9

ไม่รู้สึกอะไรเลย

 

กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศว่าประเทศไทยได้เข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการแล้ว ลดาอ่านข่าวพยากรณ์อากาศเมื่อช่วงเช้าก่อนออกมาทำงาน ไม่แปลกใจเลยที่วันนี้มีฝนตกหนักตลอดทั้งวัน ท้องฟ้ามืดครึ้มไร้แสงแดด จวบจนกระทั่งเลิกงาน ลดาก็พยายามรบเร้าให้เตชิตขับรถพาเธอไปหาอธิษฐ์

“พี่เตคะ นี่วันพุธแล้วนะ พี่ไอซ์ยังไม่ตอบข้อความดาเลย โทร. ไปก็ไม่รับ พี่ไอซ์ต้องโกรธอะไรดาสักอย่างแน่ๆ” หญิงสาวกระเง้ากระงอด เอนหัวพิงกระจกรถด้วยท่าทีไร้เรี่ยวแรง อากาศหม่นหมองชวนให้ใจยิ่งหมองเข้าไปใหญ่

“คุณไอซ์งานยุ่งน่ะครับคุณดา” เตชิตจำต้องตอบตามที่เจ้านายสั่งให้เขาบอกหญิงสาว ต่อให้รู้สึกสงสารเธอมากแค่ไหน เขาคงทำนอกเหนือคำสั่งไม่ได้

“พี่เตอย่าโกหกดาเลยนะคะ คนเรางานยุ่งแค่ไหนก็สามารถพิมพ์ตอบข้อความสั้นๆ ได้ค่ะถ้าเขาอยากตอบ”

“พี่ขอโทษครับคุณดา คุณไอซ์ก็บอกพี่มาแบบนี้ครับ” บอดีการ์ดร่างยักษ์ถอนหายใจ

‘หรือพี่ไอซ์อาจไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่อยากจะตอบข้อความก็ได้ ที่ผ่านมาพี่ไอซ์ก็เป็นคนอารมณ์เอาแน่เอานอนไม่ได้อยู่แล้ว แกไม่ได้ทำอะไรผิดหรอกมั้งดา’

ลดาปลอบตัวเอง บอกให้ตัวเองมองโลกในแง่บวก แม้ลึกลงไปแล้วจะไม่ได้คิดแบบนั้นเลยก็ตาม 

ร่างบางในชุดเสื้อยืดกับกระโปรงยาวยืดตัวตรง ฝืนยิ้มและปรับอารมณ์ของตัวเองให้กลับมาเป็นปกติ ขืนเศร้าต่อไปเรื่อยๆ คงไม่เป็นอันทำอะไร

“วันนี้ดายังไม่อยากกลับบ้าน พี่เตสนใจไปดูหนังกับดาไหมคะ เรื่องที่ดาอยากดูเข้าโรงพอดี”

“ได้ครับ” อะไรที่พอจะบรรเทาความเศร้าของหญิงสาวได้ในยามนี้เตชิตไม่ขัดข้อง 

“ไปกันค่ะ รถคงติดเยอะหน่อย ไปถึงคงได้ดูรอบหกโมงครึ่ง”

“ครับ” สารถีหนุ่มพยักหน้ารับคำ เลี้ยวรถออกจากซอยมุ่งหน้าสู่ถนนสายหลัก

“ฮัลโหลม้า วันนี้ดาไปดูหนังนะ อื้ม กลับสักสามทุ่ม...หนังมันสองชั่วโมง ไม่ต้องห่วงดา ไม่ต้องรอด้วย แค่นี้นะ” 

ลดากดวางสายทันทีที่โทร. รายงานหม่าม้าของตนเรียบร้อยแล้ว หลังจากวันที่อธิษฐ์มาบ้าน ครอบครัวของเธอดูเปลี่ยนไปมากพอสมควร ป๊ากับม้าแทบไม่ถามเซ้าซี้ ไม่บ่นจู้จี้ เพียงแต่เธอแค่ต้องโทร. รายงานความเคลื่อนไหวให้พวกท่านรับทราบเหมือนเมื่อก่อนเท่านั้น

ครึ่งชั่วโมงต่อมา รถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นสีขาวแล่นมาจอด ณ ลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าชื่อดังใจกลางเมือง

ลดาลงจากรถขึ้นลิฟต์ไปชั้นโรงภาพยนตร์โดยมีเตชิตในชุดสูทเรียบร้อยคอยเดินตามติด แน่นอนว่าเธอกลายเป็นจุดสนใจไปโดยปริยาย หญิงสาวหน้าอ่อนผู้ซึ่งมีบอดีการ์ดร่างยักษ์ตัดผมทรงสกินเฮดเดินตาม ทุกคนคงคิดว่าเธอเป็นคนสำคัญ เป็นลูกท่านหลานเธอของใครสักคน 

“พี่เตนั่งรอตรงนี้นะคะ เดี๋ยวดาไปซื้อตั๋วหนังให้”

“ได้ครับ” เตชิตพยักหน้ารับ หย่อนก้นนั่งลงบนโซฟาบุนวมของล็อบบี

“พี่เตกินป๊อปคอร์นไหมคะ ชอบกินรสอะไร” ลดาถามน้ำเสียงสดใส

“เอ่อ...รสอะไรก็ได้ครับ พี่มาโรงหนังครั้งสุดท้ายตอนอายุสิบสี่ พี่ไม่รู้อะไรเลย” บอดีการ์ดชั่วคราวยิ้มจืดเจื่อนกลับมา คนฟังส่ายหน้าด้วยความเอ็นดู

