12

ตอนที่ 12



๑๒

ของขวัญวันแต่งงาน

หลังจากที่ทั้งสองทำการจดทะเบียนสมรสแล้ว เจษฎ์บดินทร์ก็พาภรรยาไปดำเนินการแจ้งย้ายเข้าทะเบียนบ้านหลังหนึ่งในเขตนี้ ซึ่งมีชื่อของเขาและลูกสาวระบุอยู่ก่อนแล้ว

วิยะดาไม่ได้คัดข้องและปล่อยให้เขาดำเนินการตามที่เห็นสมควร พร้อมกับทำเอกสารประจำตัวใหม่อีกหลายรายการ เพราะถึงเธอจะไม่ได้เปลี่ยนคำนำหน้า[1] และเปลี่ยนไปใช้นามสกุลสามี แต่ในส่วนของที่อยู่ต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด

ก่อนหน้านี้วิยะดาได้โอนทรัพย์สินที่มีอยู่เดิมก่อนแต่งงานคืนให้กับมารดา เหลือไว้เพียงเงินฝากส่วนตัวในธนาคารที่เก็บหอมรอมริบมาตั้งแต่สมัยเรียนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และตกลงกับเจษฎ์บดินทร์เอาไว้ตั้งแต่ก่อนจะนัดจดทะเบียนสมรสแล้วว่า ให้เขาร่างสัญญาแนบในเรื่องของสินสมรสให้ชัดเจน ว่าเธอจะไม่ขอรับผลประโยชน์ใดๆ จากเขาทั้งในตอนนี้ และอนาคต

“เดี๋ยวพี่จะพายิ้มไปดูบ้านของเรานะ สร้างเสร็จแล้ว เหลือตกแต่งภายในอีกประมาณเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ พี่จะได้ขอความคิดเห็นจากยิ้มด้วย”

“มันเป็นบ้านของคุณ ตกแต่งตามที่คุณชอบดีกว่าค่ะ ฉันไม่มีความคิดเห็นอะไร” วิยะดาตอบง่ายๆ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ขณะคาดเข็มขัดนิรภัย

“มันไม่ใช่บ้านของพี่ อีกไม่นานมันจะเป็นของยิ้ม ส่วนพี่เป็นแค่ผู้อาศัย”

วิยะดาฟังแล้วก็หันมามองคนพูดในทันที

“ฉันคิดว่าเราคุยกันเรื่องนี้แล้วนะคะ และฉันก็ไม่ต้องการ”

“ถือซะว่ายิ้มช่วยเป็นเจ้าของดูแลบ้านแทนยายหนูก็ได้ เพราะมันเป็นบ้านที่พี่ตั้งใจจะสร้างให้ยิ้มกับแกอยู่แล้ว”

นั่นเองที่ทำให้วิยะดาหมดคำพูด และไม่โต้แย้งใดๆ กับเขาอีกแม้ใจจะไม่ค่อยเห็นด้วยนัก

เมื่อทั้งสองออกมาจากอาคารสำนักงานเขต เจษฎ์บดินทร์ก็พาเธอไปรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เพราะทั้งสองต่างก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เช้า

เสร็จจากมื้ออาหารที่มีเพียงเขาเป็นคนชวนสนทนา เจษฎ์บดินทร์ก็พาเธอขับรถไปยัง ‘บ้าน’ ที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ซึ่งถ้าจำไม่ผิด บริเวณนี้เป็นละแวกเดียวกันกับวังพยุหะมนตรี...

วิยะดานิ่งอึ้ง ขณะที่เจษฎ์บดินทร์เลี้ยวรถผ่านประตูเหล็กไฟฟ้าที่มียามเฝ้าประจำการอยู่สองคนเข้าไป

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าภายในรั้วสูงใหญ่และยาวสุดลูกหูลูกตานั้น ได้ซ่อนที่ดินซึ่งมีขนาดใหญ่เอาไว้ และที่สำคัญ มันเป็นที่ดินติดแม่น้ำเจ้าพระยาในมุมที่สวยที่สุดแห่งหนึ่ง ภาพสะพานข้ามแม่น้ำตระหง่านอยู่ตรงหน้า และใกล้จนไม่อยากเชื่อว่าที่นี่จะเป็นที่ดินส่วนบุคคล และกำลังก่อสร้างบ้านใหม่

“เดิมมันเป็นที่ดินของคุณแม่พี่” เขาตอบข้อสงสัยโดยที่เธอยังไม่ทันได้เอ่ยถาม “เมื่อก่อนให้เอกชนเช่า หลังจากหมดสัญญาเมื่อสองปีก่อน พี่ก็ให้คนมาเคลียร์พื้นที่และปลูกบ้าน แถวนี้อยู่ใกล้วังพยุหะมนตรี ยิ้มจะได้ไปหาอิน หรือให้อินมาหาได้สะดวก”

คำพูดของเขาเหมือนเสียงที่ผ่านเลยไป เพราะวิยะดายังเอาแต่จับจ้องมองภาพเบื้องหน้าด้วยอาการเหมือนหยุดหายใจ

สวนและสนามหญ้านั้น กินเนื้อที่กว่า ๓ ใน ๔ ของอาณาเขตรั้วรอบขอบชิด โดยที่พื้นที่ที่เหลือเป็นตัวบ้านซึ่งถูกสร้างขึ้นในสไตล์โมเดิร์น ๓ ชั้น ทาด้วยสีโทนสว่างและอบอุ่น ดูเรียบง่าย แต่ก็หรูหราในเวลาเดียวกัน...

ทุกสิ่งทุกอย่างที่มองเห็นนั้นเป็นเหมือนเครื่องบันทึกความทรงจำหนึ่ง ที่ฝั่งอยู่ในใจของวิยะดามานานแสนนาน

นี่มัน...

