7

บทที่ 7

 

รักแรกพบ

ช่วงเวลาที่วิยะดาขังตัวเองอยู่ในคอนโดของจินตนาการนั้น ไม่ใช่ช่วงเวลาที่เธอหมดอาลัยตายอยากอย่างที่เพื่อนรักทั้งสองเข้าใจ แต่มันเป็นช่วงเวลาที่เธอหลบหนีไปเพื่อตั้งหลัก และเรียกสติ สำหรับการเผชิญหน้ากับโจทย์สำคัญในชีวิตของตัวเอง และหลานสาว

แน่นอนว่าความผิดหวังเสียใจเป็นสิ่งแรกที่เธอต้องข้ามผ่าน แล้วเมื่อทำสำเร็จ วิยะดาก็เริ่มนำเรื่องราวต่างๆ มาคิดทบทวน วิเคราะห์ผลได้ผลเสียทุกๆ แง่มุม จึงค้นพบว่า...การให้ยายหนูเป็นลูกสาวของเจษฎ์บดินทร์คือทางเลือกที่ถูกต้องที่สุด แม้จะมีความเสี่ยง...แต่ทางเลือกในชีวิตของเธอตอนนี้ มีทางไหนบ้างที่ไม่ต้องเสี่ยง

อีกอย่างต่อให้เธอไม่เห็นความถูกต้องของทางเลือกนี้ เจษฎ์บดินทร์คงไม่มีวันยอมปล่อยมือและยอมสละสิทธิ์ในการเลี้ยงดูยายหนูให้เธอแน่

วิยะดาปล่อยลมหายใจออกมาอย่างหนักอึ้ง ขณะจ้องมองร่างเล็กในตู้อบภายในห้อง NICU

‘เด็กหญิง เจษฎ์ธิดา พุฒิวิริยะกุล’ เป็นป้ายชื่อใหม่ที่ถูกติดแทนที่ ‘บุตรสาว นางสาว วาริศาสุรสินทร์’

ภาพที่เห็น ทำให้เธอนึกย้อนไปถึงคำพูดทิ้งท้ายของเจษฎ์บดินทร์ในวันนั้น...

‘ยายหนูจะอยู่ที่โรงพยาบาลอีกประมาณ ๒ เดือน ถึงวันนั้นพี่อยากให้เรื่องครอบครัวเรียบร้อย พี่ไม่ได้อยากบีบบังคับให้ยิ้มตัดสินใจ แต่ถ้ายายหนูมีครอบครัวรอแกอยู่ที่บ้าน มันก็น่าจะดีกว่า...’

“ครอบครัว...” วิยะดาพึมพำคำนั้นออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา พร้อมกับหลับตาลง

หลังจากเยี่ยมหลานสาวและถามอาการของแกเพิ่มเติมแล้ว เธอก็เดินออกมาจากตึกกุมารเวช ตั้งใจว่าจะเข้าไปดูบ้านสุรสินทร์ที่ปล่อยทิ้งให้คนเก่าคนแก่ และคนงานจำนวนหนึ่งดูแล เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องก็มีไม่น้อยที่ลาออกไป แม้แต่เธอกับมารดาเองก็ย้ายออกมาอยู่ข้างนอกเพราะทำใจไม่ได้ แต่แล้วก็พลันหน้ามืดเกือบจะล้มลงไป ดีที่คว้าจับราวบันไดเอาไว้ได้ทัน

“ยิ้ม!”

วิยะดาเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของร่างสูงที่มาหยุดอยู่ตรงหน้า เสียงนั้นเป็นเสียงที่เธอไม่คุ้นเคยนัก แต่แล้วเมื่อเห็นใบหน้าขาวตี๋ของเขาชัดเจนจึงจำได้

“พี่พีร์”

รณพีร์มีสีหน้าเก้อๆ ไปเล็กน้อย มือที่คล้ายกับจะจับแขนของเธอเพื่อช่วยพยุงดูเงอะงะ และจนแล้วจนรอดก็ยังไม่กล้าแตะสัมผัส

รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกที่เธอจำเขาได้ในทันที...

