๘
ตัดสินใจ
วิยะดาคิดเอาไว้ก่อนแล้ว ว่าจะต้องเจอเจษฎ์บดินทร์ในวันนี้ แต่ไม่คิดว่าจะเจอในทันทีที่ออกจากห้องเปลี่ยนเสื้อของทางโรงพยาบาล
“ขอบคุณมากนะคะ”นั่นคือคำแรกที่เธอพูดออกมา
เธอรู้ว่าทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ เป็นเพราะเขา...
“ยิ้มควรจะได้อุ้มแกเป็นคนแรกอยู่แล้ว”
“...”
“หมอบอกว่า ยายหนูแข็งแรงขึ้นเร็วกว่าที่คาดเอาไว้มาก อีก ๑ เดือนก็น่าจะกลับบ้านได้”
วิยะดานิ่งไป เธอไม่รู้หรอกนะว่าเจษฎ์บดินทร์เพียงต้องการบอก หรือต้องการเร่งเอาคำตอบจากเธอ แต่วิยะดาก็แน่ใจแล้วว่าต่อให้จะต้องบุกน้ำลุยไฟหรือต้องทนทุกข์ทรมานมากกว่าที่ผ่านมา เธอก็พร้อมที่จะปกป้องยายหนูเอาไว้ ไม่ยอมให้ใครมารังแก หรือปล่อยให้แกต้องเผชิญหน้ากับชะตากรรมเพียงลำพัง!
“ฉันตัดสินใจแล้วค่ะ”
“...”
“ฉันจะทำตามที่คุณบอก แต่งงานกับคุณ เพื่อเป็นแม่ของยายหนู คุณสามารถหาวันไปที่สำนักงานเขตได้เลยนะคะ”
“แล้วเรื่องชัชวีร์ล่ะ”
“ฉันจะคุยเรื่องนี้กับพี่วีร์และครอบครัวของเขาเองค่ะ”
เจษฎ์บดินทร์มองใบหน้างดงามของคนที่ดูแปลกไป...
วิยะดาที่เขาเจอในวันนี้ราวกับเป็นคนละคนกับวิยะดาที่เขาเจอเมื่อหลายวันก่อน คล้ายกับว่าชั่วเวลาเพียงไม่กี่วันที่ผ่านมา มันได้ทำให้หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขาเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด
จริงอยู่ว่าก่อนหน้านี้เธอแสดงออกถึงความเย็นชาและเกลียดชัง แต่ทั้งหมดก็อัดแน่นไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกท่วมท้น ผิดกับตอนนี้ที่ทุกอย่างเหลือไว้เพียงความเย็นชา และสายตาที่ว่างเปล่า...
“ยิ้มเชื่อใจพี่ไหม”
“ฉันเชื่อ...ว่าคุณจะปกป้องยายหนูได้”จากที่ดูอาการของแกในวันนี้ และการดูแลของเจ้าหน้าที่ มันทำให้วิยะดามองเห็นแล้วว่า ถ้าไม่ใช่เจษฎ์บดินทร์คงจะไม่เป็นเช่นนี้...
“อย่างน้อย...ยิ้มก็เชื่อว่าพี่จะปกป้องแกได้จริงๆ”คนตัวสูงยิ้มขื่นที่ถ้าไม่สังเกตคงมองไม่เห็น
“คงเพราะ ฉันไม่มีทางเลือกอีกแล้ว”
วิยะดาหลุบตาลง กล้ำกลืนก้อนแข็งที่จุกขึ้นมา และกล่าวต่อ
“ต่อให้คุณไม่ทำแบบนี้ แต่สุดท้าย ฉันกับยายหนูก็ไม่มีทางถอยได้อีกแล้ว คุณพูดถูก การเป็นลูกสาวของคุณคือทางอยู่รอดปลอดภัยที่สุดของแก ในเมื่อไม่ว่าทางไหนก็ต้องเสี่ยง ฉันก็จะขอเลือกทางที่เสี่ยงน้อยที่สุด ฉันไม่มีทางซ่อนยายหนูไปได้ตลอดชีวิต และฉันก็ไม่อยากเอาเวลาที่เหลือต่อจากนี้ไปต่อสู้แล้วละเลยแก ยายหนูต้องการฉัน ต้องการเวลาทุกวินาทีของฉัน และแกก็ต้องการคุณ...คนที่แม่ของแกมั่นใจว่าจะปกป้องแกได้มากกว่าใครทั้งหมด ดังนั้น...ฉันจะไม่วิ่งหนีคุณอีกแล้ว”
เจษฎ์บดินทร์มองสบตากับคนตัวเล็กที่ยืนอยู่เบื้องหน้า สายตาที่เธอมองตรงมายังเขามั่นคง...และไม่มีความกริ่งเกรงใดๆ ปรากฏ
ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เจษฎ์บดินทร์ต้องการ...