“งั้นเอาเงินมาค่ะ เดี๋ยวดาจัดการให้” เธอยื่นมือไปรอรับเงินจากเขา

เตชิตดึงธนบัตรสีเทาในกระเป๋าสตางค์ส่งให้ “นี่ครับ ถือว่าพี่เลี้ยงในส่วนของคุณดาด้วย”

“อุ๊ย ใจดีซะด้วย” ลดายิ้มทะเล้น รับธนบัตรมาแบบไม่รีรอ “ขอบคุณนะคะ ไว้คราวหน้าดาสัญญาจะเลี้ยงพี่เตคืนแน่นอน” 

หญิงสาวว่าจบก็หันหลังเดินไปซื้อตั๋วหนังที่เคาน์เตอร์ เตชิตมองตามเธอที่เดินไวจนชายกระโปรงพลิ้วไหว นึกโล่งอกเมื่อเห็นลดาดูร่าเริงสดใสขึ้นมากจากตอนแรก เขาเป็นลูกคนเดียวและใฝ่ฝันอยากมีน้องสาวมาตลอด ทว่าจนแล้วจนรอดเขาก็ยังคงเป็นลูกคนเดียวอยู่วันยังค่ำ พอได้มาเจอกับลดาเขาจึงรู้สึกเอ็นดูเธอ ดูแลเธอเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง ไม่อยากให้เธอพบพานเรื่องเสียใจจนความสดใสในตัวเธอต้องอันตรธาน

“มาแล้วค่าาา” สาวหมวยเอ่ยเสียงเจื้อยแจ้ว หิ้วป๊อปคอร์นถังใหญ่พร้อมกับน้ำอัดลมสองแก้วในอ้อมแขนกลับมา เตชิตรีบลุกไปรับแก้วก่อนที่มันจะหก

“กินถังเดียวกับดานี่แหละค่ะพี่เต รสชีสกับรสเค็มผสมกัน รับรองว่าอร่อยมากเว่อร์”

“ครับ” เขาพยักหน้ายิ้มๆ

“เฮ้อ รู้ไหมคะบางทีพี่เตก็เหมือนหุ่นยนต์ที่ถูกตั้งโปรแกรมไว้เหมือนกัน ไม่ว่าดาจะพูดอะไร พี่เตจะตอบครับแล้วก็พยักหน้าอย่างเดียวเลย” ลดากระเซ้าบอดีการ์ดชั่วคราวของตนเอง

“พี่พูดไม่ค่อยเก่งครับ”

“เป็นเหมือนกันทั้งเจ้านายทั้งลูกน้องเลยนะคะ พูดน้อยประหนึ่งกลัวดอกพิกุลจะร่วงออกจากปาก”

“ครับ”

“โอ๊ย! ไม่ชวนคุยแล้วก็ได้ เราเข้าโรงหนังกันเถอะค่ะ”

ทั้งสองคนเดินออกจากล็อบบีไปต่อแถวเข้าโรงภาพยนตร์ ในขณะที่ลดากำลังกวาดสายตามองนั่นมองนี่ไปเรื่อยเปื่อย มองโคมไฟคริสตัลระย้า มองพรมกำมะหยี่สีแดง มองคู่รักวัยเรียนด้านหน้า ฉับพลันสายตาก็สะดุดกับชายหญิงที่กำลังควงแขนกันเดินออกมาจากข้างใน

ลดาตัวชาวาบ ริมฝีปากสั่นระริก...เมื่อผู้ชายคนดังกล่าวหันมาสบตาเธอพอดี สายตาคู่นั้นว่างเปล่าและเย็นชา เย็นชาสมชื่อเจ้าของมัน

“พี่ไอซ์” เธอเอ่ยชื่อนั้นออกมา แต่ไม่มีแม้เสียงเล็ดลอดออกจากริมฝีปาก

วินาทีนั้น ลดานึกอยากให้ตัวเองฝันไป อยากให้ตัวเองนอนอยู่บนเตียงในห้องนอน และฝันว่าได้มาเจออธิษฐ์กับผู้หญิงคนหนึ่งควงแขนเขาเดินออกมาจากโรงภาพยนตร์ ผู้หญิงคนนั้นเรียกชื่อเขา เขาละสายตาจากเธอ และหันไปยิ้มให้ผู้หญิงคนนั้น ก่อนจะเดินออกไปด้วยกัน เธออยากให้มันเป็นแค่ฝัน แค่ฝันร้าย

“คุณดาครับ” เตชิตแตะบ่าของคนตัวเล็กอย่างระมัดระวัง เมื่อกี้เขาเห็นแล้ว คิดว่าคงไม่พ้นสายตาของลดาด้วยเช่นเดียวกัน

หญิงสาวไม่ตอบอะไรกลับมา สายตาของเธอยังวางอยู่ ณ จุดเดิมแม้ไม่มีร่างของอธิษฐ์กับหญิงสาวนิรนามอยู่แล้ว น้ำตาเอ่อคลอดวงตาเรียวเล็กทั้งสองข้างของเธอ แล้วก็ร่วงหล่นอาบแก้มตามแรงโน้มถ่วงของโลกใบนี้

