9

สามีทางพฤตินัย

9

สามีทางพฤตินัย

 

“พี่ขาๆ...พี่ชื่ออะไรคะ”

เสียงเล็กๆ ดึงความสนใจจากเด็กชายวัยสิบห้าให้ละจากจอวิดีโอเกมหันไปมองเจ้าของเสียงได้ ผู้เป็นเจ้าของเสียงนั้นเป็นเด็กหญิงวัยไม่เกินสิบขวบ เธอสวมใส่ชุดเดรสลายดอกไม้สีสันสดใส แต่ที่สดใสกว่าเห็นจะเป็นดวงตาของเธอที่จับจ้องมายังเขาด้วยความสนใจ

“หนูเล่นด้วยได้ไหมคะ”

คนถูกถามเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ เขายังไม่รู้จักเธอเลย...เดี๋ยวสิ เขาว่าเขารู้จักนะ พอจะเดาได้ว่าเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักตรงหน้านี้เป็นลูกสาวของเพื่อนสนิทบิดาตน เพียงแต่นี่เป็นการพบเจอกันครั้งแรก ก่อนหน้านั้นแค่ได้ยินจากการเล่าผ่านปากของพ่อแม่ว่าณัฐฐ์มีลูกสาวอยู่หนึ่งคน และลูกสาวคนนี้ก็ร่ำเรียนอยู่ที่ต่างจังหวัดกับครอบครัวฝั่งพ่อ เพิ่งจะถูกรับมาอยู่ด้วยเมื่อไม่นานมานี้

“เล่นด้วยได้ไหมคะ”

แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการถูกถามซ้ำ ปรานต์ในวัยมัธยมต้นที่ถูกเด็กหญิงชั้นประถมบุกเข้ามาหาถึงในห้องนั่งเล่น และขอเล่นกับเขาซึ่งๆ หน้าอย่างนี้ มีหรือที่เขาจะไม่ยอม

“เอาสิ...ว่าแต่เล่นเป็นเหรอ”

เขาถามเพื่อความแน่ใจ เกมที่เขากำลังเล่นอยู่เป็นเกมออกใหม่ไม่นานมานี้ เขาค่อนข้างมั่นใจมากทีเดียวว่าสาวน้อยตรงหน้าเล่นเกมนี้ไม่เป็นหรอก

“พี่สอนหนูได้ไหมคะ หนูจะได้เล่น”

คำพูดแสนสุภาพหลุดออกจากริมฝีปากบางเฉียบ มิหนำซ้ำน้ำเสียงก็ยังหวานจนเด็กหนุ่มรุ่นพี่ใจอ่อน

“ได้สิ มานั่งนี่มา”

เขาพยายามทำตัวเป็นกันเอง เพราะเด็กหญิงเป็นกันเองกับเขามาก พอเขาส่งจอยบังคับเกมให้ เธอก็ยิ้มกว้าง

“ตกลงพี่ชื่ออะไรคะ”

ความจริงพ่อได้บอกกับเธอในรถระหว่างทางที่มายังบ้านหลังนี้แล้วว่า ลูกชายของเพื่อนสนิทตนชื่ออะไร แต่เด็กหญิงมัวแต่ตื่นเต้นจนลืมไปสิ้น ทำให้ต้องถามอีกครั้ง

“ปรานต์”

“พี่ปรานต์”

คนได้รับคำตอบยิ้มกว้างอีกระลอก เรียกชื่อเขาเต็มปากเต็มคำเชียว เจ้าของชื่อถึงกับต้องกลั้นอมยิ้มไว้ตามประสาเด็กผู้ชายที่เริ่มเข้าวัยรุ่นและรู้จักอาการ ‘เก๊ก’

เป็นใครจะไม่เก๊กกันล่ะ ก็คนตรงหน้าเขาน่ารักมากขนาดนี้ จู่ๆ มาทำตัวสนิทสนมกับเขาไม่มีปี่มีขลุ่ย เขาก็ต้องวางมาดเป็นธรรมดา

“แล้วเราล่ะ ชื่ออะไร”

พอจะตั้งหลักได้แล้วจึงถามกลับไป เด็กหญิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงร่าเริงเช่นเดิม

“นาราค่ะ เรียกว่าหนูนาเหมือนพ่อก็ได้”

“หนูนา...”

เป็นปรานต์บ้างแล้วที่เรียกชื่อคนตรงหน้าออกมา แต่แผ่วเบาจนอีกฝ่ายแทบไม่ได้ยิน หรือต่อให้ได้ยิน เธอคงไม่สนใจแล้ว เพราะวินาทีนี้สายตาจับจ้องไปยังหน้าจอโทรทัศน์เครื่องใหญ่ ขณะที่เด็กหนุ่มเอาแต่จับจ้องดวงหน้าจิ้มลิ้มของนารานิ่ง

น่ารัก...น่ารักมาก เพื่อนสาวๆ ร่วมชั้นเรียนที่ว่าน่ารักจนถึงขั้นเรียกว่าเป็นดาวระดับชั้นยังไม่น่ารักเท่ากับเด็กผู้หญิงตรงหน้าเขาเลย เขาไม่ได้คาดคิดเหมือนกันว่าจู่ๆ จะมาเจอเด็กน่ารักขนาดนี้ในบ้านของตัวเองกะทันหัน ทั้งดวงหน้า เครื่องเคราต่างๆ ล้วนพริ้มเพราจิ้มลิ้มจนเขาละสายตาไม่ได้

เหมือนตุ๊กตาชะมัดเลย!

