๓
ความทรงจำ
“พี่เจษฎ์ช่วยยิ้มด้วย ช่วยยิ้มด้วย...” สาวน้อยปล่อยน้ำตาออกมามากมาย ราวกับไม่มีวันหมดสิ้น
เจษฎ์บดินทร์ไม่ได้ผละร่างบอบบางหอมละมุนออกไป หรือกอดตอบปลอบใจเธอ เขายังคงยืนนิ่งราวกับรูปปั้น...
“เกิดอะไรขึ้น”
“คุณปู่กับคุณพ่อจะให้ยิ้มหมั้นกับพี่วีร์ค่ะ ยิ้มจะทำยังไงดีคะ ยิ้ม...ไม่ได้รักพี่วีร์ ยิ้มคิดกับพี่วีร์แค่พี่ชาย แต่คุณปู่กับคุณพ่อไม่ฟัง ท่านตกลงกับผู้ใหญ่ทางโน่นไว้แล้ว...ไม่ถามความสมัครใจของยิ้มสักคำ พี่เจษฎ์ พี่เจษฎ์ช่วยยิ้มด้วย พี่เจษฎ์ไปพูดกับคุณปู่คุณพ่อให้ยิ้มได้ไหมคะ ถ้าพี่เจษฎ์พูด...คุณปู่กับคุณพ่อจะต้องฟังแน่ๆ...นะคะ...นะคะพี่เจษฎ์”
เธอพูดจริงๆ หากเจษฎ์บดินทร์พูดพวกท่านต้องฟังแน่ๆ เจษฎ์บดินทร์คือคนที่ปู่ชื่นชม จนถึงขนาดอยากได้มาเป็นหลานเขย แม้จะโกรธเคืองอยู่บ้างในตอนที่ปฏิเสธงานหมั้นกับเธอ แต่สุดท้ายวิยะดาก็รู้ดีว่าท่านชื่นชมเจษฎ์บดินทร์เหนือใครทั้งหมด
แม้จะไม่คิดว่า...เวลาเพียงไม่กี่เดือนหลังจากที่เขาปฏิเสธ ปู่กับพ่อจะกู้หน้า ด้วยการยกเธอให้คนอื่นง่ายๆ แบบนี้!
ทว่า...
“ชัชวีร์...ไม่ดีตรงไหน”
คำพูดที่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ คล้ายกับสายฟ้าที่ฟาดลงมากลางใจวิยะดา...
สาวน้อยค่อยๆ ปล่อยมือเย็นเฉียบของตัวเองออกจากร่างสูงใหญ่ เธอก้าวถอยหลัง พร้อมกับเงยหน้ามองใบหน้าหล่อเหลาด้วยสายตาสั่นไหวรุนแรงด้วยความสะเทือนใจ
“...พี่เจษฎ์”
เจษฎ์บดินทร์มองสบตากับสาวน้อยที่เรียกชื่อเขาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกเช่นเดิม...ไม่เปลี่ยนแปลง
“เท่าที่พี่รู้จัก ชัชวีร์เป็นคนใช้ได้คนหนึ่ง ปู่กับพ่อเราก็คงเห็นว่าเขาเหมาะสม เลยอยากให้มาดูแลยิ้ม พี่ว่ายิ้มควรจะเชื่อฟังพวกท่านนะ”
วิยะดาไม่แน่ใจ...ว่าหัวใจของเธอยังคงเต้นอยู่หรือไม่ นั่นคงเพราะ...ความเจ็บปวดที่เข้ามาครอบคลุมหัวใจมันมากมายจนเกินพรรณนา
สาวน้อยกำมือที่สั่นระริกของตัวเองเอาไว้ เล็บที่ถูกตัดแต่งอย่างดีจิกลงบนเนื้อบริเวณฝ่ามือ มันเจ็บ...แต่ไม่อาจสู้ความร้าวรานที่อยู่ในใจของเธอได้
“...พี่เจษฎ์หมายถึง...พี่เจษฎ์เองก็เห็นด้วยถ้ายิ้มจะหมั้นกับพี่วีร์งั้นเหรอคะ”
“ใช่”
วิยะดาสูดหายใจเข้าด้วยความยากลำบาก น้ำตาที่หยุดไหลไปก่อนหน้านี้ ค่อยๆ เอ่อล้นขึ้นมากลบภาพใบหน้าและสายตาเย็นชาไร้ความรู้สึกของคนตรงหน้า
“ต่อให้...ยิ้ม...จะบอกว่ายิ้มไม่เต็มใจงั้นเหรอคะ”
“ใช่”
“แล้วถ้า...ยิ้มจะบอกว่า...ที่ยิ้มไม่อยากแต่งงานกับพี่วีร์ ก็เพราะคนที่ยิ้มรักคือพี่เจษฎ์ พี่เจษฎ์ก็ยังจะคิดแบบนั้นหรือคะ...” วิยะดาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการเอ่ยถ้อยคำเหล่านั้นออกมาจนหมด ทั้งๆ ที่หัวใจของเธอเจ็บปวดรวดร้าวจนแทบหายใจไม่ออก...