“หน้ามืดเหรอ ไปให้หมอเช็คเถอะพี่ไปส่ง”

หญิงสาวยิ้มบางๆ พยุงตัวขึ้นยืนตรงอย่างเป็นปกติ

“แค่หน้ามืดเพราะแดดน่ะค่ะ ไม่น่าจะมีอะไรมาก”

ช่วงนี้เธอพักผ่อนน้อย และเครียด มันไม่แปลกที่จะอ่อนแรงและหน้ามืด

“แต่หน้าซีดมากเลยนะ”

“ยิ้มไม่เป็นอะไรจริงๆ ค่ะ ว่าแต่พี่พีร์มาทำอะไรที่นี่หรือคะ” ถ้าให้คิดว่าเขามาเยี่ยมยายหนูก็คงไม่น่าใช่

รณพีร์เหมือนจะอึ้งๆ ไปนิด ก่อนจะเหลือบมองป้ายทางขึ้นตึก ‘กุมารเวช’

“อ๋อ...พี่มาเยี่ยมเพื่อนน่ะ เพื่อนพี่เขาคลอดลูกอยู่ที่โรงพยาบาลนี้”

วิยะดาพยักรับรู้ด้วยรอยยิ้มบางๆ

“แล้วนี่จะกลับแล้วเหรอ มายังไง ให้พี่ไปส่งไหม”

“ขอบคุณมากนะคะ แต่ยิ้มขับรถมาน่ะค่ะ พี่พีร์ไปเยี่ยมเพื่อนเถอะนะคะ ยิ้มกำลังจะไปแล้ว”

“...”

“ยิ้มไปก่อนนะคะ” วิยะดาเอ่ยลา พร้อมกับยกมือขึ้นไหว้อีกฝ่าย แล้วผละเดินจากไป

ทิ้งรณพีร์ให้ยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยใบหน้าปั้นยาก ขัดใจตัวเองที่ปากหนัก และทำตัวไม่ถูกเมื่อยามอยู่ต่อหน้าเธอ

“ปากมึงเป็นอะไรวะไอ้พีร์ ทำไมไม่บอกเขาไปว่าไปส่งได้...”

ว่าแล้วรณพีร์ก็หันกลับไปด้วยอาการคล้ายจะวิ่งตาม จึงได้เห็นว่ารถของวิยะดาจอดอยู่ฝั่งตรงข้ามนั่นเอง ดังนั้นพอเขาหันไปก็เห็นว่าเธอขึ้นประจำตำแหน่งคนขับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เจ้าของร่างสูงใหญ่ที่นั่งเอนหลังพิงเก้าอี้ผู้บริหาร หันหน้าออกไปมองวิวมุมสูงจากตึกสำนักงานใหญ่ พี.เค. กรุ๊ป บ่งบอกว่าเขากำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด แสงแดดที่สะท้อนกระจกเข้ามาอาบไล้ภายในห้องเย็นเฉียบนั้น สร้างเงาร่างพาดผ่านโต๊ะที่มีแฟ้มเอกสารเปิดคาเอาไว้ บรรยากาศภายในห้องเงียบกริบ ราวกับไร้ซึ่งผู้คน กระทั่งมีใครคนหนึ่งเปิดประตู และก้าวเข้ามาด้วยฝีเท้ามั่นคง...ทว่าแผ่วเบา

‘ธนา’ เดินมาหยุดอยู่หน้าโต๊ะทำงานของชายผู้นั้น เช่นเดียวกับผู้เป็นเจ้าของห้องที่หมุนเก้าอี้หันมามอง

“ได้แล้วใช่ไหม”

“ครับท่านประธาน” หลังจากที่เจษฎ์บดินทร์ ถูกแต่งตั้งให้ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร คำเรียกขานว่า ‘ท่านรอง’ จึงถูกปรับเปลี่ยนตาม

ผู้ช่วยคนสนิทที่อายุมากกว่าเจ้านายถึง ๕ ปี และได้รับมอบหมายงานสำคัญ วางแฟ้มเอกสารหลายเล่มลง ก่อนจะตามด้วยทรัมไดรฟ์สีดำสนิทหนึ่งชิ้น

“นี่คือบัญชีย้อนหลัง ๑๐ ปี และรายงานโดยสรุปของสุรสินทร์ดีเวลลอปเมนต์ ก่อนที่จะถูกเราเข้าซื้อกิจการครับ ส่วนรายละเอียดเพิ่มเติมอื่นๆ ผมได้จัดเตรียมให้แล้วในแฟ้มล่างสุด หากท่านประธานมีคำถาม หรืออยากให้ผมตรวจสอบอะไรเพิ่มเติม สามารถแจ้งได้เลยครับ”

“ขอบใจมาก” หากขณะที่เจษฎ์บดินทร์กำลังจะเปลี่ยนอิริยาบถเพื่อหยิบทรัมไดรฟ์ที่อยู่บนสุดมานั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น...