“พี่ปรานต์สอนหนูหน่อย เกมนี้เล่นยังไงคะ”

เห็นเจ้าของเกมไม่สอนสักที เอาแต่นั่งจ้องหน้าเธอ นาราจึงเอ่ยปาก ทว่าเขากลับไม่ตอบอะไร เอาแต่จ้องหน้าเธอเหมือนเดิม เธอเลยเอ่ยปากเรียกอีกครั้ง

“พี่ปรานต์”

“...”

“พี่ปรานต์!”

คราวนี้เรียกเสียงดังหน่อย ปรานต์จึงได้สติ ดวงตาที่จับจ้องเครื่องหน้าฟ้าประทานของนารากลิ้งไปมาอีกครั้ง

“หนูถามว่าเกมนี้เล่นยังไง พี่ปรานต์สอนหน่อยได้ไหมคะ”

“อะ...อืม ได้ ส่งจอยมาสิ จะเล่นให้ดู”

นาราส่งจอยบังคับเกมคืนให้เขาอย่างว่าง่าย ดูใจจดใจจ่อกับการเล่นเกมของเขามาก โดยไม่รู้เลยว่าฝีมือของปรานต์ ณ ขณะนี้ตกลงอย่างเห็นได้ชัด ปกติเขาเล่นเกมเก่งกว่านี้ แต่ตอนนี้ไม่มีสมาธิเลย เล่นไปก็เหลือบมองหน้าคนข้างตัวไป กระทั่งนาราส่งเสียงหัวเราะออกมาเมื่อเห็นว่าเขาทำเกมโอเวอร์

“ให้หนูเล่นต่อนะ คอยดูนะคะพี่ปรานต์ หนูเล่นได้เก่งกว่าพี่อีก”

เล่นได้เก่งอย่างปากว่าจริงไหมก็ไม่รู้ แต่นาราก็ตั้งใจเล่นอย่างเต็มที่ ส่วนปรานต์ก็นั่งมองเด็กหญิงเล่นเกมต่อจากเขานิ่งๆ พร้อมกับการเต้นของก้อนเนื้อในหน้าอกข้างซ้ายที่ค่อยๆ รุนแรงขึ้นทีละน้อย โดยที่ไม่รู้เลยว่ามันคืออาการอะไร

 

บางทีอาจจะเป็น...ความรัก?

เร็วไปหรือเปล่าสำหรับเด็กหนุ่มวัยสิบห้าปี...เรื่องนี้ปรานต์ตอบคำถามตัวเองไม่ได้ ไม่กล้าเอาเรื่องนี้ไปพูดคุยปรึกษากับพ่อแม่ด้วย กลัวว่าพวกผู้ใหญ่จะระแวงว่าเขาจะทำอะไรไม่ดีไม่งามกับนารา จนนาราไม่ได้รับอนุญาตให้มาเจอเขาที่บ้านอีก เงียบไว้เป็นเรื่องดีที่สุด เพราะทุกครั้งที่ณัฐฐ์มาหาพ่อเขา นาราก็จะได้ติดสอยห้อยตามมาด้วย

นี่ก็เป็นอีกครั้งที่เด็กหญิงติดตามผู้เป็นพ่อมาที่บ้านของเขา การพูดคุยกันของผู้ใหญ่เป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับเธอ ทำให้ทุกครั้งที่มาถึงที่หมาย เธอจะรีบไปหาปรานต์เป็นอันดับแรก จากนั้นก็จะชวนเล่นนั่นเล่นนี่ตามประสา วันนี้ปรานต์ได้ตระเตรียมเกมแผ่นใหม่ไว้ให้เธอได้เล่น ทว่าเมื่อเจอหน้ากัน เด็กหญิงกลับส่ายหัวดิก

“วันนี้หนูไม่อยากเล่นเกมค่ะ”

“อ้าว แล้วอยากเล่นอะไร”

“เล่นอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่เกม หนูเบื่อแล้ว”

“เล่นอะไรก็ได้ที่ว่าของเรา มันอะไรล่ะ”

ปรานต์ถามทั้งที่ยิ้ม เด็กหญิงมักเอาแต่ใจกับเขาเสมอ จริงๆ ก็เอาแต่ใจเมื่ออยู่กับพ่อของเธอด้วย แต่ปรานต์ก็ยินดีตามใจเธอทุกประการ

“อืม...ขอคิดก่อนนะ” นารากอดอก ทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะเปรยออกมา “หนูอยากเล่นพ่อแม่ลูก”

“หืม? พ่อแม่ลูกเนี่ยนะ?” ปรานต์ถามอย่างไม่เชื่อหู “ขึ้น ป. 6 แล้ว ยังเล่นแบบนี้อยู่อีกเหรอ”

เขาไม่แน่ใจนักว่าเด็กประถมปลายเล่นอะไรกัน แต่ไม่น่าจะใช่พ่อแม่ลูกแน่ๆ ทว่าพอถามออกไป เขาก็โดนสายตาค้อนเขียวของเด็กหญิงฟาดเข้าเต็มรัก

“แล้วทำไมจะเล่นไม่ได้ล่ะคะ”

“ก็ไม่ใช่ว่าจะเล่นไม่ได้ พี่แค่สงสัยว่าเด็ก ป. 6 ยังเล่นกันแบบนี้อยู่อีกเหรอ ตอนพี่อยู่ ป. 6 เห็นเพื่อนผู้หญิงเขาไม่เล่นกันแล้ว”

ปรานต์ยกตัวอย่างเพื่อนสาวๆ ของตัวเองขึ้นมา นาราทำปากยื่นเล็กน้อย

“นั่นมันเพื่อนพี่ปรานต์ แต่หนูไม่ใช่นี่นา ตกลงพี่ปรานต์จะเล่นไหมคะ ถ้าไม่เล่น หนูจะได้หาอย่างอื่นทำ”