เตชิตถอนหายใจ จำต้องเป็นฝ่ายดึงแขนของลดาให้เดินไปข้างหน้าเพื่อให้พนักงานฉีกตั๋วหนังเมื่อคนในแถวหมดลงแล้ว จากนั้นเขาก็พาคนที่เหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่างไปนั่งข้างในโรงภาพยนตร์

และตลอดสองชั่วโมงที่ภาพยนตร์เรื่องนั้นฉาย เตชิตแทบไม่ได้ดูเลยด้วยซ้ำ เพราะเขาต้องคอยปลอบหญิงสาวข้างกายที่เอาแต่นั่งร้องไห้เงียบๆ โดยไม่แตะน้ำกับป๊อปคอร์นในถังสักนิด เธอเหมือนคนหัวใจสลายที่ไม่รู้ชะตากรรมในวันข้างหน้าว่าหัวใจของตัวเองจะต้องแหลกสลายมากกว่านี้ แหลกสลายยิ่งกว่าเม็ดทรายบนชายหาด...

“ขอบคุณที่พาจิ๋วออกมาเที่ยววันนี้นะคะ อาหารก็อร่อย หนังก็สนุก”

จริยากล่าวขอบคุณอธิษฐ์ เผยรอยยิ้มพิมพ์ใจประดับใบหน้างามขณะกำลังเดินเล่นอยู่ข้างทะเลสาบของหมู่บ้านจัดสรรด้วยกัน เธอกับมารดาพักอาศัยอยู่โครงการนี้ 

“ไม่เป็นไร ตอบแทนที่น้องจิ๋วช่วยทำแผลให้พี่วันนั้น” อธิษฐ์เผยรอยยิ้มตอบ

“โธ่ ทำแผลเรื่องเล็กน้อย ไม่ต้องตอบแทนจิ๋วก็ได้” หญิงสาวหัวเราะเบาๆ เธอกับเขาเดินมาหยุดอยู่ใต้เสาไฟสีนวลตา ทอดมองทะเลสาบเบื้องหน้าที่ลมพัดพาให้เกิดคลื่นน้ำเป็นระลอก มีเสียงกบเสียงเขียด เสียงจิ้งหรีดเรไรร้องประสานกันระงม บรรยากาศหลังฝนตกในยามค่ำคืนนั้นสุดแสนเย็นสบาย

“ยกเว้นเสียแต่ว่าพี่ไอซ์พาจิ๋วมาเดต” 

“ถ้าน้องจิ๋วอยากเข้าใจแบบนั้น พี่ก็ไม่ติดครับ” 

เพราะมันคือการออกเดตจริงๆ หลังจากวันนั้นที่จริยามาที่บ้านก็เป็นไปตามความคาดหมาย เมื่อมารดาเชียร์ให้อธิษฐ์ชวนเธอออกเดต เพราะเห็นว่าดูเหมาะสมกันดี ลองคุยกันดูก่อน ถ้าไม่คลิกก็ไม่เสียหายอะไร

ชายหนุ่มไม่ขัดข้องจึงชวนจริยาออกมาเที่ยวหลังเลิกงานด้วยกันในวันนี้ 

“จิ๋วก็ไม่ติดค่ะ เพราะพี่ไอซ์เป็นผู้ชายน่ารักคนหนึ่ง จิ๋วสบายใจที่จะอยู่ด้วย” จริยาชมอย่างจริงใจ

“งั้นเหรอครับ” คนถูกชมหันมาเลิกคิ้วมอง ก่อนผินหน้ากลับไปมองทะเลสาบอีกครา

ทำไมกันนะ เขากลับไม่เชื่อว่าตัวเองเป็นคนน่ารักอย่างที่เธอบอก

“พี่ไอซ์ไม่มีใครจริงๆ เหรอคะ” จริยาถามแทนการตอบคำถามแบบไม่จริงจังของอธิษฐ์

“พี่ไม่ได้คบใครอยู่ครับ” 

ใบหน้าของลดาแวบเข้ามาในสมองของเขาหลังเอ่ยจบ นั่นทำให้เขาหงุดหงิดเหลือเกิน เธอเป็นเพียงแค่คนตามจีบเขา ไม่ใช่คนที่เขาตามจีบเสียหน่อย

“แล้วน้องจิ๋วล่ะ คบใครอยู่หรือเปล่า” 

“ถ้าจิ๋วคบใครสักคนอยู่คงไม่ออกมาเที่ยวกับพี่ไอซ์หรอกค่ะ” จริยาพูดยิ้มๆ 

“แต่จิ๋วอยากบอกพี่ไอซ์แบบชัดเจนไว้ก่อนเลยว่า จิ๋วเป็นคนที่โอเพนเรื่องนี้พอสมควร จิ๋วไม่ติดถ้าในระหว่างนี้พี่ไอซ์จะศึกษาดูใจกับใครคนอื่นด้วย จิ๋วก็จะไม่ปิดโอกาสตัวเองเหมือนกัน ถ้าเรายังไม่ได้ตัดสินใจลงหลักปักฐานกับใครสักคนอย่างจริงจัง นั่นก็หมายความว่าเรามีสิทธิ์เลือกคนที่ดีที่สุดให้เราเอง จริงไหมคะ”

