5

ในฐานะ ‘เด็กของอา’

5

ในฐานะ ‘เด็กของอา’

 

คนหลับสนิทบนเตียงเพราะเหน็ดเหนื่อยจากความหวามไหวเมื่อวานค่อยๆ ลืมตาขึ้น แสงสว่างที่ลอดเข้ามาเพียงน้อยนิดทำให้รินลดาเดาไม่ออกว่าตอนนี้เป็นเวลาอะไร เธอค่อยๆ กวาดดวงตาคู่สวยมองรอบห้องที่ยังไม่คุ้นชินแต่ก็จำได้ แน่นอนว่าเป็นห้องของคนที่อุ้มเธอมาวางบนเตียงตั้งแต่เมื่อวาน

เรื่องนั้นไม่แปลกอะไร แต่เรื่องที่ทำให้รินลดาแปลกใจคือชุดนอนสีครีมที่เธอสวมอยู่ต่างหาก เธอจะไม่รู้สึกคันหัวใจยุบยิบเลย หากว่าชุดนี้ไม่ใช่ชุดนอนของผู้หญิง

ชุดของใคร…

แล้วเขามีชุดแบบนี้เก็บไว้ในห้องได้อย่างไร

รินลดารู้สึกสมองวิ้งๆ เพราะความโกรธ ไม่รอให้เสียเวลาหญิงสาวรีบขยับลงจากเตียง พาตัวเองเดินดุ่มออกมาด้านนอก ไม่รับรู้เลยสักนิดว่านอกจากชุดนอนตัวยาวที่สวมอยู่ ข้างในปราศจากชุดชั้นในชิ้นใดทั้งนั้น

“ตื่นแล้วเหรอ” 

พอเดินออกมาถึงด้านนอกเธอก็เจอใครบางคนที่ยังส่งเสียงทักทายกันเป็นปกติ คุณอาข้างบ้านอยู่ในชุดนอนสบายๆ เช่นเดียวกับเธอ ในมือของเขามีแก้วกาแฟส่งกลิ่นหอมอบอวล พอเธอเดินเข้าไปใกล้ก็ดูเหมือนความสนใจของเขาจะกลับมาหยุดอยู่ที่เธออีกครั้ง

“มานั่งก่อนสิ เดี๋ยวอาเอากับข้าวไปอุ่นให้ อาสั่งตั้งแต่เมื่อเช้ามันน่าจะเย็นแล้ว”

ท่าทางไม่เป็นเดือดเป็นร้อนนั้นทำเอาคนโกรธขึ้งอย่างรินลดาลมแทบจับ เขาไม่รู้สึกอะไรเลยหรือกับการเอาเสื้อผ้าของผู้หญิงคนอื่นมาให้เธอใส่

“ชุดของรินหายไปไหนคะ รินไม่อยากใส่ชุดนี้ อาธีเอาชุดของใครมาให้รินใส่”

คนไม่พอใจถามเสียงขึ้นจมูก ยกท่อนแขนเล็กกอดแนบอกอย่างต่อต้าน ตอนนั้นเองที่รินลดาเพิ่งรู้ว่าร่างเธอใต้ชุดนอนตัวบางนั้นโล่งโจ้ง

“ไม่ใช่ของสาวๆ อาก็แล้วกัน มันเป็นชุดใหม่ เราไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก”

ธีรดนย์ไม่อธิบายอะไรมากกว่านั้น เขาปล่อยให้เด็กน้อยตัวบางตีหน้ายุ่งใส่อย่างแง่งอน พอเห็นแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะขยับเข้าไปหา โน้มใบหน้าหล่อเหลาลงไปใกล้แล้วกดปลายจมูกลงบนแก้มกลมๆ ของเธอโดยอัตโนมัติ

“ฮื้อ! ไม่ต้องมาหอมรินเลยนะ” รินลดาส่งเสียงโวยวายไม่ยินยอม แต่ถามว่าเขาฟังไหม คำตอบคงอยู่บนแก้มทั้งสองข้างของเธอที่ถูกเขาสลับฟัดไปมาจนได้ยินเสียงดังฟอดไม่หยุด

“หยุดดื้อแล้วมานั่งรอก่อน ตอนนี้มันเกือบจะเที่ยงแล้ว รินควรทานข้าว ถ้าไม่อยากปวดท้อง”

“รินไม่กลัวปวดท้องหรอกค่ะ ตอนนี้รินอยากกลับบ้านมากกว่า”

ธีรดนย์พอเข้าใจสาเหตุที่อยู่ๆ อีกฝ่ายก็ลุกขึ้นมาดื้อดึง เขาไม่โกรธ ตรงข้ามกลับมันเขี้ยวจนอยากบีบปากแดงๆ นั่นสักที หรือถ้าจะให้ดีก็อยากจูบเธอหนักๆ อีกสักหน เมื่อคืนเขายั้งแรงไว้มากเสียด้วย จะแปลกอะไรถ้าตอนนี้เขายังอยากรังแกเธออยู่

“ถ้าไม่กินข้าว อาก็ไม่ให้กลับ”

แม้จะอยากทำแค่ไหน แต่ธีรดนย์ก็รู้ว่ายังไม่ใช่เวลา รินลดายังเพลียอยู่ และเขามั่นใจว่าเธอกำลังหิว เขาเป็นห่วงเรื่องนี้มากกว่า ทว่าเหมือนความเป็นห่วงของเขาจะถูกตีความผิดไปไกลทีเดียว

“อาธีไม่ต้องมาขู่ริน รินไม่กลัวอาธีหรอกนะคะ”

คนที่อ้างว่าตัวเองถูกข่มขู่เชิดหน้าสูงอย่างไม่นึกกลัว แต่พอร่างใหญ่หนาของอีกฝ่ายก้าวเข้าหาเธอกลับเดินถอยหลังเร็วๆ จนแผ่นหลังแทบติดบานประตูที่เธอเพิ่งเปิดออกมา 

รินลดาอึกอัก เตรียมคำพูดต่อว่า อารมณ์หวามไหวแทบขาดใจเมื่อคืนหายไปในอากาศ ไม่สิ ยังไม่หายไป แต่ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกอย่างอื่น เธอโกรธเคืองและไม่เคลียร์เรื่องเสื้อผ้าที่สวมอยู่ ถึงมันจะเหมือนชุดใหม่อย่างที่เขาบอกจริงๆ ก็ตาม