หาอย่างอื่นทำก็ดีนะ แต่ปรานต์กลัวว่านาราจะไปทำอย่างอื่นที่ไม่มีเขาเป็นส่วนหนึ่ง ยอมเล่นพ่อแม่ลูกกับเธอก็ได้

“เล่นสิ แล้วแต่หนูนาเลย พี่ต้องทำอะไรบ้างล่ะ”

ลงท้ายด้วยการตามใจนาราอย่างนี้ นาราก็จัดเต็มละ

“ก่อนจะเป็นพ่อแม่กัน ก็ต้องแต่งงานเป็นสามีภรรยากันก่อน เราต้องเริ่มต้นด้วยการเข้าพิธีแต่งงานค่ะพี่ปรานต์”

“แต่งงาน?”

“อื้ม!”

“หนูนากับพี่น่ะนะ?”

“ใช่ค่ะ ทำไมเหรอ”

ไม่ทำไมหรอก...ปรานต์ส่ายหน้า ขณะที่ใจเต้นตึ้กตั้กอย่างรุนแรง

แต่งงานเป็นสามีภรรยา ถึงเขาจะอายุเพียงสิบห้า ส่วนนารามีอายุไม่ถึงสิบขวบ และการแต่งงานก็เป็นเรื่องสมมุติในการเล่นสวมบทบาทก็เถอะ ทว่ามันกลับทำให้ปรานต์อยากเล่นพ่อแม่ลูกตามแบบฉบับของนาราจนเนื้อตัวสั่น อะไรไม่ว่า พอบอกว่าต้องแต่งงานกันก่อน นาราก็คุ้ยเอาของเล่นที่ใส่กระเป๋าสะพายออกมา มือเล็กๆ หยิบที่คาดผมที่มีผ้าตาข่ายสีขาวประดับดอกไม้ปลอมมาสวมศีรษะ ปรานต์มองพลางเลิกคิ้วสูง

เธอมีพรอปผ้าคลุมเจ้าสาวด้วย สมจริงสุดๆ!

“ส่งมือมาสิคะพี่ปรานต์ เราจะได้แต่งงานกัน”

ปรานต์ส่งมือทั้งสองข้างไปให้นาราจับไว้ ก่อนที่เธอจะเริ่มร่ายบท

“คุณปรานต์ยินดีที่จะรับหนูนาเป็นภรรยาหรือไม่”

ทั้งบทเจ้าสาวและบาทหลวง นารารับควบแต่เพียงคนเดียว ปรานต์อดขำในความไร้เดียงสาไม่ได้

“หัวเราะอะไรคะพี่ปรานต์ รีบตอบมาสิ”

“พี่ต้องตอบว่าอะไร”

“จะรับหนูนาเป็นภรรยาหรือไม่”

น้ำเสียงกระแทกน้อยๆ เป็นการเร่งรัดให้คนตรงหน้ารีบตอบ

“รับครับ”

เขาคงต้องตอบอย่างนี้สินะ...

นารายิ้มกว้างอย่างพอใจ จากนั้นก็กระแอมสองสามที

“คุณหนูนาจะรับพี่ปรานต์เป็นสามีหรือไม่” รับบทเป็นบาทหลวง จากนั้นก็สลับบทเป็นเจ้าสาว “รับค่ะ” พลันสลับบทเป็นบาทหลวงอีกครั้ง “สวมแหวนให้กันได้”

“แหวนไหนล่ะ พี่ไม่มี”

ปรานต์รีบพูดขึ้นเมื่อเห็นนาราพยักพเยิดให้เขาสวมแหวน

“ทำท่าสวมแหวนไงคะ”

อ้อ เขาก็นึกว่าเธอจะมีอุปกรณ์เสริมอีก

“เร็วเข้าสิ”

พอเร่งมาอีก ปรานต์ก็ทำท่าสวมแหวนใส่นิ้วนางข้างซ้ายให้นารา ก่อนนาราจะทำแบบเดียวกันให้เขาบ้าง

“ตอนนี้เราเป็นสามีภรรยากันแล้ว ต่อไปก็ต้องมีลูก”

คราวนี้เธอผละไปคุ้ยเอาตุ๊กตาเด็กทารกออกมาจากกระเป๋าสะพาย เรื่องลูกเธอมีอุปกรณ์ ไม่จำเป็นต้องใช้จินตนาการไกล ปรานต์มองเด็กสาวพลางหัวเราะน้อยๆ

“มัวหัวเราะอะไรอยู่คะคุณพ่อ รีบมาช่วยแม่โอ๋ลูกสิ เนี่ย ลูกร้องไม่หยุดเลย”

จากบทเจ้าสาวก็กลายเป็นคุณแม่ลูกอ่อนในบัดดล ปรานต์รับตุ๊กตาเด็กทารกจากเธอมาอุ้ม แกว่งไปมา โยกตัวโอนเอนทำท่าเหมือนโอ๋เด็กจริงๆ ขณะที่นาราเริ่มเล่นไปเรื่อยๆ

“เดี๋ยวแม่ชงนมให้นะคนดี อยู่กับคุณพ่อก่อนนะคะ”

นับว่าเธอเป็นเด็กที่มีจินตนาการสูงทีเดียว พูดได้เป็นคุ้งเป็นแคว มีแต่ปรานต์เท่านั้นที่ยังอยู่ในโลกของความเป็นจริง

หรือ...บางทีอาจจะไม่จริงแล้วก็ได้ เขาก็คิดเป็นคุ้งเป็นแควเหมือนกัน เมื่อจู่ๆ นึกขึ้นมาว่าถ้านาราได้เป็นภรรยาของเขาจริงๆ ในอนาคต มันจะเป็นอย่างไร

บ้า! ยังเด็กยังเล็ก คิดอะไรไกลตัว!

