10
ชุดนอนไม่ได้นอน
ไม่ใช่แค่นาราหรอกที่เครียด ผีแม่ผัวก็เครียดไม่แพ้กัน!
ปราณีไม่เข้าใจเลยว่าแม่ลูกสะใภ้คนนี้จะหัวแข็งไปไหน สอนอะไรไป กว่าจะยินยอมทำตามได้ก็ยากเย็นเหลือเกิน ทั้งๆ ที่หล่อนบอกไปแล้วว่าที่ยอมย้อนเวลากลับมาอยู่ในแดนมนุษย์นั้น เป็นเพราะต้องการมาช่วยชีวิตของนาราที่จะถึงฆาตในอีกไม่ถึงหนึ่งร้อยวันข้างหน้า
โอเค...ไม่ได้ตั้งใจมาช่วยนาราตั้งแต่แรกหรอก มาช่วยเพราะรู้อนาคตจากการเอาแต้มบุญไปแลกเพื่อดูความเป็นไปของลูกชายกับหมอดูสามภพ ถึงได้เห็นภาพลูกชายจากอ่างน้ำมนต์ของหมอดูสามภพนั้นว่า หลังจากที่นาราตาย ปรานต์ก็จมอยู่กับความโศกเศร้าเสียใจ เอาแต่โทษว่าเป็นความผิดของตนที่เป็นเหตุให้นาราตาย ปราณีไม่ต้องการให้ลูกชายจมอยู่กับความทุกข์อย่างนี้ตลอดชีวิต จึงยอมแลกแต้มบุญกับยมบาลมาช่วยเหลือ
ส่วนหมอดูสามภพ...ก็เป็นหมอดูเหมือนแดนมนุษย์นั่นละ เพียงแต่พอตายมาเป็นวิญญาณ อยู่ในภพภูมิที่อุดมไปด้วยกายละเอียดแล้ว ความแม่นก็ทวีขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว เพราะมีอำนาจอิทธิฤทธิ์ทำให้อ่างหรือขันน้ำมนต์มีภาพปรากฏได้ ไม่ว่าอยากจะรู้อะไร หมอดูเหล่านี้ช่วยได้หมด แต่การทำอย่างนั้นก็ต้องแลกด้วยแต้มบุญเหมือนกัน หมอดูบางตนจึงเก็บค่าดูด้วยแต้มบุญสูงๆ จากลูกดวงมาต่อยอดบุญตัวเอง
เรื่องนี้จะให้อธิบายคงยาว และมันไม่สำคัญสำหรับปราณีด้วย พอแยกจากนารามาได้ หล่อนก็รีบมาที่ ‘แดนพักระหว่างภพ’
จะว่าอย่างไรดีล่ะ มันเป็นดินแดนที่อยู่ในมิติทับซ้อนของแดนมนุษย์ โดยคั่นกลางอยู่ระหว่างแดนสวรรค์และนรก เรียกได้ว่าวิญญาณทุกดวงที่สิ้นอายุขัย หากยังไม่ถึงเวลาไปเกิดก็จะมาอยู่กันที่แดนพักระหว่างภพนี้เพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันเมื่อว่างจากการชดใช้กรรมในนรก หรือเบื่อกับการนอนเอกเขนกเสพสุขอยู่บนสวรรค์ อารมณ์เหมือนเมืองขนาดย่อมอีกเมืองหนึ่ง
ส่วนเรื่องการชดใช้กรรมในนรก มันไม่ใช่การถูกลงทัณฑ์ทรมานตามกรรมที่ได้กระทำมาหรอกนะ เป็นการชดใช้กรรมด้วยการใช้แรงงาน ใครทำกรรมไว้มาก ก็จะต้องใช้กรรมในนรกมาก ยิ่งลงไปขุมที่ลึก งานยิ่งหนัก ไม่มีเวลาได้พักผ่อนหรือมาเที่ยวเล่นผ่อนคลายที่แดนพักระหว่างภพ สำหรับปราณีก็ต้องชดใช้กรรมในนรกเหมือนกัน แต่กรรมของเธอไม่ได้หนักหนา จึงพอมีเวลาปลีกตัวมาใช้แต้มบุญสุรุ่ยสุร่ายอยู่บ้าง เวลาของปราณีนั้นนอกจากเรื่องของลูกชายกับลูกสะใภ้แล้ว มักหมดไปกับการเล่นไพ่
ใช่...ในแดนพักระหว่างภพก็มีบ่อน บอกแล้วว่าแดนมนุษย์มีอะไร ที่นี่มีทั้งหมดเหมือนกัน ตอนมีชีวิตอยู่ ปราณีไม่สนใจการพนัน แต่เมื่อตายไปแล้ว หล่อนเหงา ไม่เจอคนรู้จักที่ไหน การหาเพื่อนเอาไว้คลายเหงาจึงต้องเข้ามาหาในบ่อนพวกนี้ที่เดิมพันกันด้วยแต้มบุญ
ถามว่าบ่อนนี้ผิดกฎหมายในอีกภพภูมิหรือไม่
ต้องเรียกว่าผิดศีล เพราะทำให้ดวงวิญญาณลุ่มหลงมัวเมาได้ การเล่นพนันที่นี่ไม่ทำให้ต้องไปใช้กรรมในนรกเพิ่มหรอก แต่มันทำให้แต้มบุญหมดเร็ว
กระนั้นปราณีก็หาได้ใส่ใจมากนักไม่ หล่อนรู้ลิมิตของตัวเอง เล่นพอหอมปากหอมคอ พอให้คลายเบื่อจาก ‘หน้าที่’ เท่านั้น แต่ว่า...
“กินรวบวงโว้ย!”
เสียงของหญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่เบื้องหน้าร้องขึ้น ผู้หญิงคนนี้เป็นดวงวิญญาณของแม่ค้าปากตลาดคนหนึ่งที่เสียชีวิตจากการถูกรถชนแผงขายของ ปราณีเหลือบมองแต้มไพ่ในมือตัวเอง ก่อนชำเลืองไปมองหน้าไพ่ของคนตรงหน้า หล่อนเสียอีกแล้ว พลันวางไพ่ลงด้วยความเหนื่อยหน่าย
“มาๆ จ่ายแต้มบุญมาซะดีๆ ตานี้ข้ากิน!”