เขาหยิบมันขึ้นมา และกดรับในทันทีที่เห็นว่าเป็นเบอร์ของโรงพยาบาล

 

หลังกลับมาจากบ้านสุรสินทร์ซึ่งตนไม่ได้ไปมานานนับเดือน วิยะดาก็ตัดสินใจที่จะย้ายกลับไปอยู่ที่นั่น

ที่คิดแบบนั้น คงเพราะเธอไม่อยากจะหนีความจริงอีกต่อไป ในเมื่อคิดจะเผชิญหน้า ก็ต้องยอมรับทุกๆ อย่าง แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่เจ็บปวดที่สุดก็ตาม

บ้านสุรสินทร์ในตอนนี้ แม้จะไม่ได้มีคนอาศัยอยู่นับสิบชีวิตอย่างเมื่อก่อน แต่ก็ใช่จะถูกทิ้งร้าง คนงานเก่าแก่ยังคงอยู่อย่างเดิม และทำหน้าที่ของตนตามปกติ โดยที่ทั้งหมดนั้นเปลี่ยนมาขึ้นตรงกับเธอ ที่กลายเป็นเจ้านายผู้ดูแลรับผิดชอบทรัพย์สินของบ้านแทนมารดาผู้หลีกหนีความวุ่นวายเข้าหาทางธรรม ซึ่งไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไหร่ จึงจะทำใจได้ และยอมกลับมายังสถานที่แห่งความทรงจำ และความเจ็บปวดนี้อีกครั้ง

เย็นนั้นวิยะดากลับไปแจ้งเรื่องแก่เพื่อนรัก และย้ายข้าวของกลับมาในสายวันต่อมา โดยมีจินตนาการที่ดูไม่เห็นด้วยกับการย้ายออกของเธอตามมาส่ง

“เราว่าเราย้ายมาอยู่เป็นเพื่อนยิ้มที่นี่ดีกว่า” จินตนาการพูดขึ้น หลังจากตัดสินใจอยู่ครู่หนึ่ง

คนฟังแสดงสีหน้าประหลาดใจ และไม่เห็นด้วยนัก

เพราะความจริงแล้ว จินตนาการเป็นคนที่ค่อนข้างติดที่ ถึงสมัยเรียนมหาลัยจะย้ายบ้านบ่อยๆ แต่คนเป็นเพื่อนรู้ดี ว่าจินตนาการชอบอยู่ในสถานที่เดิมๆ ยิ่งตอนนี้กำลังทำงานด้านการเขียน ก็ยิ่งชอบอยู่ในที่ที่คุ้นเคย ไม่อย่างนั้นจะไม่มีสมาธิ

ก่อนหน้านี้ที่เธอย้ายเข้าไปอาศัยด้วย ก็นับเป็นการรบกวนการทำงานของของจินตนาการอย่างหนึ่ง ซึ่งวิยะดามองว่ามันมากพอแล้ว จึงไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องทำอะไรฝืนธรรมชาติของตัวเองเพื่อเธออีก

“แต่...”

“ไม่แต่หรอก ตอนนี้ต้นฉบับเสร็จแล้ว ส่งเรียบร้อยแล้วด้วย เค้าก็เลยอยู่ในช่วงพักงาน จะไปไหนก็ได้ มาอยู่กับยิ้มได้สบายๆ เลย เอาตามนี้แหละ เดี๋ยวกลับไปเก็บเสื้อผ้า ยกโน้ตบุ๊คมา ไม่แน่นะ อาจจะได้งานแซบๆ เรื่องใหม่ก็ได้...”

