6

คืนต้องมนตร์

 

เพนต์เฮาส์สุดหรูของสองทายาทตระกูลเศรษฐกุลก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมดังเช่นทุกครั้งที่ลดาได้มาเยือน หรูหรา โอ่โถง สะอาดสะอ้าน กลิ่นหอมแบบน้ำหอมชั้นเลิศลอยคละคลุ้งอยู่บนอากาศไม่ว่าจะเดินไปตารางนิ้วใดของที่นี่ก็ตาม เหล่าสาวใช้ก็ดูแลปรนนิบัติแขกผู้มาเยือนอย่างเธอดีชนิดที่ไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งเตรียมน้ำให้เธออาบ เตรียมเสื้อผ้าให้ใส่ เตรียมนมอุ่นให้ดื่มก่อนนอน

สาวหมวยออกจะเก้ๆ กังๆ สักหน่อย ไม่ชินกับการใช้ชีวิตที่มีคนตระเตรียมให้พร้อมสรรพทุกอย่างราวกับเป็นเจ้าหญิง ต่อให้เคยมาค้างที่นี่กับอลิน แต่มันก็แค่ครั้งเดียวเท่านั้น มาครั้งนี้อลินให้สิทธิ์เธอครอบครองเป็นเจ้าของเคหสถานสุดหรูเต็มที่ กระนั้นเธอก็มิอาจปล่อยใจปล่อยกายสบายๆ ได้อยู่ดีเพราะความเกรงใจ

‘จริงๆ อิงค์ให้เรานอนห้องไหนในโรงแรมก็ได้ ไม่เห็นจำเป็นต้องมาถึงเพนต์เฮาส์เลย’ 

ลดาคิด ขณะพาร่างเปียกชุ่มในชุดคลุมเนื้อนุ่มสีน้ำเงินเข้มออกมาจากห้องน้ำ คว้าแก้วนมอุ่นมาดื่มอึกใหญ่ เปิดดูเวลาในสมาร์ตโฟน ตอนนี้ปาไปเกือบห้าทุ่มแล้ว

เธอผละออกมานั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง จัดการใช้ไดร์เป่าผมจนแห้งสนิท สวมเสื้อผ้าที่สาวใช้เตรียมไว้ให้ ดวงตาเรียวเล็กกวาดมองครีมบำรุงผิวกับสกินแคร์และเครื่องประทินโฉมหลายกระปุกที่วางเรียงกันอยู่ตรงหน้า เธอไม่คิดจะแตะต้องมัน รู้ดีว่าของใช้ทุกอย่างของอลินล้วนเป็นของแบรนด์เนมมีราคา เงินเดือนทั้งเดือนของพนักงานกราฟิกธรรมดาๆ อย่างเธอยังซื้อไม่ได้เลย

คิดแล้วลดาก็ได้แต่ถอนหายใจ ใบหน้าขาวเนียนซีดลงถนัด ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกอะไรอยู่กันแน่เพราะรู้สึกเยอะเหลือเกิน มันปนๆ กันรวมเป็นความเศร้าก้อนหนึ่งจุกอยู่กลางอก

ก๊อกๆ...

เสียงเคาะประตูห้องทำให้หญิงสาวในภาพสะท้อนของกระจกเงาเลิกจมจ่อม เธอเงยหน้าหันมองไปทางประตู ก่อนจะลุกขึ้นก้าวเท้าเร็วๆ ไปเปิดประตูโดยไม่สนใจจะส่องตาแมวดูก่อน ด้วยเชื่อเหลือเกินว่าระบบความปลอดภัยของเพนต์เฮาส์แห่งนี้คือที่สุดแล้ว 

“มาคุยกันหน่อย”

“คะ?”