คนชนะยื่นเครื่องบางอย่างออกมาข้างหน้า ลักษณะมันเหมือนเครื่องรูดบัตรเครดิตตามร้านค้า ขณะที่ผู้ร่วมวงไพ่คนอื่นๆ หยิบเอาบัตรที่เรียกว่าบัตรแต้มบุญออกมารูดกับเครื่องนั้นแล้วกดหมายเลข ปราณีก็เช่นกัน หล่อนกดจำนวนเงินที่ต้องเสียให้แก่ไพ่ตานี้ไป ก่อนจะดึงบัตรแต้มบุญกลับมาใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อเหมือนเดิม
“แหม กินรัวๆ เลยนะคะคุณนาย รวยใหญ่”
พอทุกคนรูดบัตรแต้มบุญเสร็จ ผู้ชนะก็ถูกกระแหนะแหน คนที่พูดนั้นเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่เป็นแม่บ้านเหมือนกับปราณี แต่เป็นคนชอบนินทา ว่างเมื่อไรเป็นต้องไปจับกลุ่มนินทาคนละแวกหมู่บ้านกับเพื่อนบ้าน มีครั้งหนึ่งไปพูดไม่เข้าหูคนที่เจ้าหล่อนนินทา ทำให้หล่อนถูกฆ่าด้วยการยิงระยะเผาขนตายคาที่ ส่วนแม่ค้าคนนั้นไม่ยี่หระ เชิดหน้าชูคอเยาะเย้ย
“ก็ดวงข้ามันขาขึ้น จะกินรัวๆ ก็ไม่แปลก”
“จ้า แต่เธอกินรัวๆ จริงๆ นะ ดูสิ หน้าคุณปราณีบอกบุญไม่รับเลย”
ใครอีกคนในวงพูดพลางบุ้ยใบ้ปากมาที่คนข้างกาย คนนี้เป็นนักธุรกิจหญิงที่มีกิจการเป็นของตัวเองอยู่หลายอย่าง ชีวิตดี หรูหรา สะดวกสบาย แต่ตายโดยไม่ทันได้ใช้เงิน เพราะบ้าทำงานหนักเกินไปจนเส้นเลือดในสมองแตก
ปราณีรู้สึกตัวเมื่อเห็นสายตาของทุกคนในวงไพ่มองมา พลันยกมือขึ้นโบกในอากาศ
“หน้าบอกบุญไม่รับไม่ใช่เพราะเรื่องไพ่สักหน่อย”
พูดไปอย่างนี้ ทุกคนพลันทำหน้าเหมือนรู้กันว่าหล่อนเบื่อหน่ายเรื่องอะไรทันที
“ไม่พ้นเรื่องลูกสะใภ้อีกละสิคุณปราณี”
แม่ค้าปากไวร้องแซว เรื่องของนารานั้นถูกเล่าให้พวกหล่อนฟังตั้งแต่ที่ปราณีมาเข้ากลุ่มแรกๆ แล้ว เล่าชนิดละเอียดยิบจนทุกคนรู้กันทุกซอกทุกมุม ยิ่งตอนนี้ปราณีขึ้นไปเป็นไลฟ์โคชให้ลูกสะใภ้ด้วย หล่อนยิ่งมีเรื่องมาเล่าให้เพื่อนฝูงผีฟังเป็นการใหญ่ ส่วนปราณีถอนหายใจยาวแล้วพยักหน้า
“แม่คนนั้นน่ะ หัวดื้อ สอนอะไรก็ไม่รู้จักฟัง ฉันอุตส่าห์ช่วยเต็มที่แล้วก็ไม่ยอมทำตาม ไม่รู้ว่าอยากตายหรือไง รั้นนัก”
“รั้นยังไงเหรอคะ”
คุณนายผีถามขึ้น ขณะที่คนอื่นๆ รอฟัง
“อย่างวันนี้ แม่เจ้าประคุณรุนช่องรู้ว่าลูกชายฉันอุ้มไปไว้ในห้องนอนเพราะเมื่อคืนหลับที่โซฟา ตื่นขึ้นมาได้แทนที่จะไปขอบคุณลูกชายฉัน ดันไปโวยวายใส่ว่าไม่ชอบให้แตะเนื้อต้องตัวซะนี่ ฉันล่ะไม่เข้าใจแม่คนนี้นัก จะหวงเนื้อหวงตัวไปทำไม ยังไงก็ผัวเมียกัน”
บ่นทีบ่นยาว ทำเอาคนอื่นๆ มองหน้ากัน
“ช่วยไม่ได้นี่นา หนูลูกสะใภ้ของคุณปราณีไม่ได้รักลูกชายคุณซะหน่อย จะรั้นก็ไม่แปลก”
“แต่ฉันกำลังช่วยแม่คนนี้อยู่นะคะ เจ้าตัวเองก็รู้ แต่พูดไม่รู้เรื่อง สอนยากสอนเย็น”
“ตอนมีชีวิตอยู่ คุณปราณีก็ไม่ได้ดีกับเธอนี่ ต่อให้เป็นผีก็ดีกันยากนะ”
แม่บ้านขี้นินทาให้ความเห็นตามมา ปราณีพ่นลมหายใจอีกระลอก
“อย่างน้อยก็ให้ความร่วมมือง่ายๆ หน่อย จะได้รักตาปรานต์ ตัวเองจะได้ไม่ตาย”
“โอ๊ย! ไม่ได้รักกันแต่แรก จู่ๆ จะให้รักเพราะผีแม่ผัวมาบังคับขู่เข็ญ มันยากนะคุณปราณี แถมตอนมีชีวิตอยู่ คุณปราณีก็ร้ายกับลูกสะใภ้ซะขนาดนั้น คุณก็ต้องพยายามหน่อยละ ไม่ใช่ให้ลูกสะใภ้พยายามอยู่ฝ่ายเดียว”
ถึงคราวแม่ค้าปากตลาดส่งเสียงร้องบ้าง ปราณีมองใบหน้าอวบอ้วนของคนพูดเขม็ง
“แล้วฉันไม่พยายามตรงไหนคะ ทั้งเอาแต้มบุญตัวเองไปแลกชีวิตให้ ทั้งขึ้นไปคอยดูแล”
“พยายามที่ว่าไม่ได้หมายถึงพยายามให้ลูกสะใภ้รักลูกชายตัวเอง แต่หมายถึงพยายามเข้าใจความรู้สึกของลูกสะใภ้ด้วย คุณปราณีไม่เคยคิดเหรอว่าแม่ลูกสะใภ้ตัวดีแต่งงานกับลูกชายคุณเพราะอะไร”
ปราณีนิ่งไปเล็กน้อย
นั่นสิ...หล่อนแทบไม่เคยคิดเลยว่านาราแต่งงานกับปรานต์ก็เพราะ...ไม่อยากให้พ่อตัวเองเป็นห่วง
ลูกที่มีเพียงพ่อเป็นสมาชิกครอบครัวคนเดียวอย่างนั้น ไม่คิดอะไรนอกเหนือไปจากความรู้สึกของพ่อหรอก
“แล้วจู่ๆ คุณปราณีมาบังคับให้แม่หนูนั่นรักลูกชายตัวเองอย่างนั้น ใครมันจะไปรักลง”
“ใช่ค่ะ ถึงจะรู้ว่าเพื่อช่วยชีวิตตัวเองก็เถอะ”
“เรื่องของหัวใจ ใครก็บังคับใครไม่ได้เนอะ ดูอย่างพวกเราๆ สิ แต่งงานมีผัวก็เพราะความรักทั้งนั้น”
ทั้งสามพากันเออออห่อหมกร่วมกันไปหมด ปราณีเหลือบมองแล้วพ่นลมหายใจเต็มแรง
กะว่าจะมาคลายเครียด จะเล่นไพ่พร้อมบ่นลูกสะใภ้ให้หนำใจเสียหน่อย กลายเป็นว่าหล่อนเป็นคนถูกบ่น งั้นพอละ! หมดอารมณ์จะเล่นไพ่แล้ว!
คิดแล้วก็ลุกพรวดจากเก้าอี้ ทำเอาถูกถามทันใด
“เอ้า คุณปราณี จะไปไหนเหรอคะ”
“ไปหาแม่ลูกสะใภ้ค่ะ หาขามาแทนทีนะคะ”
สิ้นเสียงก็หายวับไปเลย ทิ้งให้อีกสามดวงวิญญาณที่เหลือมองหน้าอย่างรู้กันว่าปราณีคงหงุดหงิดที่ไม่ถูกเพื่อนๆ ผีเข้าข้าง
ทำไงได้ พวกหล่อนพูดความจริงนี่นา ปราณีต้องรู้จักพยายามทำความเข้าใจนาราบ้าง ไม่ใช่เอาแต่บังคับ สำแดงความเป็นแม่ผัวออกมาตลอดอย่างนั้น เพราะแม่ผัวกับลูกสะใภ้นั้น อันที่จริงก็นับเป็นครอบครัวเดียวกัน
แต่สำหรับปราณีกับนาราแล้ว...คำว่า ‘ครอบครัวเดียวกัน’ คงจะเอ่ยยากละ
หลังจากที่ฟาดงวงฟาดงาไปแล้วในตอนเช้า นาราก็หลับดิ่งยาวจนเข้าบ่าย รู้สึกตัวอีกทีก็เลยเวลาข้าวเที่ยงไปแล้ว เธอจึงตัดสินใจไม่ลุกไปทำอะไรเพื่อเอาไปให้ปรานต์กินอย่างทุกวัน ตอนนี้ปราณีไม่อยู่ด้วย ขอเธอนอนต่ออีกสักหน่อยแล้วกัน กว่าจะได้พักแบบสงบๆ อย่างนี้ เอาแทบแย่มาตั้งหลายวัน
แต่เมื่อเธอตั้งท่าจะนอนอีกครั้ง พลันต้องสะดุ้งเมื่อจู่ๆ ที่นอนข้างตัวก็ยวบเหมือนมีคนนั่ง นาราดันตัวลุกขึ้น ก่อนจะอุทานออกมาด้วยความตกใจเมื่อเห็นร่างโปร่งแสงของปราณีปรากฏแบบไม่ทันได้ตั้งตัว
“อุ๊ย! คุณป้า!”
ปราณีเหลือบมอง สายตาตำหนิเป็นเชิงว่าให้หญิงสาวเลิกตกใจเวลาเห็นหล่อนสักที ทว่าก็แวบเดียวเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นหล่อนก็สะบัดมือข้างหนึ่ง ก่อนจะมีวัตถุรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าปรากฏให้เห็น นารามองแล้วย่นคิ้ว
มันดูเหมือน...