“แน่ใจเหรอว่าไม่กลัว”

“นะ…แน่ใจสิคะ แค่หาทางกลับบ้าน รินทำเองได้สบายอยู่แล้ว”

เรื่องอะไรเธอจะยอมรับว่ากลัวกันเล่า รินลดากระแอมไอกระไอ ยืนยันคำพูดตัวเองจบก็กลับมายืนตัวตรงด้วยความมั่นใจอีกครั้ง โดยไม่รู้เลยว่าท่าทางนั้นน่าเอ็นดูในสายตาคนมองมากแค่ไหน

“งั้นก็ดี ตอนแรกอาตั้งใจจะไปส่งเราหลังทานข้าวเสร็จ แต่ตอนนี้อาเปลี่ยนใจแล้ว ทำอย่างอื่นกับเราน่าจะสนุกกว่า”

อย่างอื่นที่ว่าน่ะเขาหมายถึงรอเสื้อผ้าของเธอที่ส่งซัก เพราะกว่าจะได้คงใช้เวลาอีกร่วมชั่วโมง ทว่านั่นไม่ใช่เรื่องที่ธีรดนย์อยากอธิบายในตอนนี้

ชายหนุ่มยิ้มพรายพลางขยับเข้าหาคนเด็กกว่าที่ดูออกว่าพยายามเก็บสีหน้าแตกตื่นไว้อย่างสุดความสามารถ เห็นเช่นนั้นเขาก็เกือบกลั้นยิ้มไม่อยู่ 

นี่น่ะเหรอคนที่บอกว่าไม่กลัวกัน ถอยร่นจนแผ่นหลังแนบบานประตูนี่เรียกว่าอะไร 

“เอาละ หมดทางหนีแล้วรินลดา ทีนี้จะทำยังไงต่อดี”

ไล่ต้อนมาเรื่อยๆ จนสุดทาง สุดท้ายร่างสูงใหญ่ของคุณอาข้างบ้านก็คร่อมอีกฝ่ายไว้มิด รินลดาใช้มือเล็กๆ ดันอกเขาไว้ ชายหนุ่มได้ยินเธออ้อมแอ้มว่า...

“ระ...รินไม่มีแรงเหลือแล้วนะคะ รินยังเพลียอยู่เลย แล้วรินก็หิวข้าวมากด้วย”

เขาเคยได้ยินจอมทัพพูดคำว่า ‘น่ารักจนใจเจ็บ’ บ่อยครั้ง ในตอนนั้นเขายังเถียงสุดใจว่าเป็นไปได้ด้วยหรือ มีใครสามารถใจเต้นแรงจนเจ็บเพราะความน่ารักได้ แต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว เพราะคนที่ยืนตรงหน้านี้น่ารักจนใจเขาเจ็บไปหมดจริงๆ 

“งั้นก็มากินข้าว ก่อนอาจะกินเราแทนมื้อเที่ยง”

สิ้นคำนั้นรินลดาก็ไม่รอให้เขาเปลี่ยนใจ เธอรีบมุดออกมาจากอ้อมแขนของคุณอาข้างบ้านแล้วตรงลิ่วเข้าห้องครัวโดยไม่ต้องให้เขาเอ่ยซ้ำ 

ก็ไม่ได้จะกลัวเท่าไรหรอกนะ แต่วันนี้เธอแค่ไม่พร้อมเท่านั้นเอง!

 

หลังรับประทานมื้อเที่ยงและรอเสื้อผ้าที่ส่งซักแล้วเสร็จ ธีรดนย์ก็ขับรถมาส่งรินลดาตามสัญญาที่ให้ไว้ แต่ผิดคาดที่เขาไม่ได้ส่งเธอแค่ด้านล่าง แต่ตามเจ้าตัวขึ้นมาจนถึงห้องพักหน้าตาเฉย 

ระหว่างทางเขาลอบสำรวจความเรียบร้อยโดยรอบ ความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมทั้งหมดถือว่าเป็นไปตามมาตรฐาน ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรือกังวล เข้ามาในห้องพักเขาก็ยังไม่หยุดสำรวจพื้นที่โดยรอบที่สะอาดและเป็นระเบียบ แถมยังถือวิสาสะเดินตามคนตัวเล็กไปรอบๆ ห้อง ยกเว้นไม่ได้ตามเข้าไปในห้องนอนตอนเธอไปเปลี่ยนชุดเที่ยวเมื่อคืนออก 

ตอนนี้รินลดาสวมชุดอยู่ห้องสบายๆ เรียบร้อยแล้ว เป็นเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงผ้าขาสั้น มัดเส้นผมยาวสีน้ำตาลเป็นหางม้าหลวมๆ เผยให้เห็นลำคอระหงได้สัดส่วน พอเธอก้มหยิบของ คนแอบมองอยู่ก็ถึงกับต้องหันหน้าไปทางอื่น เพราะเห็นร่องรอยสีหวานที่ตัวเองทำไว้ 

มันไม่ได้น่าเกลียด 

ไม่เลยสักนิด 

แต่แค่ได้เห็นแวบๆ ร่างกายของเขาก็พลันร้อนผ่าวจนนึกอยากอาบน้ำขึ้นมาอีกหน

ธีรดนย์กระแอม เป็นอีกครั้งที่เขาเสียอาการให้รินลดาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ปกติแล้วเขาควบคุมตัวเองได้เป็นอย่างดี แต่กับคนตรงหน้านี้เขาพานจะหลุดการควบคุมอยู่เรื่อยเลย

“อาหิวน้ำ ขอน้ำให้อาสักแก้วได้ไหม”

คนถูกขอมีสีหน้ายุ่งเล็กน้อย ถึงอย่างนั้นก็เดินไปที่ตู้เย็น รินน้ำใส่แก้วมาให้คนขออยู่ดี ความจริงรินลดาอยากไล่อีกฝ่ายกลับห้องตั้งแต่เขาเดินตามขึ้นมาบนนี้แล้ว เธอยังโกรธอยู่นิดๆ แต่กลับรู้สึกดีอย่างน่าประหลาดตอนได้เห็นเขาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ แน่นอนว่าเธอไม่คิดเผยความลับนี้ออกไป

“เมื่อไหร่อาธีจะกลับคะ”

“เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ทีเราอยู่ห้องอาทั้งคืน อายังไม่บ่นสักคำ”