เด็กหนุ่มสะบัดศีรษะไปมา ไล่ความคิดนั้นให้พ้นๆ จังหวะเดียวกับที่นาราหันมาพร้อมขวดนมตุ๊กตาพอดี

“มามะคนดี แม่อุ้มนะคะ”

ปรานต์จำต้องส่งตุ๊กตากลับคืนให้ พลันนั่งมองนาราที่เลี้ยงตุ๊กตาเด็กทารกนิ่งๆ พร้อมกับคำถามที่ผุดพรายขึ้นมาในใจ

“หนูนา พี่ถามอะไรหน่อยสิ”

“หืม?”

“พี่เป็นพ่อของลูกหนูนามันดีแล้วเหรอ”

คำถามยากไปหรือเปล่านะ นาราดูงุนงง ทำให้เขาต้องถามใหม่อีกครั้ง

“พี่หมายถึง...แต่งงานกับพี่มันดีไหม”

คราวนี้น่าจะเข้าใจแล้วละ นาราพยักหน้าหงึกๆ

“ดีสิ”

“ทำไมล่ะ”

“ทำไมต้องมีเหตุผลด้วยล่ะ”

“พี่แค่อยากรู้”

“หนูไม่มีเหตุผลหรอก”

อ้าว...ปรานต์เกือบจะเปล่งคำนี้ออกมาอยู่แล้ว ถ้าคนตรงหน้าไม่แทรกขึ้นมาเสียก่อน

“แค่เป็นพี่ปรานต์ หนูก็โอเคที่จะแต่งงานด้วยแล้ว”

ไม่รู้ทำไมได้ยินประโยคนี้ หัวใจของเขาถึงเต้นเร็วแรง มันทั้งเต้นแรงและบีบรัดไปในคราวเดียวกัน 

คำตอบของเธอทำให้เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ แม้นาราจะดูไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไรว่าเขาถามทำไม กระนั้นก็ยังเล่นบทบาทสมมุติต่อไป ยื่นตุ๊กตาเด็กทารกให้ปรานต์ได้อุ้มอีกครั้ง 

“คุณพ่ออุ้มลูกไว้ก่อนนะคะ แม่ไปทำข้าวเย็นก่อน จะได้มากินกัน”

ปรานต์พยักหน้า มองดูเด็กหญิงตัวเล็กคว้าอุปกรณ์ต่างๆ ออกมาจากกระเป๋าสะพายเพิ่ม เธอเตรียมตัวมาพร้อมสำหรับการเล่นพ่อแม่ลูกมากจนเขาอดแซวในใจไม่ได้

ถ้าเตรียมพร้อมขนาดนี้ ก็ย้ายมาอยู่บ้านเขาเลยเถอะ จะได้เล่นพ่อแม่ลูกกันทุกวัน

ถ้าอย่างนั้น...

“หนูนา”

“หืม?”

“โตไปแล้ว แต่งงานกับพี่นะ”

นารามีสีหน้างุนงงฉับพลันให้ปรานต์ต้องรีบอธิบาย

“หนูนาจะได้เล่นพ่อแม่ลูกกับพี่ทุกวันไง”

เขาเป็นเด็กหนุ่มที่โตพอจะคิดเรื่องประโยคสองแง่สองง่ามได้แล้ว แต่เขาไม่คิด และไม่อยากให้นาราคิดด้วย พยายามพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ให้ฟังดูไม่มีนัยอื่นแฝงมากที่สุด เพราะสิ่งที่เขาพูด เขาหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ และไม่ได้คาดหวังว่านาราจะตอบตกลงด้วย แต่...

“ได้สิคะพี่ปรานต์ โตขึ้น หนูจะแต่งงานกับพี่ปรานต์ จะได้เล่นด้วยกันทุกวันเลย”

ปรานต์ยิ้มกว้าง นาราช่างไม่ประสา แต่เอาเถอะ เขาแค่อยากได้ยินเจ้าหล่อนตอบตกลงเท่านั้น 

“แม่ทำกับข้าวต่อก่อนนะคะ คุณพ่อดูลูกดีๆ นะ”

นาราแสดงออกชัดเจนว่าไม่ได้ใส่ใจในสิ่งที่ตนพูดสักเท่าไรนัก ประหนึ่งว่าลืมเลือนมันไปสิ้น ปรานต์ถอนหายใจยาว

...ที่เหลือก็ให้เป็นไปตามฟ้าลิขิตแล้วกัน

 

เฮือก!

นาราสะดุ้งตื่นอย่างเช่นวันก่อนๆ แต่วันนี้ต่างออกไปตรงที่เธอไม่ได้สะดุ้งตื่นเพราะฝันเห็นผีแม่สามี เป็นเพราะฝันถึงเหตุการณ์ในวัยเด็กระหว่างตนกับปรานต์ต่างหาก น่าแปลกที่จู่ๆ ก็ฝันอย่างนี้ ทว่าที่น่าแปลกยิ่งกว่าก็คือ...เธอมานอนในห้องนอนได้อย่างไร!