ใบหน้ากระจ่างใสของเจ้าบ้านพลันเผยยิ้ม แต่ก็เป็นเพียงเวลาสั้นๆ เมื่อนึกถึงความจริงอีกข้อหนึ่งขึ้นมาได้

“แล้วตัว...ไม่กลัวเหรอ” วิยะดาถามเสียงแผ่ว

ถึงเธอจะยังอยู่ที่เรือนเล็กซึ่งเป็นบ้านเดิมของครอบครัว แต่บ้านหลังนี้ก็ถือว่าอยู่ในอาณาบริเวณเดียวกันกับเรือนใหญ่ ที่ซึ่งมีการตายของสมาชิกในครอบครัวเกิดขึ้น ทั้งตามธรรมชาติ และ...

คนที่ควรกลัวกลับหัวเราะ

“ไม่หรอก นี่มันบ้านตัวนะยิ้ม อีกอย่างเราเป็นเพื่อนตัว มาอยู่ที่นี่ก็เพราะรัก และไม่อยากให้ตัวเหงา ยังไงซะ ‘ท่านๆ ‘ ก็คงไม่มาทำให้เรากลัวหรอก แล้วก็นะ...ตัวจำบ้านคุณป้าเราได้ใช่ไหม นั่นแหละ...น่ากลัวกว่าตั้งเยอะ” ในตอนท้ายจินตนาการทำท่าขนลุกขนพอง พาลพาให้วิยะดาหัวเราะตามไปด้วย ก่อนจะเดินเข้าไปสวมกอดเพื่อนรักแน่น

“ขอบคุณมากนะจิน รู้ไหมว่าถ้าไม่มีตัวไม่มีอิน...เราก็ไม่รู้เลยว่าจะผ่านเรื่องพวกนี้ไปได้ยังไง ขอบคุณมากนะ รักพวกตัวจัง...”

“จ้าๆ เบื่อฟังจริงๆ คำขอบคุณเนี่ย ขอเป็นเลี้ยงข้าวได้ไหม หิวจะแย่แล้ว”

ว่าแล้วสองสาวก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกันอีกครั้ง อย่างที่ไม่ได้เกิดขึ้นมานานหลายเดือน

จินตนาการมองเพื่อนรักด้วยสายตาคลายกังวล เธอสูดหายใจเข้า และปล่อยออกอย่างโล่งอก

“ดีใจนะ ที่เห็นว่าตัวหัวเราะได้แบบนี้...”

วิยะดายิ้ม พลางยักไหล่

“...พอมันถึงจุดหนึ่ง ก็เริ่มรู้สึกชิน และคิดว่า...เศร้าได้ แต่ไม่ควรจมกันมัน ในเมื่อทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้ เราก็ต้องยอมรับความจริง และอยู่กับมันให้ได้ คงจะเรียกว่า...ชีวิตต้องไปต่อล่ะมั้ง”

จินตนาการฟังแล้วก็อมยิ้ม และพยักหน้าเห็นด้วย

ในตอนนั้นเองที่เสียงโทรศัพท์มือถือของวิยะดาดังขึ้น หญิงสาวจึงเดินไปหยิบมันออกมาจากกระเป๋าที่วางไว้บนเค้าน์เตอร์เครื่องดื่มใกล้ๆ นั้น และกดรับทันทีที่เห็นว่าเป็นเบอร์ของทางโรงพยาบาล

“ค่ะ...จริงหรือคะ ค่ะ...ค่ะ...ขอบคุณมากนะคะ!”

หลังจากวางสายแล้ววิยะดาก็หันมามองเพื่อนรักด้วยรอยยิ้มตื่นเต้นยินดี จนจินตนาการที่รอฟังอยู่เลิกคิ้ว

“เขาถอดเครื่องช่วยหายใจยายหนูแล้ว หมอบอกว่าปอดของแกโอเคแล้ว ยายหนูหายใจเองได้แล้วจิน...ยายหนูเริ่มแข็งแรงแล้ว...” ขณะที่เล่าด้วยรอยยิ้ม น้ำตาของวิยะดาก็รือขึ้นมา หากครั้งนี้มันคือ...น้ำตาแห่งความปลื้มปีติ

“เขายังบอกด้วยว่า อีกไม่นานเราจะได้อุ้มยายหนูแล้ว...”

วิยะดาอธิบายไม่ถูกเลย กับความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจ มือของเธอเย็นเฉียบ ขณะผูกเชือกเสื้อปลอดเชื้อที่ทางโรงพยาบาลจัดเตรียมเอาไว้ให้

อีกไม่กี่นาทีต่อจากนี้เธอจะได้อุ้มยายหนูแล้ว...