“จริงครับ ขอบคุณน้องจิ๋วที่บอกพี่แบบตรงไปตรงมา ไม่ต้องมานั่งถอดรหัสกันอยู่” อธิษฐ์หัวเราะบ้าง จริงๆ แล้วอยู่กับจริยาก็ดีเหมือนกัน ได้ความรู้สึกเหมือนอยู่กับเพื่อน เธอเป็นคนเปิดเผยและพูดคุยด้วยได้ในหลายๆ เรื่อง

“แล้วชีวิตพี่ไอซ์เป็นยังไงบ้างคะช่วงนี้ ตอนอยู่ในร้านอาหารก็มัวแต่คุยกันเรื่องตอนจิ๋วเรียนอยู่ญี่ปุ่น ไม่ได้คุยเรื่องพี่ไอซ์เลย”

“ชีวิตพี่ไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่หรอกครับ ทำงาน ทำงาน และทำงาน กลับบ้านพักผ่อนปลูกต้นไม้ เถียงกับน้องสาว แต่ช่วงนี้น้องสาวไม่อยู่ก็อาจจะเหงานิดหน่อย” เขาเล่าตามความจริง แต่เล่าไม่หมด เพราะไม่อยากลงลึกรายละเอียดไปถึงเรื่องวุ่นวาย

“ดีนะคะ จิ๋วก็ชอบปลูกต้นไม้เหมือนกัน พี่ไอซ์ชอบต้นไม้ประเภทไหนเป็นพิเศษมั้ยคะ” 

“พี่ชอบแคคตัสกับพวกต้นไม้ฟอกอากาศครับ” 

“อยากเห็นต้นไม้ที่พี่ไอซ์ปลูกจังเลย ถ้าพี่ไอซ์ว่างๆ ช่วยถ่ายรูปมาให้ดูบ้างได้ไหม”

“ได้สิ ไม่มีปัญหา กลับไปเดี๋ยวพี่ถ่ายให้ดูเลย แล้วน้องจิ๋วล่ะปลูกต้นไม้อะไรบ้าง”

“นี่ค่ะ เดี๋ยวจิ๋วเปิดรูปให้ดู”

สองหนุ่มสาวสนทนาเรื่องต้นไม้ของตนเองริมทะเลสาบกันอยู่พักใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจแยกย้ายกลับบ้าน อธิษฐ์ขับรถไปส่งหญิงสาวที่บ้านของเธอก่อนจะขับรถออกมา สายตาของเขาจับจ้องที่กระจกหลังยังเห็นรถของไกรวิชญ์ตามอยู่ห่างๆ จึงวางใจ เขาหมุนพวงมาลัยเลี้ยวสู่ถนนใหญ่ ตรงกลับไปโรงแรม STK Hotel

ร่างสูงโปร่งก้าวออกจากลิฟต์ชั้นเพนต์เฮาส์ เขาใช้มือข้างหนึ่งหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมากดโทร. หาเตชิต ส่วนมืออีกข้างรับแก้วน้ำจากสาวใช้มาดื่มขณะนั่งลงบนโซฟา

“ฮัลโหลครับคุณไอซ์” 

“...”

อธิษฐ์ถอนหายใจ ไม่อยากถามออกไป แต่ก็แพ้ความต้องการอยากรู้ไม่ไหว

“ผมเจอคุณเตกับดาที่โรงหนังวันนี้”

“ครับ คุณดาชวนผมไปดูหนัง” บอดีการ์ดหนุ่มตอบเสียงเรียบ

“แล้วดาเป็นยังไงบ้าง”

“คุณดาร้องไห้ตลอดจนหนังจบเลยครับ เธอไม่พูดอะไรเลยจนผมส่งเธอกลับบ้านเมื่อกี้”

คำรายงานของลูกน้องทำชายหนุ่มรู้สึกหนักอึ้งประหนึ่งมีก้อนหินใหญ่มาถ่วง กระนั้นก็พยายามปรับสมดุลอารมณ์ให้เป็นปกติ

“อืม ขอบคุณครับ ผมอยากรู้แค่นี้แหละ”

“คุณไอซ์ครับ” เตชิตเรียกเสียงติดเคร่งขรึม

“ครับ?”

“คุณไอซ์ออกเดตแล้วเหรอครับ”

“ใช่ครับ คุณเตมีอะไรหรือเปล่า”

“เปล่าครับ ผมจะได้บอกให้คุณดาทราบตามตรง แค่นี้ก่อนนะครับ”

ปลายสายกดวางไปแล้ว อธิษฐ์แกว่งแก้วน้ำครึ่งแก้วที่หลงเหลือในมือเบาๆ ดวงตาคู่คมของเขาล้ำลึกและอ่านยากขึ้นทุกขณะ

คนเราหากถูกทิ้งให้อยู่กับคำถามอันไร้ซึ่งคำตอบ ย่อมเป็นทุกข์และวุ่นวายใจไม่ต่างจากถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนหนักอึ้ง ไม่สามารถเป็นอิสระได้ ด้วยถูกจองจำไว้กับสิ่งที่เรียกว่า ‘ความไม่รู้’

‘คุณไอซ์ออกเดตแล้วนะครับคุณดา’

ข้อความจากเตชิตตอนเที่ยงคืนสี่สิบหกนาที ลดาเพิ่งได้อ่านตอนหกโมงเช้า เป็นเวลาที่เธอตื่นเตรียมอาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน 