ดวงตาร้าวรานจับจ้องใบหน้าของเจษฎ์บดินทร์ ราวกับต้องการหาความรู้สึกแท้จริงที่ซ่อนอยู่! หลังจากได้รับฟังคำสารภาพรักของเธอ ทว่า...
สีหน้าของเจษฎ์บดินทร์กลับไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย ไม่มีแม้กระทั่งความประหลาดใจใดๆ ฉายออกมา
“ใช่”
น้ำตาทีเอ่อล้นก็ค่อยๆ ทิ้งตัวลงมาอาบแก้มเนียนใส วิยะดาหลับตาลงแน่นกับความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาจนเกินกว่าจะรับไหว
“ยิ้ม...ความรู้สึกที่เรามีให้กับพี่ มันก็แค่ความเข้าใจผิด เรายังเด็กอาจจะสับสน แต่วันหนึ่งเราจะเข้าใจเองว่ามันไม่ใช่”
“ความเข้าใจผิด?” วิยะดาส่ายหน้าช้าๆ
ให้เขาบอกออกมาว่าไม่รักเธอ มันอาจจะทำให้วิยะดาเจ็บปวดน้อยกว่าการบอกว่าความรู้สึกที่เธอมีให้กับเขา เป็นเพียงแค่ความเข้าใจผิด ของเด็กอ่อนต่อโลกคนหนึ่ง!
ทำไม ทำไมกัน...ทำไมเขาถึงได้ตัดสินความรู้สึกของเธอได้อย่างเย็นชา และโหดร้ายถึงเพียงนี้!
ทั้งที่ตลอดมา เธอต้องอาศัยความกล้ามากมาย เพื่อทำความเข้าใจและเผชิญหน้ากับการค้นพบว่า ความรัก และความเทิดทูนที่เธอมีให้กับเขานั้น ไม่ใช่เพียงความรู้สึกที่น้องสาวคนหนึ่งจะมีให้กับพี่ชาย แต่...มันคือความรู้สึกลึกซึ้งจริงจังที่หญิงสาวคนหนึ่ง ที่มีให้กับผู้ชายที่เธอรัก!
“ถ้าอย่างนั้น ยิ้มขอถามพี่เจษฎ์อีกแค่คำถามเดียว แค่คำถามเดียวเท่านั้น แล้วยิ้มจะไม่ถามอะไรพี่เจษฎ์อีก พี่เจษฎ์รับปากได้ไหมคะ ว่าพี่เจษฎ์...จะตอบยิ้มตามความจริง”
เจษฎ์บดินทร์นิ่งไป วิยะดาไม่รู้ว่าในตอนนี้เขากำลังคิดสิ่งใดอยู่ หรือรำคาญที่ยังต้องตอบคำถามโง่ๆ ไม่จบสิ้นของเธอ แต่สุดท้ายเขาก็ตอบมันออกมา...
“ได้ ถามมาสิ”
สาวน้อยกล้ำกลืนความเจ็บปวดที่อัดแน่นเอาไว้ และเงยหน้ามองสบตากับเขา
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา พี่เจษฎ์...เคยมองยิ้มอย่างที่ผู้ชายคนหนึ่งมองผู้หญิงคนหนึ่งบ้างไหม เคยรู้สึก...รักยิ้มมากกว่าความเป็นน้องสาวบ้างไหม หรือที่ผ่านมาพี่เจษฎ์แค่เอ็นดูยิ้ม เอ็นดูน้องสาวคนนี้เท่านั้น...”