“พี่สัญญาและสาบาน ว่าพี่จะรักและปกป้องยิ้มกับยายหนู ไม่มีวันปล่อยให้ใครมาแตะต้องได้...ขอบคุณที่ยิ้มเชื่อใจพี่”
“ฉันไม่ได้เชื่อใจคุณค่ะ...แต่นี่คือการวางเดิมพันด้วยชีวิตของฉัน และหลานสาว”
ทั้งสองสบตากันเนิ่นนาน แปลก...ที่แม้จะอยู่ใกล้กันเพียงเอื้อมมือ แต่ก็ราวกับไม่อาจไขว้คว้ามาได้
“ยิ้ม”เสียงทุ้มต่ำที่ดังมาจากด้านหลังทำให้วิยะดาต้องดึงสายตากลับ และหันไปมอง
“...พี่พีร์?”
ร่างสูงเพรียวของรณพีร์เดินมาหยุดอยู่ใกล้เธอ ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้สนใจการดำรงอยู่ของเจษฎ์บดินทร์เลยแม้แต่นิด
“เฮียวีร์บอกให้พี่มารับยิ้ม เสร็จรึยังจ๊ะ”
วิยะดานิ่งไปนิดกับคำบอกเล่านั้น เพราะการมาที่นี่ของเธอไม่ได้แจ้งแก่ชัชวีร์ ดังนั้นเธอเชื่อว่าคำพูดของรณพีร์เป็นเรื่องโกหก แต่ก็เชื่ออีกเช่นกันว่าที่เขาโกหก คงเพราะเข้าใจว่าเธอกำลังอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก...กับการเผชิญหน้ากับเจษฎ์บดินทร์
“เออ...เสร็จแล้วค่ะ” วิยะดายอมตามน้ำ เพราะเธอเองก็หมดเรื่องที่จะคุยกับคนที่ยืนอยู่ข้างแล้วเช่นกัน
“งั้นดีจ้ะ เราไปกันเลยนะ”
“ค่ะ...”
“คุณวิยะดาคะ”เจ้าหน้าที่พยาบาลคนหนึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงมา และยื่นโทรศัพท์มือถือให้กับเธอ
นั่นเองที่ทำให้วิยะดาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเธอฝากให้อีกฝ่ายช่วยถ่ายภาพตอนอุ้มยายหนูให้ และยังไม่ได้รับโทรศัพท์คืน จึงไม่ทันได้สังเกตเห็น...ว่าผู้ชายสองคนที่ยืนขนาบข้างเธอนั้น กำลังมองสบตากันด้วยสายตาชนิดใด...
“ขอบคุณมากนะคะ”
“ยินดีค่ะ”
เมื่อเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวจากไปแล้ว วิยะดาก็หันมามองเจษฎ์บดินทร์ และยกมือขึ้นพุ่มไหว้เขาเป็นการบอกลา
“ไว้พี่จะโทร. หานะ”
รณพีร์บดกรามเข้าหากันด้วยความไม่ชอบใจ ต่อน้ำเสียงและสายตาที่เจษฎ์บดินทร์ใช้กับวิยะดา จนเกือบนึกว่าตัวเองหูฝาดไป เมื่อได้ยินคำตอบรับจากเธอที่มีให้กับมัน
“ค่ะ”
ว่าแล้ววิยะดาก็เดินออกไปก่อน ทิ้งให้รณพีร์เผชิญหน้ากับเจษฎ์บดินทร์ด้วยความเป็นปฏิปักษ์อย่างไม่ปิดบัง
“ผมขอเตือน...อย่ายุ่งกับยิ้มอีก”
เจษฎ์บดินทร์ฟังคำพูดหนุ่มรุ่นน้องแล้ว ก็พลันยกมุมปากขึ้นยิ้ม และพูดด้วยน้ำเสียงเป็นปกติว่า
“นายต่างหาก...ที่อย่าเสือก”
รณพีร์เก็บความไม่พอใจเอาไว้ และวิ่งตามวิยะดาออกมาจนถึงโถงทางหน้าลิฟต์ และทันขึ้นลิฟท์ที่มาถึงพร้อมกันกับเธอ โชคดีที่ ณ ตอนนี้มีเพียงทั้งสองเท่านั้นที่โดยสารอยู่
ขณะที่รณพีร์กำลังนึกคำพูดดีๆ ที่จะเอ่ยกับคนตัวเล็กซึ่งยืนอยู่เคียงข้างในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ วิยะดาก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบลงก่อน...