‘ดูอะไรอยู่เหรอ’

คำถามของผู้มาใหม่ ทำให้วิยะดาในวัย ๑๗ ปีหันไปมองด้วยรอยยิ้มสดใส ใบหน้านวลละออกซับระเรื่อเมื่อเห็นชัดว่าใครเดินเข้ามาหาตน ที่นั่งอยู่ตรงชุดโต๊ะนั่งเล่นริมสระว่ายน้ำของตึกใหญ่

‘พี่เจษฎ์...มาเยี่ยมคุณปู่หรือคะ’

‘ใช่ พี่เพิ่งกลับจากฮ่องกง ซื้อยาจีนบำรุงร่างกายมาฝากท่านกับคุณอาทั้งสอง ก็เลยเอาของฝากมาให้ยิ้มด้วย ท่านว่ายิ้มอยู่ที่นี่พี่ก็เลยลงมาหา’

สาวน้อยยิ้มกว้างขึ้น เธอมองร่างสูงใหญ่นั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ ตน แล้วยกมือไหว้ รับถุงกระดาษสีชมพูที่เขายื่นมาให้ด้วยหัวใจเต้นระรัว

‘อะไรหรือคะ’

‘เปิดดูสิจ๊ะ’

สาวน้อยยิ้มน่ารัก และทำตามที่เขาบอก พบว่าในถุงใบนั้นมีกล่องสี่เหลี่ยมจัตุรัสกำมะหยี่สีขาวบรรจุอยู่ เธอเหลือบมองคนให้ ก่อนจะหยิบมันขึ้นมาเปิด...

‘...สวยจังเลยค่ะ’ วิยะดามองกิ๊บติดผมรูปดอกกุหลาบประดับคริสตัลด้วยดวงตาเป็นประกาย

‘ชอบไหม’

‘ชอบมากๆ เลยล่ะค่ะ ขอบคุณมากนะคะพี่เจษฎ์’ สาวน้อยบอก รู้สึกเกรงใจที่เขาซื้อของราคาแพงให้ แต่ก็ดีใจจนไม่สามารถหยุดยิ้มได้

วิยะดาตั้งใจไว้ในวินาทีนั้นว่าจะรักษามันเอาไว้อย่างดีไปตลอดทั้งชีวิต

เจษฎ์บดินทร์มองคนตัวเล็กด้วยรอยยิ้มที่เผยออกมาไม่บ่อยนัก เขาดึงกล่องกำมะหยี่มา และหยิบของที่อยู่ข้างใน พึมพำขออนุญาต และทำการเกี่ยวผมสีดำสลวยด้านหน้าของสาวน้อยปอยหนึ่งไปไว้ด้านข้าง ก่อนจะติดกิ๊บตัวใหม่ลงไปอย่างเบามือและบรรจง

เขาจำได้ว่าเธอชอบดอกกุหลาบสีขาว...และมันเหมาะกับหนูยิ้มจริงๆ

ชายหนุ่มมองใบหน้างดงามน่ารักแสนอ่อนเยาว์ที่ถูกขับเน้นด้วยของขวัญ ที่เขาแน่ใจตั้งแต่แรกเห็นว่ามันจะต้องเหมาะกับเธอ จึงได้เดินเข้าไปซื้อมาจากร้านเครื่องประดับสำหรับผู้หญิงแห่งหนึ่ง ระหว่างกำลังเดินทางไปเข้าประชุมสำคัญ และด้วยเหตุนั้น เจษฎ์บดินทร์จึงได้ค้นพบคำตอบ...ที่เขาขบคิดมาตลอด

‘ดีไหมคะ’ สาวน้อยถามด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ หัวใจเต้นแรง สะเทิ้นอายต่อการกระทำแสนอ่อนโยน และใกล้ชิดเมื่อครู่

‘น่ารักมาก...’

‘ขอบคุณค่ะ’

เจษฎ์บดินทร์ละสายตาจากน้องน้อยที่เขาเอ็นดูเป็นพิเศษมาแต่ไหนแต่ไร และหันมาสนใจแฟ้มปึกใหญ่บนโต๊ะ

‘แล้วนี่ดูอะไรอยู่เหรอ’

‘ดูแบบบ้านค่ะ พอดียิ้มไปเจอแคทตาล็อกของบริษัทคุณปู่เลยเอามาเปิดดู สวยๆ ทั้งนั้นเลยนะคะ’

‘ไหน’

วิยะดาเลื่อนให้เจษฎ์บดินทร์ดู ชายหนุ่มกวาดตามองรอบหนึ่ง จำได้ว่าแคทตาล็อกนี้เขาเคยเห็นมาแล้วหลายครั้ง เพราะโครงการบ้านจัดสรรหลายโครงการที่เขาทำ ได้ให้สุรสินทร์เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง

‘ทำไมจู่ๆ ถึงสนใจแบบบ้าน หรือยิ้มอยากเรียนรู้งาน ไหนเคยบอกพี่ว่าอยากเรียนอักษร’

วิยะดาหัวเราะเก้อๆ ใบหน้าซับสีระเรื่อขึ้นอีกจนคนถามเผลอมองนิ่ง

‘ยังยืนยันว่าอยากเรียนอักษรค่ะ อย่างยิ้มน่ะไม่มีทางทำงานรับเหมาเหมือนคุณปู่กับคุณพ่อได้แน่ๆ แต่ที่ดูก็เพราะมันสวยดีน่ะค่ะ ก็เลย...แอบๆ จินตนาการว่าถ้าตัวเองจะมีบ้าน จะออกมาหน้าตาแบบไหน...’

‘งั้น...บอกให้พี่ฟังได้ไหม ว่าถ้ายิ้มอยากมีบ้านสักหลังหนึ่ง มันจะมีหน้าตาเป็นยังไง...’

 

และไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าคำพูดเพ้อเจ้อของเธอในวันนั้นจะมาปรากฏอยู่เบื้องหน้านี้...