เจษฎ์บดินทร์มองสบตากับคนที่ทวงถามความรู้สึกของเขาที่มีต่อเธอด้วยสายตาว่างเปล่า
“ฟังให้ดีนะยิ้ม...พี่ไม่เคยคิดหรือรู้สึกกับยิ้มมากกว่าความเป็นน้องสาวเลยไม่เคยเลย...แม้แต่นิดเดียว เพราะพี่คงไม่มีทางคิดหรือรู้สึกอะไรแบบนั้น...กับน้องสาวของคนที่ตัวเองกำลังจะคบหาดูใจด้วยได้...”
วิยะดาสะดุ้งตื่นจากความทรงจำที่กลายมาเป็นภาพฝันคอยตามหลอกหลอนเธอตลอดระยะเวลากว่า ๒ ปีที่ผ่านและไม่ว่าจะทำใจให้ลืมมันยังไง ความทรงจำในวันนั้น ก็ยังคงฝั่งแน่นราวกับแผลเป็นที่ไม่มีวันจางหาย
หญิงสาวยกมือขึ้นลูบใบหน้าที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเพื่อเรียกสติแต่ถึงกระนั้น...ลมหายใจของเธอก็ยังหอบสั่น มันคงเป็นผลพวงจากการพยายามต่อสู้เพื่อให้หลุดพ้นจากความทรงจำอันเลวร้าย จนคล้ายกับว่าเธอได้สูญเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี
อาจเพราะระยะนี้เธอมีเหตุต้องเจอหน้าเขาหลายครั้ง บวกกับความเครียดสะสมความฝันที่เคยคิดว่าจางหายไปแล้ว จึงได้ย้อนกลับมาทำร้ายเธออีกครั้ง
แต่...เธอไม่ต้องการให้มันเป็นอย่างนี้ไปตลอดทั้งชีวิต
ถ้าเป็นไปได้ วิยะดาก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเขาอีก ไม่ว่าจะทางใด หรือด้วยเหตุผลใดก็ตาม!
บางที...การเผชิญหน้ากับเจษฎ์บดินทร์เพื่อพูดคุยเรื่องนี้ให้จบสิ้น อาจจะเป็นทางออกของทุกอย่าง...
หญิงสาวถอนหายใจออกมาอีกครั้ง พร้อมกับสางผมยุ่งของตัวเอง เธอหันไปมองพื้นที่อีกฝั่งของเตียงซึ่งว่างเปล่าและไร้รอยยับย่น จึงเลื่อนสายตาไปมองนาฬิกาพรายน้ำตรงหัวเตียง พบว่า...ขณะนี้เจ็ดโมงเช้าแล้ว
จินตนาการคงกำลังทำงานอยู่ และยังไม่ได้นอน...เช่นปกติ
ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะเมื่อเดินออกมาจากห้อง และมองเข้าไปที่ห้องทำงานซึ่งเปิดค้างเอาไว้ ก็เห็นว่าจินตนาการกำลังง่วนอยู่กับการรัวนิ้วลงบนแป้นพิมพ์ หยุดเป็นพักๆ เพื่อไล่สายตาอ่านตรวจเช็คว่าสิ่งที่เขียนลงไปนั้นถูกต้องตามอารมณ์ที่ถ่ายทอดหรือไม่ และควรจะแก้ไขตรงไหนอีกรึเปล่า ก่อนจะรัวนิ้วลงไปอีกครั้ง
หญิงสาวมองภาพนั้นด้วยรอยยิ้ม รู้สึกดีใจที่เห็นเพื่อนพบสิ่งที่รัก และทำมันอย่างมีความสุข แม้จะต้องใช้ชีวิตแตกต่างจากคนทั่วๆ ไปสักเล็กน้อย จริงๆ แล้วต้องบอกว่า...ชีวิตของจินตนาการในตอนนี้ ดูมีความสุขขึ้นมากกว่าแต่ก่อน ตอนอาศัยอยู่ที่บ้านญาติสมัยเรียนมหาวิทยาลัยเสียด้วยซ้ำ
คงเพราะวิยะดาจ้องอีกฝ่ายนานเกินไป คนที่จมอยู่กับการทำงานจึงรู้สึกตัวและหันมามอง ก่อนจะทักเสียงสดใส ผิดจากใบหน้าที่ดูล้าและง่วงนอนเต็มที
“ตื่นแล้วเหรอยิ้ม อ้าว...แล้วนั่นทำไมดูเหมือนคนไม่ได้นอนเหมือนเดิมเลยล่ะ นอนไม่หลับอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย” เธอจำได้ว่าเมื่อคืนวิยะดาเข้านอนตั้งแต่ ๓ ทุ่ม ซึ่งถ้าหลับหลังจากนั้น ก็น่าจะนอนเกิน ๘ ชั่วโมงแล้ว...
