8

 

มีใจมั้ยนะ

 

วาดฟ้าถือโอกาสชวนลดามารับประทานข้าวที่บ้านสวนของเธอในวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ของพวกเธอทั้งคู่ ส่วนสมาชิกอีกคนของกลุ่มยังไม่กลับมาไทย ยังคงเพลิดเพลินอยู่กับการท่องเที่ยวในสหรัฐอเมริกาหลังปิดกล้องซีรีส์เรื่องล่าสุดไป 

เมื่อรถยนต์คันหรูแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านชั้นเดียวขนาดกะทัดรัดสวยงามแล้ว ลดาก็เปิดประตูเบาะหลังลงมาจากรถ กวาดสายตาชื่นชมและดื่มด่ำบรรยากาศอันแสนร่มรื่นโดยรอบ มีต้นไม้ใหญ่สีเขียวขจีทั่วอาณาบริเวณ ให้ดอกออกผลงอกงามอุดมสมบูรณ์ ถัดออกไปไม่ไกลเป็นร้านอาหารเรือนไทยหลังใหญ่ซึ่งมองๆ ไปแล้วก็เหมือนได้ย้อนยุคไปยังสมัยโบราณอย่างไรอย่างนั้น

นอกจากห้องนอนของเธอ ร้านขายอุปกรณ์ศิลปะ บ้านสวนของวาดฟ้าก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่สบายกายสบายใจที่เธอชอบมากที่สุด...ลดากดยิ้มมุมปาก หลับตาสูดลมหายใจเอาอากาศสะอาดเข้าปอด ใช่ว่าจะหาพื้นที่สีเขียวในกรุงเทพฯ ได้ง่ายๆ บ้านของเธอยิ่งแล้วใหญ่ 

“ซึมซับพอยัง” วาดฟ้าย่องมากระซิบข้างหูคนที่กำลังหลับตาพริ้ม

“พอแล้ว ซึมซับกว่านี้ก็ยิ่งกว่าผ้าอนามัยแบบกลางคืนแล้ว โธ่!” ลดาตีแขนเพื่อนตัวดีผู้มาขัดจังหวะการซึมซับธรรมชาติของตัวเอง

“วิว ดา เข้าบ้านกันเถอะ” เสียงทุ้มห้าวของชายหนุ่มเรียกสองสาวให้หันมอง ‘ภาวัฒน์ อนันต์ธาดา’ ว่าที่เจ้าบ่าวสุดหล่อของวาดฟ้าเดินล้วงกระเป๋าเข้ามาหา

และใช่... วันนี้ลดาไม่ได้มากับวาดฟ้าเพียงลำพังตามประสาเพื่อนสาว มีภาวัฒน์ติดตามมาด้วยพร้อมทำหน้าที่สารถีให้พวกเธอ ถึงอย่างนั้นการมีภาวัฒน์เข้ามาเป็นบุคคลที่สามก็ไม่ได้ทำให้ลดาอึดอัดแต่อย่างใด เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นคนอัธยาศัยดี พูดคุยสัพเพเหระด้วยได้ เขาตามใจวาดฟ้าทุกอย่างไม่ว่าเพื่อนรักของเธอจะว่าอย่างไรเขาก็เห็นดีด้วย เข้าทำนอง ‘ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้’ ทั้งที่เมื่อก่อนแทบจะเป็นขั้วตรงข้ามทุกอย่าง ตั้งแต่เพื่อนรักของเธอเอาชนะใจเขาได้ เสือก็กลายเป็นแมวโดยปริยาย

“เราเข้าบ้านกันก่อนก็ได้ค่ะพี่ภีม ดามันอยากซึมซับธรรมชาติ ปล่อยมันอยู่กับธรรมชาติไปก่อน” วาดฟ้าว่าพลางยิ้มล้อเลียน 

ภาวัฒน์เห็นแบบนั้นก็ยีศีรษะว่าที่ภรรยาเบาๆ อย่างมันเขี้ยว 

“นี่แน่ะ ล้อเลียนเพื่อนเหรอ หืม”

“โอ๊ยพี่ภีม หัววิวยุ่งหมดแล้ว”

“เดี๋ยวพี่หนีบผมให้ใหม่ก็ได้”

“ทำอย่างกับพี่ภีมทำเป็นงั้นแหละ”

สองหนุ่มสาวถกเถียงกันงุ้งงิ้งแบบไม่จริงจังนักตามประสาคู่รัก ลดามองแล้วก็อดยิ้มตามไม่ได้ ยินดีที่ได้เห็นความรักของเพื่อนสุกงอมหลังจากเฝ้ารอมาเนิ่นนาน

“งั้นเดี๋ยวพี่กับวิวเข้าบ้านไปหาคุณลุงคุณป้าก่อนนะ ดาไปเดินเล่นรอบๆ ก่อนก็ได้ค่อยเข้ามา” ภาวัฒน์หันมาบอกกับลดา

“ได้ค่ะ เดี๋ยวดาตามไป” สาวหมวยพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย

“ซึมซับจนตัวแกเป็นสีเขียวก่อนแล้วค่อยเข้ามานะ” วาดฟ้ามิวายทิ้งทวนเสียงหวาน 

ลดาจึงได้แต่มองตาเขียวใส่จนกระทั่งอีกฝ่ายจูงมือกับว่าที่เจ้าบ่าวเข้าไปในบ้าน

เมื่อได้อยู่ตามลำพังแล้ว ร่างบางในชุดเสื้อยืดกับกางเกงยีนก็เดินแกว่งแขนไปตามทางเดินสายเล็กๆ ที่ทอดยาวไกลมีต้นไม้ขนาบสองข้างทาง เดินชมดอกไม้ ดูผลไม้ไปเรื่อยเปื่อย สักพักเสียงแจ้งเตือนข้อความจากสมาร์ตโฟนในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้น