เธอกวาดสายตาอ่านข้อความนั้นซ้ำไปซ้ำมา แสงสว่างวาบส่องเข้ามาในห้องนอนตามด้วยเสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยง ลดาไม่ได้ตกใจเลยแม้แต่น้อย เธอเหมือนคนดำดิ่งลึกลงไปใต้ก้นมหาสมุทร หูยังแว่วเสียงฝนปรอยๆ ด้านนอกที่กำลังทวีคูณกลายเป็นฝนห่าใหญ่

ลดาปิดหน้าจอสมาร์ตโฟน นั่งกอดเข่าอยู่ในความมืดพร้อมกับถอนหายใจ เธอจมอยู่กับคำถามมากมายมาทั้งคืน เธอไม่ส่งข้อความไปถามอธิษฐ์อีกแล้วเพราะรู้ว่าเขาจะไม่ตอบ

‘ที่เขาทำดีกับเธออย่างที่ไม่เคยทำมาตลอดแปดปีคืออะไร ที่มาทำอะไรพิเศษๆ ให้นั่นคืออะไร สงสาร สมเพช หรือเวทนา?’

ทุกคำถามลดทอนคุณค่าในตัวของลดาจนแทบไม่เหลืออะไรให้ภูมิใจ เธอรู้สึกเหมือนเป็นก้อนขยะหนึ่งก้อนที่อธิษฐ์เก็บขึ้นมาและปาทิ้งไป 

จิตใจดวงน้อยบ่อนทำลายตัวเองไปเรื่อยๆ 

เขาไม่ได้รู้สึกอะไรเลย หญิงสาวบอกกับตัวเอง หยาดน้ำตาไหลรินอาบแก้ม เธอก้มหน้าสะอื้น ทั้งรำคาญ ทั้งเกลียดตัวเอง เกลียดที่เธอคิดไปเองว่าเขาจะมีใจให้ 

ความชื้นแฉะอาบท่วมใบหน้า ในขณะเดียวกันลดาก็รู้สึกถึงความชื้นแฉะผิดปกติกลางหว่างขา จึงรีบวิ่งออกจากห้องนอนไปเข้าห้องน้ำด้านนอก ก่อนจะพบว่ามีเลือดสีแดงสดเปรอะเปื้อนเต็มกางเกงนอน 

ประจำเดือนของเธอมาวันนี้...

“เป็นอะไร นั่งตัวงอเชียวฮึ”

ลาวัลย์ถามลูกสาวในระหว่างนั่งรับประทานมื้อเช้ากันอยู่บนโต๊ะตัวกลม โดยมีเสียงรายงานข่าวจากนักข่าวชื่อดังในทีวีช่วยขับกล่อม

“ดาปวดท้องเมนส์” ลดาทำหน้าเบ้พลางยกแก้วน้ำเต้าหู้ขึ้นดื่มจนหมด หลังจากจัดการปาท่องโก๋สามตัวเรียบร้อยแล้ว

“แล้วกินยายังอะ” มงคลเหลือบมองอย่างเป็นห่วง ต่อให้จะทะเลาะกับลูกสาวหัวดื้อบ่อยแค่ไหน แต่เขาก็มีลูกอยู่แค่คนเดียว ต้องรักและห่วงใยเป็นธรรมดา

“ยังอะ ยาหมด ดาว่าจะไปซื้อร้านแปะมุ้ยตอนออกไปทำงาน โอ๊ย” ลดาร้องคราง มือกุมหน้าท้องตัวเองราวกับจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้

“ถ้าไม่ไหว ลื้อก็โทร. ไปลางานแล้วนอนพักที่บ้านก่อน”

“ไม่ได้หรอกป๊า ร้านไม่มีคนดู เจ้านายดาเขามีธุระ” หากขาดหัวเรี่ยวหัวแรงอย่างลดาไปรับรองร้าน Big Shop คงเจ๊งไม่เป็นท่า

“โวะ เจ้านายลื้อนี่มันเคยอยู่เฝ้าร้านบ้างมั้ย กี่ปีกี่ชาติก็ไปทำธุระ อย่างนี้ลื้อก็เป็นเจ้าของร้านเองแล้วสิ เป็นเจ้าของกิจการประสาอะไร” มงคลว่าเสียงเขียว ตักข้าวกับเต้าหู้ทอดเข้าปาก

“ช่างเขาเถอะป๊า ยังไงเขาก็จะขึ้นเงินเดือนให้ดาเดือนนี้แล้ว” 

“เงินเดือนแค่นิดเดียวแลกกับการทำงานหนักเป็นขี้ข้าเขา บอกแล้วให้ลาออกมาช่วยกันดูแลร้านก็...ฮึ่ม” 

เถ้าแก่ร้านทองกลืนคำบ่นว่าลงคอไปด้วยจนใจจะบ่น เพราะไม่เกิดประโยชน์ อีกทั้งไม่อยากชวนลูกสาวที่กำลังปวดท้องปางตายทะเลาะ ร่างอวบลุกขึ้นเดินเอาชามข้าวที่หมดแล้วไปเก็บ

“ฟู่” ลดาผ่อนลมหายใจ แทบจะยกมือขึ้นประนมสาธุบุญที่ไม่ต้องทะเลาะกับบิดาเช้านี้

“แล้วสรุปอาไอซ์นี่ไม่ได้มาจีบลื้อจริงเหรอ” ลาวัลย์มิวายข้องใจ มองใบหน้าซีดเผือดของลูกสาวที่ซีดอยู่แล้ว ซีดลงอีกเหมือนไก่ต้ม