คนที่ดูเหมือนไม่ได้นอนอีกแล้วยิ้มเซียวๆ เพราะจินตนาการพูดถูก...เธอนอนไม่หลับจริงๆ และได้แต่พลิกตัวไปมาบนเตียง วนเวียนคิดถึงแต่เรื่องราวต่างๆ ในชีวิต และปัญหาที่ยังคงรอการสะสางอยู่
“เอาน่ะ ไว้นอนกลางวันเอาก็ได้เนอะ...ไหนๆ ก็ตื่นเช้าแล้ว สนใจให้อาหารนกฮูกที่กำลังปั่นงานหลังขาดไหม”
วิยะดาเข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย จึงหัวเราะออกมากับคำเชิญชวนที่ดูเจื่อนๆ นั้น
หลังจากงานศพของวาริศาผ่านพ้นไป สิ่งที่พอจะบอกว่า สภาพจิตใจของวิยะดาได้เริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติบ้างแล้ว ก็เห็นจะเป็นการเริ่มยิ้ม และหัวเราะที่เพิ่มมากขึ้นกว่าก่อนหน้านี้
“งานรีบมากเหรอ”
“อืม...จะงานหนังสือแล้วน่ะ สัญญากับ บ.ก. ไว้ว่าจะส่งงานให้ทัน ถ้าผิดสัญญามีหวัง...” จินตนาการยกนิ้วชี้ขึ้นมาปาดคอด้วยสีหน้าสยดสยอง
“งั้นจะกินไรดี”
“มาม่าก็ได้ ไข่เจียวก็ดี แล้วแต่คุณเพื่อนจะกรุณาเลยเจ้าค่ะ”
วิยะดาหัวเราะเบาๆ กับความสดใสของจินตนาการที่ขัดกับร่างกายซึ่งดูเหนื่อยล้าจนแทบหมดแรง
“ไม่ต้องไข่เจียวหรือมาม่าก็ได้ เมื่อวานอินให้ที่วังส่งเสบียงมาหลายอย่าง เดี๋ยวเราอุ่นแล้วก็จะตั้งโต๊ะให้เอง ตัวน่ะลุกไปล้างหน้าล้างตาดีกว่า จะได้มาทานข้าวกัน”
“โอเค เดี๋ยวขอเก็บรายละเอียดซีนนี้อีกนิดหน่อยแล้วจะไปเลยค่า คุณแม่”
วิยะดาค้อนเข้าให้ แต่ก็อดหัวเราะออกมาอีกคำรบหนึ่งไม่ได้
เธอเดินเข้าไปในส่วนของครัวอเนกประสงค์ขนาดกะทัดรัดแต่มีเครื่องครัวครบครันสะอาดสะอ้าน เพราะจินตนาการแทบไม่ได้ใช้ครัวนี้อย่างเต็มประสิทธิภาพเลย นอกจากอุ่นอาหาร หรือชงเครื่องดื่ม พอมีเธอมาพักอยู่ด้วยจึงเหมือนเป็นการเปิดใช้งานครัวนี้เป็นครั้งแรก