รินลดาได้แต่ฮึดฮัดขัดใจ ทว่าพอเห็นใบหน้าหล่อเหลามีรอยยิ้มพราย ใจก็คล้ายจะอ่อนดื้อๆ 

เมื่อก่อนเขาก็ยิ้มกับเธอบ่อยอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เธอรู้สึกว่ารอยยิ้มของเขามีบางอย่างเปลี่ยนไป สายตาที่ใช้มองเธอก็เช่นกัน นอกจากความเอ็นดูแล้วยังมีความรู้สึกอย่างอื่นเจืออยู่

รินลดาสงสัย แต่แน่นอนว่าเธอไม่กล้าถามออกไปหรอก เดี๋ยวถูกหาว่าละเมอหรือไม่ก็คิดไปเองอีก เธอเข็ดแล้วสำหรับเรื่องนั้น เขาอยากยิ้มแบบไหน อยากมองเธออย่างไรก็แล้วแต่เลย เธอจะไม่สนใจแล้ว

แม้เรื่องระหว่างเธอกับคุณอาข้างบ้านคนนี้จะข้ามขั้นมาไกลจนคาดไม่ถึง แต่รินลดากลับไม่กระอักกระอ่วนแต่อย่างใด อาจเพราะความรู้สึกที่เธอมีต่อเขามาเนิ่นนานได้รับการตอบสนองละมั้ง เธอถึงทำตัวเป็นปกติได้อยู่ แม้จะยังไม่รู้ความรู้สึกของเขา แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทั้งหมดนี้เป็นเธอที่ยินยอมพร้อมใจ 

“ทำหน้ายุ่งอะไร บ่นอาในใจอยู่เหรอ”

“รินเปล่า” 

ตกลงว่าเป็นนักธุรกิจหรือเป็นหมอดู รินลดาค่อนขอดคนตัวสูงในใจเมื่อถูกถามจี้เสียตรงจุด หรือที่เขารู้เพราะหน้าตาเธอแสดงออกโจ่งแจ้งเกินไป 

“แล้ววันนี้อาธีไม่ทำงานเหรอคะ”

“ไม่ละ อาอยากพัก”

ก็เลยมีเวลามาก่อกวนเธออย่างนั้นสินะ

อันนี้รินลดาแค่คิด ไม่ได้พูดออกไป แต่ไม่บ่อยเลยที่เธอจะได้ยินคุณธีรดนย์คนนี้บอกว่าอยากพัก เธอรู้ว่าคุณอาหนุ่มทำงานเป็นที่ปรึกษาด้านการเงิน นอกจากนั้นยังมีหุ้นในธุรกิจอีกหลายอย่าง ทั้งที่ร่วมลงทุนกับเพื่อนฝูงและคนเก่งๆ เขาที่ไว้วางใจ โดยปกติแล้วเขามักทำงานอยู่บ้านในช่วงเช้า เป็นเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่เธอรู้สึกว่าเป็นช่วงที่เขาดูเคร่งขรึมจริงจังที่สุด 

เขาเคยบอกเธอว่าไม่ค่อยชอบการทำงานในออฟฟิศ และไม่อยากนั่งบริหารเอง จึงเลือกเป็นฝ่ายลงทุนและรับผลตอบแทนในฐานะหุ้นส่วนมากกว่า ส่วนงานที่ปรึกษานั้น ที่ยังทำอยู่เพราะสนุกและค่าตอบแทนเป็นที่น่าพอใจ แต่รินลดารู้ดีว่าคำว่าน่าพอใจของเธอกับเขาต้องต่างกันมากแน่นอน ซึ่งคำว่าน่าพอใจนี้เธอหมายถึงเรื่องเงินล้วนๆ เลย 

การทำงานของเขาส่วนใหญ่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว นานๆ ครั้งเขาถึงจะเข้าบริษัทสักที หรือไม่อย่างนั้นก็บินไปทำงานต่างประเทศ ซึ่งแต่ละครั้งอยู่ยาวเกินสัปดาห์ 

ช่วงเวลานั้นเองที่เป็นความทรมานของเธอเมื่อต้องห่างจากเขา

เริ่มแรกรินลดายอมรับว่าความรู้สึกเธอเกิดจากความประทับใจ เธอปลื้มคุณอาข้างบ้านคนนี้ตั้งแต่เขาอนุญาตให้เข้านอกออกในบ้านได้ตามสะดวก ต่อมาเธอก็ชอบในความใจดีและความอบอุ่นของเขา 

คุณธีรดนย์ใจดีและเอาใจใส่เธอเสมอ แม้เธอจะเป็นเพียงเด็กข้างบ้าน เด็กที่บางครั้งก็ดื้อดึงและเอาแต่ใจเสียด้วยซ้ำ แต่เขายังคอยสอน คอยแนะนำเธออย่างใจเย็นมาตลอด ขนาดที่ว่าคุณป้าของเธอยังยกความดีความชอบให้จนและไว้วางใจเขา 

รินลดายอมรับว่ามีช่วงหนึ่งที่เธอสับสนกับความรู้สึกของตัวเองอย่างหนัก แต่ทุกอย่างก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเมื่อเธอนึกไปถึงความจริงว่า วันหนึ่งเขาต้องมีคนรัก เขาต้องแต่งงานมีครอบครัว เพียงเท่านั้นหัวใจที่ปวดหน่วงของเธอก็ได้คำตอบ 

คำตอบที่ว่าเธอหลงรักคุณอาข้างบ้านคนนี้เข้าแล้ว

ที่ผ่านมาคุณธีรดนย์ไม่เคยใจร้ายกับเธอสักครั้ง ดูเหมือนมีแค่เรื่องนั้นเรื่องเดียวที่เขาทำเธอร้องไห้ และเป็นเรื่องเดียวที่ทำให้เธอเสียใจมาจนถึงตอนนี้ พอมานั่งนึกๆ เธอก็เริ่มเข้าใจความรู้สึกของเขาบ้างแล้ว การกระทำของเธอตอนนั้นทั้งเด็กและเอาแต่ใจเกินไป เธอไม่แปลกใจเลยที่เขาเลือกปฏิเสธ ใครจะอยากปวดหัวกับเด็กอย่างเธอกัน สู้คบผู้หญิงที่ทั้งรู้งานและรู้ใจย่อมดีกว่าเห็นๆ 

“วันนี้รินมีแพลนจะทำอะไรบ้าง” 

รินลดาหลุดจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงกระซิบจากด้านหลัง หญิงสาวหยิบหัวใจที่ร่วงหล่นขึ้นมาแล้วตั้งสติอีกครั้ง

“อาธีถามทำไมคะ”

“อาอยากทำด้วย”

“ทำไมต้องมาอยากทำตามรินด้วยล่ะ”

รินลดาอยากรู้ แต่คนถูกถามกลับชะงักไป แบบนี้มันแปลก คุณธีรดนย์แปลกมาก เขาเปลี่ยนไป พานให้เธอนึกถึงคำพูดของเฟื่องฟ้าที่คุยกันก่อนหน้านี้ 

‘เฮียทัพบอกว่าอาธีพาแกไปง้อ’

‘แล้วเป็นไง ง้อกันสำเร็จหรือเปล่า คิกๆ’

แต่ก่อนวางสายเพื่อนตัวดีก็ยังไม่วายล้อเลียนให้เธอได้เขินอายเล่น รินลดาเก็บคำพูดของเพื่อนมาคิดไม่หยุด 

“ต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ อาก็แค่อยากทำ”

ทว่าสุดท้ายเธอก็ถูกดึงกลับสู่ความจริงอีกครั้ง เมื่อได้ยินคำตอบแบบกำปั้นทุบดินจากคนตัวสูงตรงหน้า

“ว่าไง รินยังไม่ตอบคำถามอา”

ไม่ถามเปล่า แต่คนรอทำตามแพลนยังทำท่าจะขยับเข้าใกล้กันมากกว่าเดิม ใกล้จนรินลดาต้องรีบเบี่ยงใบหน้าออกแล้วรัวคำตอบ ไม่อย่างนั้นแพลนที่วางไว้อาจมีใครบางคนแทรกกิจกรรมอย่างอื่นเข้ามาแทน

“รินคงดูซีรีส์มั้งคะ อาธีจะดูกับรินเหรอ”

กิจกรรมก่อนเปิดเทอมของนักศึกษาอย่างเธอคงเป็นการดูซีรีส์ที่ค้างไว้ให้จบ ซีรีส์เกาหลีแนวแฟนตาซีที่มีพระเอกเป็นยักษ์และยมทูตผู้แสนหล่อเหล่า และดูเหมือนตอนนี้ข้างกายของเธอจะมียักษ์ตนหนึ่งปักหลักยืนรออย่างแน่วแน่ 

สุดท้ายพอทำอะไรไม่ได้ รินลดาจึงต้องกดเปิดทีวีที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต จากนั้นก็กดเข้าไปยังช่องแอปพลิเคชันดังสำหรับดูซีรีส์โดยเฉพาะ สิ่งต่อมาที่ขาดไม่ได้ก็คือขนมขบเคี้ยว ซึ่งเพื่อนที่รู้ใจอย่างเฟื่องฟ้าหอบหิ้วมาฝากหลายอย่าง

ชีวิตของนักศึกษามหาวิทยาลัยจะมีความสุขมากกว่านี้ได้อีกเหรอ แต่ความสุขที่เธอว่าหมายถึงแค่ตอนปิดเทอมหรอกนะ ไม่นับช่วงเปิดเทอมที่อาจารย์สั่งงานราวกับจะไม่มีวันพรุ่งนี้อีก แค่คิดเธอก็เหนื่อยจนต้องเปลี่ยนมากดเลือกซีรีส์ที่ดูค้างไว้กลางเรื่องแทน

รินลดาหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟาที่จะกลายเป็นตัวโปรด ทำทีเป็นมองไม่เห็นใครบางคนที่เดินตามเข้ามาเงียบๆ ทว่าความสุขของเธอกลับต้องหายไปอีกครั้ง เพียงเพราะคนตัวใหญ่ทิ้งตัวนั่งเบียดข้างๆ 

“ทำไมต้องมานั่งเบียดรินด้วยล่ะคะ”

หญิงสาวไม่ค่อยเข้าใจนัก มือที่แกะถุงขนมชะงัก แล้วหันมองคนข้างกายอย่างต้องการคำตอบ แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่เป็นเดือดเป็นร้อนเหมือนเดิม แถมยังใช้จังหวะที่เธอนิ่งเงียบรอคำตอบฉวยเอาถุงขนมไปแกะให้เสร็จสรรพ

“ขะ…ขอบคุณค่ะ”

คนบนโซฟาตัวเดียวกันเอ่ยขอบคุณอย่างเก้อเขิน จะโวยวายต่อก็ไม่ได้เพราะดันรับเอาถุงขนมจากมือเขามาถือไว้ด้วยความเคยชิน เรียกว่าตั้งแต่อยู่กับเขาเมื่อคืนมาจนถึงตอนนี้ อารมณ์ของเธอเหวี่ยงขึ้นลงเป็นรอบที่เท่าไรก็ไม่รู้

“นั่งที่อื่นอามองไม่เห็นตัวหนังสือ”

ธีรดนย์บอกด้วยท่าทางสบายๆ เอนหลังกับพนักโซฟาพลางหยิบหมอนใบเล็กมาวางบนตัก เรื่องสายตาสั้นเขาไม่ได้โกหก ปกติเขาไม่ดูอะไรที่ต้องอ่านคำอธิบายอยู่แล้ว จึงไม่คุ้นชิน ยิ่งซีรีส์เกาหลีที่จะดูยิ่งแล้วใหญ่ เรียกว่านี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ 

แต่ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องมองไม่เห็นนั้นไม่ใช่เหตุผลทั้งหมด

“อาไม่ได้ใส่แว่น รินก็เห็น”

“รินก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่คะ”

ธีรดนย์ยิ้มเมื่ออีกฝ่ายยอมฟังเหตุผล หลังจากนั้นแพลนที่ตั้งไว้แต่แรกจึงเริ่มดำเนินต่อ คุณอาข้างบ้านปล่อยให้คนเด็กกว่าจดจ่อกับจอโทรทัศน์โดยไม่รบกวนอะไรอีก อย่างมากก็แค่หยิบขนมใส่มือตอนเธอร้องขอ แต่กลับกลายเป็นว่าเขาดันมีประโยชน์ขึ้นมาเสียอย่างนั้น 