“ที่ดาอธิบายไปวันนั้นไม่ชัดเหรอม้า” ลดาเลิกคิ้ว น้ำเสียงแข็งกระด้าง

“อีแค่มาส่งดา ป๊ากับม้าก็ไปคิดเองเออเองว่าเขาจะมาจีบ”

“ก็แล้วทำไมไม่ปฏิเสธให้มันสิ้นเรื่องละ นี่ยอมตามน้ำก็เหมือนยอมรับกลายๆ ละว้า” สตรีวัยกลางคนตบเข่าฉาด

ลดาไม่อยากพูดว่าที่อธิษฐ์ยอมตามน้ำเพราะปะป๊ากับหม่าม้าของเธอไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ปฏิเสธเลยต่างหาก ดันรวบหัวรวบหางเชิญเข้าบ้านเสียขนาดนั้น

“ช่างเถอะ เอาเป็นว่าอีไม่ได้มาจีบดาก็แล้วกัน อีกำลังคบหาดูใจกับคนอื่นอยู่”

“เสียดายนะ ที่ม้าเห็นวันนั้นน่ะ อีดูชอบลื้อมากเลย”

คำว่า ‘ชอบ’ สะกิดแผลใจของลดาเข้าอย่างจัง

“ก็แค่ดูเหมือน จริงๆ แล้วก็ไม่ได้ชอบหรอก”

“เฮ้อ งั้นก็ไม่ต้องเครียดไปหรอก ยังมีผู้ชายอีกเยอะแยะให้ลื้อดูตัว อาจีนลูกชายอาหมอนนั่นไงเล่า” ลาวัลย์พูดกระเซ้า

“โอ๊ยม้า เลิกเถอะนะไอ้ตำราจับคู่คลุมถุงชน ดาไปทำงานก่อนละ” ลดาสะพายกระเป๋าผ้าลุกเดินออกไป เหลือเพียงลาวัลย์ที่กินข้าวอยู่ตามลำพัง ปากก็บ่นงึมงำว่า 

“สมัยอั๊วก็ดูตัวแบบนี้แหละ ถึงได้ผัวเป็นเจ้าของร้านทองนี่ไงเล่า”

บรรยากาศร้าน Big Shop วันนี้เงียบเหงาเหลือเกิน มีเพียงลดานั่งประจำโต๊ะทำงานอยู่ชั้นล่าง ส่วนฝ่ายผลิตคนอื่นๆ ทำงานอยู่ชั้นบนตามปกติ ความจริงร้านมันก็เป็นของมันแบบนี้อยู่ทุกวัน ลดาไม่เคยรู้สึกว่ามันเงียบเหงาเลยจนกระทั่งเข้าสู่หน้าฝน ทุกอย่างจึงดูอึมครึมกว่าปกติ รวมถึงสภาวะอารมณ์และจิตใจของเธอด้วย

เสียงเปิดประตูร้านดังขึ้นท่ามกลางความเงียบกับเสียงเคาะแป้นพิมพ์สลับเสียงคลิกเมาส์ของลดา เธอสัมผัสได้ถึงไอเย็นวูบหนึ่งยามประตูร้านเปิด แล้วไอเย็นก็หายไป เธอเอ่ยปากทักทายโดยที่ยังไม่เงยหน้ามองผู้มาเยือน

“ร้าน Big Shop ยินดีต้อนรับค่า มาใช้บริการอะไรเอ่ย”

ปึ้ก!

ไม่มีเสียงคนพูดตอบกลับมา มีเพียงปึกกระดาษแข็งขนาดเล็กถูกโยนมาตรงหน้าเธอ เมื่อมองดูแล้วก็พบว่ามันเป็นนามบัตร

“คะ?” ลดาเงยหน้ามอง 

หญิงสาวผมดำยาวรูปร่างสูงสวมชุดเดรสคลุมทับด้วยสูทสีดำ อายุราวๆ สามสิบปลาย เธอยืนกอดอก ใบหน้าแต่งแต้มเครื่องสำอางจัด กำลังจ้องมองเธออย่างเอาเรื่อง 

เธอจำได้แล้วว่าผู้หญิงคนนี้เป็นลูกค้าที่มาสั่งทำนามบัตรกับร้านเมื่อวานซืน 

“ดูซะสิ น้องทำชื่อของพี่ผิด” ลูกค้าสาวพูดด้วยน้ำเสียงเหวี่ยงๆ

‘ชญานันท์’ ลดาอ่านชื่อในนามบัตร แล้วลุกไปค้นเอกสารในตะกร้าด้านหลัง หยิบกระดาษแผ่นที่จดบรีฟของหญิงสาวออกมาดู

“ชื่อพี่มี ‘น์’ ต่อท้ายคำว่าชญา มันต้องเขียนว่า ‘ชญาน์นันท์’ ในนามบัตรใบนี้ แต่กลายเป็นว่ามันตก ‘น์’ ไป แล้วตอนส่งบรีฟน่ะ พี่ว่าพี่เขียนให้น้องดูชัดเจนแล้วนะ”

จริงด้วย...ลดาพิมพ์ตัวอักษรในนามบัตรของลูกค้าคนนี้ตกไปหนึ่งตัว แต่ก่อนจะทำออกมาเป็นนามบัตร เธอได้ส่งงานที่ทำเสร็จแล้วให้ลูกค้าคนนี้ดูไปรอบหนึ่ง ไม่เห็นอีกฝ่ายทักท้วงว่าให้แก้ไขอะไรเลย 

แต่อย่างไรก็ตาม งานนี้เธอมีความผิดเต็มๆ จะไม่แก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น

“ขอโทษด้วยจริงๆ นะคะสำหรับความผิดพลาดในครั้งนี้ ทางร้านยินดีรับผิดชอบด้วยการทำให้ใหม่ค่ะ”

“มันไม่ทันแล้วน้อง วันนี้พี่มีงานสำคัญต้องใช้นามบัตร ถ้าแม้แต่ชื่อในนามบัตรของตัวเองยังไม่ถูกจะไปมีความน่าเชื่อถืออะไร คิดจะเป็นพนักงานกราฟิกก็อย่าทำงานชุ่ยๆ โอนเงินคืนมาด้วย!”