หลังจากออกจากห้องแต่งตัว เจ้าหน้าที่ก็นำทางเธอมายังห้องห้องหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเป็นห้องตรวจรักษา แต่มีเครื่องมือทางการแพทย์ไม่มากนัก ด้านหน้าติดป้ายสแตนเลสระบุ Kangaroo mother care (KMC)[1] ที่ห้องนั้นมีเก้าอี้โยกบุนวมวางตั้งอยู่ วิยะดาถูกเชิญให้นั่งรอ หัวใจของเธอสั่นระรัวด้วยความตื่นเต้น ไม่นานเจ้าหน้าที่อีกท่านก็เข็นตู้ที่มีเด็กแรกเกิดนอนอยู่เข้ามา

บัดนี้ยายหนูซึ่งมีอายุเพียง ๒ สัปดาห์โตขึ้นกว่าตอนคลอดพอสมควร แต่ก็ยังดูเหมือนทารกแรกเกิดที่ผิวหนังบางใส แลเห็นเส้นเลือดสีแดงจางๆ หากโดยรวมแล้วทำให้วิยะดารู้สึกเต็มตื้นในอก ยิ่งเมื่อมาเห็นใกล้ๆ โดยปราศจากเครื่องไม้เครื่องมือที่ถูกถอดออกไป และตู้อบขนาดใหญ่ ก็ยิ่งแน่ใจว่าแกดูแข็งแรงกว่าที่เธอจินตนาการเอาไว้ บนศีรษะเล็กๆ นั้น สวมทับด้วยหมวดไหมพรมสีชมพูน่ารักสุดใจ จนคนมองเผลอยิ้ม

เจ้าหน้าที่ทำการช้อนอุ้มร่างน้อยที่ดิ้นขยับแขนขาไปมา และส่งเสียงร้องเล็กๆ คล้ายลูกแมว บ่งบอกว่าแกตื่นนอนหรือรู้สึกตัวอยู่ ยิ่งเจ้าหน้าที่อุ้มเข้ามาใกล้ วิยะดาก็ยิ่งสังเกตเห็นว่าดวงตาเล็กๆ ของยายหนูหรี่ปรือขึ้นเผยให้เห็นดวงตาดำขลับที่ซ่อนอยู่ข้างใน

น่ารักจังเลย...

คิดดังนั้นก็พลันรู้สึกแสบร้อนบริเวณกระบอกตา และปลายจมูก พร้อมๆ กับภาพของหลานสาวที่พร่าเลือนลง

“ขออนุญาตนะคะ” เจ้าหน้าที่อีกท่านที่อยู่ข้างกายเอ่ย พร้อมกับเข้ามาช่วยปลดเชือกบนเสื้อที่เธอสวมใส่ และแก้ออก แน่นอนว่าเธอเขินอายแต่ก็นั่งนิ่งและยอมอำนวยความสะดวกเป็นอย่างดี

ในเวลาต่อมา...วิยะดาไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป เมื่อร่างเล็กแสนอบอุ่นถูกวางแนบลงตรงกลางระหว่างเนินอกของเธอ ก่อนที่เสียงร้องจะค่อยๆ สงบลง

เจ้าหน้าที่นำผ้ามาพันลำตัวของเธอกับยายหนูเอาไว้ คลุมทับเสื้อที่ใส่มาเมื่อสักครู่อีกชั้นหนึ่ง และช่วยให้เธอเอนตัวลงนั่งอิงเก้าอี้ในท่าทางที่สบายที่สุด

ในวินาทีนั้น มันคล้ายกับว่าทุกสรรพสิ่งรอบกายหยุดเคลื่อนไหว ไออุ่นที่ได้รับจากร่างเล็กของยายหนู ราวกับแผ่กระจายไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย หัวใจที่เต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นถูกโอบอุ้มเอาไว้ด้วยสายใยบางเบาแสนงดงาม

ทุกข์สาหัสที่เธอพบเจอมาตลอดหลายเดือน พลันสูญสลายหายไป คงไว้แต่เพียงความรู้สึกเต็มตื้น และสัญชาตญาณตามธรรมชาติบางประการที่ถูกปลุกเร้าขึ้นมา...