ลดาหยิบมันขึ้นมาเปิดดู พบว่าเป็นข้อความจากเตชิตรายงานว่าเขาจะสแตนด์บายรออยู่แถวนี้ ลดาพิมพ์ข้อความโต้ตอบกลับไปเช่นเดิม เป็นแบบนี้มาหลายวันแล้วนับจากวันที่อธิษฐ์บอกเธอว่าเตชิตจะมาเป็นบอดีการ์ดชั่วคราวให้

เวลาเธอจะออกจากบ้านไปทำงาน เธอไม่ได้เดินไปเองเหมือนอย่างเคย เธอจะเดินออกจากบ้านมาขึ้นรถที่เตชิตคอยจอดรอรับเธอในซอยใกล้ๆ เพื่อไม่ให้ปะป๊ากับหม่าม้าสงสัย จากนั้นเขาก็จะขับไปส่งถึงร้าน Big Shop และรอรับเธอกลับมาส่งตรงจุดเดิมตอนเย็น หรือหากเธอจะไปห้างสรรพสินค้า ไปสถานที่อื่นๆ เขาก็คอยรับส่งและเดินตามไปแบบห่างๆ ยอมรับว่าแรกๆ เธอไม่ชินเท่าไร แต่การมีเตชิตอยู่ด้วยนั้นย่อมอุ่นใจกว่าการอยู่ตัวคนเดียวหลังมีเรื่องกับหลานชายของผู้ทรงอิทธิพล

วันนี้เตชิตอาสาขับรถมาส่งเธอที่บ้านวาดฟ้า แต่ลดาก็ขอมากับวาดฟ้าแทนโดยให้เหตุผลว่าอยากใช้เวลากับเพื่อน เขาจึงขอขับรถตามแบบห่างๆ โชคดีที่เธอเล่าเรื่องบอดีการ์ดชั่วคราวให้อลินกับวาดฟ้าฟังในกรุ๊ปไลน์ ว.อ.ด. แล้ว ทำให้วาดฟ้าเข้าใจและอธิบายเรื่องนี้กับภาวัฒน์ได้ 

ลดาเดินมาหยุดใต้ต้นมะม่วง เงยหน้ามองช่อดอกมะม่วงยามลมพัดร่วงหล่นลงมาที่พื้น ไล่สายตามาตามลำต้นมีฝูงมดแดงไต่เรียงเป็นแถวยาวดูน่าอภิรมย์ แต่ถ้าโดนมันเข้าคงอภิรมย์ไม่ออกแน่ๆ

เธอหยิบสมาร์ตโฟนในมือมาเปิดแอปพลิเคชันไลน์อีกครั้ง กดเข้าไปในห้องสนทนาของเธอกับอธิษฐ์ หลังจากวันแห่งความสับสนเธอได้คุยกับเขาเพียงเล็กน้อย แม้เธอจะส่งข้อความพยายามชวนเขาคุย เขาก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง ทำเอาเธอเศร้าใจไม่น้อย

‘พี่ไอซ์อึดอัดหรือเปล่านะที่เราพูดวันนั้น’

ลดาเฝ้าถามตัวเองด้วยคำถามนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า คิ้วเรียวงามขมวดเข้าหากัน...แต่เธอสารภาพรักหลายรอบแล้วเขาไม่เคยดูแปลกไปเท่าครั้งนี้เลย

คนที่พอจะไขข้อข้องใจให้เธอได้มีแค่เตชิตคนเดียวเท่านั้น หลายวันมานี้เธอสนิทกับเตชิตมากขึ้นและพยายามจะถามเขาเกี่ยวกับเรื่องของอธิษฐ์ 

‘ช่วงนี้พี่ไอซ์เป็นอะไรหรือเปล่าคะ เขาไม่ค่อยตอบข้อความดาเลย ดาทำอะไรให้เขาโกรธหรือเปล่าคะพี่เต’

‘คุณไอซ์ยุ่งๆ เรื่องที่โรงแรมน่ะครับ ช่วงนี้งานหนัก คุณดาอย่าคิดมากเลย’

คำบอกเล่าของเตชิตช่วยให้ลดาสบายใจขึ้นเพียงเล็กน้อย บอดีการ์ดหนุ่มไม่ใช่คนพูดมาก เธอรู้ แต่เขาก็เป็นคนใจดีพอจะถนอมความรู้สึกของเธอ เธอจึงไม่อยากปักใจเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์

“เฮ้อ” สาวหมวยถอนหายใจ ที่ผ่านมาเธอรักอธิษฐ์แบบเฝ้ามองอยู่ห่างๆ เธอสบายใจเมื่ออยู่จุดนั้นแม้ไม่อาจใกล้ชิดเขาได้ตามปรารถนา แต่เมื่อเขาก้าวเข้ามาให้เธอมีโอกาสได้ใกล้ชิด เข้ามามีความสัมพันธ์กับเธอมากขึ้นกลับทำให้เธอวุ่นวายใจ กระวนกระวายแทบไม่เป็นอันทำอะไรเพราะคิดถึงเพียงเขา

สุดท้ายลดาก็ตัดสินใจหันหลังเดินกลับไปที่บ้านขนาดกะทัดรัดหลังงาม บางทีการได้พูดคุย ระบายความทุกข์ความอัดอั้นตันใจให้บุคคลที่เธอไว้ใจและเป็นเสมือนครอบครัวอาจช่วยให้เธอคลายกังวล ในขณะที่ครอบครัวจริงๆ ของเธอมิอาจทำหน้าที่นี้ได้