ลดาเลิกคิ้ว มองร่างสูงโปร่งในชุดนอนลายทางสีฟ้าคลุมทับด้วยเสื้อคลุมนอนสีเข้ม

วันนี้การปรากฏตัวของอธิษฐ์ทำให้เธอประหลาดใจครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ว่าจะปรากฏตัวอยู่ในผับตอนเธอกำลังถูกคุกคาม หรือปรากฏตัวอยู่หน้าห้องของเธอ (ตามหลักแล้วของอลิน) ในยามวิกาลเช่นนี้ 

“ตามมาสิ”

เขาหันหลังเดินนำออกไป ลดาจึงได้แต่เดินตามเขาไปอย่างเงียบเชียบ มีเพียงเสียงสลิปเปอร์ของเธอกับเขาที่ย่ำอยู่บนพื้นพรมผ่านประตูหลายบาน แสงไฟด้านนอกถูกปรับให้เป็นโทนอบอุ่นสบายตาสำหรับยามค่ำคืน ขณะนี้มีแค่เธอกับอธิษฐ์สองคน ไม่มีสาวใช้หลงเหลืออยู่เลยเหมือนในตอนแรกที่มา

“พี่ไอซ์คงไม่ได้กำลังคิดจะพาดาไปฆ่าหรอกใช่มั้ยคะ” เสียงหวานเอ่ยทำลายความเงียบในที่สุด 

“ถึงดาจะชอบพี่ไอซ์มาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าดาจะยอมตายด้วยน้ำมือของพี่ไอซ์นะ”

“ทำไมถึงคิดว่าพี่จะพาไปฆ่า” เขาถามกลับทั้งๆ ที่ยังไม่หยุดเดิน

“ไม่รู้สิคะ พี่ไอซ์พาดาเดินเข้าห้องนู้นออกห้องนี้ดูลึกลับชอบกล ดาก็เพิ่งรู้วันนี้แหละว่าเพนต์เฮาส์มันกว้างและซับซ้อนอย่างกับเขาวงกต”

“มันไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น” 

อธิษฐ์ผลักบานประตูกระจกที่ล้อมกรอบด้วยไม้เนื้อดีให้เปิดกว้างจนสุด เผยให้เห็นสระว่ายน้ำและสวนขนาดย่อมๆ ตรงหน้าภายใต้หลังคารูปทรงประหลาดที่ยกสูงและรอบด้านเปิดโล่งให้สามารถมองเห็นท้องฟ้ายามค่ำคืนได้

“โห!” ลดาห่อปากเป็นวงกลม ดวงตาเรียวเล็กวาววามด้วยความตะลึงพรึงเพริดกับความสวยงามเบื้องหน้าที่ได้เห็น

เธอไม่เคยรู้เลยว่าเพนต์เฮาส์มีพื้นที่ส่วนนี้ อลินไม่เคยพาเธอมา

“อย่ามัวอึ้ง ตามมา”

“ค่ะๆ”

ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าบ้านพาหญิงสาวเดินอ้อมสระว่ายน้ำมานั่งบนม้านั่งซึ่งรายล้อมไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับนานาพรรณที่เติบโตผลิบานอย่างงดงามเป็นระเบียบในกระถางสีขาว

ม้านั่งตัวหนึ่งสามารถนั่งได้สองคน แต่อธิษฐ์ก็เลือกที่จะนั่งม้านั่งอีกตัวแทนการนั่งติดกับลดา 

“พี่ไอซ์รังเกียจดามากเหรอคะ” สาวหมวยทำปากยื่นใส่

“อืม” เขาพยักหน้า

“โอ๊ย...” คนถูกรังเกียจโอดครวญ ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะโวยวายใส่คนเย็นชา ได้แต่นั่งก้มหน้ายู่อยู่อย่างนั้นพร้อมๆ กับความน้อยใจที่ถาโถมเข้ามาในอก พานให้น้ำตารื้น

สักพักอธิษฐ์ก็ลุกขึ้นยืน เดินหายเข้าไปในดงต้นไม้ก่อนจะกลับมาพร้อมกับตะกร้าอะไรสักอย่าง 

“นั่นอะไรเหรอคะ” ลดาละทิ้งความเศร้าพลางยื่นหน้ามองสิ่งที่อยู่ในตะกร้า “แคคตัสนี่”

“ใช่ อยากลองดูสักหน่อยไหม”

“ค่ะ” 

“เปลี่ยนที่นั่งดีกว่า”

ชายหนุ่มเดินถือตะกร้าไปยังริมขอบสระว่ายน้ำ เขาวางตะกร้าลงกับพื้น ก้มลงพับขากางเกงนอนให้ขึ้นมาอยู่เสมอหัวเข่าก่อนจะนั่งลงแล้วหย่อนขาลงในน้ำสีฟ้า

ลดาไม่แน่ใจว่าควรทำตามดีหรือไม่ เธอเดินมานั่งท่าขัดสมาธิที่ขอบสระตามอธิษฐ์โดยเว้นระยะห่างจากเขามากพอสมควร

“ไปนั่งทำอะไรตรงนั้น” เจ้าของใบหน้าหล่อดุจพระเอกซีรีส์จีนหันมาถามเธอ

“ก็พี่ไอซ์รังเกียจ” ลดาพูดอ้อมแอ้ม

“พูดเล่น”

“...”