นารากวาดตามองไปทั่วห้องนอนของตน คว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดู

ตีสี่แล้ว...เธอนอนไปนานแค่ไหนแล้วนะ

ค่อยๆ ขบคิดทีละน้อย ก่อนจะเดาเอาว่าคงเป็นฝีมือของปรานต์ที่อุ้มเธอมาไว้บนเตียงเป็นแน่ เท่านั้นเธอก็พรวดพราดลุกจากเตียง ไม่สนปราณีที่โผล่ทะลุขึ้นมาจากพื้นแต่อย่างใด

‘ตื่นแล้วเหรอแม่คุณ ฉันก็รอเธอตื่นตั้ง...เอ้า! แล้วนี่จะไปไหน’

เสียงไม่เข้าหูหญิงสาวเลย สองขาเรียวก้าวพรวดๆ ออกไปนอกห้อง พลันพบว่าปรานต์เองก็ตื่นแล้วเช่นกัน เขากำลังนั่งจิบกาแฟดำที่โต๊ะในครัว พอเห็นร่างของหญิงสาว มือซึ่งกำลังยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบก็ชะงัก

“ตื่นไวจัง ผมคิดว่าคุณจะตื่นสายกว่านี้ซะอีก”

ตั้งแต่ที่ปราณีบังคับให้เธอลุกขึ้นมาทำอาหารเช้าให้ปรานต์ทุกวัน นาราจะตื่นตอนตีห้า ปรานต์เองก็เช่นกัน แต่วันนี้เขามีธุระนิดหน่อยเลยต้องตื่นเช้า

“ผมจะออกไปวัดหน่อยน่ะ พอดีหลวงพ่อขอความช่วยเหลือเรื่องบริจาคซื้อเก้าอี้ให้ทางวัดไว้ใช้ ผมเลยจะเอาปัจจัยไปถวาย”

เขาหมายถึงวัดป่าที่อยู่ไม่ไกลจากไร่ปานดวงใจสักเท่าไรนัก ทว่านาราไม่ได้สนใจ ปั้นหน้าบึ้งแล้วกดเสียงต่ำ

“คุณเป็นคนอุ้มฉันเข้าไปในห้องนอนเหรอ”

ปรานต์ชะงักเล็กน้อย ก่อนพยักหน้า “ครับ ทำไมเหรอ”

ยังจะถามอีกว่าทำไม ใครอนุญาตให้เขาแตะเนื้อต้องตัวกัน!

“ถึงฉันจะมีสถานะเป็นภรรยาของคุณ แต่ก็ใช่ว่าคุณจะมาโดนตัวฉันโดยไม่ได้รับอนุญาตได้นะคะ”

นาราเปล่งเสียงออกไป ปรานต์เข้าใจเรื่องทั้งหมดในทันที รวมถึงสีหน้าบูดบึ้งเมื่อครู่นี้ด้วย

“อย่ามาถือโอกาสกับฉัน”

ไม่ทันจะได้พูดแก้ตัวอะไร นาราก็แค่นเสียงออกมาแล้ว ประโยคนี้ปรานต์รับไม่ได้สักเท่าไรนัก 

เขาไม่ได้ถือโอกาสกับเธอสักหน่อย แค่เป็นห่วง

“เมื่อคืนผมกลับมาบ้านแล้วเห็นคุณนอนตากยุงอยู่ ปลุกก็ไม่ตื่น ผมกลัวคุณจะโดนยุงหามเลยอุ้มไปที่ห้องนอน ไม่ได้คิดถือโอกาสอะไรกับคุณทั้งนั้น”

น้ำเสียงจริงจังน่าดูเชียว กระนั้นนาราก็ไม่ยอมลงง่ายๆ เธอยกแขนขึ้นกอดอก เชิดใบหน้า

“ถ้าคุณไม่คิดอะไรก็ดีค่ะ ฉันก็ขอขอบคุณที่ดูแลฉันแล้วกัน แต่ถ้ามีครั้งหน้า ปลุกฉันให้ตื่นก่อนนะคะ แล้วจากนั้นฉันจะให้คุณอุ้มหรือยังไง ฉันจะเป็นคนบอกเอง อย่ามาแตะตัวฉันถ้าฉันไม่อนุญาต ไม่อย่างนั้นจะถือว่าคุณคุกคาม”

ปรานต์ยกมือทั้งสองข้างขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้ เขาไม่ได้คิดอะไรเลยแท้ๆ แต่ทำไมนาราถึงได้คิดเล็กคิดน้อยอย่างนั้น

...จริงๆ จะว่าเธอก็ไม่ได้ เธอแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่ได้รัก การที่สามีทางนิตินัยมาจับเนื้อต้องตัวเธอโดยที่เธอไม่ยินยอม มันไม่ต่างอะไรจากการล่วงละเมิดนั่นแหละ และเพื่อความสงบสุขของบ้าน ปรานต์จึงต้องยอม

“โอเคครับ ผมขอโทษ แล้วคุณจะทำข้าวเช้าให้ผมไหม”

เปลี่ยนเรื่องคุยไปด้วยเลยดีกว่า ขืนยังอยู่หัวข้อเดิม เขาคงได้โดนสายตาจิกๆ ของนารามองจ้องไม่หยุดแน่

“ทำได้แต่เมนูไข่เหมือนเดิมนะคะ คุณไปให้หม่องทำให้กินเถอะ เปลี่ยนบ้าง เดี๋ยวจะเบื่อ”

ปรานต์อยากบอกเหลือเกินว่าเขาไม่ได้เบื่อเลยสักนิด ไม่ว่าจะเมนูอะไร ถ้าเป็นฝีมือของหญิงสาวแล้ว เขายินดีจับมันเข้าปากกลืนลงท้องทั้งนั้น แต่ในเมื่อนาราทำท่าไม่อยากทำ เขาไม่ตื๊อก็ได้