ทำไมเขาถึงจดจำมันได้... ทั้งๆ ที่ในวันนั้นเขาทำเพียงยิ้มบางๆ ตรงมุมปาก เท้าคางรับฟังคำพูด และการชี้ชวนให้ดูของเธอ

วิยะดาจำได้ดี ว่านั่นเป็นครั้งสุดท้าย ที่เธอได้รับความสนิทสนมจากเจษฎ์บดินทร์ ก่อนที่เขาจะทำตัวห่างเหิน พร้อมๆ กับที่ผู้ใหญ่เริ่มพูดคุยกันเรื่องเกี่ยวดองของสองตระกูล โดยมีทั้งสองเป็นสะพานเชื่อม

‘เมื่อก่อนให้เอกชนเช่า หลังจากหมดสัญญาเมื่อสองปีก่อน พี่ก็ให้คนมาเคลียร์พื้นที่และปลูกบ้าน…’ มันหมายความเขาได้สร้างบ้านหลังนี้ขึ้นมาก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องราวเลวร้ายทั้งหมดกับครอบครัวของเธออย่างนั้นหรือ

เขาทำแบบนี้ทำไม สร้างที่ที่เป็นความใฝ่ฝันและความต้องการของเธอทำไม ทั้งๆ ที่ในตอนนั้น...เขาโกหกว่ากำลังคบหาดูใจกับวาริศา และบอกให้เธอหมั้นหมายกับชัชวีร์

เจษฎ์บดินทร์มองเจ้าของร่างบอบบางที่ยืนอยู่กลางโถงกลางของบ้านด้วยสายตาอ่อนโยน

“พี่ดีใจที่ยิ้มได้เห็นมัน...”

“...”

“ชอบไหม”

วิยะดากวาดตามอง ‘บ้าน’ ด้วยดวงตาสั่นไหว

“ทำไม...ถึงได้สร้างบ้านหลังนี้ขึ้นมา...”

“ก่อนหน้านี้ ยิ้มอาจจะไม่รู้ว่าพี่อยู่คอนโดมาตลอด และที่สร้างบ้านหลังนี้ ก็เพราะตั้งใจจะใช้มันเป็นบ้านจริงๆ ของตัวเองสักที...สร้างมาจะสองปีแล้วก็ยังไม่เสร็จ แต่เพื่อต้อนรับยิ้มกับยายหนู พี่เลยให้คนงานเร่งมือ ถึงได้เรียบร้อยอย่างที่ยิ้มเห็น”

มันคือบ้านที่ทุกๆ ซอกมุม...มีแต่ตัวตนของวิยะดาปรากฏอยู่

“คุณ...ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้...”

“พี่อยากให้ยิ้มรู้ ว่าสิ่งที่พี่บอกยิ้มวันนั้น พี่ไม่ได้โกหก...”

‘พี่ไม่เคย…ไม่รักยิ้มเลยนะ’

คำพูดเตือนความจำของเขา ทำให้วิยะดาหันกลับมามองคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง

“คุณจะพูดความจริงหรือโกหก มันไม่สำคัญอีกแล้วค่ะ เพราะเราสองคนผ่านจุดๆ นั้นกันมานานแล้ว...สิ่งที่คุณทำ มันไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดี หรือขอบคุณ...”

“ยิ้มไม่จำเป็นต้องขอบคุณ เพราะการที่ยิ้มมายืนอยู่ที่นี่ในวันนี้ มันก็คือการตอบแทนทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่าง ที่พี่ทำทั้งหมดแล้ว”

สายตาของวิยะดาที่มองจ้องเขาเย็นชา ขณะที่เจษฎ์บดินทร์ยังคงพูดต่อ

“พี่อยากให้ยิ้มรู้...ว่าพี่จริงจังกับการแต่งงานของเรามากกว่าที่ยิ้มคิด”

“คุณกำลังหลงประเด็นค่ะ ข้อตกลงของเราคือ ฉันแต่งงานกับคุณ เพื่อให้ได้ดูแลยายหนู และได้สิทธิ์ในการเลี้ยงดูแกอย่างใกล้ชิด มันก็แค่นั้น”

            “สำหรับยิ้มมันอาจจะแค่นั้น แต่สำหรับพี่มันไม่ใช่ นี่คือการแต่งงานครั้งเดียวในชีวิตของพี่ และแน่นอนว่าของยิ้มด้วย ดังนั้นมันจะไม่จบแค่นี้ เพราะยิ้มจะเป็นภรรยาของพี่...ในทุกๆ ความหมาย ...พี่หมายความว่าแบบนั้นจริงๆ”

 “...” วิยะดาเม้มปากแน่น ดวงตาของเธอแข็งกร้าวกับคำพูดแสดงความมั่นใจ ที่ฟังดูเหมือนข่มขู่มากกว่านั้น

หญิงสาวตัดสินใจก้าวหันหลังจะเดินจากไป แต่ข้อมือของเธอกลับถูกตรึงเอาไว้แน่น

“ปล่อย...”

“ยิ้มยังไม่ได้สำรวจความเรียบร้อย โดยเฉพาะห้องนอนลูกเลย ออกไปเลือกเฟอร์นิเจอร์ทั้งแบบนี้คงนึกภาพห้องไม่ออก ขึ้นไปดูข้างบนกันเถอะ แล้วค่อยกลับมาดูข้างล่างอีกที”

“นี่คุณไม่เข้าใจที่ฉันพูดเลยหรือคะ”

และมันคงเป็นเช่นนั้นจริง เพราะเจษฎ์บดินทร์ไม่เพียงไม่นำพาต่อการขัดขืนของเธอ เขากลับจูงมือเธอขึ้นชั้นบนไปด้วยท่าทางสบายๆ พร้อมกับชวนคุย...

“พี่ว่าวันนี้เราไปเลือกเฟอร์นิเจอร์สำหรับห้องยายหนูกันก่อนดีกว่า ส่วนห้องอื่นๆ พี่จะให้คนมาตกแต่งตามที่ยิ้มเคยบอก เอาแบบคร่าวๆ จำเป็นต้องใช้ก่อน แล้วเรื่องลงรายละเอียด เดี๋ยวตอนย้ายเข้ามาอยู่ค่อยเลือกกันอีกที

ส่วนคนที่จะมาช่วยยิ้มดูแลบ้าน คุณน้าของพี่จะเป็นคนหามาให้ ยิ้มเลือกเอาสักสี่ห้าคน จะเอาคนมาจากที่บ้านยิ้มด้วยก็ได้ ข้างหลังมีห้องอยู่ ๘ ห้องสำหรับคนงาน ที่เรามีอยู่ตอนนี้มีแค่ยาม กับคนสวน

ไว้วันจันทร์พี่จะพายิ้มเข้าไปหาหมอพัฒน์ พี่ให้มันหาพยาบาลพิเศษไว้ช่วยดูแลยายหนูตอนออกจากโรงพยาบาลด้วย ยิ้มจะได้เห็นประวัติ และเลือกด้วยตัวเอง...ดีไหม”

ในที่สุดเจษฎ์บดินทร์ก็พาวิยะดามาถึงห้างสรรพสินค้าที่จำหน่ายเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านอย่างที่บอกไว้จริงๆ...