“ขอบคุณมากนะคะพี่พีร์ ว่าแต่พี่พีร์มาเยี่ยมลูกเพื่อนหรือคะ”
ชายหนุ่มงันไปนิด ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าคราวก่อนเขาโกหกเธอไว้แบบนั้น
“เปล่าจ้ะ พี่มาเยี่ยมหลานยิ้มน่ะ”
“มาเยี่ยมยายหนู?”
“ใช่จ้ะ พี่ถามเฮีย เฮียบอกว่าอยู่ชั้นนี้ และยิ้มก็มาเยี่ยมหลานเกือบทุกวัน เลยคิดว่าคงจะเจอยิ้ม แล้วก็เจอจริงๆ ”
หญิงสาวยิ้มให้กับคำตอบนั้น ซึ่งมันเป็นรอยยิ้มที่มีความรู้สึกผิดเจืออยู่
บางทีรณพีร์อาจจะเข้าใจว่ายายหนูกำลังจะกลายเป็นลูกบุญธรรมของพี่ชายเขา จึงได้เอ็นดูและมาเยี่ยมแก
“ขอบคุณมากนะคะ”
“ขอบคุณอะไร หลานยิ้มก็เหมือนหลานพี่” รณพีร์รู้สึกเก้อๆ ขึ้นมาเล็กน้อยกับคำพูดของตัวเอง
นาทีต่อมาทั้งสองก็ลงมาถึงชั้นล็อบบี้ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทาง
“ยิ้มมายังไง ขับรถมารึเปล่า ให้พี่ไปส่งไหม” เขารีบถามขณะเดินออกมาจากลิฟต์
“วันนี้ไม่ได้ขับรถมาค่ะ พอดี...”
“ให้พี่ไปส่งนะ จริงๆ ไปหาอะไรกินกันก่อนก็ได้ พี่ไม่ได้กลับมาเมืองไทยนานอยากกินอาหารไทยด้วย”
วิยะดาหัวเราะเบาๆ กับคำชวนที่แทรกขึ้นก่อนที่เธอจะพูดจบ รู้สึกเกรงใจอีกฝ่ายอย่างบอกไม่ถูก
“คงต้องปฏิเสธค่ะพี่พีร์ พอดีว่า...ที่ยิ้มไม่ได้เอารถมาเพราะเพื่อนมาส่งน่ะค่ะ นั่นไงคะ” วิยะดาชี้ไปทางอินทุอรและจินตนาการที่นั่งรออยู่ในร้านกาแฟบริเวณล็อบบี้ “ไว้โอกาสหน้านะคะ”
แน่นอนว่ารณพีร์ได้แต่ตอบรับไปว่า “...จ้ะ”
วิยะดายกมือขึ้นไหว้ลาอีกฝ่าย และเดินผละไปสมทบกับเพื่อนโดยไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น
อินทุอรและจินตนาการที่นั่งคุยกันอยู่ หันมาเจอว่าวิยะดากำลังเดินไปหา จึงพากันลุกขึ้นจากที่พร้อมๆ กับเก็บกระเป๋าและข้าวของจุกจิกเตรียมพร้อมจะออกเดินทาง
ซึ่งเหตุผลที่ทั้งสองไม่ได้ขึ้นไปข้างบน เป็นเพราะวิยะดาขอเอาไว้ ด้วยคิดว่าจะต้องเจอกับเจษฎ์บดินทร์ และมีเรื่องสำคัญจะคุยกับเขาเพียงลำพัง
รณพีร์ที่ยืนนิ่ง และจมอยู่กับรู้สึกคล้ายเดจาวู มองภาพสามสาวเดินออกจากร้านกาแฟไปยังประตูทางออกด้วยสายตาผิดหวัง
“ทำไมมึงไม่เสนอไปวะ ว่าชวนเพื่อนเขาด้วยก็ได้!”