“ครับ งั้นผมไปเข้าห้องน้ำก่อน คุณก็ไปนอนต่ออีกสักหน่อย ไว้ตอนเย็นค่อยมากินข้าวด้วยกัน”

นาราพยักหน้า ปรานต์ลุกขึ้นจากเก้าอี้ตรงไปเข้าห้องน้ำ ไร้ซึ่งบทสนทนาระหว่างกัน คล้อยหลังชายหนุ่มไป ปราณีซึ่งมองดูอยู่นานก็ปรากฏกายขึ้นตรงหน้าลูกสะใภ้

‘เป็นอะไรของเธอ ประจำเดือนกำลังจะมาหรือไง’

“เปล่าค่ะ ยังไม่มา”

‘แล้วฟาดงวงฟาดงาใส่ลูกฉันทำไม’

“ก็เขาแตะเนื้อต้องตัวหนู”

‘เป็นเพราะเธอปลุกไม่ตื่น ตาปรานต์กลัวเธอจะโดนยุงหามเลยอุ้มเข้าห้องนอน เขาก็บอกแล้วนี่ มันไม่ดีหรือไงที่ไม่โดนยุงหามน่ะ’

“แต่หนูไม่ชอบ...”

‘ไม่ชอบก็ต้องชอบ ตาปรานต์ดีกับเธอ ดูแลเธอมันเป็นเรื่องดี เพราะนั่นมันหมายถึงเขามีใจให้เธอ จำไม่ได้หรือไงว่าเธอจะต้องตายถ้าเขาขอหย่าน่ะ’

เรื่องนั้นนาราจำได้ดี แต่ว่า...

“ไม่ชอบก็คือไม่ชอบค่ะคุณป้า จะมาบังคับให้หนูชอบการกระทำของเขาได้ยังไง ถึงเขาจะไม่คิดอะไร แต่หนูก็ต้องระวังตัวไว้ก่อน”

พูดไปเท่านี้ ปราณีถึงกับทำปากเบ้

‘เป็นผัวเป็นเมียกัน ไม่โดนเนื้อโดนตัวกันเลย มันจะเรียกว่าผัวเมียได้ยังไง เธอต้องทำทุกอย่างให้ตาปรานต์ไม่อยากหย่าอยู่แล้ว เขาแตะนิดแตะหน่อยมันจะเป็นอะไรไป’

ก็บอกแล้วไงว่าไม่ชอบ!

นาราไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ไม่ใช่ว่าเธอไม่ชอบปรานต์นะ ปรานต์เป็นผู้ชายที่ดีคนหนึ่ง เพียงแต่เธอไม่อยากให้เขามาโดนเนื้อโดนตัวเธอถ้าเธอไม่ได้เอ่ยปากอนุญาตก็เท่านั้น แต่ปราณีกลับไม่เข้าใจเลย อ้างความเป็นผัวเป็นเมียตลอด หล่อนรู้จักคำว่า ‘สิทธิเสรีภาพในร่างกายตัวเอง’ ไหมนะ

‘แล้วนี่ยังจะมาไม่ทำข้าวเช้าให้ลูกฉันกินอีก ฉันบอกแล้วไงว่าให้ทำหน้าที่เมียที่ดี อย่าละเลย ถ้ายายน้ำเดินหรือผู้หญิงอื่นมาดึงตาปรานต์ไปได้ เธอจะทำยังไง เอ้า อย่ามัวยืดยาด ทำกับข้าวเดี๋ยวนี้’

ไม่ว่าเปล่า ยังตรงไปที่จุดแขวนกระทะกับตะหลิว ชี้นิ้วให้นาราหยิบไปใช้งานอีก นารามองนิ่ง เธอไม่อยากทำ เธอขี้เกียจ อยากนอน ไม่อยากเอาใจใครทั้งนั้น แม้ว่าคนที่เธอต้องเอาใจจะเป็นคนที่ช่วยชีวิตเธอก็ตาม

‘มาสิแม่คนนี้ มองอยู่ได้ ถ้าไม่เดินมา อย่าหาว่าฉันไม่เตือน’

ปราณีจะทำอย่างไร หญิงสาวพอเดาได้ เธอหายกลัวขึ้นมากแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ไม่อยากเห็นปราณีในสภาพเน่าเฟะอยู่ดี จึงจำใจเดินไปคว้ากระทะกับตะหลิวมาถือไว้ในมือจนได้

“เมนูไข่นะคะ”

น้ำเสียงของนารายานคางเจือเหนื่อยหน่าย ปราณีรับรู้ได้แต่ไม่สน ชี้นิ้วสั่งลูกเดียว

‘อะไรก็ทำไปเถอะ ทำให้ลูกชายฉันรู้สึกว่าเธอใส่ใจเขา แค่นั้นก็พอ’

ว่ามาอย่างนี้ นาราก็ทำตาม จุดเตาแก๊ส เตรียมไข่มาตอกใส่กระทะ แต่พอกระทะร้อนและเธอตอกไข่ลงไป เธอดันทำเปลือกไข่ตกลงไปในนั้นด้วย ทำให้ปราณีที่มองอยู่ว่าเสียงสูง

‘แค่ทอดไข่ดาว ตอกยังไงให้เปลือกไข่มันลงไป ทอดใหม่!’

นาราไม่ว่าอะไร ตักไข่ใบเดิมออกจากกระทะ เทน้ำมันเพิ่มเล็กน้อย และตอกไข่ใบใหม่ลงไป คราวนี้กระทะร้อนไปนิด ทำให้ไข่ดาวเกรียมจนเกือบไหม้ ควันตลบอบอวลไปหมดจนเธอไอแค็กออกมา

‘แม่นารา! เธอจะเผาบ้านหรือไง รีบปิดแก๊สซะสิ!’