เวลาอาหารกลางวันพอดี จักรกับประไพทยอยนำอาหารจากในห้องครัวมาเสิร์ฟบนโต๊ะในห้องรับแขก พ่อครัวมือหนึ่งแห่งร้านอาหารจักรรักษ์ไทยที่วางมือมานานอย่างจักรกลับมาลงครัวอีกครั้ง อาหารแต่ละอย่างล้วนแล้วแต่ไม่ธรรมดา ลดารู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยที่จะได้รับประทานอาหารรสชาติจัดจ้านด้วยว่าบ้านของเธอค่อนข้างติดรสจืดจึงไม่ค่อยทำอาหารเน้นเครื่องแกงหนักๆ มากนัก อาหารตรงหน้าเธอล้วนมีกลิ่นเครื่องแกงหอมฉุยเรียกน้ำย่อยในกระเพาะได้เป็นอย่างดีจนท้องส่งเสียงร้องครางออกมา

“แหะๆ ขอโทษนะคะ” ลดากล่าวกับทุกคนอย่างเขินอาย พลางเกาท้ายทอยแก้เก้อ

“หิวแล้วละสิเรา อะนี่ แม่ตักข้าวให้ดาคนแรกเลย” ประไพลูบศีรษะลดาด้วยความรักใคร่เอ็นดูประหนึ่งลูกสาวอีกคน ก่อนจะคดข้าวในโถปริมาณมากใส่จานส่งให้เจ้าตัว

“ขอบคุณนะคะแม่” ลดายกมือไหว้ขอบคุณสตรีสูงวัยผู้อบอุ่นใจดีกับเธอเสมอมา ในระหว่างนั้นจักรก็เดินมานั่งที่เก้าอี้หัวโต๊ะ วาดฟ้ากับภาวัฒน์ตามมาสมทบภายหลัง

“โห ไม่ได้กินแกงส้มแป๊ะซะปลาช่อนของพ่อมานานแค่ไหนแล้วเนี่ย” วาดฟ้ามองเมนูในตำนานของบิดาด้วยแววตาเป็นประกาย

“นานอะไรกัน เมื่อต้นปียังทำให้กินอยู่เลย” จักรแย้งลูกสาว

“ถ้าวิวชอบพี่จะหัดทำให้วิวกินบ้างดีไหม” ภาวัฒน์พูดยิ้มๆ ตักน้ำแกงส้มกับเนื้อปลาใส่ถ้วยเล็กให้ว่าที่ภรรยา

“ฝีมือแกเทียบชั้นลุงไม่ได้หรอกไอ้ภีม” 

“งั้นคุณลุงก็สอนผมทำสิครับ จดสูตรมาให้ก็ได้ จะยากแค่ไหนเชียว”

พ่อตากับว่าที่ลูกเขยผู้มีศักดิ์เป็นหลานเริ่มต่อปากต่อคำกัน

“ไม่สอนโว้ย ขี้เกียจ”

“คุณลุงก็หวงสูตรไปได้”

“โอ๊ย เมื่อไหร่จะเลิกเถียงกันเป็นเด็กๆ สักที ตาเฒ่านี่ก็กวนประสาท ไม่เป็นไรหรอกภีม ถ้าภีมอยากทำเป็น ป้าสอนให้ก็ได้”

กรรมการห้ามมวยคนเดิมอย่างประไพถอนหายใจ แม้จะรู้ว่าคู่นี้มักเถียงเอาชนะกันเพื่อความสนุก แต่มันก็น่ารำคาญไม่น้อยเลย เมื่อตักข้าวใส่จาน เทน้ำใส่แก้วบริการทุกคนแล้วเธอจึงมานั่งรับประทานอาหารบนเก้าอี้ข้างๆ ลดา ซึ่งเป็นฝั่งตรงข้ามกับลูกสาวและว่าที่ลูกเขย

“เอ้อนี่ พ่อจำได้ว่าดาชอบซี่โครงหมูผัดเผ็ดมากตอนมากินข้าวที่บ้าน กินเยอะๆ เลยนะ เมนูนี้พิเศษสำหรับเราเลย”

จักรบอกเพื่อนลูกสาวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นผิดแผกกับน้ำเสียงที่ใช้กับหลานแท้ๆ ของตนเอง ผายมือไปยังจานผัดเผ็ดซี่โครงหมูที่ตั้งอยู่กลางโต๊ะ ประไพจึงช่วยอำนวยความสะดวกให้ด้วยการขยับจานซี่โครงหมูมาใกล้กับลดา

“ขอบคุณนะคะพ่อ ดาจะทานเยอะๆ เลยค่ะ อยากทานมานานแล้ว”

ความใส่ใจ ความอบอุ่นของสองสามีภรรยาหล่อเลี้ยงหัวใจแห้งแล้งของลดาให้ชุ่มชื้นอีกครั้ง รอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้าเศร้าหมอง วาดฟ้าเห็นเช่นนั้นก็พลอยให้ใจกระตุกวูบไปด้วย

“นี่ ฉันก็มีเมนูพิเศษให้แกเหมือนกันนะดา เมนูที่ฉันถนัดที่สุด แถ่นแถ้น! ไข่เจียวหอมใหญ่” หญิงสาวลุกยืนพร้อมใช้ช้อนส้อมตักไข่เจียวส่วนหนึ่งใส่จานให้เพื่อนรัก

“ขอบคุณมากค่ะคุณเชฟไข่เจียว” ลดาหัวเราะ ก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย

แม้จักรกับประไพจะไม่ใช่บิดา มารดาแท้ๆ ของวาดฟ้า แต่พวกท่านก็เลี้ยงวาดฟ้ามาตั้งแต่เล็กๆ ให้ความรัก ให้การสนับสนุน ดูแลเอาใจใส่ดีทุกอย่างประหนึ่งลูกในไส้ วาดฟ้าเคยบอกลดากับอลินว่าตนไม่เคยรู้สึกขาดความรัก หรือรู้สึกมีปมด้อยที่เป็นเด็กกำพร้าเลยสักนิดเดียว

ในขณะที่ลดามีพ่อกับแม่แท้ๆ แต่เธอกลับรู้สึกโดดเดี่ยว...เมื่อก่อนตอนสมัยยังเป็นเด็ก ปะป๊ากับหม่าม้าเคยใจดีกับเธอมากกว่านี้ ทว่าเมื่อเติบโตขึ้น ความคาดหวังจากพวกท่านดันกดทับเธอจนแทบไม่มีความสุข ไม่เหลือความภาคภูมิใจในตัวเอง และไม่เคยรู้สึกถึงความเป็นครอบครัวเนิ่นนานมาแล้ว

“แล้วอิงค์ล่ะ ช่วงนี้แม่ไม่เห็นหน้าค่าตาเลย งานยุ่งเหรอ” ประไพถามถึงอีกหนึ่งสาวของกลุ่ม

“อิงค์เพิ่งปิดกล้องซีรีส์ไปค่ะ เลยไปเที่ยวพักผ่อนที่อเมริกา ว่าจะนัดเจอกันที่นิวยอร์กวันพฤหัสฯ นี้” 

วาดฟ้ากับภาวัฒน์มีกำหนดต้องบินไปรับชุดแต่งงานที่นั่นพอดี หลังจากนั้นอีกไม่นานก็จะถึงวันแต่งงานของเธอแล้ว

“แล้วดาไปกับเขาด้วยไหม” จักรหันมาถามลดาบ้าง

“คงไม่ไปค่ะพ่อ ดางานยุ่งมาก” สาวหมวยยิ้มเจื่อน แม้ใจจริงมีความฝันอยากไปเที่ยวต่างประเทศแค่ไหน เธอก็ไม่มีวันได้ไป เพราะปะป๊ากับหม่าม้ากลัวเธอจะเป็นอันตรายตามประสาคนมีชุดความคิดเก่า เธอเคยดื้อแพ่งถกเถียงเรื่องนี้ และจบลงด้วยคำพูดเดิมก็คือ หากเธออยากไปจริงๆ ก็ต้องใช้เงินของตัวเองไป

และแน่นอน เมื่อต้องทำงานหาเงินเอง เงินเดือนอันน้อยนิดย่อมไม่พอสำหรับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ ก็นะ...เธอเพิ่งจะเรียนจบทำงานได้ปีเดียวเองจะไปมีเงินเก็บอะไรมากมาย ส่วนเงินที่เก็บๆ ไว้ก็หวังเป็นทุนเรียนต่อระยะยาว 

“อย่าลืมพักผ่อนบ้างนะ ชีวิตคนเรามันสั้น ถ้าเอาแต่ทำงานหนักจนไม่มีเวลาให้ตัวเองมีความสุขเลย เกิดวันหนึ่งเราตายไปคงเสียดายแย่” 

ชายชราว่าอย่างเป็นห่วง เพราะตั้งแต่เพื่อนลูกสาวก้าวเท้าเข้ามาในบ้านวันนี้ เขาก็เห็นแต่ร่องรอยความทุกข์และความเศร้าหมอง แม้จะยิ้มหัวเราะบ้าง ร่องรอยเหล่านั้นก็ไม่หายไป

“ค่ะ ดาจะพยายามไม่ทำงานหนักจนเกินไปนะคะ” ลดาคลี่ยิ้มพลางตักข้าวเข้าปาก ใช่ว่าเธอทุกข์ใจกับงาน ถึงมันจะหนักบ้าง แต่เธอก็รับมือไหว ปัญหาความรักกับปัญหาครอบครัวต่างหากที่ทำเธอปวดหัวเหนือสิ่งอื่นใด

“วิวเคยถ่ายรูปวาดของดามาให้พี่ดู เราเป็นคนฝีมือดีมากเลยนะ เคยคิดจะไปเรียนต่อทางด้านนี้หรือเปล่า” ภาวัฒน์ที่ฟังอยู่นานตัดสินใจเอ่ยขึ้น

“เป็นความฝันของดาเลยค่ะ ตั้งใจจะทำงานเก็บเงินอีกสักสองสามปีคงจะได้ไปเรียนต่อแล้ว” 

“อ้าว...” ชายหนุ่มสับสนกับคำตอบเล็กน้อย รู้มาจากวาดฟ้าว่าบ้านของลดาก็มีฐานะในระดับหนึ่ง มีธุรกิจค้าทองเก่าแก่ในเยาวราช เหตุใดจึงยังต้องทำงานหนักเก็บเงินเพื่อไปเรียนต่ออีก 

ลดาพออ่านสีหน้าของภาวัฒน์ออก จึงเล่าต่อ

“ดาต้องทำงานเก็บเงินเองน่ะค่ะ ป๊ากับม้าดาไม่เห็นด้วยเรื่องที่ดาจะไปเรียนศิลปะ ท่านอยากให้ดาดูแลร้านทองสืบทอดกิจการมากกว่าก็เลยไม่ได้ให้เงินสนับสนุน”

จบคำอธิบายดังกล่าวทั้งโต๊ะก็เงียบกริบ ภาวัฒน์ทำได้เพียงพยักหน้ารับ ส่วนคนอื่นๆ ก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารด้วยอารมณ์สะเทือนใจ จนกระทั่งอาหารบนโต๊ะหมดเกลี้ยง ลดากับวาดฟ้าอาสาล้างจาน ส่วนภาวัฒน์พูดคุยธุระเรื่องงานแต่งงานกับจักรและประไพต่อ