มีประโยชน์ขนาดที่ว่าขยับเข้าใกล้จนตัวติดกัน คนข้างกายก็ไม่คิดโวยวายออกมา 

เสียงกรอบแกรบของถุงขนมดังบ้างหยุดบ้างตามความลุ้นระทึกบนหน้าจอ รินลดาไม่ได้สนใจเขาอีก ทำราวกับเรื่องเมื่อคืนเป็นเพียงอดีต แถมยังเป็นอดีตที่มีแค่เขาคนเดียวที่ทุกข์ร้อนอีกต่างหาก 

แต่ธีรดนย์รู้ดีว่าที่เป็นแบบนี้เพราะเธอยังเคืองเรื่องเสื้อผ้าชุดนั้นอยู่ ความจริงมันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย เพราะเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ว่าเป็นของนีรชา น้องสาวเขา แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงไม่ยอมอธิบายออกไป บางทีคงเพราะเขาอยากเห็นสีหน้าบึ้งตึงแต่น่ามองของเธอนั่นละมั้ง 

คนกำลังมีความสุขกับตัวเองยิ้มกริ่ม รินลดาเป็นเด็กดื้อเงียบ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ฟังเหตุผล เธอไม่ได้เชื่อฟังคำพูดของทุกคนที่บอกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่หรืออาบน้ำร้อนมาก่อน ยิ่งยามที่เธอถามถึงเหตุผลแล้วอีกฝ่ายตอบไม่ได้ ยิ่งทำให้เขาเห็นว่าเธอมีความคิดเป็นของตัวเอง 

การอยู่กับรินลดาเหมือนเขาได้พัฒนาตัวเองไปด้วย เพราะในวันหนึ่งๆ เด็กคนนี้มักมีเรื่องมาถามหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเขามากมาย ดังนั้นตอนเธอหายไป เขาถึงรู้สึกว่าชีวิตของตัวเองขาดอะไรบางอย่าง 

และไม่ต้องคาดเดาก็รู้ว่านั่นคือรินลดา 

คุณอาข้างบ้านนั่งเงียบๆ ทว่ายังชำเลืองมองเด็กข้างกายเป็นระยะ ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่สายตาของเขามักหยุดอยู่ตรงนั้นเสมอ ความจริงอาจจะเป็นมาสักพักแล้ว แต่เขาเลือกปฏิเสธความรู้สึกแปลกประหลาดที่มี คำปรามาสที่บอกว่าเธอกำลังสับสน แท้จริงแล้วคนสับสนคือเขาต่างหาก

แต่ในตอนนี้ธีรดนย์ยอมรับว่ารู้ตัวแล้ว เขารู้แล้วว่าตัวเองก็รักเด็กคนนี้มากเช่นกัน

ตุ้บ!

แต่แล้วสัมผัสหนักๆ ที่หล่นลงมาบนไหล่ทำเอาคนอยู่ในภวังค์ความคิดอย่างธีรดนย์ต้องรีบหันไปมอง แล้วเขาก็ต้องระบายยิ้มมุมปากเมื่อเห็นว่าสิ่งนั้นคืออะไร รินลดาหลับไปแล้ว หลับทั้งที่แผ่นหลังยังถูกเขาประคองไว้อยู่ คนที่เคยตาแป๋วมองจอคอพับลงกับไหล่ของเขา จนเขาต้องรีบขยับตัวโอบเธอไว้แน่นกว่าเดิม

ธีรดนย์หัวเราะเบาๆ ไม่รู้เลยว่าควรรู้สึกอย่างไรในตอนมองแก้มนุ่มๆ ของใครบางคนซุกหามุมสบายบนไหล่ของตัวเอง เขารู้แค่ว่าอยากจะยิ้มไม่หยุด

“หมดฤทธิ์ซะแล้ว คนเก่งของอา”

คนโตกว่ากระซิบเสียงแผ่ว ก้มมองคนในอ้อมแขนด้วยความรู้สึกมากมายที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ มันเต็มไปด้วยความรักใคร่และหวงแหน ที่มากที่สุดในตอนนี้คือความเป็นห่วง รินลดาคงเหนื่อยและเพลียมาก เมื่อคืนเขาเอาแต่ใจไปไม่น้อย ขนาดว่ายั้งแรงให้แล้ว แต่เธอยังตัวอ่อนเหลวหมดเรี่ยวแรง มาตอนนี้ถึงได้หลับใส่เขาเสียดื้อๆ 

ธีรดนย์รู้สึกผิดที่เอาแต่ใจ แต่พอคิดถึงยามที่ได้ยินอีกฝ่ายร้องเรียกชื่อกันเสียงพร่า เขาก็อดใจไม่ได้ ยิ่งยามที่ใบหน้าสวยหวานช้อนมองพลางวอนขอให้ทำซ้ำๆ ยิ่งไม่อยากอดทน เขาเองก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูนถึงได้จะทนไหว สุดท้ายก็เผลอตามใจเธอและเอาแต่ใจไปเกือบค่อนคืน 

คุณอาข้างบ้านค่อยๆ ขยับตัวลุกแล้วประคองคนตัวเล็กให้นอนลงบนโซฟาเบดตัวที่นั่งอยู่ เขาไม่ได้อุ้มเธอเข้าไปในห้องนอน เพราะกลัวจะรบกวนจนตื่น รินลดาควรพักผ่อนอีกสักนิด เขาจึงถือวิสาสะเดินเข้าห้องนอนเธอแล้วหยิบผ้าห่มผืนเล็กออกมาคลุมให้แทน

ธีรดนย์แตะริมฝีปากลงบนหน้าผากของคนเด็กกว่าเบาๆ ก่อนจะผละไปยังห้องครัว เขาตั้งใจจะทำอาหารไว้รอคนเหนื่อยจนหมดแรง เพราะตอนนี้ก็เป็นเวลาบ่ายแก่ๆ แล้ว รินลดาอาจจะตื่นมาในช่วงหัวค่ำ ซึ่งพอถึงตอนนั้นเจ้าตัวคงจะหิว 

คุณอาข้างบ้านคิดเผื่อเป็นขั้นเป็นตอน ทว่าพอเปิดประตูตู้เย็นกลับไม่มีทั้งวัตถุดิบสำหรับทำอาหาร ไม่ต้องพูดถึงของที่มีคุณค่าทางโภชนาการ เพราะมีแต่ขนมขบเคี้ยวพร้อมรับประทานเท่านั้น 