“แท็บเล็ตเหรอคะ”
เหมือนอย่างกับแกะเลย เธอมั่นใจว่าไม่ได้ตาฝาด แท็บเล็ตแน่ๆ
ทว่าปราณีกลับไม่ตอบ เพราะรู้ว่าถ้าเล่าให้ฟังว่าหล่อนเอาแท็บเล็ตมาจากไหน นาราจะต้องถามซักไซ้ลึกเข้าไปอีก หล่อนยังไม่อยู่ในอารมณ์จะเล่าอะไรให้ใครฟัง ตอนนี้หงุดหงิดมากกว่า
หงุดหงิดแล้วก็ใช้ปลายนิ้วจิ้มแป้นพิมพ์ดังจึ้กๆๆ มาให้นาราได้ยิน หญิงสาวขมวดคิ้วมากกว่าเดิม ส่วนปราณีก็พิมพ์ตัวอักษร
คอยดูแล้วกันว่าฉันจะได้อุ้มหลานไหม!
พิมพ์เสร็จ กดโพสต์ จากนั้นจึงเก็บแท็บเล็ตเข้าไปที่หน้าอก นาราเบิกตาโพลงเมื่อเห็นแท็บเล็ตเครื่องเขื่องหายเข้าไปในหน้าอกของแม่สามี ก่อนปราณีจะหันมามอง
‘เลิกตกใจได้ละ ไม่เคยเห็นฉันเล่นแท็บเล็ตหรือไง’
ไม่ใช่ว่าไม่เคย...เคยสิ ตอนปราณียังมีชีวิตอยู่เห็นอีกฝ่ายเล่นออกจะบ่อย แต่...ไม่คิดว่าตอนตายไปแล้วก็ยังเล่นได้
“หนูแค่...เอ่อ...งงๆ”
นาราบอกไปตามตรง ปราณีกลอกตา
สงสัยถ้าไม่บอก นาราคงไม่หยุดมองหล่อนด้วยสายตามีคำถามอย่างนี้แน่
‘เธออยากรู้อะไร’
“หนูอยากรู้ว่าคุณป้าเอาแท็บเล็ตมาจากไหนคะ”
เปิดโอกาสให้ถามปุ๊บ นาราก็กลายเป็นเจ้าหนูจำไมปั๊บ ปราณีพ่นลมหายใจออกมาคำรบหนึ่งก่อนจะเริ่มเล่า
‘ซื้อมาจากอาแปะย่านเยาวราชผี’
“เยา...เยาวราชผี?”
‘ย่านคนจีนในเมืองผีไง เข้าใจอะไรยาก’
เยาวราช...นารารู้อยู่หรอกว่ามันคือย่านคนจีน แต่ไม่คิดว่าเมืองผีก็จะมีเหมือนกันนี่
“แล้วคุณป้าไปซื้อจากย่านนั้นได้ยังไงคะ” ขอถามอีกคำถาม อยากรู้จริงๆ
ปราณีนิ่งไปนิด จากนั้นจึงค่อยๆ เปิดปาก
‘พวกคนจีนจะมีลูกหลานเผากระดาษที่เรียกว่ากงเต๊กอะไรนั่นไปให้ มันก็มีเผาบ้าน เผาโทรศัพท์ โน้ตบุ๊ก แท็บเล็ต อะไรต่อมิอะไรไปด้วย พอพวกนั้นได้รับจากลูกหลานมาเยอะเกินความจำเป็น ก็เอามาเปิดร้านขาย ฉันก็ไปซื้อมา เอาไว้เล่นเกม คุยกับเพื่อน’
นาราร้องอ๋อเบาๆ เรื่องที่ได้ยินมันน่าเหลือเชื่อเหลือเกิน แต่ถ้าเป็นอย่างที่ปราณีบอก เธอก็พอจะนึกภาพได้ ก่อนเธอจะสงสัยขึ้นมาอีกเรื่อง
“งั้นที่คุณป้าบอกว่าคุยกับเพื่อน คุณป้าเล่น...เอ่อ...หนูหมายถึงพวกเว็บโซเชียลต่างๆ อะไรแบบนั้นน่ะค่ะ คุณป้าเล่นด้วยใช่ไหมคะ”
‘เมืองผีก็มีเฟซบุ๊กเหมือนกัน’
ได้ยินแล้ว นาราก็ทำตาโต อยากรู้อยากเห็นมากกว่าเดิม
“หน้าตามันเป็นยังไงเหรอคะ”
ดูจากท่าทางของหญิงสาวแล้ว ถ้าปราณียังตอบไม่เลิก มีหวังนาราคงถามไม่เลิกเหมือนกันแน่ แต่อย่างที่บอก ปราณีไม่อยู่ในอารมณ์จะตอบคำถามอะไร พลันเหลือบไปมองนาฬิกา พอเห็นว่าคล้อยบ่ายแล้วก็อดถามนาราไม่ได้
‘นี่เธอได้ทำข้าวเที่ยงไปให้ตาปรานต์หรือเปล่า’
จู่ๆ ถูกถามไม่ทันตั้งตัว นาราก็ชะงักไปนิด พลันส่ายหน้า
แหงละ บ่ายแล้วยังนอนแบ็บอยู่บนเตียงอยู่เลย จะเอาเวลาไหนไปหาปรานต์กัน
‘ทำไมไม่ไป’
และมันก็สร้างความไม่พอใจให้ปราณีเป็นอย่างมาก หล่อนบอกแล้วไงว่าให้พยายามทำทุกอย่างให้ปรานต์ไม่ขอหย่า ไม่อย่างนั้นละก็ ถึงเวลาเมื่อไร นาราตายแน่
นาราที่ถูกถามมาอีกระลอกทำหน้าบูดอย่างลืมตัว “ก็หนูขี้เกียจ”
‘จะมาขี้เกียจไม่ได้นะ ไป ลุกเลย ไปหาตาปรานต์เดี๋ยวนี้’
นาราทำอิดออด ผีแม่ผัวเลยต้องขู่
‘ไม่ไปใช่ไหม ได้!’
ทีนี้นาราถึงกับรีบร้องปราม “ถ้าจะมาทำหน้าบวมอืดใส่ให้หนูกลัวอีก ขอบอกเลยนะคะว่าเสียเวลาเปล่า หนูชินแล้วค่ะ ไม่กลัวหรอก”
ปราณีถึงกับชะงัก หน็อย...แม่คนนี้ มาเบรกหล่อนเสียได้ หล่อนเกือบจะทำหน้าบวมอืดหลอกอยู่แล้ว แต่คิดไปคิดมามันก็มุกเดิมๆ โดนหลอกด้วยวิธีเดิมๆ บ่อยๆ ซ้ำๆ นาราจะเริ่มชินก็ไม่แปลก แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ ที่สำคัญกว่านั้นคือปราณีเสียหน้า!
“งั้นหนูขอนอนต่อแล้วนะคะ อย่ารบกวน”
มีหน้ามาบอกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก ปราณีถึงกับต้องเดินฝ่าเตียงไปหยุดอยู่ที่กลางหน้าท้องของหญิงสาว
ใช่...ใช้ร่างโปร่งแสงมายืนหัวโด่อยู่กลางลำตัวของลูกสะใภ้ตัวดีนั่นละ นาราที่ว่าจะนอนๆ พอเห็นผีแม่ผัวทำอย่างนี้ก็โวยวายลั่น
“คุณป้า! อย่าทำแบบนี้สิคะ มันน่ากลัว!”
‘ก็ฉันต้องการให้หล่อนกลัวนั่นแหละ ไม่อยากให้กลัวจะทำทำไมยะ’
ปราณีตอกกลับไม่ไว้หน้า ตบท้ายด้วยการถาม
‘ตกลงเธอจะไม่ไปหาตาปรานต์ใช่ไหม’
นาราพอสัมผัสได้จากน้ำเสียงว่าถ้าไม่ตอบตกลง คน...ไม่สิ ผีตรงหน้าต้องทำอะไรบางอย่างตามมาแน่ๆ กระนั้นเธอก็ตอบ...
“ไม่ไปค่ะ บอกแล้วว่าง่วงๆ จะนอน”
‘ดี! งั้นถ้าต้องเห็นฉันเป็นแบบนี้ เธอจะยอมทำตามคำสั่งไหม ฉันอยากจะรู้’
พูดจบ มือทั้งสองของปราณีก็ยกขึ้นมาแตะหน้าอก ปลายเล็บค่อยๆ งอกออกมาจนแหลมคม ก่อนที่นาราจะมองอย่างหวาดๆ
“คุณป้าจะทำ...กรี๊ดดด!”