หญิงสาวนามชญาน์นันท์ตบแผ่นกระดาษที่เขียนเลขบัญชีไว้ลงบนโต๊ะ ก่อนจะสะบัดหน้าเดินปึงปังออกจากร้านไป

ลดาถอนหายใจ หยิบกระดาษแผ่นนั้นมาเตรียมโอนเงินคืนให้อีกฝ่ายโดยใช้เงินของตัวเอง มันเป็นความผิดของเธอคนเดียวแม้จะเป็นความผิดในนามของร้านด้วย และนั่นยิ่งทำให้เธอรู้สึกแย่กว่าเดิมที่ทำให้ร้านต้องพลอยมีประวัติด่างพร้อย

ใช่ว่าตลอดระยะเวลาที่ทำงานเป็นพนักงานกราฟิกมาเนิ่นนานลดาจะไม่เคยทำงานผิดพลาดเลย หากว่าเธอทำงานผิดพลาดเธอก็จะได้รับโอกาสให้แก้ไขงานเหล่านั้นจากลูกค้า เฮียบิ๊กก็บ่นนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ใจจืดใจดำหักเงินเดือนเธอ 

ครั้งนี้เธอไม่มีโอกาสได้แก้ไขเลย...ต้องก้มหน้ายอมรับชะตากรรมเท่านั้น

“พี่ดา”

แกนเอ่ยเรียกเพื่อนรุ่นพี่เสียงแผ่วระหว่างเดินลงบันไดมาพร้อมกับเพื่อนร่วมงานฝ่ายผลิตอีกสามคน

“เมื่อกี้ผมได้ยินเสียงดังโวยวายไปถึงข้างบนเลย ลูกค้ามาวีนเหรอ”

“อืม” สาวหมวยพยักหน้าเนือยๆ ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อีกครั้ง

“คราวนี้เรื่องอะไรล่ะ ขอแก้งาน ขนาดไม่พอดีหรืออะไร”

“ฉันพิมพ์ชื่อเขาผิด ตก ‘น์’ ไปตัวหนึ่ง” 

“หา!” แกนอ้าปากค้าง “แล้วพี่ได้ส่งให้เขาดูก่อนไหม”

“ต้องส่งอยู่แล้วสิ ตอนส่งงานให้ดู เขาก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร สงสัยเพิ่งสังเกตเห็นวันนี้แหละมั้ง” เธอหลับตาอย่างเหนื่อยอ่อน

“แล้วเขาเอาไงล่ะพี่” สาวฝ่ายผลิตอีกคนถาม

“เขาขอเงินคืน กับต่อว่านิดหน่อย”

“ไม่นิดละมั้ง พี่ทำท่าเหมือนคนจะเป็นลมขนาดนี้” แกนเท้าเอวว่า

“ช่างเถอะ วันนี้ฉันไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะไปสู้รบกับใคร” 

ทั้งปวดประจำเดือน ทั้งอกหัก ค่าพลังชีวิตในตัวของลดาต่ำเหลือเกิน 

“โอเค ปล่อยๆ แล้วกันนะพี่ พวกผมกำลังออกไปซื้อข้าว พี่เอาอะไรมั้ย”

“ขอกะเพรากุ้งหมึกเผ็ดๆ ไข่ดาวสุก” หญิงสาวบอกชื่อเมนูที่ต้องการ 

“อาฮะ” ยังไม่ทันที่แกนและฝ่ายผลิตคนอื่นๆ จะออกไปซื้อข้าว เฮียบิ๊กก็เปิดประตูร้านเข้ามาพร้อมกับถุงอาหารถุงใหญ่ในมือ

“อ้าวเฮียบิ๊ก สวัสดีครับ”

“สวัสดีค่ะเฮียบิ๊ก”

ทุกคนยกมือไหว้เจ้านายแทบไม่ทัน คงมีแต่ลดาที่ยังนอนหลับตาหมดแรงบนเก้าอี้อยู่ที่ไม่ยอมเคลื่อนไหวใดๆ  

“เอ้า ซื้อไก่ทอดมาฝากกัน” เฮียบิ๊กวางถุงดังกล่าวลงบนโต๊ะกลางโซฟา

“โอ๊ยลาภปาก พวกผมกำลังออกไปซื้อข้าวพอดีเลย”

“ไม่ต้องๆ ไก่เยอะแยะ กินกันให้หมดเถอะ”

“ขอบคุณคร้าบบ”

แล้วทุกคนที่ตั้งใจว่าจะออกไปซื้อข้าวในตอนแรกก็หันมาจัดการกับไก่ทอดถังใหญ่แทน มีหลากหลายเมนูให้เลือกกินไม่หวาดไม่ไหว

