข้างบ้านว่าเสียงดุ และความดุดันนั้นก็ไม่ต่างจากร่างกายท่อนล่างที่ตอกเข้าหา มันทั้งแนบแน่นและล้ำลึก ยิ่งพอถูกกระตุ้นเร้าจนถึงขีดสุด สะโพกสอบก็ยิ่งขยับเป็นจังหวะรัวเร็ว 

นาทีนี้ธีรดนย์คิดว่าเขาไม่ต่างจากคนฟิวส์ขาด เขาเสียการควบคุมตั้งแต่ถูกรินลดาอ้าปากดูดกลืนแก่นกายแล้ว ยิ่งยามที่คนใต้ร่างร่อนสะโพกเข้าหาราวกับต้องการยั่วเย้า นัยน์ตาของเขาก็ยิ่งวาววับและเต็มไปด้วยความต้องการ

กรามแกร่งของคุณอาข้างบ้านขบกันแน่นจนเห็นเป็นสัน ฝ่ามือใหญ่ก็คอยบีบเคล้นอยู่กับเอวคอดเล็กที่เขายึดครองอย่างเหนียวแน่น ธีรดนย์ต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมากที่จะไม่ทำอะไรรุนแรงตามอารมณ์ แต่เหมือนคนตรงหน้าจะไม่ให้ความร่วมมือแม้แต่น้อย เพราะไม่เพียงแค่ไม่ห้าม แต่เจ้าตัวยังหันใบหน้ามามองเขาแล้วยิ้มพราย 

“เฟื่อง อื้อ เฟื่องโทร. มาบอกแล้วว่าอาจารย์ยกคลาส” เสียงตอบกระท่อนกระแท่น แต่ก็ยังพยายามอธิบายถึงเหตุผลที่ตัวเองจะไม่ไปเรียนสาย

ความอดกลั้นทั้งหมดขาดสะบั้นลงเมื่อธีรดนย์ได้ยินคำพูดที่นึกไม่ถึง

“เพราะงั้นอาธี...รังแกรินได้ตามสบายเลยนะคะ”

ได้เลยรินลดา แล้วเขาจะทำให้เธอรู้ว่าไม่ควรท้าทายคนแก่กลัดมันแบบนี้อีก!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น