เพอร์เฟ็คลีฟวิ่งมอลล์เป็นห้างสรรพสินค้าจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ที่เพิ่งเปิดตัว สินค้าภายในเป็นสินค้าคุณภาพจากทั้งในและต่างประเทศ ด้วยขนาดที่ใหญ่จึงมีข้าวของให้เลือกสรรมากมาย ตั้งแต่ชิ้นเล็กๆ จำพวกช้อนส้อมไปจนถึงตู้เตียงขนาดใหญ่ ทั้งราคาย่อมเยา ไปจนถึงราคาระดับ ๗ หลัก

แม้ว่าจะเป็นธุรกิจที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน แต่ก็ประสบความสำเร็จ จนเริ่มขยายสาขามากขึ้น และเป็นที่จับตามองเป็นอย่างมาก

มาถึงขั้นนี้ วิยะดาย่อมไม่อาจเมินเฉยต่อการเลือกซื้อข้าวของเฟอร์นิเจอร์สำหรับลูกสาวตัวน้อยได้

คราวแรกหญิงสาวพยายามไม่แสดงความคิดเห็นหรือท่าทีใด แต่เมื่อเห็นว่าเจษฎ์บดินทร์ตีขลุมเอาเสียหมด และเลือกของในลักษณะของคนไม่รู้รายละเอียด สักแต่จะซื้อ วิยะดาจึงอยู่เฉยไม่ได้ ในเมื่อการเลือกซื้อข้าวของในครั้งนี้เพื่อลูก เธอจึงเริ่มแสดงท่าที และในที่สุดก็ลงมือเลือกทุกอย่างด้วยตัวเอง โดยพยายามไม่สนใจเจษฎ์บดินทร์ซึ่งเดินเข็นรถเข็นตามมาติดๆ

“สรุปแล้วเราเอาแบบไหนดี...”

เจษฎ์บดินทร์เท้าแขนข้างหนึ่งมองวิยะดาที่คิ้วขมวดหันซ้ายทีขวาที ชั่งใจระหว่างเตียงไม้สำหรับเด็กอ่อนสองหลังที่ตั้งอยู่ตรงหน้า

เตียงทั้งสองหลังเป็นแบบพับข้าง และสีใกล้เคียงกัน ต่างกันเพียงรูปทรงการออกแบบ และราคาเพียงเล็กน้อย

หากที่ทำให้วิยะดาชั่งใจอยู่นานก็เพราะ อีกหลังหนึ่งนั้น มีราคาปกติที่แพงกว่า แต่อยู่ในช่วงโปรฯ ลดราคา อีกทั้งยังแถมเปลไม้ขนาดเล็กดีไซน์เดียวกัน ส่วนอีกหลังนั้นเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดทีเพิ่งนำเข้ามา ราคาเบากว่า มีของแถมเป็นมุ้งและเบาะเสริมคุณภาพดี

“ราคามันต่างกันไม่มาก แต่ถ้ามองถึงประโยชน์ใช้สอย ถ้าซื้อเตียงนี้เราก็จะได้ทั้งมุ้ง และเบาะเสริมเลย ไม่ต้องไปซื้อเพิ่ม...”

“งั้นก็เอาอันนี้ดีไหม” เจษฎ์บดินทร์ที่มองอยู่นานออกความเห็น

พนักงานขายเห็นดังนั้นก็รีบให้ข้อมูลส่งเสริมการขายทันที หลังจากที่เคลิ้มมองภาพคุณพ่อคุณแม่ลูกอ่อนที่น่าอิจฉาสุดๆ คู่นี้อยู่นาน

“แบบนี้เป็นรุ่นใหม่ล่าสุดเลยนะคะ เพิ่งนำเข้ามา เลยไม่ได้ลดราคาค่ะ แต่แถมเบาะให้ เป็นเบาะผ้าฝ้ายร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ระคายเคือง สามารถถอดซักได้ค่ะ และถ้าอยากได้เบาะเบดบัมเปอร์[2] หรือซื้อไปสำรองอีกชุดหนึ่ง ทางช็อปก็มีขายแยกนะคะ”

ว่าแล้วก็ถอนใจเบาๆ เมื่อเห็นว่าฝ่ายคุณพ่อที่ทั้งหล่อ เท่ และคงรวยไม่เบาคนนี้ ดูทั้งรัก และตามใจภรรยาของเขามากมายเหลือเกิน ภายนอกเหมือนจะเป็นคนขรึมๆ แต่ก็ไม่ใช่ เพราะสายตาที่มองฝ่ายหญิงนั้นทำเอาคนแอบมองเขินแทน...

ไปหามาจากไหนกันนะ...ผู้ชายที่เดินตามต้อยๆ ดูกระตือรือร้นกับการซื้อของของผู้หญิง แถมยังดูไม่เบื่อหน่ายเอาเสียเลยแบบนี้

หรือจะข้าวใหม่ปลามัน...

แต่จะว่าไป...ผู้ชายคนนี้หน้าตาคุ้นๆ อยู่เหมือนกันนะ...

“แบบนี้ก็ดีนะ” คุณพ่อมือใหม่เห็นพ้องกับพนักงาน

วิยะดาขมวดคิ้วจ้องมองเตียงไม้เนื้อแข็งข้างหน้า ขณะคิดคำนวณความแตกต่างและคุ้มค่าในการซื้อ จนเผลอลืมตัว...