“อะไรนะคะ” สาวท้องแก่ที่กำลังจะเดินสวนเข้าลิฟท์ไปหันมาถาม เพราะนึกว่าชายหนุ่มพูดกับตัวเอง
“เออ...เปล่าครับ”
หลังจากออกจากโรงพยาบาลทั้งสามก็พากันมาที่ห้างสรรพสินค้าสยามเมอคิวรี่ ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าในเครือพยุหะมนตรี ที่มีหม่อมราชวงศ์ปราบดาสามีของอินทุอรนั่งตำแหน่งประธานกรรมการบริหารอยู่ในปัจจุบัน และ ‘ร้านละมุนหวาน’ แห่งนี้ ก็เป็นร้านขนมไทยแนวฟิวชั่นของรวินท์รัมภาลูกพี่ลูกน้องของหม่อมราชวงศ์หนุ่ม ที่ทั้งสามสาวสนิทสนมคุ้นเคยเป็นอย่างดี
“โอ๊ย...ยายหนูน่าเกลียดน่าชังอะไรอย่างนี้ ดูสิ...”
“ใช่ ฮือ...ตัวเล็กนิดเดียวเอง เมื่อไหร่น้าๆ จะได้อุ้มนะเนี่ย”
วิยะดามองเพื่อนรักทั้งสองที่กำลังชื่นชมรูปของยายหนูที่เธอรบกวนให้พยาบาลช่วยเก็บมาให้ด้วยรอยยิ้มปลาบปลื้ม
“อีกไม่นานแล้วล่ะจ้ะ คุณหมอบอกว่าแข็งแรงขึ้นเร็วกว่าที่คณะแพทย์ประเมินไว้ในตอนแรก อีกเดือนหนึ่งก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วล่ะ”
“ดีใจด้วยนะยิ้ม” อินทุอรจับมือเพื่อนรัก ก่อนจะชะงัก เมื่อนึกถึงปัญหาที่ยังค้างคาอยู่ขึ้นมาได้
“แล้วแบบนี้...ตอนยายหนูออกจากโรงพยาบาล จะได้กลับมาอยู่กับยิ้มรึเปล่า”
“นั่นสิ” จินตนาการเองก็ตั้งคำถามกับเรื่องนี้เอาไว้เช่นกัน วันนี้เห็นว่าเพื่อนรักได้พูดคุยกับเจษฎ์บดินทร์ ไม่รู้ว่าคำตอบของวิยะดาจะเป็นยังไง หรือมีการพูดคุยกันลงตัวในแง่อื่นๆ หรือไม่
วิยะดานิ่งไปนิด เธอหลุบตาลงมองถ้วยชากุหลาบร้อน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองสบตากับเพื่อนรัก
“เราตัดสินใจ...จะจดทะเบียนสมรสกับเจษฎ์บดินทร์ ดังนั้นถ้าถึงช่วงที่ยายหนูออกจากโรงพยาบาล เราก็คงจะได้อยู่กับแก”
ตอนที่คุยกันคราวก่อน เจษฎ์บดินทร์บอกว่าได้จัดเตรียมบ้านเอาไว้แล้ว แต่วิยะดาไม่รู้ว่าเป็นที่ไหน เธอไม่ได้ทวงถาม เพราะขอแค่ได้อยู่กับยายหนู ไม่ว่าจะเป็นที่ใดก็ไม่สำคัญ
“ตัวแน่ใจแล้วเหรอยิ้ม!”