พูดไม่ทันจบ ปลายเล็บนั้นก็เจาะเข้าไปในผิวหนัง ก่อนปราณีจะแหวกเนื้อจากกัน อวัยวะภายในสีแดงสดและกระดูกซี่โครงปรากฏให้เห็น นาราแทบเป็นลมชักตาตั้ง ขณะที่ปราณีถามเสียงเขียว
‘เห็นแบบนี้แล้ว เธอจะเลือกผีหรือเลือกผัว!’
นาราสติแตก ตอบไม่ได้ เอาแต่ร้องโวยวาย
“อย่าทำแบบนี้นะคะคุณป้า! หนูกลัวแล้ว!”
‘กลัวก็ตอบคำถามมาสิยะว่าตกลงจะเลือกผีหรือเลือกผัว!’
“นะ...หนู...”
‘เร็ว! อย่าคิดช้า จะเอาผีหรือผัว! ไม่งั้นเธอได้เห็นลำไส้เล็กลำไส้ใหญ่ของฉันแน่!’
ณ วินาทีนี้ไม่เลือกไม่ได้แล้ว นาราหลับหูหลับตาให้คำตอบไปเร็วๆ
“ผะ...ผัวค่ะ”
‘ชัดๆ! ดังๆ!’
“ผัวค่ะ! ผัว! หนูเลือกผัว!”
ปราณีเชิดใบหน้าขึ้น ยิ้มกระหยิ่มออกมา
‘แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง’
พลันร่างกายที่ถูกแหวกให้เห็นเครื่องในเมื่อครู่นี้ก็กลับมาเป็นปกติ นาราค่อยๆ ลืมตาทีละข้าง มองร่างโปร่งแสงของผีแม่สามีถอยหลังไปทรุดตัวลงนั่งบนปลายเตียงอย่างอกสั่นขวัญแขวน แต่ครู่เดียวเท่านั้น ความสงสัยก็เข้ามาแทนที่เมื่อจู่ๆ ปราณีสะบัดมือทีหนึ่ง แล้วแท็บเล็ตโผล่ขึ้นมาในมือ
ด้วยความอยากรู้ว่าปราณีทำอะไรจึงชะโงกหน้าเข้าไปดูใกล้ๆ เห็นปลายนิ้วของปราณีกำลังเขี่ยๆ หน้าจอ บนหน้าจอนั้นมีเว็บบางอย่างที่ดูคุ้นหน้าคุ้นตาเธอเหลือเกิน แต่มันเน้นโทนสีขาวดำ ก่อนที่ปราณีจะเริ่มพิมพ์อะไรบางอย่างลงไป
“คุณป้าทำอะไรคะ”
‘เล่นเดธบุ๊ก’
“อะ...อะไรนะคะ”
เหมือนฟังผิดไป เมื่อกี้เธอได้ยินปราณีพูดว่าอย่างไรนะ
‘เดธบุ๊กไง เดธบุ๊กน่ะ เหมือนเฟซบุ๊กที่ฉันเคยบอก เธอจะสงสัยอะไรหนักหนา มาชะโงกมองแบบนี้เสียมารยาท’
โดนดุไปอีกหนึ่งดอก นาราทำหน้าไม่ถูกเลย อะไรไม่ว่า ปราณีทำให้เธอต้องขมวดคิ้วมุ่นมากกว่าเดิมเมื่ออีกฝ่ายพึมพำประโยคที่กำลังพิมพ์ลงไปในหน้าแท็บเล็ตออกมา
‘นังลูกสะใภ้ตัวดี พูดอะไรสอนอะไรไม่เคยฟัง ต้องให้แหวกอกให้เห็นถึงจะฟัง รู้ฤทธิ์แม่ผัวอย่างฉัน...น้อย...เกิน...ไป...’
เน้นท้ายประโยคด้วย ปราณีกดโพสต์ข้อความนั้นด้วยความสะใจ หัวเราะคิกคักด้วยเมื่อเพื่อนๆ ผีมาคอมเมนต์กันอย่างสนุกสนาน ก่อนชำเลืองมามองนาราที่ยืนจับจ้องหล่อนอยู่
‘เอ้า มัวมองอะไรอยู่อีก เลือกผัวก็ไปหาผัวสิ มายืนดูผีทำไมเดี๋ยวก็โดนอีกหรอก’
แล้วนาราจะอยู่เรอะ! รีบจรลีออกจากบ้าน หนีผีไปหาผัวด้วยความไวแสงทันที โดยมีปราณีบ่นอุบไล่หลัง
‘แม่คนนี้ ต้องให้พูดปากเปียกปากแฉะถึงจะทำ น่าเหนื่อยใจจริ๊ง!’
แสงตะวันทำให้นารารู้ว่าเธอถูกผีหลอกกลางวันแสกๆ ตอนนี้กลายเป็นว่าบ้านไม่ปลอดภัยสำหรับเธออีกต่อไปถ้าปรานต์ไม่อยู่ด้วย เธอรีบกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปหาสามีที่ศาลาพักผ่อนทันที ขณะที่ปรานต์ซึ่งเพิ่งกลับจากการคุมคนงานรีดนมวัวบังเอิญเห็นเธอพอดี
“นั่น...คุณนาราหรือเปล่าครับคุณปรานต์”
ไม่ใช่เขาเห็นในทีแรกหรอก เป็นหม่องที่เห็น ปรานต์จึงมองตามไปยังทิศทางนั้น พลันขมวดคิ้วเมื่อเห็นหญิงสาวเดินฝ่าความร้อนมาหาเขา ทำให้เขาต้องรีบเดินไปหา
“คุณ!”
เขาร้องเรียก นาราที่เพิ่งเดินมาถึงศาลาพักหันไปมอง พอเห็นว่าเป็นใคร เธอก็หยุดยืนนิ่ง หายใจหอบน้อยๆ
“ทำไมมาที่นี่ล่ะ หมวกก็ไม่ใส่มา ไม่ร้อนเหรอ”
เขาเป็นห่วงเธอมากกว่า รู้ว่านาราเป็นผู้หญิงรักสวยรักงาม จู่ๆ มาเดินตากแดดให้หน้ากร้านเล่น แบบนี้มันแปลกๆ
แต่จะให้นาราบอกว่าที่รีบร้อนมาหาเขาเป็นเพราะถูกผีแม่ของเขาสั่งให้มาก็ไม่ได้ นาราจึงได้แต่เบี่ยงเบนความสนใจไปเรื่องอื่น
“ฉันนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้มาส่งเสบียงให้คุณน่ะค่ะ”
“เสบียง?”
“มื้อกลางวันไง คุณกินอะไรไปหรือยังคะ”
ปรานต์ส่ายหน้า เขากำลังจะมากินนี่แหละ แต่เขาเห็นเธอเสียก่อนถึงได้เข้ามาทัก
“ฉันเอาเสบียงมาส่งค่ะ”
นาราพูดไปไม่ทันคิด ขณะที่คนฟังปราดมองไปยังมือทั้งสองข้างของเธอที่ไม่ได้หอบหิ้วอะไรมา พลันถาม
“แล้วไหนล่ะครับเสบียงที่คุณว่า”
ตอนนี้เองที่หญิงสาวตระหนักได้ว่าออกจากบ้านมาแต่ตัว เธอยกมือขึ้นเกาแกรกที่ต้นคอเบาๆ เอ่ยไหลไปเรื่อย
“คือ...ฉันน่าจะลืมหยิบออกมาน่ะค่ะ คุณมีวัตถุดิบหรือเครื่องครัวอะไรตรงนี้ไหมคะ เดี๋ยวฉันทำให้เดี๋ยวนี้เลย”
ให้เธอกลับไปที่บ้านอีกรอบ เธอไม่เอาหรอกถ้าปรานต์ไม่ได้ไปด้วย
ส่วนปรานต์ก็หัวเราะ “ไอ้มีมันก็มีอยู่แหละครับ แต่ไม่ต้องทำหรอก ให้หม่องทำแล้วกัน จะได้ไวๆ คุณเองก็มากินด้วยกันสิ กินข้าวมาหรือยัง”
เขาไม่ได้หวังให้หญิงสาวตอบรับหรอก นาราเป็นพวกรักสันโดษ ยิ่งไม่ได้รักไม่ได้ชอบเขาอยู่แล้ว เธอคงไม่ตอบรับ แล้วกลับไปนอนขลุกเก็บตัวอยู่คนเดียวที่บ้านเหมือนเดิม ทว่า...ครั้งนี้เขาคาดการณ์ผิดไป
“เอาสิคะ ฉันกินด้วย”
ชายหนุ่มถึงกับเลิกคิ้วสูง “กินข้าวกลางวันกับผมแน่นะ?”