ธีรดนย์ส่ายหน้าช้าๆ เขารู้ว่ารินลดาไม่ถนัดงานบ้านงานเรือน แต่นั่นไม่ใช่เรื่องน่ากังวลใจอะไร เพราะเขายินดีเป็นส่วนนั้นให้เธอทั้งหมด หรือถ้าเจ้าตัวอยากเรียนในอนาคตเขาก็พร้อมสอน

เป็นคอร์สทำอาหารกับ ‘สามีในอนาคต’ ก็ไม่เลวนักหรอก

 

รินลดาสะดุ้งตื่นอีกครั้งท่ามกลางความเงียบ โทรทัศน์ในห้องนั่งเล่นปิดไปแล้ว มีเพียงเครื่องปรับอากาศที่ยังทำงานต่อเนื่อง ใจหญิงสาววูบโหวงเมื่อกวาดตามองไปโดยรอบแล้วไม่เห็นคนที่ก่อกวนกัน เธอเดินหาจนทั่วห้องก็ยังไม่เจอคุณอาข้างบ้านคนนั้นอยู่ดี

“กลับไปแล้วสินะ”

เสียงนั้นแผ่วเบาราวต้องการเย้ยหยันตัวเอง รินลดาฝืนยิ้ม ความคิดมากมายเล่นงานอยู่ในหัว เพียงแค่คิดว่าตัวเองก็ไม่ต่างกับผู้หญิงคนอื่นของเขาหัวใจก็พลันบีบแน่นจนเจ็บไปหมด หัวใจที่เคยพองฟูอยู่ๆ ก็กลับมาแห้งเหี่ยว ทว่าถึงอย่างนั้นเธอกลับไม่รู้สึกเสียดาย เพราะเธอตัดสินใจยอมรับสถานะนี้ตั้งแต่ก้าวข้ามความสัมพันธ์ทางกายกับเขาแล้ว

รินลดาบอกตัวเองว่ายังไงก็ต้องรับให้ไหว หรือถ้าไม่ไหวก็ควรเป็นเธอที่ต้องจัดการความรู้สึกของตัวเอง เขาไม่ได้บังคับขู่เข็ญ เป็นเธอที่ยินยอมพร้อมใจเองตั้งแต่ต้น เธอจึงไม่คิดถามหาความผิดชอบจากเขาให้วุ่นวาย ทว่าเจ็บปวดกับตัวเองได้ไม่นานนัก คนที่เธอคิดว่าหนีหายไปแล้วกลับเปิดประตูเข้ามา 

“อาธี”

“ว่าไง ตื่นแล้วเหรอเด็กขี้เซา”

ธีรดนย์ไม่นึกว่าจะได้ทักทายรินลดาด้วยประโยคที่คล้ายคลึงกันเป็นครั้งที่สองของวัน ต่างแค่ครั้งนั้นเขาตื่นมาสั่งอาหารให้เธอ แต่ครั้งนี้เขาออกไปซื้อวัตถุดิบทั้งหมดมาทำเอง 

เพราะตู้เย็นของเจ้าตัวไม่มีทั้งของสดและของแห้งสำหรับทำอาหาร เขาจึงถือวิสาสะหยิบกุญแจห้องและคีย์การ์ดของเธอแล้วออกไปที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ นี้เพื่อเลือกซื้อของ ทั้งของสด อาหารแช่แข็งอื่นๆ รวมถึงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปด้วย 

ธีรดนย์ส่งยิ้มให้ก่อนจะผละไปจัดเก็บของทั้งหมดที่ซื้อมาให้เข้าที่เข้าทาง ทว่าสัมผัสของท่อนแขนที่สวมกอดกันจากด้านหลังทำเอาคนอายุมากกว่าชะงักไปเล็กน้อย 

“อาธีไปไหนมาคะ”

รินลดาเกือบจะร้องไห้ตอนเอ่ยถาม เธอพยายามควบคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่น แต่ก็ยังแกว่งในท้ายประโยค ท่อนแขนเล็กกอดกระชับคนอายุมากกว่าไว้แน่น กอดเขาไว้ทั้งที่ร่างกายของตัวเองกำลังสั่น ขอบตาเธอร้อนผ่าวไปหมด ตอนแรกเธอคิดว่าจะทำใจไหว แต่พอเห็นเขากลับมาหากันเช่นนี้ เห็นเขายังใส่ใจเธอเหมือนเมื่อก่อนแบบนี้ ความเข้มแข็งที่พยายามสร้างขึ้นก็พังทลายลงในที่สุด

“อาแค่ออกไปซื้อของข้างนอก ตั้งใจจะทำอาหารให้ทาน แต่ตู้เย็นเราโล่งแบบนั้น อาเลยไม่รู้จะทำเมนูอะไร”

คนถูกถามตอบกลั้วหัวเราะ ทว่าอ้อมแขนที่รัดแน่นขึ้นทำเอาเขาไม่สบายใจเสียเลย ธีรดนย์ตัดสินใจหมุนตัวกลับไปหาคนตัวเล็กกว่า แล้วพอได้เห็นตาแดงๆ ของเธอใจเขาก็พลันอ่อนยวบ 

“เป็นอะไร บอกอาได้ไหม”

ชายหนุ่มลูบศีรษะพร้อมทั้งเอ่ยถามเสียงทุ้ม ตกใจไม่น้อยตอนอีกฝ่ายกอดแน่นราวกับมีเรื่องบางอย่างให้ขบคิด รินลดามักเป็นเช่นนี้ตอนที่เธอรู้สึกกังวล

“รินแค่ใจหาย รินนึกว่าอาธีกลับไปแล้ว”

รินลดายังซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเองเสมอ ซื่อตรงและจริงใจเสียจนเขารู้สึกผิดที่เคยปรามาสเธอไว้เมื่อครั้งก่อน 

“ตกใจเหรอ”

คนถูกถามพยักหน้าช้าๆ รินลดายังคงสวมกอดอีกฝ่ายแน่น ซบใบหน้าลงกับแผ่นอกของเขาพลางตอบคำถามด้วยเสียงอู้อี้ แต่ธีรดนย์ยังจับใจความได้อยู่ดี

“รินไม่อยากให้อาธีไปไหน อยากให้อาธีอยู่กับรินตลอดไป”

น่าแปลกที่คำพูดง่ายๆ นั้นทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง เต้นแรงมาก จนเขาคิดว่าคนที่กอดกันอยู่นี้คงรับรู้ได้