“แกโอเคไหมเนี่ยดา” วาดฟ้าแตะไหล่บางของเพื่อนรักเบาๆ ยามอยู่ลำพังสองคนในห้องครัว

“เฮ้ย ฉันโอเควิว แกไม่ต้องห่วง นี่มันปัญหาคลาสสิกของบ้านฉัน ฉันไม่อะไรอยู่แล้วละ” ลดายิ้มให้พลางไหวไหล่ หยิบฟองน้ำเปียกๆ บีบน้ำยาล้างจานใส่ 

“แล้วทำไมหน้าแกอมทุกข์จังวะ” 

“ฉัน...เฮ้อ เครียดๆ เรื่องพี่ไอซ์นิดหน่อย ส่วนเรื่องป๊า ม้า ฉันปลงนานละ”

“เครียดเรื่องพี่ไอซ์?” วาดฟ้าเท้าเอว ขมวดคิ้วมุ่น “ปกติแกไม่เคยเครียดเรื่องพี่ไอซ์เลยนะ อย่างมากก็เศร้าๆ ซมๆ แป๊บเดียวแกก็หาย แต่นี่แกดูเครียดจริงจังมาก”

“เมื่อก่อนมันไม่มีเรื่องให้สับสน ฉันเลยไม่เครียด แต่ตอนนี้มี” ลดาเริ่มต้นใช้ฟองน้ำขัดถูจานกับชามก่อนส่งให้วาดฟ้าล้างน้ำเปล่า

“ไหนแกเล่ารายละเอียดมาซิ” วาดฟ้าเปิดก๊อกน้ำในซิงก์ล้างคราบฟองน้ำยาล้างจาน

“อืม เรื่องมันก็...” ลดาเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่เจอกับอธิษฐ์ที่ห้างสรรพสินค้าโดยบังเอิญ ตามติดมาด้วยเหตุการณ์ในผับและเพนต์เฮาส์ จนถึงเหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นที่บ้านของเธอเอง แม้เหตุการณ์สำคัญเหล่านี้เธอจะคอยอัปเดตสม่ำเสมอในกรุ๊ปไลน์แล้ว แต่เธอก็ไม่ได้เล่ารายละเอียดสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับอธิษฐ์ให้เพื่อนฟัง เพราะคิดว่ารอเจอหน้ากันทีเดียวค่อยเล่าจะดีกว่า

“เออ เอาจริงๆ มันก็น่าสับสนว่ะ” 

วาดฟ้าสรุปหลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว คิ้วเรียวขมวดมุ่นเป็นปมขณะเช็ดจานที่ล้างแล้วให้แห้ง

“แกว่าพี่ไอซ์มีใจให้ฉันไหม แบบนี้เรียกมีใจได้ไหมนะ” ลดาถามพลางเก็บจานแห้งสะอาดเข้าตู้

“ฉันว่าอาการกับท่าทีของพี่ไอซ์น่ะคนมีใจชัดๆ เลย คิดดูดิ จากคนที่เฉยชา อยู่ดีๆ ก็ยอมคุยดีกับแก ให้ของที่ชอบกับแก ตอนแกตกอยู่ในอันตรายเขาก็ให้คนที่ไว้ใจที่สุดของเขามาคอยดูแลแก แถมยังคุยกับพ่อแม่แก ยอมให้พ่อแม่แกเข้าใจผิดว่าเขาเป็นแฟนแกอีกแบบไม่ปฏิเสธ ถ้าไม่เรียกมีใจเรียกอะไร”

“เรียกสงสารป้ะ” 

“ถ้าสงสารแล้วยอมลงทุนทำขนาดนั้นพี่ไอซ์ก็เป็นพ่อพระเกินไปแล้ว” วาดฟ้าเบ้หน้า “แต่อย่างว่าแหละใจพี่ไอซ์ยากแท้หยั่งถึงเหมือนภูเขาน้ำแข็ง อิงค์มันยังเข้าไม่ถึง นับประสาอะไรกับพวกเรา”

“นั่นสินะ” ลดาถอนหายใจ บิดขี้เกียจน้อยๆ หลังจากเก็บจานเข้าตู้จนหมด

“แต่ว่านะไอ้ดา” วาดฟ้าวางมือลงบนไหล่ของเพื่อนรัก จ้องมองดวงตาเรียวเล็กด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดี

“โอกาสมาถึงแล้ว แกทำคะแนนให้เต็มที่เลยนะเว้ย สิ่งที่เห็นตอนนี้คือความสัมพันธ์ของแกกับพี่ไอซ์คืบหน้ามากที่สุดในรอบแปดปีแล้ว ในเมื่อแกประกาศจะจีบเขา แกก็อย่าแผ่ว ลุยไปเลย ฉันอยากเห็นแกมีความสุขสมหวังในความรัก”

“อื้ม...ฉันจะไม่แผ่ว ฉันชอบเขามาตั้งแปดปีแล้วนี่นา คงต้องลองดูกันอีกสักตั้ง”

ลดายิ้มกว้าง ใบหน้าขาวผ่องดูคลายกังวลลงมาก เหลือเพียงความมุ่งมั่นตั้งใจที่เต็มเปี่ยมเท่านั้น

เอาวะ เธอจะจีบเขาต่อไปจนได้เป็นแฟน จนได้เป็นสามี ได้นามสกุล ‘เศรษฐกุล’ มาต่อท้ายชื่อให้ได้!