“แน่ซะยิ่งกว่าแช่แป้ง อย่ามายืนคุยกันตรงนี้เลยค่ะ ร้อน”
สิ้นเสียง เรียวขายาวก็ก้าวฉับๆ ขึ้นศาลาไปในทันใด ปรานต์มองตาม เห็นท่าทางแปลกๆ ก็นึกสงสัยอยู่ว่าเธอเป็นอะไร แต่ไม่อยากคิดอะไรมาก เห็นเธอญาติดีกับเขา แค่นี้ก็พอแล้ว
“กินข้าวเสร็จแล้วกลับไปรอผมที่บ้านนะ เดี๋ยวจะไปส่ง ไว้ผมเลิกงานแล้วไปเดินเล่นตลาดกัน”
ปรานต์ว่าขณะรอให้หม่องทำกับข้าวสำหรับมื้อกลางวันให้ นาราเหลือบมอง ไม่ได้พยักหน้าตอบรับในแวบแรก เกือบลืมตัวทำท่าเหินห่างกับเขาอีกแล้ว พอตระหนักขึ้นมาได้ และภาพแหวกอกของปราณีปรากฏพรายเข้ามาในหัว เธอก็รีบตอบรับทันใด
“ค่ะ ฉันจะรอ”
แปลก...แปลกมาก ดูว่าง่ายพิลึก
ปรานต์คิดในใจ ทว่าเขาไม่ได้ไปสะกิดอะไร นอกจากรอกินข้าวกลางวันพร้อมกับภรรยา และรอรับมือกับน้ำมนต์ที่จะโผล่หน้ามาหาในอีกไม่นานหลังจากนี้อย่างเช่นทุกที โดยไม่รู้เลยว่าภายใต้สีหน้าเรียบนิ่งของภรรยาสาว เธอกำลังคิดครุ่นอะไรบางอย่างอยู่
ฉันไม่มีทางถูกผีแม่ผัวแหวกอกหลอกอีกแน่ ไม่มีทาง!
จากนั้นขนแขนก็พลันลุกขึ้นซู่จนเธอต้องสะบัดใบหน้าหลายๆ ครั้ง เพื่อไล่ภาพอันน่าสยดสยองของปราณีออกไป
กลายเป็นภาพติดตาเลย ให้ตายเถอะ!
เสร็จสิ้นจากมื้อกลางวัน เรื่องประหลาดอีกอย่างก็บังเกิด ปรานต์ที่คาดเดาว่านาราคงจะกลับไปรออยู่ที่บ้านในห้องแอร์เย็นๆ กลับนั่งหัวโด่อยู่ในศาลาที่เดิมกระทั่งเขาเสร็จงาน การนั่งเอาพัดโบกให้เกิดลมเบาๆ ใส่หน้าและคอยซับเม็ดเหงื่อที่ผุดซึมตามแนวไรผมอยู่หลายชั่วโมงมันผิดวิสัยของหญิงสาวไปมาก เขาชักเป็นห่วงจนต้องเดินเข้าไปถามเป็นระยะว่าเป็นอะไรไหม รวมถึงเสนอทางเลือกให้เพราะเห็นเธอดูไม่สบายตัวเท่าไร
“อยากกลับไปที่บ้านก่อนไหม ไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่อะไรแบบนี้ แล้วเดี๋ยวผมเลิกงานจะเข้าไปรับ”
อย่างที่บอกว่านาราเป็นคนรักสวยรักงาม มานั่งตัวเปียกอาบเหงื่อต่างน้ำมันทำให้เธอมีสีหน้าหงุดหงิด
แต่เธอมีสีหน้าหงุดหงิดยิ่งกว่าเมื่อได้ยินคำพูดของเขา
“ไม่กลับค่ะ ฉันจะรอไปตลาดเลย ไว้กลับพร้อมคุณ”
“แต่ยังไงผมก็ต้องแวะบ้านก่อนอยู่ดี คุณไม่ไปรอที่บ้านแน่นะ ถ้าเปลี่ยนใจจะไป ผมจะได้ขี่มอ’ไซค์ไปส่ง”
ถามมากๆ เข้า นาราก็ชักรำคาญ “บอกว่าไม่ไปก็ไม่ไปไงคะ ไม่ได้ยินเหรอว่าฉันบอกจะกลับบ้านพร้อมคุณ จะเซ้าซี้อะไรนักหนา”
ปลายประโยคพูดเสียงแผ่ว ไม่อยากให้ปรานต์ได้ยินเท่าไร เข้าใจที่เขาเป็นห่วงเลยไม่อยากทำให้เสียน้ำใจ ทว่าก็อดพูดไม่ได้
หงุดหงิดแม่ก็ต้องมาลงที่ลูกนั่นละ!
“โอเค งั้นผมไม่เซ้าซี้แล้ว เอาเป็นว่าคุณรออยู่ตรงนี้ก่อนแล้วกัน ผมเลิกงานแล้วจะมาหา”
ถึงหญิงสาวจะไม่อยากให้เขาได้ยิน ปรานต์ก็ได้ยินเต็มสองรูหู
เขาไม่ถือสานาราหรอก รู้ดีว่าเธอเป็นคนขี้หงุดหงิดอย่างนี้ เอาเป็นว่าทำตามความต้องการของเธอแล้วกัน
หมดธุระก็กลับไปคุมคนงานทำสวนทำไร่ต่อ ปล่อยให้นาราเดินๆ นั่งๆ กระสับกระส่ายไปมาเพราะความร้อนระอุของอากาศและแสงอาทิตย์ ตกเย็นนั่นละ ความกระสับกระส่ายถึงได้บรรเทาลง ตอนนั้นเองที่เธอได้เห็นปรานต์อีกครั้ง
“ปะ เรียบร้อยแล้ว ไปกันเถอะ เดี๋ยวตลาดวาย ผมตั้งใจจะเลิกงานเร็วๆ แล้วนะ แต่มันมีออร์เดอร์สั่งปลูกจากลูกค้ามา ต้องรีบทำให้เสร็จ ไม่งั้นมันจะไม่ทันกำหนดการ”
ปลูกอะไรก็ช่าง นาราไม่สนใจหรอก เขามาก็ดีแล้ว เธอเบื่อจะแย่
“งั้นรออะไรอยู่ล่ะคะ รีบไปกันเถอะ”
ไปตลาดให้เสร็จๆ แล้วจะได้กลับบ้าน อาบน้ำทาแป้ง นอนบนเตียงนุ่มๆ ในห้องแอร์ เธอทนร้อนตัวเหนียวเหนอะหนะมาทั้งวันแล้ว อยากให้มันจบลงเสียที
ปรานต์บอกกับเธอสั้นๆ ว่าให้รอครู่หนึ่ง ก่อนกลับมาพร้อมกับมอเตอร์ไซค์ออโต้คันเก่ง เรียกให้เธอซ้อนท้าย ตั้งท่าจะไปตลาด
นาราไม่ได้อยากไปอะไรขนาดนั้น ที่ที่เธออยากไปที่สุดในตอนนี้คือห้องน้ำ อยากอาบน้ำจะแย่อยู่แล้ว แต่จะให้กลับไปบ้านคนเดียวแล้วต้องเจอปราณี เธอก็ไม่เอา อีกอย่าง ถ้าผีแม่สามีนั่นรู้ว่าเธอไม่ได้ไปตลาดกับลูกชายตัวเองละก็ มีหวังเธอโดนเล่นงานอีกแน่
สนองความปรารถนาดีของปรานต์สักหน่อย ขึ้นซ้อนท้ายแล้วให้อีกฝ่ายขี่พาไปยังที่หมาย โดยที่เธอได้แต่ทอดถอนหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน
วันนี้มันช่างยาวนานเหลือเกิน...