คอนโดของจินตนาการมีขนาด ๓๙ ตารางเมตร แบ่งเป็นห้องนอนใหญ่ ๑ ห้อง ห้องนอนเล็กที่ถูกเจ้าตัวทำเป็นห้องทำงาน ๑ ห้อง ห้องน้ำ ๑ ห้อง โถงกลางที่มีส่วนรับแขก โต๊ะรับประทานอาหาร และครัวเล็กๆ รวมอยู่ สุดท้ายคือระเบียงที่ตกแต่งด้วยไม้กระถางสีเขียวชอุ่มเป็นแถว พร้อมม้านั่งไว้พักผ่อนหย่อนใจ ทุกอย่างที่จัดเรียงในห้องนี้ดูมีความเป็นผู้หญิงอย่างยิ่ง แม้ไม่เรียบร้อย แต่ก็ไม่ได้รกรุงรัง กลับให้ความรู้สึกถึงความเป็นที่พักที่อบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
‘นกน้อยทำรังแต่พอตัว’ คงเป็นเช่นที่อีกฝ่ายเคยบอก เมื่อครั้นเลือกซื้อที่นี่ และตัดสินใจย้ายออกจากบ้านคุณป้าหลังจากเรียนจบ พร้อมกับเงินมรดกจากคุณยาย ผู้ล่วงลับไปนานกว่า ๑๐ ปีซึ่งได้ระบุในพินัยกรรมว่าจินตนาการจะมีสิทธิ์ครอบครองและใช้ทรัพย์สินในส่วนนี้ ก็ต่อเมื่อสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีแล้วเท่านั้น
วิยะดาจัดการหุงข้าวเป็นอันดับแรก และเดินไปเปิดตู้เย็นแบบบิ้วล์อิน เลือกหยิบเอาตลับพลาสติกถนอมอาหารออกมาสองสามกล่อง ด้านในนั้นเป็นอาหารปรุงสุกมาแล้วจากวังพยุหะมนตรี ที่อินทุอรจัดเตรียมส่งมาให้แทนตัว เพราะหลังจากที่วิยะดาเริ่มมีสภาพจิตใจดีขึ้น ก็ไล่ให้เพื่อนกลับไปพักที่วังตามเดิม เพราะไม่ว่าอย่างไรอินทุอรก็เป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว ถึงหม่อมราชวงศ์ปราบดาจะเข้าใจ แต่มันก็ยังเป็นเรื่องไม่สมควรอยู่ดีที่อินทุอรจะออกมาค้างนอกบ้านเป็นเวลานานๆอีกทั้งหลังจากที่รวินท์รัมภา ญาติผู้น้องของหม่อมราชวงศ์ปราบดา และเพื่อนรุ่นพี่ของพวกเธอแต่งงานออกเรือนไปเมื่อหลายเดือนก่อนอินทุอรซึ่งมีฐานะเป็นศรีสะใภ้และนายหญิงจึงต้องรับหน้าที่เป็นผู้ดูแลควบคุมความเรียบร้อยภายในวังอย่างเต็มตัว การปล่อยปละละเลยบ้านเช่นนี้จะทำให้ถูกตำหนิได้
นั่นสินะ...ทุกคนล้วนมีหน้าที่ แม้แต่เธอเองก็เช่นกัน จะมัวมานั่งโศกเศร้า และดึงให้คนที่ปรารถนาดีและเป็นห่วงเธอมาจมอยู่กับความทุกข์ไปพร้อมๆ กันได้อย่างไร
มันคงถึงเวลาแล้ว ที่เธอเองก็ต้องเผชิญหน้ากับ ‘ทุกๆ อย่าง’ และกลับไปจัดการเรื่องที่ปล่อยทิ้งเอาไว้เสียที...