วิยะดามองเพื่อนรักทั้งสองด้วยรอยยิ้มบางๆ แต่สายตามั่นคงจริงจัง
“แน่ใจสิ บอกเขาไปแล้วด้วย ว่าจะตกลงทำตามที่เขาต้องการ ตอนนี้ก็รอแค่...ให้เขาหาวันนัดไปสำนักงานเขต”
“แต่...” อินทุอรเหมือนจะค้าน แต่สุดท้ายก็จนแก่คำพูด เพราะนี่เป็นทางที่ง่ายและดีที่สุดสำหรับวิยะดาจริงๆ แต่สภาพจิตใจของเพื่อนรักเล่า
“เราไม่เป็นไรหรอก ขอแค่ได้อยู่กับยายหนู ได้เลี้ยงดู และอบรมสั่งสอนแกก็พอแล้ว อีกอย่างการให้ยายหนูเป็นลูกของเจษฎ์บดินทร์ ก็เป็นทางที่ปลอดภัยที่สุด มองเผินๆ อาจจะคิดว่าทางนี้ทำให้แกอยู่ใกล้คนพวกนั้น แต่ที่ที่อันตรายที่สุด ก็คือที่ที่ปลอดภัยที่สุดไม่ใช่เหรอ ยายหนูจะได้ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ แล้วก็จะได้มีที่ยืนในสังคมอย่างที่แกควรจะได้รับด้วย”
แน่นอนว่าอินทุอรและจินตนาการพอจะเข้าใจเรื่องนี้ แต่...
“ตัวแน่ใจเหรอว่าตัวจะโอเค”
“ก็อย่างที่บอก ขอแค่ได้อยู่กับยายหนู ได้เห็นแกปลอดภัย ไม่ว่าอะไรเราก็ยอม...”
อินทุอรปล่อยลมหายใจออกมา รู้สึกทั้งเจ็บปวด และเจ็บใจแทนเพื่อนรัก ที่ผลสุดท้ายก็ไม่มีทางเลือก ต้องทำตามเจษฎ์บดินทร์ คนที่ทำร้ายเธออย่างเลือดเย็นคนนั้น!
“โอ๊ย! โมโหๆๆ!”อาการตีอกชกหัวอย่างขัดใจที่แทรกขึ้นมากลางวง ทำให้สองสาวที่นั่งรวมโต๊ะอยู่พลันหัวเราะออกมา
“แบบนี้ก็เข้าทางพี่เจษฎ์น่ะสิ เมื่อก่อนล่ะใจร้ายสารพัด เดี๋ยวนี้มาทำเป็นพูดดี แถมยังได้อย่างที่ต้องการด้วย โอ๊ย เกลียด! จะบอกให้อาปราบเลิกคบคอยดู!”
“ใจเย็นๆ นะอิน...” จินตนาการปรามเสียงกลั้นหัวเราะ กับความเล่นใหญ่ของอินทุอร
“ไม่เย็นหรอก แล้วก็ที่ดีดดิ้นอยู่นี่ก็ทำแทนยิ้มด้วย!” ว่าแล้วก็ถอนใจ
วิยะดาเองก็คงอยากทำแบบเดียวกันเธอ แต่เรื่องที่เจอมันหนักหนาเสียจนแสดงออกไม่ไหว
แน่นอนว่าวิยะดาเข้าใจอินทุอรดี
“ตอนนี้ เรื่องอื่นๆ น่ะไม่เท่าไหร่หรอก เพราะเตรียมใจรับไว้หมดแล้ว ที่กังวลที่สุด ก็คงเป็น...เรื่องของคุณแม่มากกว่า บอกตรงๆ นะ เราไม่รู้ว่าจะพูดยังไงให้คุณแม่เข้าใจ และก็ไม่รู้ด้วยว่า...ท่านจะว่ายังไง”
ว่าแล้วสามสาวก็พลันถอนหายใจออกมาพร้อมกัน
“แล้ว...งานแต่งงานล่ะ” เพราะเท่าที่ฟัง วิยะดาบอกว่ารอนัดจดทะเบียน แต่ไม่พูดถึงเรื่องพิธีการเลย
“คงไม่จัดหรอกอิน แค่นี้คนเขาก็เอาไปลือ ไปซุบซิบนินทากันสนุกปาก จนถึงไหนต่อไหนแล้ว” วิยะดาถอนใจเบาๆ
“แล้วก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะรู้ความจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้น เอาง่ายๆ นะ คนที่รู้ว่าพี่แยมคลอดยายหนู ก็มีแค่ญาติๆ หรือไม่ก็คนที่พอจะรู้จัก หรือสนิทคุ้นเคย หลายๆ คนเข้าใจว่าพี่แยมแท้งไปแล้วก็มี ดังนั้นในตอนนี้ยายหนูก็เหมือนกึ่งๆ คนไม่มีตัวตน แต่เรามองว่ามันคือเรื่องดี นะ อีกหน่อยให้คนส่วนใหญ่รู้และเข้าใจว่าแกเป็นลูกของเรากับเขาน่าจะดีกว่า”
เพื่อนทั้งสองฟังแล้วก็พยักหน้ารับ แต่คิ้วที่ขมวดเข้ากันยังไม่คลายลง
“งั้น...แบบนี้คนเขาจะมองยิ้มยังไง...”