ตลาดนี้คึกคักกว่าที่นาราคาดการณ์ไว้มากนัก ตอนแรกเธอคิดว่าจะเป็นตลาดกับข้าวธรรมดาๆ แต่นี่ทั้งใหญ่และยาวตลอดแนวถนน มันไม่น่าเรียกว่าตลาดแล้วเถอะ เรียกถนนคนเดินดีกว่า
เรื่องของกินอะไร นาราไม่สนใจ เพราะปกติเธอไม่ค่อยกินจุกจิก ปรานต์รู้เรื่องนี้ดี เขาจึงไม่พาเธอไปเดินที่โซนอาหาร ไม่งั้นจะกลายเป็นว่าทำให้นาราเบื่อไปเสียก่อน
ผู้หญิงก็ต้องคู่กับความสวยความงาม นาราเป็นคนรักสวยรักงาม แต่งตัวเก่ง ชอบของแพรวพราวเครื่องประดับกระจุกกระจิก เขาเลยพาเธอมาเดินเล่นที่โซนเสื้อผ้า ซึ่งแน่ละว่านาราไม่เบื่อเท่ากับการเดินโซนอาหาร แต่ถึงอย่างนั้นก็เบื่อ
“ไม่อยากได้เสื้อผ้าหรืออะไรเหรอคุณ ดูเสื้อตัวนั้นสิ น่ารักดีนะ”
ปรานต์พยายามชวนคุย ชี้นิ้วไปยังเสื้อยืดในร้านเสื้อผ้าร้านหนึ่งที่มีลายการ์ตูนเด็กผู้หญิงทำหน้าบึ้งแขวนอยู่ พร้อมกับบอกตบท้าย
“ทำหน้าเหมือนคุณตอนนี้เลยด้วย”
นาราถึงกับหันขวับ มองตาเขียว “ฉันหน้าบึ้งขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
“เปล่าหรอก แต่คุณไม่ยิ้มเลยน่ะ ปั้นหน้าเครียดตลอด ผมเลยว่าคล้ายๆ แต่ตัวการ์ตูนนั่นหน้าบึ้งกว่า”
ปรานต์ว่าไปตามความจริง พลันรู้สึกผิดน้อยๆ เมื่อคนข้างกายถามมา
“ผมทำอะไรให้คุณไม่สบายใจหรือเปล่า วันนี้คุณเลยดูแปลกๆ ไป”
“แปลกยังไงคะ”
“ก็...ปกติคุณไม่มานั่งรอนั่งเฝ้าผมอย่างนี้นี่ หรือ...จะไม่ชอบใจที่น้ำมนต์มาหาผมบ่อยๆ?”
เขาเดาไปเรื่อย เรื่องนี้พอจะมีน้ำหนักที่ทำให้นาราไม่พอใจ ผู้หญิงคนไหนก็ไม่ชอบหรอก ถ้ามีหญิงอื่นมาติดพันสามีตัวเอง
แต่นารากลับทำหน้าบึ้งมากกว่าเดิม เธอไม่ได้สนใจเรื่องนั้นสักหน่อย แม้ว่าจะรำคาญแม่น้ำมนต์อยู่บ้างก็ตาม สิ่งที่ทำให้เธอยิ้มไม่ออกคือผีแม่ผัวต่างหาก
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เรื่องงานน่ะ คุณไม่ต้องใส่ใจ”
นาราจำต้องโกหกไปแทน ไม่อยากอธิบายสิ่งที่เจอกับเขา เพราะนอกจากเขาจะไม่เชื่อแล้ว เผลอๆ อาจจะถูกหาว่าเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นกับคนที่ตายไปแล้ว ทั้งๆ ที่คนตายไปแล้วไม่ยอมไปไหน มาเกาะแกะชีวิตเธออย่างนี้ แม้ว่าจะมาด้วยต้องการช่วยเหลือก็ตาม
แต่มันน่ารำคาญนี่!
ต้องเอาใจสามีตามที่แม่สามีบอก มันไม่ใช่ตัวเธอเลยสักนิด ยิ่งเธอไม่ได้รักได้ชอบปรานต์ด้วยแล้ว ทุกอย่างที่ทำจึงเหมือนจำใจ
ขณะที่ปรานต์เห็นสีหน้าของหญิงสาว เขาก็พยายามเอาใจให้เธอคลายรอยยับย่นระหว่างคิ้วมากขึ้น
“แล้วคุณอยากได้อะไรเป็นพิเศษไหม ดูเครื่องประดับกันไหม คุณชอบนี่”
แน่ละว่านาราชอบ ไม่อย่างนั้นจะเรียนและทำงานในสายงานนี้หรือ? แต่เธอไม่มีอารมณ์เอาเสียเลย จนเกือบจะบอกไปว่า...
“ไม่ค่ะ ฉันอยากกลับ...”
พลันชะงักเมื่อจู่ๆ ปราณีก็โผล่เข้ามากระซิบที่ใบหูจากทางด้านหลัง
‘อยากกลับไปไหนเหรอแม่คุณ’
“ว้าย!”
นาราสะดุ้งกระโดดโหยงเลยทีเดียว หันไปมองหน้าปราณีที่โผล่มาไม่ให้สุ้มให้เสียงด้วย ทำเอาปราณีต้องทำหน้าดุ
‘ไม่ต้องพูดอะไรออกมาเลยนะแม่คนขวัญอ่อน คนเยอะแยะ เดี๋ยวลูกฉันจะถูกหาว่าแต่งงานกับคนบ้า’
ฟังแล้วน่าหมั่นไส้นัก อยากเถียงแทบตายว่าที่เธอเป็นอย่างนี้เพราะปราณีนั่นละ แต่ปรานต์ก็ถามขึ้นก่อน
“เป็นอะไรหรือเปล่าคุณ จู่ๆ ก็ร้องซะเสียงดังเลย”
คงจะเสียงดังจริงๆ สีหน้าของปรานต์ถึงได้ดูตกใจ คนอื่นๆ รอบข้างมองมาที่เธอด้วยความสงสัยด้วย นาราจึงจำต้องรวบรวมสติแล้วบังคับเสียงตอบออกไปให้นิ่งที่สุด
“ไม่มีอะไรค่ะ พอดีเมื่อกี้...เอ่อ...หนูมันวิ่งผ่าน”
“เหรอ...ผมไม่ทันเห็นเลย เห็นแต่ตอนคุณร้อง”
“มันวิ่งเร็วน่ะค่ะ ไปทางไหนแล้วก็ไม่รู้ คุณไม่ต้องสนใจหรอก ขอโทษที่ทำให้ตกใจ”
นาราว่าเร็วๆ ปรานต์หรี่ตาลง
“แน่ใจนะว่าคุณไม่เป็นอะไร”
“แน่ใจค่ะ เลิกสนใจเรื่องหยุมหยิมได้แล้ว ฉันอยากดูเสื้อผ้า”
อ้างมันเสียเลย เขาจะได้เลิกคาดคั้นเธอด้วยสายตาอย่างนั้น ปรานต์พยักหน้า ตามใจคนข้างๆ
“อยากได้อะไรก็เต็มที่เลยนะ วันนี้ผมจ่ายให้”
เขาออกตัว ถ้าเป็นเวลาปกติ นาราอาจจะมองว่าเขาเป็นผู้ชายน่ารัก ซึ่งก็น่ารักจริงๆ ที่ใส่ใจความรู้สึกเธอ แต่...จะดีกว่านี้ถ้าปราณีไม่ลอยตามประกบหลังเธออย่างนี้น่ะ!
เดินเงียบๆ ไปนานเลยทีเดียว ไม่กล้าพูด กล้าคุย หรือกล้าทำอะไร เดี๋ยวปราณีไม่ถูกใจขึ้นมา เธอจะได้เห็นตับไตไส้พุงอีก ทว่าการเดินดุ่มๆ ไม่พูดไม่จาอย่างนั้นมันขัดกับสิ่งที่เธอบอกในตอนแรก
“ไหนว่าอยากดูเสื้อผ้าไงครับ ไม่เห็นจะแวะร้านไหนเลย ไม่มีถูกใจเหรอ”
ปรานต์ทำลายความเงียบระหว่างกันขึ้นมาจนได้ นาราเหม่อลอยจนถูกเรียกซ้ำ
“นารา ผมถามว่าคุณไม่มีร้านที่ถูกใจเลยเหรอ ได้ยินหรือเปล่า”
มือใหญ่โบกอยู่ข้างหน้าเธอจนเธอสะดุ้งน้อยๆ
“อะ...อ๋อ...ไม่...”
จะตอบว่าไม่มีก็ระแวงจนต้องเหลือบไปมองด้านหลัง
‘มองฉันทำไม ลูกฉันถามก็ตอบไปสิ’
ผีแม่ผัวยังอยู่จริงๆ ด้วย ตามประกบทุกฝีก้าวอย่างนี้ เธออึดอัดโคตรๆ เลย!
“ไม่มี...”
ถึงอย่างนั้นนาราก็ตอบไป จริงๆ มีหลายร้านที่น่าสนใจ ทว่าเธอไม่มีอารมณ์จะมาดูอะไรพวกนั้น
“งั้นผมคงพาคุณมาทำเรื่องน่าเบื่อแล้วละสินะ”
ปรานต์ยิ้มน้อยๆ นิ้วมือข้างหนึ่งเกาแกรกๆ ที่ลำคอ เขาไม่ได้ตั้งใจให้เป็นอย่างนี้ บางทีอาจจะชวนมาผิดที่ ผู้หญิงอย่างนาราอาจชอบเดินห้างสรรพสินค้ามากกว่าตลาดบ้านๆ ก็ได้
“ถ้าคุณเบื่อแล้ว เรากลับกันไหม”
เขาถามขึ้นมาอีกครั้ง นาราตั้งใจจะพยักหน้าตอบรับ ทว่า...