“ก็ดีแค่ แต่...เราต้องมาคิดถึงเวลาให้นมยายหนู หรือเวลาที่ให้แกนอนเล่นด้วย ถ้ามีเตียงเล็กโยกได้แบบนี้ก็จะสะดวกดี แถมยังขนย้าย หรือพกไปไหนๆ ได้ง่าย ยายหนูจะได้ไม่อุดอู้ ส่วนเบาะ...ยังไงๆ เราก็คงต้องซื้อเพิ่มอยู่ดี ซึ่งราคาซื้อเพิ่มมันแทบไม่ต่างอะไรกับการซื้อเตียงเล็กใหม่เลย คิดๆ แล้วน่าจะเสียเงินเยอะกว่าด้วยซ้ำ แถมยังอาจจะได้ของที่ไม่เข้าชุด เพราะยี่ห้อนั้นไม่มีเตียงเล็กแบบไกว อีกอย่างนะคะ ราคาเดิมของเตียงนี้ก็แพงกว่าเตียงนั้นตั้งเยอะ ขนาดลดแล้วก็ยังแพงกว่า แสดงว่าต้องเป็นของที่ได้มาตรฐานกว่า รุ่นเก่าก็ใช่จะไม่ดีถูกไหมคะ”

เจษฎ์บดินทร์เกือบหลุดยิ้มขำกับท่าทางคิดวิเคราะห์ของวิยะดา นี่เป็นครั้งแรกทีเดียวที่เขาเห็นเธอในมุมนี้ มุมของความเป็น...แม่บ้านนักบริหารการเงิน

รู้สึกดีกับคำว่า ‘เรา’ ที่วิยะดาเผลอพูดมันออกมาอย่างบอกไม่ถูก แม้ว่าตลอดระยะเวลาในการพูดนั้นเธอจะไม่ได้หันมามองเขาเลยก็ตาม

“งั้นเราซื้อทั้งสองหลังดีไหม เอาไว้ข้างบนหลังหนึ่งข้างล่างหลังหนึ่ง ไหนๆ ก็มาถึงนี่แล้ว ก็ซื้อเบดบัมเปอร์เพิ่มไปเลยหลายๆ ชุด” คุณพ่อมือใหม่เสนออย่างเอาใจ

พนักงานขายพอได้ยินดังนั้นก็ดีดลูกคิดรางแก้วอย่างลิงโลด แต่...

“อย่าดีกว่าค่ะ ยายหนูคนเดียวมีเตียงใหญ่ตั้งสองหลังไม่ดีหรอกค่ะ แถมยังดูสิ้นเปลือง อีกอย่างตรงชั้นล่างจะทำคอกเบาะยางให้แกอยู่แล้ว ตอนกลางวันถ้าลงมานอนเล่น ปูเบาะนอนทับเอาจะดีกว่า...”

เจษฎ์บดินทร์ยิ้มกับความคิดเห็นของเธอ

“อย่างนั้นเราเอาเตียงไหนดี”

วิยะดาตัดสินใจได้ในที่สุด “...เอาเตียงนี้ก็แล้วกันนะคะ แล้วก็อยากดูเบดบัมเปอร์เพิ่มค่ะ”

พนักงานขายรีบยิ้มรับ และผายมือเชิญลูกค้าไปยังชั้นที่วางสินค้าจำพวกเบาะ และเครื่องนอนสำหรับเด็ก

หลังจากที่ทั้งสองออกมาจากแผนกเครื่องนอนสำหรับเด็กแล้ว วิยะดาจึงเปิดปากพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไป เนื่องจากเหตุการณ์การซื้อของในวันนี้ ทำให้เธอคิดว่าต้องพูดเรื่องสำคัญที่ว่ากับเขาเอาไว้แต่เนิ่นๆ... จึงได้หยุดเดินและกันมามองคนที่เข็นรถเข็นตามหลังมาด้วยสีหน้าจริงจัง

“ว่าไง”

“เราจะไม่ตามใจยายหนูค่ะ”

คิ้วเข้มของคนฟังเลิกขึ้นเล็กน้อย กับคำพูดที่เหมือนคำขาดของวิยะดา

“ฉันเข้าใจความหวังดีของคุณที่มีให้กับยายหนูนะคะ แต่ฉันไม่อยากให้ยายหนูถูกสปอยล์ เราเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แกได้ แต่ไม่ควรให้แกมากเกินจำเป็น ที่ฉันพูดตอนนี้อาจจะดูจู้จี้เกินไปทั้งๆ ที่แกยังไม่รู้ความ แต่ฉันอยากให้เราเริ่มปฏิบัติกับแกตั้งแต่ตอนนี้จะดีกว่าค่ะ ฉันรู้ว่าคุณมีฐานะ มีกำลังทรัพย์ แต่...คุณสัญญากับฉันแล้วนะคะ ว่าเรื่องอบรมยายหนูจะยกให้ฉัน ดังนั้น...เราจะไม่ตามใจยายหนูเกินขอบเขต ไม่ว่าจะกรณีใดๆ ก็ตามค่ะ”

เจษฎ์บดินทร์ฟังแล้วก็ระบายยิ้มอ่อยโยน และเข้าใจในทันที

“โอเค...พี่สัญญาว่าจะไม่ตามใจลูกเกินไป และจะเชื่อฟังยิ้มทุกอย่าง...ดีไหม”

รอยยิ้มบางๆ ที่อาบไล้ไปทั่วใบหน้าหล่อเหล่าของคนที่จ้องมองเธอนิ่งนั้น ทำให้วิยะดาที่จริงจังและคาดคั้นก่อนหน้านี้วางสีหน้าไม่ถูกไปชั่วขณะ ก่อนจะปัดความรู้สึกนั้นทิ้งไป

“...ขอบคุณค่ะ”

ตอบรับด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้ว ก็หันหลังกลับ และออกเดินต่อไป คล้ายกับหมดธุระเพียงเท่านั้น

บอกตามตรงว่าจนถึงตอนนี้ วิยะดายังตั้งรับไม่ทัน และทำตัวไม่ถูกต่อท่าทีที่ผิดแปลกไปจากปกติของเจษฎ์บดินทร์ ที่ทำให้เธอรู้สึกอึดอัด แต่ก็พยายามไม่ใส่ใจ...แม้จะรู้สึกถึงสัญญาณอันตรายในทุกๆ ครั้ง ที่เจษฎ์บดิทร์คล้ายกับล่วงเข้ามาประชิดตัวเธออย่างไม่ทันตั้งตัว

 