“ขยับมานั่งตรงนี้สิ” เขาเชื้อเชิญพร้อมกับตบที่ว่างข้างๆ 

ยามนี้ลดาได้แต่ถามตัวเองว่าเธอไม่ได้ฝันไปใช่ไหม พี่ไอซ์ผู้แสนเย็นชาและสงวนท่าทีกับเธอมาตลอด คนที่เธอแทบจะต้องกราบอธิษฐานขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้มีโอกาสได้พบหน้าเขา กำลังเรียกเธอให้ไปนั่งข้างๆ แถมยังอยู่ด้วยกันแบบสองต่อสองในที่แบบนี้อีก...

‘เอาวะ สวรรค์เมตตาแล้ว แกต้องใช้โอกาสนี้ให้คุ้มสิดา’

บอกตัวเองแล้วผุดลุกขึ้นยืน ย้ายไปนั่งขัดสมาธิข้างๆ อธิษฐ์ 

“ลองเอาขาจุ่มน้ำดู” เขาแนะ

ความที่ใส่กางเกงขาสั้นทำให้ลดาไม่ต้องคิดอะไรมาก เธอหย่อนเรียวขาลงน้ำในทันที ปล่อยให้สัมผัสเยือกเย็นของน้ำสีฟ้าโอบล้อมขาสองข้างของเธอ

ไม่ว่าอธิษฐ์จะบอก จะสั่งให้ทำอะไร สาวหมวยก็ทำตามแต่โดยดี ไม่คิดอิดออดต่อต้าน มันเป็นอย่างนี้มาช้านานตั้งแต่ได้รู้จักกัน ยกเว้นอยู่เรื่องเดียวที่เธอไม่ยอมทำตามคำสั่ง...

“ไม่คิดจะถามเหตุผลหน่อยเหรอ” รองประธานหนุ่มของโรงแรม STK Hotel เอ่ยถามคนข้างกาย

“อยากให้ถามเหรอคะ” ลดาถามกลับซื่อๆ

อธิษฐ์ได้ฟังจึงหัวเราะ ใบหน้าหล่อเหลามองจ้องคลื่นน้ำเล็กๆ ในสระแทนการตอบ มีสายลมอุ่นพัดมาวูบใหญ่

“พี่ไอซ์หัวเราะ?” ลดาเอียงหน้าไปมองเขา ดวงตาเรียวเล็กฉายชัดถึงความประหลาดใจ

“อืม หัวเราะแล้วทำไม”

“ก็...ถ้าพี่ไอซ์หัวเราะ แปลว่าพี่ไอซ์กำลังมีความสุข”

“ก็ใช่” 

หัวใจของหญิงสาวเต้นแรง ความร้อนแผ่ซ่านเต็มวงหน้า นี่เธอคงกำลังฝันอยู่แน่แท้... 

“มีความสุขที่ได้อยู่กับดาใช่มั้ยล่ะ” 

“เปล่า” อธิษฐ์ส่ายหน้า

“โธ่” คนถูกดับฝันถอนหายใจ “แค่นี้ชีวิตก็ใจร้ายกับดามากพอแล้ว พี่ไอซ์ใจดีกับดาสักหน่อยไม่ได้เหรอคะ”

ไม่มีเสียงตอบรับใดจากหนุ่มรูปงามผู้เงียบขรึม เขาเท้าแขนไปกับพื้นด้านหลัง ตีขาใต้น้ำช้าๆ ให้พอเกิดคลื่นบางๆ 

ลดาทำตามบ้างขณะทอดสายตามองท้องฟ้ามืดมิดด้านนอก สายลมอบอุ่นยังคงพัดมาเป็นระลอกพร้อมกับหอบเอากลิ่นหอมจางๆ จากเรือนกายของชายหนุ่มที่เธอเฝ้าปรารถนาตามติดมาด้วย 

สาวหมวยหลับตาลง ซึมซับบรรยากาศเหล่านี้เอาไว้ในหัวใจและความทรงจำ หลงลืมไปชั่วขณะหนึ่งว่าเธอทุกข์ใจกับปัญหาชีวิตมากเพียงใด

“มีเรื่องเครียดอะไรถึงได้ออกไปดื่มเหล้าคนเดียว” เสียงทุ้มนุ่มกล่าวขึ้นท่ามกลางความเงียบ

“ก็หลายเรื่องค่ะ เรื่องงาน เรื่องครอบครัว”

“...”