‘ให้แต่ลูกชายฉันเอาใจ เธอไม่เอาใจเขาบ้างฮะ หน้าที่ของเธอคือเอาใจสามีให้ลูกชายฉันรักแล้วก็ไม่หย่ากับเธอนะ มาให้เขาเดินตามเอาใจต้อยๆ อย่างนี้ เดี๋ยวก็ได้ถูกขอหย่าแล้วตายโหงตายห่าขึ้นมาหรอก นี่มันก็...กินเวลาไปหลายวันแล้ว อย่าชักช้า’
ปราณีว่ายาว แทรกบทสนทนาขึ้นมาอย่างจำใจ ยิ่งยกนาฬิกาเวลาชีวิตของนาราที่ข้อมือขึ้นมาดู หล่อนก็ใจไม่ดีจนไม่กล้าพูดออกมาว่าเหลืออีกกี่วันก่อนนาราจะถึงฆาต
นาราอึกอัก สถานการณ์ชวนอึดอัดมากกว่าเดิมอีก
“ว่าไงครับ กลับไหม”
ยิ่งปรานต์ถามย้ำก็ยิ่งอึดอัด หันไปเห็นสายตาของปราณี เธอยิ่งทำอะไรไม่ถูก เก้ๆ กังๆ ไปหมด
“คือ...ฉัน...”
“คุณ?”
“เอ่อ...ฉัน...”
‘โอ๊ย! น่ารำคาญ มานี่ ฉันจัดการเอง!’
จัดการเอง...หมายความว่าอะไร
ยังไม่ทันได้ถาม ปราณีพลันพุ่งเข้ามาหาหญิงสาว ก่อนแทรกใบหน้าลงไปทับซ้อนบนศีรษะของนารา แรงบางอย่างควบคุมให้นาราไม่เป็นตัวของตัวเอง พลันเสียงหวานก็ดังขึ้น
“ฉันอยากไปดูร้านนั้นค่ะ”
มีพยักพเยิดปลายคางด้วย ปรานต์มองตามไป ก่อนหันมาถามอีกทีเพื่อความแน่ใจ
“ชุดชั้นใน? คุณจะดูเหรอ”
คราวนี้นาราพยักหน้า แน่ละว่าไม่ใช่เธอพยักเอง เป็นปราณีที่ทำให้เธอพยัก
“ค่ะ ฉันอยากดู”
ประโยคนี้ก็ไม่ใช่นาราพูด เป็นปราณีเช่นกัน มีเพียงนาราเท่านั้นที่รู้ ส่วนปรานต์ก็เออออไป
“โอเค งั้นไปดูกัน ผมรอหน้าร้านนะ คุณใช้เวลาเลือกตามสบายเลย”
สิ้นเสียง ปราณีก็ถอยห่างออกมา พลังงานที่ถาโถมเข้ามาก่อนหน้ามลายหายไป นาราเหลือบไปมองปราณีที่พยักหน้าส่งสัญญาณให้เธอเดินเข้าไปในร้านชุดชั้นในร้านนั้น พอหญิงสาวทำตาม หล่อนก็เอ่ยขึ้น
‘เมื่อกี้ฉันสิงเธอ’
“สิงเหรอ มันสิงกันง่ายๆ อย่างนี้เลยเหรอคะ”
นารานึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ เธอควบคุมตัวเองไม่ได้เลยจริงๆ โดยเฉพาะปากที่ขยับไปตามสิ่งที่ปราณีต้องการพูด ก่อนหันไปมองทางปราณีอีกครั้ง
‘มันก็ไม่ง่ายหรอก ฉันต้องใช้แต้มบุญแลกมา จำเอาไว้เลยว่าถ้าฉันแสดงอภินิหารอะไร มันต้องใช้แต้มบุญแลกมาทั้งนั้น’
“หมายถึงที่แหกอกด้วยใช่ไหมคะ”
‘ก็ใช่น่ะสิ แล้วหยุดพูดคนเดียวได้แล้ว เดี๋ยวลูกฉันถูกมองว่ามีเมียประสาทไม่ดีอีก ไปเลือกชุดชั้นในไป’
ปราณีเตือน นาราสวนกลับ
“หนูไม่ได้อยากได้นี่คะ คุณป้าพาหนูแวะเข้ามา”
‘ไม่อยากได้ก็เลือกๆ ไปสักชุดสองชุดให้ตาปรานต์จ่ายเงินหน่อยเถอะ จะได้ไม่เสียน้ำใจ’
“แต่หนูไม่...”
‘นี่ แม่นารา ฉันบอกว่าอย่าพูดคนเดียว ไปเลือกชุดชั้นในได้แล้ว ไม่งั้นละก็ เจอดีอีกแน่’
นาราถอนหายใจ เธอต้องจำยอมทุกทีสิน่า พลันดวงตาก็เหลือบไปมองชุดชั้นในทั่วร้าน
มีแต่แบบวาบหวิวเซ็กซี่ แล้วจะให้เธอบอกให้ปรานต์ซื้อให้เนี่ยนะ ให้ตาย ถึงจะเป็นสามีภรรยากัน แต่ไม่เคยมีความสัมพันธ์ทางกาย มาทำเรื่องอย่างนี้ด้วยกัน มันไม่ชวนประดักประเดิดไปหน่อยหรือ
แล้วความคิดของนาราก็มลายหายไป เมื่อปราณีชี้นิ้วไปยังชุดอะไรบางอย่างที่แขวนอยู่
‘เอาชุดนี้ไหม สีสวยดี’
เป็นชุดนอนผ้าซีทรูที่มีแต่เสื้อตัวยาวและกางเกงในตัวจิ๋ว นารามองแล้วทำหน้าเหยเก
บางยิ่งกว่ามุ้งอย่างนั้น จะซื้อไปปิดอะไร!
‘หรือจะเอาชุดนี้ ลายสวยดีนะ’
ปราณีชี้นิ้วไปยังชุดที่คล้ายๆ กันอีกชุด ชุดนี้ไม่บาง แต่เป็นลายเสือดาว ขืนเธอใส่ไป แทนที่จะดูเป็นนางเสือดาวยั่วสวาท จะกลายเป็นฤๅษีหญิงห่มหนังเสือแทนมากกว่า
‘จะเอาชุดไหนก็เลือกเอาสักชุดได้แล้ว ยืนดูอยู่ได้ ลูกฉันรอนาน เข้าใจไหม รีบซื้อรีบกลับ ตาปรานต์จะได้ไปพักผ่อน’
นาราแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียง เลือกชุดอื่นๆ อย่างไม่ใส่ใจนัก ขณะที่ปราณีอ่านท่าทางของหญิงสาวออกว่าจงใจทำ
ได้! กล้าเล่นกับหล่อนอย่างนั้นหรือ บอกแล้วไงว่าอย่าหาว่าหล่อนไม่เตือน!
เท่านั้นร่างโปร่งแสงของปราณีก็ลอยเข้ามาใกล้ นาราหันไป ไม่ทันระวังตัว ผีแม่สามีก็แฝงเข้ามาในร่างของเธอแล้ว
คุณป้า!?
ที่รู้อย่างนั้นเพราะแรงดันมหาศาลเข้ามาควบคุมร่างกายตัวเอง นาราร้องเรียกคนที่แฝงร่างเธอโดยไม่ได้รับอนุญาตในใจก้อง แต่มือกลับชี้ไปที่ชุดทั้งสองที่ปราณีเลือกให้ พร้อมเรียกเจ้าของร้าน
“พี่คะ ขอดูสองชุดนี้หน่อยค่ะ”
แม่ค้าใช้ไม้สอยเอาชุดทั้งสองมาส่งให้หญิงสาวถือไว้ นาราอยากจะปล่อยทิ้งเหลือเกิน แต่พลังของผีแม่สามีก็มากคณานับ รวมถึงเสียงของหล่อนที่ดังตามมาด้วย
‘อยู่เฉยๆ อย่าขัดขืน’
ไม่ให้ขัดขืนได้อย่างไร ตอนนี้เธอกำลังถูกสิงและบังคับให้เดินไปหน้าร้านนี่นา!