“อาก็ไม่ได้จะไปไหน ยังอยู่กับรินตรงนี้ไงครับ”

เขาไม่ได้จะไปไหน ไม่เคยคิดตั้งแต่แรกอยู่แล้ว 

“สัญญานะคะ”

“ครับ อาสัญญา”

รินลดาจำไม่ได้ว่าหลังจากนั้นเธอพรั่งพรูอะไรออกไปอีกบ้าง รู้แค่ว่ามันคงเป็นคำพูดที่เอาแต่ใจไม่น้อย แต่น่าแปลกที่เธอกลับจำรอยยิ้มแล้วเสียงหัวเราะของอีกฝ่ายได้ชัดเจน รวมถึงเสียงหัวใจที่เต้นแรงของเขาในตอนนั้นด้วยเช่นกัน

 

เพราะธีรดนย์ต้องคอยปลอบเด็กงอแงที่กอดเขาแน่นไม่ยอมปล่อย อาหารค่ำของวันนั้นจึงเป็นอาหารไทยง่ายๆ อย่างคะน้าน้ำมันหอยกับไข่ข้นกุ้งราดข้าวคนละจาน เพราะหลังจากรินลดางอแงจบ เธอก็หิวโหยอย่างที่เขาคาดการณ์ไว้ มื้อค่ำง่ายๆ ของพวกเขาจบลงภายในเวลาอันรวดเร็ว 

รินลดาที่ไม่ได้ออกแรงทำอาหาร จึงอาสาเป็นคนล้างจาน ธีรดนย์ไม่ได้ขัดข้อง เขากลับมานั่งรออยู่บนโซฟาตัวเดิม เพราะความจริงที่เขาตามเธอมาวันนี้ก็ไม่ใช่แค่จะก่อกวนอย่างที่เจ้าตัวเข้าใจ แน่นอนว่าเรื่องที่เขาจะคุยหนีไม่พ้นความสัมพันธ์ของเขาและรินลดาที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เขาตั้งใจจะทำเรื่องนี้ให้ถูกต้อง อยากให้ผู้ปกครองของเธอรับรู้ รวมถึงความสัมพันธ์ของเขาและเธอที่จะดำเนินไปในอนาคตด้วย

ธีรดนย์นั่งรออยู่ไม่นาน คนที่อาสาล้างจานก็เดินเข้ามาหา ใบหน้าสวยหวานแย้มยิ้มน้อยๆ สมกับเป็นเด็กน้อยที่กินอิ่มแล้วอารมณ์ดีจริงๆ 

“มานั่งตรงนี้สิ”

คนอารมณ์ดีย่นจมูกใส่เล็กน้อย นึกหมั่นไส้ใครบางคนที่ทำราวกับห้องของเธอเป็นห้องของตัวเองก็ไม่ปาน ทว่าพอคิดว่าห้องนี้จะมีเขาอยู่ด้วย หัวใจดวงน้อยก็อิ่มฟูขึ้นมาอีกหน 

“อ๊ะ!” 

ยังไม่ทันได้หย่อนตัวลงนั่งบนโซฟา รินลดาก็ต้องส่งเสียงร้องเมื่อฝ่ามือใหญ่ดึงเธอให้นั่งลงบนตัก

“อาธี เดี๋ยวก็จุกหรอกค่ะ”

น่าแปลกที่ควรโวยวาย แต่รินลดากลับเป็นห่วงสวัสดิภาพของอีกฝ่ายมากกว่า มาให้เธอนั่งทับตักแบบนี้มีหวังได้จุกกันพอดี 

“อาไม่เป็นไร ทีนี้ก็มาคุยเรื่องของเราได้แล้ว”

แม้จะพยายามหลีกเลี่ยงมากเท่าไร แต่ในที่สุดเรื่องที่เธอนึกกลัวมาทั้งวันก็กำลังจะเกิดขึ้นจริงๆ 

“รินขอพูดก่อนได้ไหมคะ”

“ได้สิ อารอฟัง”

ความจริงแล้วใช่ว่ารินลดาไม่รู้ถึงสาเหตุที่อีกฝ่ายยังคอยวนเวียนอยู่ใกล้ๆ เช่นนี้ เหตุผลของเขาคงมีไม่กี่อย่าง หากไม่ใช่เพราะเขาต้องการรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น เธอก็คิดไม่ออกแล้วว่ามีเรื่องใดอีก แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่รินลดาเห็นด้วยสักเท่าไร เธอไม่ได้อยากให้อีกฝ่ายมารับผิดชอบ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นก็เป็นความยินยอมของเธอด้วยส่วนหนึ่ง คงไม่แฟร์ถ้าเขาจะต้องเอาชีวิตที่เหลืออยู่มาผูกติดกับเธอ

“เรื่องที่เกิดขึ้น อาธีไม่จำเป็นต้องมารับผิดชอบรินหรอกนะคะ ทำเหมือนรินเป็นผู้หญิงอีกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของอาธีก็ได้” 

รินลดาพยายามรวบรวมความกล้า ก่อนจะค่อยๆ อธิบายถึงสิ่งที่คิดและตั้งใจให้อีกฝ่ายฟัง ทว่าคนรอฟังอย่างธีรดนย์กลับไม่คิดว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้ 

ในหัวของคุณอาข้างบ้านกรุ่นๆ และเต็มไปด้วยความไม่พอใจ เขาคงต้องคุยเรื่องนี้กับรินลดาอย่างจริงจังว่าเธอไม่มีทางเหมือนผู้หญิงที่แค่ผ่านเข้ามาในชีวิตเขาได้ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเขาและเธอจะไม่มีทางได้นั่งคุยกันแบบนี้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขาเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องทำอาหารหรือคอยดูแล แน่นอนการมานั่งกอดเธอบนตักแบบนี้ก็จะไม่มีทางเกิดขึ้นเช่นกัน

“รินอยากเป็นแค่เด็กในคลังของอาว่างั้น”

“ค่ะ อาธีให้รินเป็นแค่นั้นก็ได้”

“ตกลง”

หัวใจของรินลดาหล่นวูบเมื่อได้ยินคำตอบรับ ถึงอย่างนั้นเธอกลับไม่ได้โวยวายอะไร เธอตัดสินใจเด็ดขาดตั้งแต่ต้นแล้ว จะให้อยู่ในฐานะหรือความสัมพันธ์แบบนี้ก็ได้ ขอแค่ได้อยู่ข้างๆ เขาก็พอ

“แต่เด็กในคลังของอามีแค่คนเดียวนะ” 

“...”