‘ถ้าจัดการเรื่องแยมเสร็จแล้ว เราแต่งงานกันนะ ...พี่ยินดีรับยายหนูเป็นบุตรบุญธรรม จะได้ช่วยยิ้มดูแลหลานได้อย่างเต็มที่’
นั่นคือคำพูดของชัชวีร์ที่เอ่ยกับเธออย่างจริงจังและจริงใจเมื่อวันก่อน ซึ่งฟังแล้ววิยะดาก็พลันเกิดอาการขมปร่า และน้ำท่วมปาก ต่อให้ถอนหายใจอีกกี่ครั้ง ก็ไม่อาจลบล้างความกลัดกลุ้มไปได้
จริงๆ แล้วในสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ ชัชวีร์ผู้เป็นคู่หมั้น ควรเป็นคนที่เธออยากยึดโยงเอาไว้มากที่สุด ทว่า...หญิงสาวรู้ดีว่าไม่อาจทำเช่นนั้นได้
ถ้าพูดให้ถูกก็คือ เธอไม่อยากดึงเขามายุ่งเกี่ยวกับปัญหาภายในครอบครัว และภาระยุ่งยากนานัปการที่จะตามมาหลังจากนี้
จริงอยู่ว่าการหมั้นหมายระหว่างทั้งคู่เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ได้ตัดสินใจและเห็นว่าเหมาะสม ทว่า...ฐานะของเธอได้เปลี่ยนไปแล้ว และสุรสินทร์ก็ไม่อาจเอื้อประโยชน์ใดๆ ให้กับผู้ที่จะเข้ามาเกี่ยวดองด้วยอีก ต่อให้ชัชวีร์หรือครอบครัวของเขาไม่ได้สนใจเรื่องนั้น แต่มันก็ไม่ยุติธรรมอยู่ดี...เพราะจุดประสงค์ของการหมั้นหมายเมื่อสองปีก่อน เกิดจากผลประโยชน์มากกว่าครึ่ง
อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับชัชวีรย์นั้น ก็ยากเหลือเกินที่จะเปลี่ยนไปเป็นคนรักหรือคู่ชีวิต ไม่ใช่ว่าตลอดสองปีที่ผ่านมา ทั้งสองไม่ลองพยายามเปลี่ยนความคิดและความรู้สึก หากสุดท้าย...คำตอบก็เป็นเช่นเดิม นั่นคือทั้งสองเป็นได้เพียงพี่น้องที่ปรารถนาดีต่อกัน จึงตกลงว่าจะถอนหมั้น หลังจากที่วิยะดาเรียนจบปริญญาโท ซึ่งมันก็คือในเวลานี้...
ดันนั้น...เธอไม่อยากให้ชัชวีร์ต้องเสียสละตัวเอง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม
เมื่อหม้อหุงข้าวไฟฟ้าส่งสัญญาณเตือนว่าสุกแล้ว หญิงสาวจึงถอนหายใจ และปัดความคิดยุ่งเหยิงออกไป
ยี่สิบนาทีต่อมา อาหารทุกอย่างก็พร้อมรับประทานอยู่บนโต๊ะ เธอใช้จังหวะที่จินตนาการยังอาบน้ำไม่เสร็จ เข้าไปล้างหน้าล้างตา ให้ตัวเองสดชื่นรับวันใหม่ และออกมาพบว่าเพื่อนรักนั่งรออยู่ที่โต๊ะ ด้วยหน้าตาแจ่มใส และดูถูกใจอาหารที่เธอเลือกมาอุ่นรอ
“ดีอ่ะ” จินตนาการหลับตาพริ้ม กับรสชาติกลมกล่อมถึงเครื่องของพะแนงไก่สูตรเฉพาะของวังพยุหะมนตรี
วิยะดายิ้มขำ ขณะนั่งลงตรงตำแหน่งที่ว่างอยู่
“อร่อยก็กินเยอะๆ นะ ตัวน่ะชอบลืมกินข้าว ไม่สบายขึ้นมาจะทำยังไง”
“จ้าๆ คุณแม่ ตัวก็เหมือนกันนะ” คนถูกดุแสร้งทำปากยื่น ก่อนจะยิ้มกริ่มก้มหน้าก้มตากินอย่างมีความสุข
วิยะดาหัวเราะเบาๆ ต่อท่าทางราวกับเด็กๆ ของจินตนาการ ก่อนจะหันไปมองโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างจานข้าวของตนบนโต๊ะ ที่กำลังสั่นเตือนการโทร. เข้า
โรงพยาบาล...เพราะชื่อที่ขึ้นแสดงนั้น ทำให้เธอรีบวางช้อนส้อม และหยิบมันขึ้นมากดรับสายในทันที
“สวัสดีค่ะ ใช่ค่ะ...ค่ะ...พบคุณหมอ? ...ได้ค่ะไม่ติดอะไร...ค่ะ แล้วดิฉันจะรีบเข้าไปนะคะ ขอบคุณค่ะ”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอยิ้ม” จินตนาการลดช้อนที่กำลังจะตักอาหารเข้าปากลง พร้อมกับเอ่ยถามด้วยความห่วงใย เมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของเพื่อน
ความคิดเห็น |
---|