หญิงสาวทำตาม ไข่ใบนั้นสภาพดูไม่จืดเลย มือเล็กโบกไปมาในอากาศ ไล่ควันที่ลอยคละคลุ้งอยู่ใกล้ใบหน้าออก ทว่ามือก็ยังจับตะหลิวไว้อยู่

‘เอ้า เสร็จแล้วก็อย่าพิรี้พิไร มาทอดใบใหม่ เดี๋ยวลูกฉันก็จะไปไร่แล้ว ไม่ได้กินข้าวเช้ากันพอดี’

นาราจำต้องตั้งเตาใหม่อีกครั้ง ครั้งนี้เธอตอกไข่ลงไปได้ไม่สวยนัก ไข่ขาวกับไข่แดงผสมปนเปกัน ปราณีเห็นก็บ่นอีก

‘มันเป็นอะไรกับการตอกไข่ฮะ ตอกให้มันดีๆ สวยๆ ไม่เป็นหรือไง หน้าตาอย่างนี้ ใครมันจะกินลง’

มันก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ไม่สวยก็กินได้!

‘ถ้ามันเละแบบนี้ ทำไข่คนเถอะแม่คุณ เอาตะหลิวขยี้ๆ ไป๊!’

นาราเหนื่อยหน่ายเต็มทน กดดันจนเครียดอีกด้วย หลายวันที่ผ่านมานี้ เธอพยายามทำในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเองอยู่หลายครั้ง นั่นก็ทำให้เธออึดอัดเป็นอย่างมาก ยิ่งมาเจอผีแม่สามีคอยกำกับทุกการกระทำอย่างนี้ เธอยิ่งเครียดหนัก

อยากให้ทำไข่คนอย่างนั้นหรือ? ได้! เธอทำให้!

เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!

หญิงสาวประชดประชันด้วยการกระแทกตะหลิวลงในกระทะจนดังลั่นไปหมด มิหนำซ้ำยังไม่ตั้งใจทำอีกด้วย ไข่ดาวที่กลายเป็นไข่คนบัดนี้กลายเป็นไข่ไหม้แล้ว ปราณีเห็นก็ไม่พอใจ

‘นี่ อย่ามาทำกระแทกกระทั้นใส่ฉันนะยะ ทำให้มันดีๆ อย่าให้ต้องสอน’

“งั้นคุณป้าก็ไม่ต้องพูดค่ะ หนูก็ไม่ได้อยากให้คุณป้าพูด”

ย้อนไปทันที ไม่ลืมตัวด้วย ปราณีหน้าตึง แยกเขี้ยวเท้าสะเอวทันควัน

‘ฉันสอนเธอปากเปียกปากแฉะก็เพราะอยากให้เธอดูแลลูกฉันให้ดี มันช่วยชีวิตเธอด้วย เธอจะมาประชดประชันผู้มีพระคุณอย่างฉันทำไม’

“ก็คุณป้าทำหนูเครียด! ได้ยินไหมคะว่าหนูเครียด! เครียดๆๆ! อยู่แต่บ้านทั้งวัน ทำแต่งานที่ไม่ใช่ทางของตัวเอง เป็นอย่างนี้ทุกวันมันเครียดนะรู้ไหม!”

เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!

นาราสติแตกออกมาในตอนนี้ เธอทั้งแผดเสียงดัง ทั้งกระแทกตะหลิวใส่กระทะไม่หยุด มันช่วยให้เธอระบายอารมณ์ออกมาได้อยู่หรอก และช่วยให้ปราณีหยุดพูดด้วย แต่มันไม่ค่อยดีเท่าไรนักเมื่อปรานต์ที่เพิ่งออกจากห้องน้ำมาได้ยินเสียง และรีบเข้ามาดู

“หนูนา...เป็นอะไรหรือเปล่า”

เขาตกใจจนถึงกับหลุดเรียกชื่อเล่นของหญิงสาวไป นาราหยุดการกระทำทั้งหมด ยืนนิ่ง ไม่อยากหันไปมองเพราะไม่ต้องการเล่าว่าที่เธอเป็นอย่างนี้ เหตุมาจากวิญญาณแม่ของเขาที่คอยจ้ำจี้จ้ำไชไม่หยุด 

ทว่าปราณีกลับไม่ต้องการให้เธออยู่นิ่ง กอดอกแล้วพยักหน้าไปทางลูกชายตัวเอง

‘ผัวถามก็ตอบไปสิ’

“เขาไม่ใช่ผัวหนู เรายังไม่ได้นอนด้วยกัน” หญิงสาวแค่นเสียงต่ำในลำคอตอบ

‘จะคิดยังไงก็แล้วแต่เธอ แต่ตอบลูกฉันไปซะว่าเธอเป็นอะไร ไม่เห็นหรือไง หน้าตาเขาเป็นห่วงเธอแค่ไหน’

นาราเหลือบไปมองในตอนนี้ สีหน้าของปรานต์ดูวิตกอย่างที่ปราณีพูดจริงๆ กระนั้นหญิงสาวก็ยังไม่ยอมพูดจนปรานต์เป็นฝ่ายทำลายความเงียบ

“ผมได้ยินคุณบอกว่าเครียด...ใช่ไหม”

นาราพยักหน้าให้เป็นคำตอบ เธอขบคิดเป็นพัลวันทีเดียวว่าถ้าถูกอีกฝ่ายถามมาว่าเครียดเรื่องอะไร เธอจะตอบว่าอย่างไรดี แต่ปรานต์ไม่ถาม นอกจากเดินเข้ามาใกล้

“ถ้าเครียด เอาแบบนี้ดีไหม เย็นนี้ผมจะรีบกลับมา แล้วเราออกไปด้วยกัน”

“ออกไป?...ไปไหนคะ”

ทำให้หญิงสาวปริปากออกมาจนได้ ปรานต์ยิ้มน้อยๆ

“ไปเที่ยว”

“เที่ยว...ที่นี่มีที่ไหนให้เที่ยวอีกเหรอคะนอกจากฟาร์มกับไร่ ห่างไกลตัวเมืองอย่างนี้ ฉันไม่เห็นเลยว่าแถวนี้จะมีที่ไหนให้ไป...”