หลังจากที่เลือกข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นเบื้องต้น และเฟอร์นิเจอร์สำหรับเด็กตลอดทั้งบ่าย วิยะดาก็พบว่าเธอหลงวนอยู่ในอาณาจักรแม่และเด็กนานกว่า ๖ ชั่วโมง ดังนั้นเมื่อออกมาจาก เพอร์เฟ็คลีฟวิ่ง มอลล์ ก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว

ในตอนที่เดินออกมาจากห้างด้วยมือเปล่าเหมือนตอนที่เข้าไปนั้น วิยะดาบอกไม่ถูกว่าเธอควรจะพูดอะไรกับเขาดี หรือควรจะโกรธที่เขาไม่บอกเธอว่า ที่นี่คือธุรกิจตัวใหม่ของเขาเอง ดังนั้นข้าวของทั้งหมดที่เธอเลือกซื้อในวันนี้ทุกชิ้น จึงมีคนรอท่านำไปส่งให้ที่บ้านหลังใหม่อยู่แล้ว

สิ่งที่ติดอยู่ในใจของเธอก็คือ ทำไมเขาต้องพาเธอมาเดินที่นี่ ทั้งๆ ที่มันคือกิจการของเขา และพนักงานทั้งหมดคือลูกน้องของเขา

แถมตอนจ่ายเงินบริเวณเคาน์เตอร์ และทุกคนรู้ว่าเขาคือใคร ทั้งสองก็กลายเป็นที่จับตามองของพนักงานและลูกค้าบางส่วนไปโดยปริยาย

แต่นั่นก็คงไม่เท่ากับตอนที่ผู้จัดการสาขาเร่งรุดออกมาพบเขาและขันอาสาจัดการเรื่องขนย้ายข้าวของให้อย่างรู้หน้าที่ เจษฎ์บดินทร์ก็แนะนำตัวเธอว่าเป็นภรรยาของเขาอย่างชัดเจน ฝ่ายผู้จัดการได้ยินดังนั้นก็ทักทายเธอ พร้อมกับแสดงความยินดีกับทั้งสองเรื่องลูกสาวที่เพิ่งคลอด แม้จะดูเคลือบแคลงใจเล็กน้อยกับข่าวการแต่งงานไม่มีปี่มีขลุ่ยของนายใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ซักถามใดๆ จนคนที่เพิ่งจดทะเบียนเปลี่ยนสถานภาพหมาดๆ วางสีหน้าไม่ถูก...

ป่านนี้เรื่องที่เจษฎ์บดินทร์มีลูก และมีเธอเป็นแม่ของลูกคงถูกลือกันออกไปแล้ว

“ที่คุณพาฉันไปเลือกของใช้ให้ยายหนูวันนี้ เพราะมีจุดประสงค์อื่นนอกจากการซื้อของใช่ไหมคะ”

เขาหันมามองคนตัวเล็กแวบหนึ่ง ขณะขับรถอยู่บนถนนที่การจราจรติดขัด

แน่นอนว่าเจษฎ์บดินทร์เข้าใจความหมายในคำพูดของวิยะดา แต่กลับทำเป็นไม่เข้าใจ

“จุดประสงค์?”

“ทำไมคุณถึงได้บอกผู้จัดการว่าฉันเป็น...อะไรกับคุณ มันไม่เร็วไปหน่อยหรือคะ”

“ช้าเร็วก็ต้องบอกอยู่ดี บอกวันนี้ก็เหมือนกัน”

“คุณจำได้ใช่ไหมคะ ว่าเราแต่งงานกันเพื่ออะไร”

“แน่นอนสิ เราแต่งงานกันเพื่อเป็นสามีภรรยากัน และเลี้ยงดูลูก”

วิยะดาขมวดคิ้วเล็กน้อยกับคำพูดของเขา ที่คล้ายกับมีความหมายบางอย่างซ่อนอยู่ แม้ว่ากระบวนความทุกอย่างจะถูกต้องพร้อมมูล...ตรงกันกับเธอ

“ใช่ค่ะ เราแต่งงานกันเพื่อให้ได้เลี้ยงดูยายหนูร่วมกันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้น...มันจะแค่นั้นค่ะ”

“แล้ว...”

แล้ว? วิยะดาสูดหายใจเข้า และบอกตัวเองให้ใจเย็น...แม้จะแน่ใจว่าคำๆ นั้นของเขาคือการตีรวน

“ส่วนฉันกับคุณ เราจะอยู่ร่วมกันในฐานะพ่อแม่ของยายหนู และสถานภาพของเราจะเป็นไปตามกฎหมายเท่านั้น...”

เมื่อเห็นว่าเจษฎ์บดินทร์พุ่งความสนใจไปที่การหักพวงมาลัยเลี้ยวทั้งๆ ที่เธอกำลังพูดเรื่องสำคัญ วิยะดาจึงขยายความต่ออย่างใจเย็น...

“ดังนั้น คุณสามารถใช้ชีวิตหนุ่มโสดของคุณต่อไปได้อย่างปกติค่ะ ไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศเรื่องทะเบียนสมรสออกไป”

“แต่พี่ไม่โสดแล้ว” เจษฎ์บดินทร์หันมาบอกเธอ และหันกลับไปขับรถต่อด้วยท่าทีเป็นปกติ แม้ในใจจะลอบขำกับความพยายามของภรรยาสาว

วิยะดาแน่ใจว่าเจษฎ์บดินทร์เข้าใจสิ่งที่เธอต้องการสื่อ แต่ที่น่าโมโหก็คือเขายังพยายามพูดวกวนก่อกวนไม่เลิก ราวกับไม่รู้ว่าเธอจริงจังกับสิ่งที่กำลังพูดแค่ไหน

“ในทางกฎหมายเป็นแบบนั้นค่ะ แต่ความจริงก็คือเราสองคนจะไม่ยุ่งเกี่ยวกันมากกว่านี้ ฉันถึงได้บอกยังไงล่ะคะว่าคุณควรจะปล่อยให้เรื่องนี้เงียบ หรือให้รู้กันเฉพาะ...”