“เอ้าดา มึงไม่กินเหรอ” เฮียบิ๊กเท้าเอวมองลูกน้องสาวผู้ซึ่งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของเขา

“ไม่อะเฮีย ไม่อยากกินไก่ ดาจะออกไปซื้อข้าว” 

ลดาฝืนสังขารลุกขึ้นยืน แค่เห็นไก่ก็ทำให้นึกถึงอธิษฐ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“เรื่องมากนะมึงเนี่ย” เฮียบิ๊กส่ายหน้า “แล้ววันนี้แต่งตัวรุงรังอะไรของมึงเนี่ย ดูสภาพสิอย่างกับอีเพิ้ง เสื้อก็ตัวเบ้อเร่อ กระโปรงก็ยาวจนแทบจะลากพื้น กูถามจริงมึงแต่งตัวปกติบ้างไม่ได้หรือไงฮึ” ชายหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ

“อา” ลดาสะกดกลั้นอารมณ์ไม่โต้ตอบอะไร ก้มลงหยิบข้าวของเตรียมจะออกไปซื้อข้าวกลางวัน ไม่ลืมพกร่มคันเล็กไปด้วย

“สภาพแบบนี้มึงคงจะมีผัวอยู่หรอก”

เหมือนเส้นด้ายในตัวของหญิงสาวขาดผึงเมื่อได้ฟังประโยคนั้นจากเจ้านาย ต่อให้เคยได้ยินประโยคทำนองนี้จากเขามาบ้างและเธอยอมทำใจให้ชินมาโดยตลอด แต่ไม่ใช่กับวันนี้อีกแล้ว

“ไม่จริงนะเฮียบิ๊ก ผมจะบอกว่าพี่ดาน่ะมีแฟนแล้วรวยมากด้วย วันนั้น...” แกนกำลังแก้ต่างให้เพื่อนรุ่นพี่ทั้งที่ไก่ยังเต็มปาก 

“ไอ้แกนหุบปาก” ลดาชี้หน้าเพื่อนรุ่นน้อง อีกฝ่ายสะดุ้งตัวโยน จากนั้นเธอก็หันมาประจันหน้ากับร่างสูงใหญ่ของเจ้านาย

“แล้วเฮียล่ะแต่งตัวอะไร” 

“ฮะ?” เฮียบิ๊กขมวดคิ้ว 

“เฮียบิ๊กว่าดาแต่งตัวเหมือนอีเพิ้ง สภาพอย่างดาไม่มีวันมีผัว แล้วเฮียล่ะแต่งตัวดีนักเหรอถึงกล้ามาว่ารสนิยมคนอื่น” ลดาจ้องหน้าเขาด้วยสายตาดุกร้าวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน 

“...” 

ในตอนนั้นเองทุกคนเงียบกริบ ฝ่ายผลิตที่กำลังเขมือบไก่อยู่ตรงโซฟายังไม่กล้าแม้แต่ทำเสียงเคี้ยว ได้แต่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก เมื่อคนที่ไม่เคยมีปากมีเสียงกับเฮียบิ๊กอย่างลดาได้ทำการเปิดศึกกลางร้านเสียแล้ว

“กูแค่แซวเล่น มึงจะจริงจังอะไรของมึงฮะดา”

“แซวเล่นเหรอ งั้นถ้าดาแซวเฮียบิ๊กเล่นๆ บ้างได้ไหมว่าเฮียอ้วนเหมือนหมู แต่งตัวไม่ดูสารรูปตัวเอง แซวแบบไม่นึกถึงจิตใจ ไม่นึกถึงความรู้สึกคนอื่นอย่างที่เฮียทำกับดา ทำกับลูกน้องในร้านบ้างอะ ได้ไหม”

“...” เจ้าของร้าน Big Shop ได้แต่อ้าปากพะงาบๆ เถียงไม่ออก ด้วยจนต่อคำพูดของลูกน้อง

“แล้วเฮียก็ไม่ต้องมาเดือดร้อนด้วยว่าดาจะมีผัวหรือไม่มี เอาเวลาค่อนขอดดาไปดูแลแฟนตัวเองให้ดีเถอะ อย่าไปปากร้ายใส่จนเขาทนไม่ได้”

“เฮ้อ” คนถูกว่าชุดใหญ่ถอนหายใจ “กูว่าวันนี้มึงกลับบ้านไปเถอะดา คุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว ไปทำจิตใจทำอารมณ์ให้สงบๆ ก่อนไป” เขาโบกมือไล่แบบไม่จริงจังนัก

“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ดากลับแน่” ลดายิ้มหยัน “ดาขอลาออก”

“เฮ้ย! ใจเย็นดิวะ มึงต้องขนาดนี้เลยเหรอ กูขอโทษก็ได้เอ้า”

“ไม่ค่ะ ดาทนมามากแล้ว เฮียบิ๊กหาพนักงานกราฟิกคนใหม่ได้เลย”

ลดากล่าวจบก็ผลักประตูเดินออกจากร้าน ข้ามถนนไปยังอีกฝั่งโดยกางร่มฝ่าพายุฝนออกไป ณ วินาทีนั้นลดาไม่คิดอะไรแล้ว เหมือนฟางเส้นสุดท้ายขาดสะบั้นลง เธอสติแตกโดยสมบูรณ์

                                             


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น