“ป๊ากับม้าอยากให้ดาทำงานอยู่ที่ร้าน สืบทอดกิจการต่อจากพวกท่าน แต่ดาไม่ชอบนั่งเฝ้าร้านอยู่เฉยๆ ดาไม่เก่งเรื่องค้าขายและ...ดาชอบศิลปะ”

“...”

“แต่ป๊ากับม้าก็บอกว่าศิลปะมันเลอะเทอะ ก็เลอะเทอะจริงๆ นะคะ ดาวาดรูปทีไรสีมันเปื้อนมือทุกทีเลย” ลดายังมีแก่ใจเล่นตลก ตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะฝืดๆ 

“แล้วยังไงต่อ?” อธิษฐ์อยากรู้

“ท่านบอกว่าดาเรียนจบไปก็ไปเป็นศิลปินไส้แห้ง ท่านไม่สนับสนุนเงินให้ดาไปเรียนต่อ ทั้งที่จริงๆ ครอบครัวดาก็มีเงินมากพอจะทำแบบนั้นได้ ดาก็เลยออกมาทำงานกราฟิกใกล้ๆ บ้าน รับงานเสริมเล็กๆ น้อยๆ เก็บเงินไว้เป็นทุนไปเรียนต่อ แต่ดาก็ไม่ได้ชอบงานที่ดาทำอยู่เท่าไหร่หรอกค่ะ ก็ฝืนๆ ทำไป ได้เงินแถมยังดีกว่าเฝ้าร้านทองอยู่เฉยๆ”

“อืม”

“มันเหนื่อยนะคะ ทำงานหลังขดหลังแข็ง กลับบ้านไปก็ต้องไปรบราฆ่าฟันกับคนในครอบครัว ดาอายุยี่สิบสามจะยี่สิบสี่แล้ว ป๊ากับม้ายังไม่ปล่อยให้ดาได้มีอิสระในการใช้ชีวิตเลย ทั้งๆ ที่มันเป็นชีวิตของดาเองแท้ๆ...”

ลดายิ้มขัน น้ำตาเม็ดโตร่วงหล่นจากดวงตาเรียวเล็กหยดแหมะลงบนขากางเกง 

“ขอโทษนะคะ ดามาบ่นอะไรให้พี่ไอซ์ฟังก็ไม่รู้ ช่างเถอะค่ะ พี่ไอซ์อย่าใส่ใจเรื่องไร้สาระของดาเลย” เธอบอกปัดเมื่อตระหนักได้ว่ากำลังพล่ามปัญหาชีวิตให้อธิษฐ์ฟังเป็นเรื่องเป็นราว มันคงไม่น่าประทับใจเท่าไร...เธอควรใช้โอกาสนี้คุยเรื่องของเขา ศึกษาเขามากกว่า 

“ศิลปะไม่ใช่เรื่องเลอะเทอะหรอก ทุกอย่างที่เรามองเห็นรอบๆ ตัวเราก็เป็นศิลปะทั้งนั้น ชุดความคิดที่ว่าเรียนศิลปะจบไปเป็นศิลปินไส้แห้งน่ะ เป็นชุดความคิดที่ล้าสมัยไปแล้ว” ชายหนุ่มออกความเห็น

“ค่ะ ดาก็คิดแบบนั้น แต่ป๊ากับม้าคงไม่คิดเหมือนดา” 

“มีอะไรให้ช่วยไหม”

“คะ?...” ลดาหันไปสบตาเขา ณ วินาทีนั้น หัวใจเธอบีบจังหวะรุนแรงอีกครา 

“เผื่อมีอะไรที่พี่พอจะช่วยได้”

“ไม่ ไม่มีหรอกค่ะ” 

เธอเสหลบสายตาด้วยความเขินอาย พี่ไอซ์ยามนี้ช่างดูอ่อนโยนและอบอุ่นเหลือเกิน ราวกับว่านี่คือพี่ไอซ์ตัวปลอมจากโลกคู่ขนาน