“และเด็กคนนั้นก็คือริน”

รินลดาตกใจจนต้องรีบหันไปมองคนด้านหลัง และภาพแรกที่เห็นคือรอยยิ้มของอีกฝ่าย เป็นรอยยิ้มแสนอบอุ่นที่เธอคิดว่าจะไม่ได้เห็นอีกแล้ว แต่เพียงไม่นานภาพฝันของเธอก็ค่อยๆ หม่นลง เพราะนึกได้ว่าเคยเห็นเขายืนกอดผู้หญิงอีกคนอยู่หน้าบ้าน 

“แล้วผู้หญิงคนนั้นล่ะคะ”

ผู้หญิงที่เห็นแค่ข้างหลังยังสวยคนนั้น เขาเอาเธอไปเก็บไว้ตรงไหน 

“ถ้ารินหมายถึงผู้หญิงคนนี้...” 

ธีรดนย์คิดว่าเขาไม่อาจปล่อยความเข้าใจผิดนี้ไว้ได้อีกต่อไป จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเปิดเข้าไปในแกลเลอรี แน่นอนว่าทั้งหมดอยู่ในสายตาของคนบนตัก 

รินลดาหน้าร้อนนิดๆ เมื่อเห็นว่ารูปภาพในนั้นมีหน้าของเธอปะปนอยู่ นอกจากนั้นก็เป็นภาพทิวทัศน์ทั่วไป เขาเลื่อนไปมาอยู่ไม่นานก็กดหยุดที่รูปหนึ่ง ซึ่งเป็นรูปที่ธีรดนย์เพิ่งสั่งให้ใครบางคนถ่ายแล้วส่งมาให้

“คนนี้ใช่ไหม”

โทรศัพท์เครื่องเดิมถูกยื่นมาใกล้ๆ และพอได้เห็นดวงตาคู่สวยของรินลดาก็เบิกกว้าง เพราะเธอไม่คิดว่าสาวเซ็กซี่ผมสีไลแลคที่เธอเห็นจะเป็นคนคนนี้!

“นี่พี่นีนี่คะ!”

“ครับ”

ธีรดนย์ไม่แปลกใจที่รินลดาจำน้องสาวเขาไม่ได้ เพราะเขาเองยังเกือบจำเธอไม่ได้เช่นกัน นีรชาที่เปลี่ยนผมยาวสีน้ำตาลให้กลายเป็นสีม่วงตัดสั้นเพียงหัวไหล่ แถมยังเปลี่ยนการแต่งกายจากเดิมเพื่อให้เข้ากับรูปลักษณ์ใหม่ตามงานของเจ้าตัว 

ขนาดคนที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กอย่างเขายังเกือบจำไม่ได้ นับประสาอะไรกับรินลดาที่ปีละครั้งยังแทบไม่ได้เจอกัน

ความจริงเป็นเขาอีกนั่นแหละที่กีดกันไม่ให้น้องสาวตัวดีอยู่กับรินลดาตามลำพังโดยไม่มีเขา เพราะอย่างที่บอกว่านีรชาชอบจับคู่เขากับผู้หญิงไปทั่ว แน่นอนว่าหากอีกฝ่ายสนิทสนมกับรินลดาคงหนีไม่พ้นเรื่องนี้ เขาไม่อยากทำให้รินลดาอึดอัดเพราะความรู้สึกที่อาจถูกนีรชายัดเยียดให้ 

แต่กลายเป็นว่าตอนนี้เขากลืนน้ำลายตัวเองอึกใหญ่ หากน้องสาวเขารู้ รับรองว่าคงถูกล้อเลียนอย่างแน่นอน แต่เรื่องนี้ก็ช่วยไม่ได้จริงๆ ในเมื่อตอนนั้นเขายังไม่ได้คิดกับรินลดาในแง่ชู้สาว เธออยู่ในสถานะที่ไม่ต่างจากนีรชา แต่อยู่ในเวอร์ชันที่เด็กกว่ามากๆ 

“ระ...รินไม่รู้ว่าเป็นพี่นี”

“ไม่ใช่ความผิดเราครับ แต่เรื่องที่กล่าวหาอาไปทั่ว อันนี้คือความผิดเราเต็มๆ”

คนที่อยู่ๆ ก็ถูกคาดโทษวางสีหน้าไม่ถูก รินลดาไม่รู้ว่าควรตกใจเรื่องไหนก่อน ระหว่างเรื่องที่เธอเข้าใจผิดไปไกลกับคำคาดโทษที่ดังอยู่ข้างหูนี้

“แล้วห้องที่เราไปนอนเมื่อวานก็เป็นห้องที่อายกให้ยายนี เสื้อผ้าที่เราใส่ก็เป็นของยายนี” 

แม้กระทั่งเรื่องนี้เขาก็อธิบายจนกระจ่างแจ้ง รินลดานึกภาพไปถึงตัวเองที่ฟาดหัวฟาดหางกับเขาแล้วก็ได้แต่นั่งก้มหน้านิ่ง แต่เรื่องนี้จะโทษว่าเป็นความผิดของเธอคนเดียวคงไม่ได้ ในเมื่อเขาไม่อธิบายอะไรกับเธอสักอย่าง

“ทีนี้ก็รู้แล้วใช่ไหมว่าอาไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนในสังกัด”

รู้แล้ว คราวนี้รินลดารู้แล้วว่าผลของการคิดเองเออเองของเธอทำให้ทุกอย่างผิดเพี้ยนไปไกลแค่ไหน และคำพูดประโยคถัดมาของเขาทำเอาผิวแก้มของเธอร้อนผ่าวอีกครั้ง 

“อามีรินแค่คนเดียว”

เมื่อรินลดาพบว่าเธอเขินมากอยู่แล้ว แต่ผู้ชายคนนี้ก็ยังทำเธอเขินได้อีก แล้วแบบนี้จะให้เธอทำอย่างไร จะให้เลิกรักเขาได้อย่างไร บอกไว้ก่อนว่าเธอจะไม่ตัดใจอะไร ไม่เป็นเด็กในสังกัดแล้วด้วย เธอจะเป็น ‘คนรัก’ ของเขา 

คนรักเพียงคนเดียวของเขา!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น