วิยะดานิ่งไปนิด ก่อนจะตอบ...
“ชีวิตคนเราก็แบบนี้ ได้อย่างเสียอย่าง...ลบคำนินทาด้านหนึ่งไปได้ ก็หนีคำนินทาอีกด้านหนึ่งไม่ได้ เพราะความจริงก็คือความจริง พุฒิวิริยะกุลหักหลังและทำร้ายสุรสินทร์ แต่เรากลับแต่งงานกับเจษฎ์บดินทร์ เผลอๆ เขาคงคิดว่าเราแต่งงานเพราะท้องจนมียายหนู ทั้งๆ ที่หมั้นอยู่กับผู้ชายอีกคนหนึ่ง แล้วที่บ้านล้มละลายก็คงเพราะตัวเอง หรือไม่ก็คิดว่าพอกิจการถูกฮุบ ก็รีบกระโดดเกาะเขา ทั้งๆ ที่ทำร้ายบ้านตัวเองแท้ๆ...”
“ยิ้ม...”
จินตนาการถึงกับนิ่งอึ้งไป เอาจริงๆ ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้คิดถึงแง่มุมนี้เลย แต่วิยะดากลับพูดมันออกมาเหมือนรู้แต่แรกแล้ว แต่ก็เลือกที่จะ...
“แล้วตัวจะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้เหรอ” ปล่อยให้คนเข้าใจผิด ปล่อยให้คนตราหน้าว่าเป็นคนไม่ดี
“เป็นแบบนี้แหละดีแล้ว เขาพูดอะไรก็พูดไป อย่างน้อยยายหนูก็จะได้เติบโตขึ้นมาอย่างถูกต้อง มีครอบครัวสมบูรณ์ ส่วนเราไม่เป็นไร เราไม่สนใจว่าใครจะมองยังไง เพราะตอนที่ครอบครัวของเราตกต่ำลง ก็ไม่เห็นมีใครยื่นมือเข้ามาช่วย ไม่มีแม้แต่คำปลอบโยนที่จริงใจ สำหรับเราขอแค่พวกตัว และคนที่เรารักเข้าใจเราก็พอ”
อินทุอรลุกพรวดขึ้นจากโต๊ะ
“ไม่ได้นะ เป็นแบบนี้ก็เท่ากับตัวทำร้ายตัวเองน่ะสิ ไม่ได้นะยิ้ม! เราจะไปพูดกับอาปราบ! ไม่ อาปราบคนเดียวไม่พอ ต้องมีปู่ด้วย เราจะไปบอกปู่ เราไม่ยอมให้ยิ้มแต่งกับพี่เจษฎ์ ถ้าทุกคนต้องมองยิ้มแบบนี้ ก็ไม่สู้แย่งยายหนูมาดีกว่า!” ทว่าทันทีที่อินทุอรจะหุนหันเดินออกไปนั้น ร่างบอบบางในชุดเดรสสีครีมเรียบหรูก็พลันเซล้มลง ด้วยอาการหน้ามืด ก่อนจะเป็นลมหมดสติ
“อิน!” วิยะดาและจินตนาการรีบเข้ามาพยุงเพื่อนรัก พนักงานในร้านเห็นเช่นนั้นก็รีบไปแจ้งรวินท์รัมภาที่ดูแลความเรียบร้อยในครัว และหายาดมมาให้อินทุอร
ไม่ทันที่จะได้โทร. หา หม่อมราชวงศ์หนุ่มก็ปรากฏตัวขึ้นในเวลาต่อมา
จินตนาการและวิยะดาไม่รู้เลยว่านี่คือเหตุบังเอิญ หรือมีใครอื่นโทรไปแจ้งเขา จึงทำให้หม่อมราชวงศ์ปราบดาเดินทางจากอาคารสำนักงานใหญ่ที่อยู่ด้านหลังมาดูอาการ และพาภรรยาสาวที่เริ่มได้สติไปโรงพยาบาลเร็วถึงเพียงนี้
ความคิดเห็น |
---|