“เข้มแข็งนะ” ชายหนุ่มหยิบกระถางแคคตัสต้นหนึ่งจากในตะกร้าข้างกายส่งให้คนตัวเล็ก

“ให้ดาเหรอคะ” ลดาเลิกคิ้วสูง

“อืม รับไว้สิ”

“ขะ...ขอบคุณนะคะ ดาจะดูแลอย่างดีเลยค่ะ” 

เสียงหวานละล่ำละลักบอก ยื่นมืออันสั่นเทาไปรับกระถางแคคตัสน้อยจากมือของเขามาไว้กับตัว

“พี่ไอซ์ชอบแคคตัสเหรอคะ” 

“ชอบ ซื้อสะสมไว้หลายปีแล้ว” อธิษฐ์หยิบตะกร้าบรรจุกระถางแคคตัสหลากหลายรูปทรง หลากหลายสายพันธุ์มาไว้บนตัก

“ดาดีใจจัง”

“ดีใจเรื่องอะไร”

“ดีใจที่ได้รู้ว่าพี่ไอซ์ชอบอะไร ดีใจที่พี่ไอซ์ให้สิ่งที่พี่ไอซ์ชอบกับดา”

“อย่าเพิ่งคิดไกล พี่ให้ของ ไม่ได้แปลว่าพี่คิดอะไรกับเรา”

“แต่ดาคิดค่ะ ดาชอบพี่ไอซ์นะคะ ชอบมาแปดปีแล้ว งานแต่งจะจัดที่ไหนก็คิดแล้ว ชื่อลูกก็คิดแล้ว”

ลดาเย้าหยอก เธอพูดความในใจกับเขาเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วไม่รู้ในรอบแปดปีนี้... แม้จะรู้ว่าคำตอบที่ได้กลับมาก็ยังคงเป็นเช่นเดิมเสมอ

“พี่ไม่ได้ชอบดา ไม่เคยคิดเรื่องงานแต่ง ไม่เคยคิดชื่อลูก”

“แต่ดาหวังว่าสักวันพี่ไอซ์จะคิดค่ะ”

“วันนั้นจะไม่มาถึง ไม่ต้องรอ” อธิษฐ์ยืนกราน ใบหน้าหล่อเหลาเรียบนิ่งเหมือนกับน้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ย 

“ดาอยากรอค่ะ” ลดาอมยิ้ม “ดาจะดื้อจีบพี่ไอซ์ต่อไป”

“ชอบอะไรพี่นักหนา” คิ้วหนาขมวดมุ่น

“ก็ชอบที่พี่ไอซ์เป็นแบบนี้ น่ารักแบบนี้ไงคะ” หญิงสาวชูแคคตัสขึ้นพร้อมส่งยิ้มกว้าง

“อืม ถ้าไม่เหนื่อยก็ตามสบายเถอะ”

“แปลว่าพี่ไอซ์ไม่ได้ห้ามดาจีบ”

“ห้ามแล้วฟังไหมล่ะ เปล่าประโยชน์” 

“ดาน่ะชอบพี่ไอซ์ที่สุดในโลกเลย ขอบคุณสำหรับคืนนี้นะคะ ดาสบายใจมาก”

ค่ำคืนนี้ราวกับค่ำคืนต้องมนตร์สะกด บรรยากาศที่แสนดี อธิษฐ์ที่อบอุ่นใจดีแถมพูดกับเธอเยอะกว่าปกติ เธอรู้สึกเหมือนได้สนิทกับเขามากขึ้น เหมือนความสัมพันธ์ที่ไม่เคยก้าวหน้าจู่ๆ ก็ก้าวไปไกล แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพอพ้นเที่ยงคืนไปแล้วทุกอย่างจะกลับสู่สภาพเดิมเหมือนเทพนิยายเรื่องซินเดอเรลลามั้ย...เหลือเพียงของที่ระลึกอย่างแคคตัสต้นน้อยเท่านั้นที่จะการันตีได้ว่าทุกอย่างเคยเกิดขึ้นจริง

เวลาเที่ยงตรงของวันต่อมา พนักงานหญิงจากรูมเซอร์วิซของโรงแรม STK Hotel เข็นรถเข็นอาหารไปยังหน้าห้องทำงานของรองประธานหนุ่ม โดยมีบอดีการ์ดร่างยักษ์สองคนเดินนำหน้าและเปิดประตูให้เข้าไป 