นาราพยายามขืนเต็มที่ แต่มันเสียเปล่า ความรู้สึกเหมือนถูกผีอำ ตัวเธอเดินถือชุดนอนไม่ได้นอนไปหาปรานต์ที่ยืนรออยู่
“ปรานต์” แล้วก็เรียกเขา นั่นไม่ใช่การเรียกของเธอ เป็นปราณีที่บังคับให้เธอพูด
ครั้นปรานต์หันมามอง หญิงสาวก็ยกชุดทั้งสองขึ้นสูง
“คุณชอบชุดไหนคะ เลือกให้หน่อยสิ”
“ชุด...อะไรครับเนี่ย”
ปรานต์ที่เห็นความวาบหวิวของชุดแล้วพลันครางออกมาอย่างลืมตัว ขณะที่ปราณีในร่างนาราตอบ
“ชุดนอนไม่ได้นอนไงคะ ปรานต์ชอบชุดไหน เลือกให้หน่อยสิ ฉันจะได้ซื้อ”
ทำไมปรานต์จะไม่รู้ว่ามันเป็นชุดอะไร เขาแค่ไม่คิดว่าผู้หญิงตรงหน้าจะใส่ชุดแบบนี้ด้วยต่างหาก ที่สำคัญ เธอจะใส่ชุดไหน ทำไมต้องให้เขาเลือกด้วย
ความร้อนผุดพรายขึ้นที่ซีกแก้มน้อยๆ ปรานต์ยกมือขึ้นลูบปลายคางเป็นการลดความประหม่า พร้อมกับตอบเร็วๆ
“คุณอยากได้ชุดไหนก็ตามใจคุณเลย ผมจ่ายให้ได้หมด”
“แต่แหม...ฉันอยากให้ปรานต์เลือกให้ด้วยนี่คะ”
“ทำไมล่ะ”
“ก็ฉันไม่ได้จะใส่ไว้ดูคนเดียวซะหน่อย จะให้คุณดูด้วย”
นาราถึงกับตาเหลือก พูดจาฉอเลาะยังพอว่า นี่บอกจะใส่ให้ปรานต์ดูอีก บ้าไปแล้ว!
ปรานต์เองคงคิดเช่นเดียวกัน ทำตาเหลือกหน้าเหลอหลาไม่แพ้กัน
“แต่นี่มันชุด...”
“ชุดนอนไม่ได้นอน ใส่แล้วได้นอนจะเรียกว่าชุดนอนไม่ได้นอนทำไมล่ะคะ ต้องใส่ให้คุณดูด้วยสิ ถึงจะไม่ได้นอน”
พูดบ้าอะไรออกไปเป็นชุด ปรานต์หน้าแดงขึ้นมาให้เห็นเลย แม่ค้าที่ยืนมองอยู่อดขำกับคำพูดและท่าทางที่พยายามจะยั่วยวนของหญิงสาวเสียงขรม ส่วนนาราที่บังคับตัวเองไม่ได้น่ะหรือ เธออยากจะแกล้งตายลงไปบนพื้นตอนนี้เลยละ!
“เอาทั้งสองชุดเลยก็ได้ถ้าคุณชอบ ผมไม่มีปัญหา”
ปรานต์รีบจบบทสนทนานี้โดยไว เขาไม่อยากมายืนเขินภรรยาตัวเองกลางตลาดอย่างนี้หรอก ส่วนปราณีในร่างนาราก็หันไปบอกแม่ค้า
“เอาสองตัวนี้ค่ะพี่ อ้อ แล้วมีจีสตริงไหมคะ ถ้ามีเอาด้วย ขอสีแรงๆ สีจัดๆ แบบที่สามีเห็นแล้วระทวยมาสักสองสามตัวด้วยนะคะ เอ้อ เสื้อในที่ปิดแค่หัวนมตรงนั้นก็เอาด้วยค่ะ เอาสีเขียวสะท้อนแสงเลย”
แค่สีมันก็ไม่ชวนให้มีอารมณ์แล้ว! จะเอาสีสันวูบวาบไปถึงไหน!
ปรานต์หันหน้าออกจากร้าน เม้มริมฝีปาก พยายามกลั้นขำเต็มที่ ก่อนหันกลับไปอีกครั้งเมื่อถูกเรียกให้จ่ายเงิน
“ลดให้เหลือห้าร้อยถ้วนพอดิบพอดีจ้า”
เขาล้วงกระเป๋าสตางค์ออกมา ยื่นธนบัตรสีม่วงไปตรงหน้า แม่ค้ารับไว้แล้วออกปากแซวอย่างอดไม่ได้
“แฟนน้องคึกมากเลยนะคะ สงสัยคงจะมีแผนปั้นไอ้ตัวเล็กกันเร็วๆ นี้มั้งเนี่ย”
“ต๊าย คุณพี่นี่รู้ดีจังนะคะ เร็วๆ นี้แหละค่ะ อยู่ที่ว่าสามีหนูจะขยันทำการบ้านมากแค่ไหน”
แทนที่จะเป็นปรานต์ตอบ ปราณีในร่างนารากลับตอบแทน ปรานต์ได้แต่ยิ้ม ขณะที่แม่ค้าอวยพรเป็นการใหญ่
“ยั่วเก่งขนาดนี้ รับประกันเลยว่าอีกไม่นานมีตัวเล็กแน่ เชื่อพี่ พี่เห็นมาเยอะแล้ว บ้านไหนที่เมียเอาใจผัวเก่งๆ เนี่ย ลูกดกทั้งนั้น”
“อยากให้ลูกดกๆ เหมือนกันค่ะ ขอบคุณนะคะคุณพี่ หนูกับสามีจะพยายามอย่างสุดความสามารถเลยค่ะ”
ปรานต์ทั้งประดักประเดิด ทั้งขำ ไม่รู้ว่านารากลายเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร แต่เขาถือว่าเป็นเรื่องดีแล้วกันที่เธอดูร่าเริงขึ้น ไม่ทำหน้าเหม็นบูดเหมือนตอนแรก
“ขายของเฮงๆ นะคะคุณพี่ หนูไปละค่ะ”
สิ้นประโยคนี้ ปราณีก็ถอยห่างจากร่างของลูกสะใภ้ ใบหน้าบูดบึ้งของนาราปรากฏขึ้นมาแทนที่
ไอ้ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้มันไม่ใช่ตัวเธอเลยนะ คนอื่นเข้าใจผิดไปไหนต่อไหนแล้ว!
ลูกสะใภ้หันขวับไปค้อนผีแม่สามี แต่ปราณีกลับยิ้มเยาะ
‘เธอเรื่องเยอะเองนะ ฉันเลยต้องออกโรง จะมาโทษกันไม่ได้ ช่วยชีวิตเธออยู่นะยะ’
ช่วยแบบนี้ไม่ต้องช่วยหรอก เธอไม่รู้จะเอาหัวไปมุดไว้ที่ไหนแล้ว!
ปรานต์ก็ไม่พูดอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว เดินเงียบๆ กระทั่งนาราหันไปมองหน้าเขม็งนั่นละ เขาถึงได้เอ่ยปาก
“มีอะไรครับ”
“เมื่อกี้...อย่าเก็บเอาไปคิดนะคุณ มันไม่ใช่ตัวฉัน”
นาราว่าเสียงแผ่ว แล้วทำท่าไม่สนใจเขาอีกต่อไป ได้แต่ปล่อยให้ปรานต์มองพลางอมยิ้ม ตอบสั้นๆ
“อื้ม”
เขาจะทำตามหรือไม่ สุดแท้จะหยั่งรู้ได้ รู้แต่ว่าท่าทางเขินอายของหญิงสาวในตอนนี้ทำให้เขากระชุ่มกระชวยขึ้นมา
ภรรยาของเขาถึงจะปากหนัก แต่ก็น่ารักจริงๆ โดยเฉพาะตอนเขินที่ไม่ได้เห็นกันบ่อยๆ
น่ารักเสียจนเขาอยากกอดเธอแน่นๆ เลยละ ทว่าก็ได้แต่คิดเท่านั้น ขืนทำไป มีหวังแม่เสือสาวคงได้ข่วนหน้าเขาแหกหมดทั้งๆ ที่ยังไม่ได้สวมชุดแปลงร่างแน่
ส่วนชุดนอนไม่ได้นอนที่ซื้อมานั้น...ไม่กลายเป็นผ้าขี้ริ้วก็ถูกเผาด้วยน้ำมือเธออย่างแน่นอน นาราสาบานไว้กับตัวเองเลยว่าไม่มีวันใส่เด็ดขาด!
ความคิดเห็น |
---|