ไม่ทันที่วิยะดาจะพูดจนจบกระบวนความ เธอก็พบว่าเจษฎ์บดินทร์ขับรถพาเธอมาจอดบริเวณหน้าร้านอาหารไทยสไตล์ฟิวชั่นฟู๊ดสุดหรูแห่งหนึ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา

แน่นอนว่าทางนี้เป็นทางเดียวกับทางไปโรงพยาบาลซึ่งวิยะดาจอดรถทิ้งเอาไว้ ดังนั้นเธอจึงไม่ได้แย้งเขาแต่แรก เพราะคิดว่าเขาจะพาเธอไปส่ง...

“ถึงแล้ว” เขาหันมาบอก ขณะปลดเข็มขัดนิรภัย

“คุณพาฉันมาที่นี่ทำไม นี่มันดึกแล้วนะคะ ฉันต้องรีบกลับบ้านค่ะ จินรออยู่”

“ดินเนอร์ไง ส่วนรถของยิ้มเดี๋ยวพี่จะให้คนขับกลับไปส่งที่บ้านให้ ดึกแล้ว ขับรถกลับไปคนเดียวอันตราย ส่วนเรื่องจิน ยิ้มโทร. ไปบอกเพื่อนดีกว่า เขาจะได้ไม่ต้องรอนาน”

วิยะดาพยายามสูดลมหายใจเข้า และถามอย่างใจเย็น

“คุณมักจะทำทุกอย่างตามใจตัวเองแบบนี้เสมอหรือคะ” ตั้งแต่เช้าวันนี้ เขาพาเธอไปโน่นมานี่โดยไม่ถามความเห็นหรือความสมัครใจเธอสักคำ! แล้วนี่ยังออกคำสั่งกับเธออีก เขาเห็นเธอเป็นตัวอะไร นึกจะพาไปไหนก็ไป อยากให้ทำอะไรก็ทำเช่นนั้นหรือ

แต่แทนที่เขาจะรู้สึกรู้สากับสิ่งที่เธอกำลังเป็นอยู่ กลับตอบอย่างหน้าตาเฉยว่า...

“ไม่บ่อย แต่ครั้งนี้พี่ทำเพื่อเอาใจยิ้มนะ ลงไปกันเถอะ ยิ้มคงหิวแล้ว”

วิยะดาเม้มริมฝีปากแน่น พยายามนับหนึ่งถึงสิบในใจ ขณะที่เจษฎ์บดินทร์เปิดประตูลงจากรถ และอ้อมมาเปิดประตูให้เธอด้วยรอยยิ้มในหน้า...

“ฉันเริ่มหมดความอดทนแล้วนะคะ” คนที่ถูก ‘ลาก’ กึ่งจูงไปยังประตูร้านเอ่ยด้วยเสียงแข็งกร้าว

“ทนอีกนิดนะ พี่ให้คนเตรียมอาหารไว้แล้ว มีแต่ของโปรดยิ้มทั้งนั้น”

“คุณเจษฎ์บดินทร์คะ...” วิยะดาขืนตัวเอาไว้ พร้อมกับเอ่ยชื่อเขา

และก็ได้ผล คนตัวสูงชะลอฝีเท้าและหันกลับมา เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเป็นคำถาม แต่วิยะดาเห็นว่าในดวงตาคมกริบที่มักจะเฉยเมยเสมอนั้นฉายประกายบางอย่างอยู่...

“ว่าไง”

“วันนี้ธุระของฉันกับคุณหมดแล้วค่ะ ฉันเหนื่อย และอยากกลับบ้าน ไม่อยากไปไหนหรือทำอะไรต่อทั้งนั้น ปล่อยค่ะ” เธอบอกพร้อมกับพยายามบิดมือตัวเองออกอีกครั้ง แต่ก็ไม่เป็นผล

“ได้สิ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วพี่จะไปส่ง”

“นี่คุณไม่ได้ยินที่ฉันพูดเลยเหรอคะ” วิยะดาสูดลมหายใจเข้าลึก และเรียบเรียงคำพูดใหม่ “ฉันรู้ว่าคุณเข้าใจ แต่เลิกทำแบบนี้ได้ไหมคะ ฉันถอยให้คุณขนาดนี้แล้ว คุณยังจะเอาอะไรอีก”

“พี่รู้ว่ายิ้มโมโห และรู้สึกอึดอัด แต่เพราะวันนี้เป็นวันสำคัญของเรา พี่เลยไม่อยากให้มันจบไปแค่นี้ ถือว่าพี่ขอร้อง...ได้ไหม กินข้าว แล้วค่อยกลับ”

“...”

นี่เป็นครั้งแรกทีเดียวที่เธอได้เห็นและได้ยินเจษฎ์บดินทร์ ‘ขอร้อง’ ใครคนหนึ่ง แม้ว่าท่าทีของเขาจะยังคงความนิ่ง แต่ก็บ่งบอกว่าทั้งหมดทั้งมวลนั้นอ่อนลงกว่าที่เคย...

คราแรกหญิงสาวตั้งใจจะเอ่ยปฏิเสธออกไป แต่ก็คิดว่า...นี่อาจจะเป็นจังหวะเหมาะที่จะพูดคุยกับเจษฎ์บดินทร์ให้เข้าใจ

“งั้นก็ได้ค่ะ แต่คุณต้องสัญญา ว่าเราจะคุยกัน ‘อย่างจริงจัง’ เรื่องบทบาทและหน้าที่ของเราต่อจากนี้”

“ตกลง”

“แต่ก่อนอื่น กรุณาปล่อยมือฉันได้ไหมคะ ฉันเดินเข้าไปเองได้”

เจษฎ์บดินทร์ยกมุมปากขึ้นยิ้ม ก่อนจะปล่อยมือบอบบางของคนตัวเล็กให้เป็นอิสระ เขาผายมือเป็นการเชิญเธอให้เข้าไปก่อน

วิยะดายอมทำตาม แม้ว่าใบหน้าจะเย็นชา และสายตาไม่เป็นมิตรนัก

หากทันทีที่เดินผ่านประตูเข้ามาในร้าน คิ้วเรียวสวยก็พลันขมวดเข้าหากัน...

ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหลังบานประตูนั้น ทำให้วิยะดาหยุดหายใจไปชั่วขณะ กับการตกแต่งประดับประดาที่ดูพิเศษกว่าความเป็นร้านอาหารธรรมดาทั่วไป...