นิสาแปลกใจมากเมื่อเห็นร่างสูงโปร่งของลูกชายในชุดเสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์ยามบ่ายวันอาทิตย์เช่นนี้ โดยที่ไม่ได้แจ้งให้เธอทราบก่อนล่วงหน้าแต่อย่างใด 

“ไอซ์ลูก”

เสียงเรียกของมารดาทำให้อธิษฐ์หยุดเดินแล้วหันไปมอง ใบหน้าหล่อเหลาอิดโรยเหมือนคนอดนอน ท่าทีของเขาราวกับเพิ่งได้สติว่าไม่ได้อยู่ในห้องโถงเพียงลำพัง แต่ยังมีมารดานั่งอยู่บนโซฟารับแขกพร้อมกับหญิงสาวนิรนามอีกคน

“คุณแม่...สวัสดีครับ”

“จ้ะๆ” นิสารับไหว้แบบงงๆ ลูกชายของเธอมีสภาพคล้ายยังไม่ตื่นเต็มตาสักเท่าไร

“มานี่ก่อนมา” ว่าพลางกวักมือเรียก

อธิษฐ์เดินเข้าไปนั่งบนโซฟาข้างมารดาอย่างว่าง่าย หรือจะเรียกว่าละเมอเดินไปก็เห็นจะได้

“เป็นยังไง หืม สภาพเหมือนคนเพิ่งผ่านความตายมางั้นแหละ แล้วทำไมไม่บอกแม่ก่อนว่าจะกลับ”

“อาทิตย์นี้งานที่โรงแรมหนักมากครับคุณแม่ อยู่ดีๆ ผมก็นึกอยากทานช่อม่วงของคุณแม่เลยขับรถกลับมาเลย ไม่ได้เตรียมอะไรมาทั้งนั้น มาตัวเปล่า” อธิษฐ์อธิบายพลางสวมกอดมารดาไว้หลวมๆ 

จริงๆ แล้วขนมช่อม่วงเป็นเรื่องโกหก มันไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจกลับบ้าน แต่เพราะเขามีเรื่องให้คิดฟุ้งซ่านตลอดตอนอยู่ลำพังต่างหาก ยามนี้น้องสาวตัวดีก็ไม่อยู่ ไม่มีใครให้พูดคุยด้วย เขาจึงตัดปัญหาด้วยการกลับมาพักที่บ้าน อย่างน้อยการได้อยู่พูดคุยกับบิดา มารดาคงทำให้เขาหายฟุ้งซ่านได้

“แหม ปากหวานจริง ลมหิวหอบกลับมาว่างั้นเถอะ” นิสาว่ายิ้มๆ ถึงกระนั้นนางไม่เคยขัดใจลูกชายอยู่แล้ว 

“ได้สิถ้าไอซ์อยากทาน เดี๋ยวเย็นนี้แม่ทำให้”

“ขอบคุณครับ” ทายาทคนโตคลี่ยิ้มบาง

“เอ้อนี่เราก็มัวแต่คุยกัน เสียมารยาทจริงๆ เลย” สตรีวัยกลางคนผายมือไปยังหญิงสาวในชุดเดรสลูกไม้ เจ้าของผมสีแดงมะฮอกกานียาวประบ่า ซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาฝั่งซ้ายมือ

“นี่หนูจิ๋ว ลูกสาวน้าจุ๋ม จำได้ไหม เคยเล่นกับไอซ์สมัยเด็กน่ะ”

“สวัสดีค่ะพี่ไอซ์” สาวสวยนาม ‘จริยา’ เผยรอยยิ้มจริงใจ ใช้สรรพนามเรียกขานชายหนุ่มว่า ‘พี่’

“สวัสดีครับ จะโกรธไหมถ้าพี่จำเราไม่ได้” 

จริยาส่ายหน้า “ไม่โกรธหรอกค่ะ ใครจะจำเพื่อนสมัยวัยเด็กได้ทุกคนจริงไหมคะ ตอนแรกจิ๋วก็จำไม่ได้จนคุณป้าเปิดรูปในอัลบัมให้ดู”

“หืม รูปในอัลบัมเหรอ” อธิษฐ์เลิกคิ้ว เป็นจังหวะเดียวกับที่มารดาหยิบอัลบัมเล่มหนาออกมากาง ก่อนชี้ให้เขาดูรูปถ่ายรูปหนึ่ง เป็นรูปเขาในวัยประมาณแปดขวบกำลังนั่งเล่นขายของกับเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง

“นี่ไงไอซ์ นี่ไงน้อง ทีนี้นึกออกหรือยัง” 

“อ้อ... เด็กคนนี้คือน้องจิ๋วนั่นเอง” ความทรงจำวัยเด็กปรากฏขึ้นในมโนสำนึกของเขาแบบเลือนราง

“หนูจิ๋วเพิ่งกลับจากญี่ปุ่นก็เลยเอาของฝากมาเยี่ยมแม่” นิสาเสริมที่มาที่ไปของอาคันตุกะสาว

“น้องจิ๋วทำงานที่ญี่ปุ่นหรือครับ”

“เปล่าหรอกค่ะ จิ๋วเพิ่งเรียนจบโท กำลังอยู่ในช่วงเตะฝุ่นหางานทำ” จริยาพูดยิ้มๆ “แต่ในระหว่างนี้ก็รับงานแปลหนังสือด้วยนะคะ”

“เก่งจริงๆ เลยนะหนูจิ๋วเนี่ย” นิสาชื่นชมลูกสาวของเพื่อนสนิทด้วยความเอ็นดู ไม่แปลกใจ จริยาคงได้ดีเอ็นเอความเก่งตกทอดมาจากจรรยาเพื่อนสนิทของเธอ ผู้มีดีกรีเป็นถึงอาจารย์สอนภาษาญี่ปุ่นที่มหาวิทยาลัยชื่อดัง