ภายในห้องทำงานสีขาวตกแต่งสไตล์มินิมัล เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นแต่เน้นพื้นที่ใช้สอยกับความสบายตาในการมอง

ร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มกำลังนั่งเซ็นเอกสารอยู่บนโต๊ะทำงาน เมื่อเห็นว่าถึงเวลาอาหารกลางวันแล้วเขาจึงวางปากกาลง ถอดแว่นกรองแสงพร้อมกับใช้นิ้วนวดคลึงขมับเบาๆ หมุนเก้าอี้ไปมองต้นไม้สีเขียวเพื่อเป็นการพักสายตา

อธิษฐ์จัดวางกระถางต้นไม้ไว้ตามมุมต่างๆ ในห้องทำงาน มีต้นลิ้นมังกร ต้นแก้วกาญจนา ต้นพลูด่าง มันช่วยฟอกอากาศได้ดีทั้งยังช่วยผ่อนคลายความเครียดในระหว่างวัน และที่ขาดไม่ได้คือแคคตัสต้นเล็กต้นน้อยที่เขาชื่นชอบก็วางตกแต่งอยู่บนชั้นวางหนังสือเช่นกัน

น่าแปลก... ในยามนี้เมื่อเขามองแคคตัสเหล่านั้น ภาพของหญิงสาวที่เขาไม่เคยนึกปรารถนาก็จะปรากฏทับซ้อนขึ้นมาในมโนสำนึกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาจึงตัดปัญหาด้วยการเมินเฉยต่อมันเสีย

ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ถอดสูทตัวนอกพาดบนเก้าอี้ เดินไปยังโต๊ะรับประทานอาหารที่พนักงานหญิงกับบอดีการ์ดสองคนของเขากำลังลำเลียงเมนูอาหารจากรถเข็นขึ้นไปวาง เมนูอาหารแต่ละอย่างเป็นไปตามที่นักโภชนาการประจำตัวของเขาลิสต์รายการเอาไว้เหมือนทุกมื้อ

“เชิญครับคุณไอซ์” เตชิตเลื่อนเก้าอี้ให้เจ้านายนั่ง 

“เรื่องที่ให้ไปสืบเป็นยังไงบ้าง” 

อธิษฐ์เอ่ยถามหลังจากพนักงานหญิงของรูมเซอร์วิซเข็นรถเข็นออกไปแล้ว

“เรียบร้อยครับคุณไอซ์ นี่เป็นข้อมูลที่ผมกับนายเตหามาได้”

ไกรวิชญ์ยื่นไอแพดของตนเองให้เจ้านายดู ในนั้นมีรูปภาพ แผนผัง และข้อมูลอย่างละเอียด

“นักเลงที่คุกคามคุณดาเมื่อคืนคือ ‘นายโรม โรมรัน ศตวรรษภักดี’ พ่อกับแม่ของเขาเสียไปเพราะอุบัติเหตุเมื่อสิบปีก่อน เขาเป็นหลานชายของพลเอกรเณศ ศตวรรษภักดี นายทหารที่เกษียณแล้ว แต่ยังดำรงตำแหน่งเป็น ส.ส. หัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่ ตระกูลศตวรรษภักดีทำธุรกิจหลายอย่าง แต่ที่ผมสืบรู้มาได้อีกคือ เบื้องหลังของตระกูลนี้ทำธุรกิจสีเทา ไม่มีใครทำอะไรตระกูลนี้ได้เพราะเกรงอิทธิพลของพลเอกรเณศ นายโรมที่เป็นหลานชายคนเดียวก็เลยเอาใหญ่... 

“เขาอายุยี่สิบแปดแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำการทำงานอะไรนอกจากเที่ยวเล่นไปวันๆ เสพยา ปาร์ตี คั่วผู้หญิง นายโรมเคยถูกแจ้งความข้อหาข่มขืนกระทำชำเรากับพรากผู้เยาว์หลายครั้ง แต่ก็รอดคดีทุกครั้ง สันนิษฐานว่าเขาเป็นพวกมีรสนิยมชอบมีอะไรกับเด็กสาวแรกรุ่น คงจะมาเห็นคุณดาแล้วเข้าใจผิดว่าเป็นพวกเด็กสาวยังไม่บรรลุนิติภาวะก็เลยตั้งใจจะหลอกเคลม”