อย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดก็คือ ‘ดอกกุหลาบสีขาว’ มากมายที่ถูกตกแต่งอยู่ทั่วทุกมุมร้านซึ่งปราศจากผู้คนส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ท่ามกลางแสงสลัวจากแสงเทียน และเสียงเพลงคลาสสิกที่เปิดคลออยู่เบาๆ

ทางเดินที่ทอดจากจุดที่เธอยืนอยู่นั้น ถูกวางขนาบข้างด้วยเทียนหอมส่องเป็นทางเดิน ทอดยาวตรงไปยังส่วนโอเพ่นแอร์ติดแม่น้ำเจ้าพระยา ที่มีโต๊ะดินเนอร์สุดหรูประดับเชิงเทียนสีขาว ดอกกุหลาบ และคริสตัลใสหลากหลายขนาด ที่ต้องแสงไฟส่งประกายงดงามระยิบระยับ...ราวกับภาพฝัน

นี่มัน...อะไรกัน...

วิยะดาไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ ว่าตนเดินมาถึงโต๊ะนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีดอกกุหลาบสีขาวช่องามช่อหนึ่งก็ถูกส่งมาตรงหน้า

เธอหลุบตาลง และเลื่อนขึ้นมองใบหน้าของคนที่ยื่นมันมาให้ด้วยสายตาที่ทั้งมึนงง และสับสน...

จริงอยู่ ว่าวันนี้เกิดเรื่องราวมากมายที่เจษฎ์บดินทร์ทำให้เธอประหลาดใจ แต่ก็ไม่เท่ากับสิ่งที่เป็นอยู่ตรงหน้า

“มันอาจจะ...ดูแปลกๆ และผิดขั้นตอนไปบ้าง...แต่พี่ก็อยากทำให้ยิ้มรู้ ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ มันคือเรื่องที่มีความหมายสำหรับพี่มากขนาดไหน...”

“...”

“การแต่งงานของเรา มันอาจจะเป็นเรื่องบังคับจิตใจยิ้ม และยิ้มอาจจะยังไม่เชื่อใจพี่ แต่...พี่ก็ดีใจนะ ที่ยิ้มให้โอกาส และยอมเสี่ยง...”

“...”

“ยิ้มไม่ต้องตอบ หรือพูดอะไรก็ได้...แต่ถ้ายิ้มยอมรับพี่ในฐานะสามีและพ่อของยายหนู ยิ้มช่วยรับดอกไม้ช่อนี้ และของอีกสิ่งหนึ่งที่พี่จะมอบให้ยิ้มได้ไหม...”

เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เจษฎ์บดินทร์เอ่ยขอร้อง...

วิยะดาพยายามไล่น้ำตาที่คลอขึ้นมาจากความรู้สึกมากมายในจิตใจ เธอหลุบตาลง ก่อนจะหันกลับมามองสบตากับเจษฎ์บดินทร์อีกครั้ง ด้วยสายตาว่างเปล่าระคนหม่นเศร้า ขณะยื่นมือออกไปรับดอกไม้ช่อนั้นมา...โดยไม่พูดอะไร

เจษฎ์บดินทร์ยิ้มบางๆ เขาล้วงเข้าไปในเสื้อสูท และหยิบเอากล่องกำมะหยี่ใบย่อมมาเปิดและดึงเอาแหวนเพชรสีชมพูน้ำงามพราวระยับออกมา

“นี่เป็นแหวนหมั้น...ที่พี่ตั้งใจเตรียมไว้ให้ยิ้ม...”

เขาเอื้อมไปจับมือข้างซ้ายของวิยะดาขึ้นมา

สิ่งที่เขาไม่ได้บอกเธอก็คือ แหวนวงนี้เป็นแหวนที่เขาเตรียมเอาไว้นานแล้ว...และเคยคิดด้วยซ้ำว่าคงไม่มีโอกาสได้ใช้มันอีก

วิยะดาไม่ได้ขัดขืน แต่มองจ้องการกระทำแสนอ่อนโยน และค่อยๆ สวมแหวนงามวงนั้นเข้ากับนิ้วนางข้างซ้ายของเธอนิ่ง

ขนาดของมันพอดีกับนิ้วของเธอเหลือเกิน...และความสวยงามระยิบระยับนั้น ก็ค่อยๆ ทำให้ดวงตาของเธอพร่าเลือน

น้ำตาหยดใสไหลรินลงจากดวงตาคู่สวยของวิยะดา ซึ่งคนที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่รอช้าที่จะเอื้อมมือมาเช็ดมันออกให้ด้วยความอ่อนโยน และแผ่วเบา ราวกับปีกผีเสื้อ

“อย่าร้องไห้อีกเลยนะยิ้ม...”

วิยะดามองสบตากับคนตัวสูงที่โน้มลงมาเช็ดน้ำตาให้กับเธอ

ทุกความรู้สึกและทุกๆ ถ้อยคำที่อัดแน่นในจิตใจ ทำให้เธอไม่อาจเอ่ยคำใดได้ นอกจากปล่อยน้ำตาให้ไหลรินลงมา

“...”

“ต่อจากนี้ไป พี่สัญญาว่าจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องยิ้ม และไม่ให้ใครมาทำร้ายยิ้มได้อีก”

เขาบอก พร้อมกับดึงร่างบอบบางของวิยะดาเข้าไปในอ้อมกอด นั่นเองที่ทำให้วิยะดาไม่อาจสะกดกลั้นน้ำตาและก้อนสะอื้นเอาไว้ได้อีกต่อไป ความเจ็บปวดที่อัดแน่น เรื่องราวที่พบเจอมาตลอดพังทลายลงมาอีกครั้งในอ้อมกอดของเจษฎ์บดินทร์...

“เราสองคน แต่งงานกันเถอะนะ แต่งงาน...และอยู่ด้วยกันตลอดไป...”



[1] พระราชบัญญัติคำนำหน้านามหญิง พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๕ หญิงซึ่งจดทะเบียนสมรสแล้ว จะใช้คำนำหน้านามว่า ‘นาง’ หรือ ‘นางสาว’ ได้ตามความสมัครใจ โดยให้แจ้งต่อนายทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัว
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น