“แล้วน้องจิ๋วอยากทำงานด้านไหนเป็นพิเศษครับ” อธิษฐ์เอ่ยถาม

“จริงๆ จิ๋วชอบงานแปลหนังสือนะคะ แต่คิดเอาไว้ว่าอยากทำงานเป็นล่าม ถ้าได้งานนี้ก็คงพักงานแปลหนังสือไว้ก่อน หรือไม่ก็ทำเป็นงานเสริมค่ะ”

“พี่เชื่อว่าคนเก่งแบบน้องจิ๋วหางานทำได้แน่นอน สู้ๆ นะครับ พี่เป็นกำลังใจให้” ชายหนุ่มส่งมอบรอยยิ้มและกำลังใจเป็นมารยาท

“เอาละๆ เดี๋ยวแม่ไปเตรียมทำช่อม่วงก่อนนะ ลูกกับหนูจิ๋วอยู่คุยกันไปก่อนก็ได้” นิสาผุดลุกขึ้นยืน

“จิ๋วขอไปช่วยคุณป้าทำได้ไหมคะ ยังไงวันนี้จิ๋วก็ไม่มีธุระอะไรอยู่แล้ว” จริยาขันอาสา

“ได้สิลูก มาเลยๆ ดีใจจังมีแรงงานสาวสวยมาช่วย” สตรีวัยกลางคนเผยรอยยิ้มกว้างอย่างยินดี ก่อนเดินเข้ามาโอบไหล่หญิงสาว

“แล้วหนึ่งหนุ่มที่เหลือล่ะ สนใจไปช่วยทำไหม หรืออยากพักผ่อน” 

“ขอนั่งพักก่อนแล้วกันครับคุณแม่ เดี๋ยวผมตามไป”

“โอเค้” 

อธิษฐ์มองมารดาของตนกับจริยาเดินเลี่ยงไปทางห้องครัว  ทั้งสองพูดคุยหัวเราะต่อกระซิกดูเข้าขากันได้ดี มารดาของเขาคงถูกใจเธอไม่น้อย และเชื่อว่าคงเชียร์ให้เขาจีบเธอในไม่ช้า แต่เก่าก่อนเขาเคยคบผู้หญิงมาบ้าง แต่มารดาก็ไม่ได้ถูกใจใครเป็นพิเศษ ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ทำตัวอคติกีดกันเหมือนแม่ผัวใจโหดในละคร

ชายหนุ่มทอดถอนใจอีกครา ไม่รู้เหมือนกันว่าอาทิตย์นี้เขาเป็นอะไรไป งานหนักนั้นก็ส่วนหนึ่ง แต่ส่วนที่ไม่เข้าท่าคงเป็นเพราะเก็บเรื่องไร้สาระมาเป็นอารมณ์

เรื่องไร้สาระที่ชื่อ ‘ลดา’

ชายหนุ่มสลัดความคิดทิ้งไป จัดการพับแขนเสื้อ ลุกขึ้นเดินตามมารดากับจริยาไปยังห้องครัว

ปฏิบัติการทำขนมช่อม่วงเริ่มขึ้นในห้องครัวใหญ่ที่มีอุปกรณ์ทำครัวทันสมัยและข้าวของเครื่องใช้หรูหรา นิสาไม่ได้เรียกสาวใช้หรือแม่ครัวให้มาช่วยเป็นลูกมือ เพราะเธอตั้งใจจะลงครัวเองพร้อมลูกมือพิเศษอีกสองคน

การทำขนมยังอยู่ในขั้นตอนเตรียมวัตถุดิบ นิสานำเนื้อไก่เข้าเครื่องบด มอบหน้าที่ให้จริยาโขลกสามเกลอ อันประกอบด้วยรากผักชี พริกไทย กระเทียม ส่วนอธิษฐ์นั้นอาสาหั่นหัวหอมกับเตรียมน้ำดอกอัญชัน

ครืด ปึ้ก ปึ้ก... 

เสียงมีดหั่นลงบนเนื้อหัวหอมสีนวลเนียนกระทบกับเขียงไม้ขนุน เคล้าเสียงเครื่องปั่นกับเสียงโขลกดังแข่งกัน 

ร่างสูงในชุดผ้ากันเปื้อนปล่อยเสียงเหล่านั้นเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ตั้งอกตั้งใจหั่นหัวหอมต่อไป กลิ่นฉุนของมันตีขึ้นจมูก

‘พี่ไอซ์เป็นแรงบันดาลใจให้ดาวาดรูปนั้น พี่ไอซ์เป็นแรงบันดาลใจให้ดามากมายหลายเรื่องตลอดแปดปีที่ผ่านมา ดาไม่เคยมีโอกาสได้เข้าใกล้ ได้รู้จักพี่ไอซ์ไปมากกว่ามองอยู่ห่างๆ ดาก็ยังชอบพี่ไอซ์มาก แล้วพอได้มีโอกาสมาอยู่ใกล้ๆ ได้รู้จักพี่ไอซ์มากขึ้นในช่วงเวลาอันสั้น มันก็ทำให้ดาไม่ผิดหวัง ชอบพี่ไอซ์มากยิ่งกว่าเดิมเป็นร้อยเท่าพันเท่า’

‘...’