“อืม” อธิษฐ์พยักหน้ารับช้าๆ กับชุดข้อมูลที่เพิ่งได้รับมา แววตาแข็งกร้าวขึ้น เตชิตเห็นดังนั้นจึงช่วยเสริมเพื่อนร่วมงาน

“ผมคิดว่านายโรมคงไม่ยอมเลิกราง่ายๆ เขาดูโกรธมากที่ถูกคุณไอซ์หักหน้าเมื่อคืน ผมว่าเราต้องระวังตัวให้มากขึ้น ด้วยอิทธิพลของตระกูลนั้นแล้ว นายโรมคงหาโอกาสเล่นงานคุณไอซ์ได้ไม่ยาก”

“ผมไม่กลัว ถึงตระกูลศตวรรษภักดีของพลเอกรเณศจะใหญ่มาจากไหน พรรคการเมืองของเขาก็ยังต้องการการสนับสนุนจากนายทุน และตระกูลของผมก็ดันเป็น ‘นายทุน’ เสียด้วย ถึงครอบครัวสายผมจะไม่ได้สนับสนุนพรรคการเมืองนี้โดยตรง แต่ก็มีครอบครัวเครือญาติคนอื่นๆ ในตระกูลที่สนับสนุนพรรคการเมืองนี้อยู่แบบลับๆ ถ้ามันคิดจะเล่นงานแบบไม่กลัวผลกระทบที่จะตามมาก็คงโง่เง่าเต็มทน”

“เฮ้อ แต่ผมเกรงว่านายโรมคงจะโง่เง่าแบบนั้นน่ะสิครับ เห็นๆ อยู่ว่านายคนนี้ไม่มีอีคิวอะไรเลยนอกจากอีโก้”

“ถ้าเป็นแบบนั้นผมก็อยากลองดูสักตั้งว่านายโรมจะทำได้ขนาดไหน” 

รองประธานหนุ่มแห่งโรงแรม STK Hotel ว่าพลางหั่นชิ้นสเต๊กเข้าปากอย่างไม่อนาทรร้อนใจ 

“แต่ผมกับนายเตก็ยังไม่วางใจอยู่ดี ผมเลยจะเสนอให้คุณไอซ์จ้างบอดีการ์ดเพิ่มในช่วงระยะนี้” ไกรวิชญ์แจ้งความจำนงแก่เจ้านาย 

“ตามสบาย พวกคุณสองคนจัดการในส่วนนี้ได้เลย อ้อ แล้วก็ไปพักทานข้าวเถอะครับ”

“ครับคุณไอซ์”

สองบอดีการ์ดคู่ใจค้อมศีรษะรับคำบัญชา พวกเขาเดินออกจากห้องทำงานเจ้านายเพื่อไปรับประทานอาหารที่ห้องทำงานของตนเองซึ่งถูกจัดไว้ดีไม่แพ้กัน เจ้านายของพวกเขาเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของสุขภาพและการบาลานซ์ชีวิตการทำงานกับชีวิตส่วนตัวให้สมดุล ดังนั้นพวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องทำงานหนักตลอดเวลา มีสุขภาพจิตที่ดีในการทำงาน พร้อมทำหน้าที่ร่วมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับเจ้านายหากวันใดมีภัยร้ายมาเยือน

ส่วนอธิษฐ์ก็นั่งใช้ความคิดอย่างหนักในระหว่างรับประทานอาหารกลางวัน ทั้งๆ ที่มันควรจะเป็นเวลาผ่อนคลายของเขาแท้ๆ แต่เพราะเหตุใด...เขาไม่อาจหยุดความวุ่นวายใจได้เลย

ไม่ได้กลัวตัวเองจะเป็นอันตราย เพราะเชื่อว่าทุกวันนี้เขาได้รับการรักษาความปลอดภัยสูงที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางหรือการอยู่อาศัย ในขณะที่ลดาไม่ได้มีสิ่งเหล่านี้เหมือนเขา เขากังวลว่าเธอจะเป็นอันตรายจึงต้องคิดหาหนทางรักษาความปลอดภัยให้แก่ชีวิตเธอด้วย

‘ก็แค่กังวลเท่านั้น ไม่ได้ห่วงใยอะไร’

อธิษฐ์บอกตัวเอง

                                                          

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น