“วันนี้มีตลาดนัดเย็น เดี๋ยวผมพาไปเดินเล่น จะได้คลายเครียด”

พูดยังไม่ทันจบ ปรานต์ก็แทรกเข้ามาเสียแล้ว นาราจ้องใบหน้าคร้ามคมนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ขณะที่ปรานต์พูดย้ำ

“เป็นตลาดสด ตลาดกับข้าว ปนๆ กันไป แต่ก็มีเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ขายด้วย ไปเดินเล่นกัน เผื่อคุณมีอะไรอยากได้”

ใจจริงเขารู้ว่านาราไม่มีอะไรอยากได้หรอก เขาพูดเอาใจเธอไปอย่างนั้นเอง ใจก็ลุ้นว่าเธอจะตอบรับไหม เพราะพินิจจากสีหน้าอึดอัดระคนหงุดหงิดในตอนนี้ของเธอแล้ว เธอคงจะปฏิเสธอย่างแน่นอน

“ฉันไม่...”

“หกโมงเย็นตรงเป๊ะ ผมจะกลับบ้านมารับคุณ แต่งตัวสวยๆ แล้วเดี๋ยวไปตลาดกัน โอเคนะ”

เพราะรู้ทันถึงได้รีบแทรกทันทีที่ริมฝีปากบางเผยอเปล่งเสียง ถ้าเขาได้ยินไม่ผิด รู้สึกเหมือนเธอจะบอกว่า ‘ไม่’ อะไรสักอย่างด้วย

ดีแล้วละที่เป็นฝ่ายรีบแทรกแล้วมัดมือชก ถ้ามีคำว่า ‘ไม่’ หลุดออกจากปากของนาราได้เมื่อไร อย่าหวังเลยว่าจะทำให้เธอเปลี่ยนใจได้ง่ายๆ

“ไว้เจอกันตอนเย็นนะครับ”

ปรานต์ทิ้งท้ายไว้เท่านั้น ก่อนจะขอตัวออกไปที่ไร่ ทิ้งให้นาราถอนหายใจยาวกับเศษซากไข่ในครัวเงียบๆ...กับผีแม่สามี

‘ตาปรานต์ดีกับเธอขนาดนี้ เธอยังจะหวงเนื้อหวงตัวอีกเหรอ’

ได้จังหวะ ปราณีก็โพล่งขึ้นมา นาราเหลือบไปมองร่างโปร่งแสงนั่นแล้วทำได้แต่ถอนหายใจ

“มันไม่เกี่ยวกับทำดีแล้วต้องยอมให้เขาแตะเนื้อต้องตัวสักหน่อยนี่คะ”

‘แล้วเป็นผัวเมียกับตาปรานต์มันไม่ดียังไง’

“ไม่ได้บอกว่าไม่ดี เพียงแต่...”

‘แต่?’

“หนูไม่ได้รักเขา”

‘...’

“แค่นี้ก็น่าจะเป็นเหตุผลเพียงพอที่ไม่อยากให้เขามาโดนตัวแล้วนะคะ หวังว่าคุณป้าคงจะไม่ถามอะไรอีก”

ไม่ถามหรอก ปราณีเข้าใจ คนไม่ได้รักไม่ได้ชอบกัน ทำอะไรไปมันก็ฝืนใจทั้งนั้น แต่หล่อนไม่พูดหรอก พูดแล้วเดี๋ยวแม่ลูกสะใภ้จะคิดว่าเข้าข้าง แล้วจะได้ใจทำตัวเหมือนที่เคยผ่านมาอีก ตอนนี้ทุกอย่างอยู่บนความเป็นความตาย หล่อนจะปล่อยปละละเลยไม่ได้ ต้องจริงจัง!

‘จะไปทำอะไรก็ไปไป๊ คุยกับเธอแล้วฉันปวดหัว’

ปราณีเลยต้องกลบเกลื่อนไปอย่างนี้ 

นาราพยักหน้า กะว่าเก็บกวาดครัวเสร็จจะไปนอนต่ออีกสักหน่อย ทว่าผีแม่สามีกลับหนีหายไปก่อน หายวับไปกับตา ไม่รู้ว่าหายไปไหน

นารามองพื้นที่ว่างเปล่าข้างกายที่ตอนแรกมีร่างโปร่งแสงของปราณีอยู่ พลันถอนหายใจยาว

ไปได้ก็ดี เธอไม่อยากรู้หรอกว่าปราณีหายไปไหน แค่คิดถึงก็เครียดแล้ว 

ห่างกันสักพัก...ห่างกันยาวๆ หลายๆ วัน หรืออย่างดีก็หลายๆ ชั่วโมงหน่อย ไม่อย่างนั้นจากที่จะต้องตายเพราะถูกปรานต์ขอหย่า จะกลายเป็นเครียดจนหัวระเบิดแตกตายแทนแน่

ไม่ว่าจะอยู่หรือตาย ก็เป็นคนที่อยู่ใกล้แล้วปวดหัวมากจริงๆ


 


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น