‘ขอบคุณที่เกิดมา ขอบคุณที่มาอยู่ตรงนี้ มาอยู่ให้ดาชอบนะคะ’

 

ถ้อยคำ สีหน้า และแววตาของลดาในคืนวันนั้นสลักลึกลงในจิตใจของอธิษฐ์จนยากจะถอดถอน มันทำให้เขาหงุดหงิดเหลือเกิน ลดาก็เป็นแค่ลดา เหตุใดจึงอาจหาญมากล่าววาจาซึ้งๆ พวกนี้แล้วทำให้เขาเอามันออกจากหัวไม่ได้

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอสารภาพว่าชอบเขา เธอสารภาพนับครั้งไม่ถ้วน แต่ครั้งที่ผ่านๆ มาเขาไม่ได้สนใจ คิดเพียงว่าลดาเป็นเด็กที่มีความรักให้เขาแบบเด็กๆ 

เขาไม่ชอบเลย ไม่ชอบลดาเลยสักนิดเดียว...อธิษฐ์นึกอยากผลักไสเธอออกไปให้พ้นจากชีวิต ยามนี้แค่นึกถึงหน้าเธอเขาก็หงุดหงิดแล้ว

“โอ๊ะ...” 

คมมีดบาดนิ้วชี้ข้างขวาของชายหนุ่มอย่างจัง เลือดไหลซึมเปรอะเปื้อนหัวหอม อาการเจ็บแสบเข้าจู่โจมนิ้วของเขาทันที

“พี่ไอซ์” จริยาที่โขลกสามเกลออยู่ไม่ไกลจากเขาเห็นเหตุการณ์พอดีจึงรีบถลาเข้ามาดู

“เข้าลึกไหมคะเนี่ย” เธอจับมือเขาเข้ามาดูแผลที่นิ้วใกล้ๆ

“ไม่เท่าไหร่ พี่ไม่ทันระวังเอง” เขาถอนหายใจพร้อมยิ้มบาง แล้วจึงหันไปเปิดน้ำในซิงก์ล้างแผล

“เกิดอะไรขึ้นลูก” นิสาหยุดเครื่องปั่นแล้วรีบเดินเข้ามาหาหนุ่มสาว

“มีดบาดน่ะครับ” ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนตอบ

“โธ่เอ๊ย...”

“เดี๋ยวจิ๋วทำแผลให้ค่ะ คุณป้ามีอุปกรณ์ทำแผลไหมคะ” 

“มีจ้ะ บอกเด็กในบ้านได้เลย อ้อ แล้วก็ไปพักเถอะไอซ์ เดี๋ยวแม่เรียกแม่บ้านมาช่วยทำจะดีกว่า” 

สตรีวัยกลางคนถอนหายใจอย่างปลดปลง พ่อลูกมือสมัครเล่นดันได้แผลก่อนจะได้ปั้นแป้งขนมเสียอีก

“มาค่ะพี่ไอซ์ จิ๋วทำแผลให้นะคะ”

ร่างอวบได้สัดส่วนในชุดเดรสดึงแขนของคนตัวสูงเดินออกไปจากห้องครัว ท่ามกลางสายตาของบุคคลที่สามซึ่งทอดมองด้วยความเอ็นดู มองๆ ไปแล้ว หนูจิ๋วกับลูกชายของเธอก็ดูเหมาะสมกันไม่น้อยเลย ริมฝีปากเคลือบลิปสติกยกยิ้ม ก่อนจะเรียกแม่บ้านมาช่วยจัดการทำขนมช่อม่วงกันต่อให้เสร็จ

เมื่อได้รับกล่องบรรจุอุปกรณ์ทำแผลจากสาวใช้แล้ว จริยาก็จัดแจงนำสำลีชุบน้ำเกลือเช็ดบริเวณรอบๆ แผลของอธิษฐ์ 

“เครียดเหรอคะ” เธอถามเสียงนุ่มนวล

“ทำไมน้องจิ๋วถึงถามพี่แบบนี้ล่ะครับ” อธิษฐ์เลิกคิ้ว

“จิ๋วเห็นพี่ไอซ์ดูเครียดๆ ตั้งแต่เข้ามาที่นี่แล้วค่ะ” หญิงสาวคลี่ยิ้มบาง วางสำลีลงบนโต๊ะกลางโซฟา ควานหาครีมฆ่าเชื้อในกล่อง

“ก็เครียดนิดหน่อยครับ”

“ถ้าพี่ไอซ์เครียดแล้วไม่รู้จะผ่อนคลายตัวเองยังไง ลองนั่งสมาธิดูก็ได้นะคะ ไม่เกี่ยวกับพุทธศาสนาอะไรหรอก จิ๋วแค่คิดว่ามันบำบัดความเครียดได้ดี” 

คำแนะนำของจริยาทำให้อธิษฐ์หัวเราะออกมาเบาๆ “ไว้พี่จะลองดูแล้วกัน” 

“นิ่งๆ นะคะ” เจ้าของผมสีแดงมะฮอกกานีค่อยๆ ทาครีมฆ่าเชื้อลงบนนิ้วใหญ่ ปิดท้ายด้วยการปิดปลาสเตอร์ให้

“ขอบคุณมากครับ” ชายหนุ่มกล่าว ชักมือของตนออกจากหญิงสาว

“ไม่เป็นไรค่ะ หายไวๆ นะคะ” จริยาโปรยยิ้มหวาน “งั้นเดี๋ยวจิ๋วขอตัวไปช่วยคุณป้าทำขนมต่อนะคะ”

“ครับ”  

ร่างอวบได้สัดส่วนในชุดเดรสลุกขึ้นเดินจากไป คราวนี้อธิษฐ์จึงเอนหลังลงบนโซฟานุ่ม เปิดสมาร์ตโฟนดูข้อความในแอปพลิเคชันไลน์ และได้เห็นข้อความของใครบางคนส่งมา เขากดอ่าน แต่ไม่พิมพ์ข้อความตอบไปเช่นเดิม

แค่ให้เธอปลอดภัยก็พอแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเธออีก

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น