มือเล็กๆ ที่ขยับอยู่บนเนินอกน่ารักเสียจนอดใจไม่ไหว ต้องแตะสัมผัสเบาๆ อดยิ้มไม่ได้เมื่อรับรู้ถึงกับการกระทำคล้ายจับของยายหนู

เกิดคำถามผุดขึ้นในใจของวิยะดาอย่างฉับพลัน....เธอจะปล่อยมือเล็กๆ นี้ไปได้ยังไง ไม่มีทาง...ไม่มีทาง...

ต่อให้ตายก็ไม่มีวันพรากจากร่างเล็กนี้ ต่อให้ต้องเอาชีวิตเข้าแลกก็จะไม่มีวันให้ใครมาทำร้าย...

การตกหลุมรักที่แท้จริง...คงเป็นเช่นนี้

สัญชาตญาณความเป็นแม่...คงเป็นเช่นนี้

“ยายหนู...เด็กดี...ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ แม่อยู่นี่แล้ว ไม่ต้องกลัว...”

 

“ไง...คุณพ่อ โล่งอกล่ะสิ ลูกสาวแข็งแรงเร็วแบบนี้ ต่อไปก็ไม่น่าจะมีอะไรแล้วนะ เหลือแค่รอให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ สักเดือนหนึ่งก็น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้” นายแพทย์พัฒนพงษ์เอ่ยกับเพื่อนรัก ซึ่งมองภาพหญิงสาวที่กำลังอุ้มประคองร่างน้อยของทารกแรกเกิด ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าปกติผ่านกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งอยู่ภายใน แน่นอนว่าภาพนั้นปรากฏให้เห็นเมื่อทุกอย่างในห้องนั้นถูกเซตเรียบร้อยแล้ว

“อืม ขอบใจนายมากนะ ที่ดูแลลูกสาวฉันเป็นอย่างดี”

“อย่าพูดแบบนั้น คนกันเอง อีกอย่างฉันคิดราคาเต็มนะเว้ย บวกแว็ทอีก๗% ไม่ได้ลดให้นายสักแดง อย่าห่วงเลย” นายแพทย์ผู้พ่วงตำแหน่งเจ้าของโรงพยาบาลบอกอย่างอารมณ์ดี

ก็ใครบอกให้มันไม่พอใจกับมาตรฐานโรงพยาบาล ที่เขาในฐานะเพื่อนและหมอรับรองว่าเอาอยู่กับเคสนี้ จนให้สั่งตัวยาสำคัญหลายตัว พร้อมกับนมชงสำเร็จสำหรับเด็กอ่อนแรกเกิดเกรดพรีเมียมมาจากต่างประเทศ เพื่อใช้รักษาและให้ลูกมันโดยเฉพาะกันล่ะ

“อืม เต็มที่เลย บวกค่าล่วงเวลา และตอบแทนพิเศษให้คณะแพทย์ กับเจ้าหน้าที่ด้วย”

นายแพทย์หนุ่มเกือบสบถใส่ญาติคนไข้ กับความใจป๋าหน้านิ่งของมัน ทั้งๆ ที่เขาแกล้งพูดไปอย่างนั้น แต่ก็อ่อนใจเกินกว่าจะกล่าวแก้ เพราะถึงยังไงเจษฎ์บดินทร์ก็คงไม่ได้นำพา และยังคงจ้องมองภาพในจอแท็บเล็ต ไม่ได้มองมาทางเขาอยู่ดี

“จะไม่ไปรับความดีความชอบหน่อยเหรอวะ” เพราะตามหลักแล้ว เจษฎ์บดินทร์ที่มีฐานะเป็นพ่อของเด็กต้องได้รับการแจ้งให้มาอุ้มก่อนน้าอย่างวิยะดา แต่ทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้นวันนี้ เป็นเรื่องที่เจษฎ์บดินทร์เป็นคนจัดการทั้งหมด

หากคนที่ควรจะได้รับความดีความชอบกลับไม่ตอบ และเอาแต่จ้องมองภาพบนจออยู่อย่างนั้น...

“เอ้า...เอาเข้าไป เสร็จไปอีกหนึ่ง...”

พัฒนพงษ์ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจปนสยดสยอง

ไอ้หม่อมตอนเอาเมียมาตรวจสุขภาพเพื่อวางแผนตั้งครรภ์ก็อาการไม่ต่างกัน ทำอย่างกับจะเอาเมียมันไปฆ่า!


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น