8
เฮี้ยน
!
“คุณว่าแม่คุณเฮี้ยนไหม”
“หืม?”
“ฉันถามว่า...คุณว่าแม่คุณเฮี้ยนไหม”
คำถามแปลกๆ หลุดออกจากปากของนาราในขณะที่เธอกำลังนั่งล้อมวงกินข้าวกลางวันกับปรานต์อยู่ที่ศาลากลางไร่ อันที่จริงเธอตั้งท่าจะถามเขาด้วยคำถามนี้ตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนแล้ว แต่ละล้าละลัง ไม่กล้าถาม เกรงว่าจะเป็นการทำให้ผิดใจกันว่าเธอไปว่าแม่เขาเป็นผี อีกอย่างคือกลัวปราณีได้ยินแล้วจะไม่พอใจ ทำตัวขึ้นอืด บวมๆ เน่าๆ มาให้เธอได้เห็นอีก
ทว่า...สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้แก่ความอยากรู้นี้ ทั้งๆ ที่ไม่มีประโยชน์ว่าจะรู้ไปทำไม แต่ก็ยังอยากรู้
ส่วนเหตุผลที่เธอถามน่ะหรือ...
เธอรู้สึกว่าตั้งแต่เริ่มลุกขึ้นมาทำอะไรต่อมิอะไรให้ปรานต์ตามคำสั่งของปราณี เธอก็ยิ่งถูกปราณีควบคุมด้วยความกลัวมากยิ่งขึ้น ถ้าเธอไม่ทำ เธอก็จะโดนดีทั้งกลางวันกลางคืน แต่ถ้าทำตาม สิ่งที่ปราณีให้ทำก็จะยิ่งทำให้เธอสนิทชิดเชื้อกับปรานต์มากขึ้น...มากขึ้นตามลำดับ
เธอไม่ได้อยากตาย และก็ไม่ได้อยากทำหน้าที่ภรรยาที่ดีของปรานต์ เป็นแบบนี้ เธออึดอัดนะโว้ย!
ไปวะๆ โว้ยๆ ใส่ผีแม่ผัวก็ไม่ได้อีก เดี๋ยวเฮี้ยนขึ้นมามากกว่าเดิมจะว่าอย่างไร จึงได้แต่เอามาถามในวงอาหารด้วยหวังว่าจะมีเพื่อนคุยหรือใครสักคนไว้ระบายความกลัดกลุ้มตึงเครียดของเธอเท่านั้น
“ถามอีกทีสิครับ”
ปรานต์ได้ยินคำถามมาสองรอบแล้ว แต่ได้ยินไม่ถนัดนัก เขาไม่คิดว่าเธอจะถามคำถามลักษณะนี้ด้วยแหละ ชายหนุ่มวางช้อนส้อมบนจานข้าว มองดวงหน้าสดสวยของนาราที่ดูหมองลงไปจากการนอนหลับไม่เต็มอิ่มมาเมื่อคืน รอฟังเธอถามใหม่ด้วยความตั้งใจ
“ฉันถามว่า...คุณว่าแม่คุณเฮี้ยนไหม”
เอาละ เขาได้ยินไม่ผิดแน่ แต่...อะไรที่ทำให้เธอถามแบบนี้ล่ะ
“คุณเจอแม่ผมมาหลอกเหรอ”
ถามเข้าประเด็นตรงเผง นาราถึงกับเบิกตาโต
“คุณรู้?”
“ตกลงถูกแม่ผมหลอกจริงๆ ว่างั้น?”
ปรานต์ว่าพลางกลั้วหัวเราะ นาราก็ตระหนักขึ้นมาได้
ไอ้ลูกแหง่ตรงหน้านี่จะไปรู้อะไรล่ะ ทำเป็นถามให้เป็นมุกตลกไปอย่างนั้นแหละ
เธอหัวเราะแห้งๆ ตบมุกให้นิดหน่อยแล้วกัน จากนั้นค่อยปั้นหน้าตึงเครียด
“ฉันแค่ถามเฉยๆ ไม่ได้ถูกหลอกอะไร”
เลือกที่จะโกหกไปด้วย ไม่อยากบอกเรื่องของปราณีให้เขาฟังสักเท่าไร ปราณีกำชับไม่ให้เธอบอกด้วยแหละ เพราะในวันที่เธอถูกปลุกแต่เช้ามาทำอาหารให้ปรานต์ เธอโวยวายออกมาว่าจะไม่ทำตามแล้ว เท่านั้นสภาพของปราณีก็เปลี่ยนไปเป็นเน่าเฟะ ออกปากสั่งเสียงต่ำว่า ‘ถ้าเธอไม่ทำ เธอจะต้องมีสภาพเหมือนฉัน!’
แล้วใครจะอยากไปมีสภาพเน่าเฟะเหมือนปราณีกัน!
สรุปก็ต้องลุกมาทำกับข้าวกับปลาให้ปรานต์กินทั้งเช้าและกลางวัน เพิ่มเติมคือมากินข้าวกลางวันกับปรานต์ที่ไร่ด้วยตามความต้องการของปราณีที่ว่า ‘สามีภรรยายิ่งอยู่ใกล้กัน ยิ่งรักกันมากขึ้น’
ไม่รู้หรือว่ามันใช้ไม่ได้กับกรณีของนาราและปรานต์น่ะ
นาราพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง เธอค่อนข้างอารมณ์ไม่ดีเลยทีเดียว ร้อนก็ร้อน อยากกลับบ้าน ตาลูกแหง่ก็กินข้าวไม่ยอมอิ่มสักที อยากกลับบ้านเต็มแก่แล้ว
ความหงุดหงิดทวีมากขึ้นไปอีก เมื่อได้ยินเสียงแว่วหวานของใครบางคนดังขึ้น
ใครบางคน...เจ้าเก่าเจ้าเดิม
น้ำมนต์ในชุดเดรสผ้าลูกไม้ปลิวไสวเหมือนสาวน้อยในไร่ทุ่งมาพร้อมกับถุงผ้าใส่กับข้าวในมือ
“พี่ปรานต์คะ มนต์เอาเสบียงมาส่ง หวังว่าวันนี้จะได้กินนะคะ”
ขึ้นศาลามา ไม่สนใจทักใครทั้งสิ้นนอกจากปรานต์ เรียกได้ว่าข้ามหัวนาราเลยละ
ปกติวันอื่นๆ ก็ข้ามหัว นาราไม่ได้ว่าอะไรเพราะไม่ได้ใส่ใจ แต่สำหรับวันนี้...ในตอนที่หงุดหงิดอย่างนี้ แถมผีแม่สามียังทำตัวเป็นพรายกระซิบ...
‘แม่น้ำเดินมาเกาะแกะลูกฉันอีกแล้ว ทำอะไรสักอย่างสิยะ’
นาราก็ยิ่งกดดัน รวมถึงเครียดสะสมจนต้องพยายามหายใจเข้าหนอ ออกหนออย่างมีสติ กระนั้นผีแม่สามีก็ไม่วาย...
‘นี่ ตาปรานต์ตกลงจะกินกับข้าวฝีมือแม่น้ำเดินแล้วนะ จะไม่ทำอะไรจริงๆ ใช่ไหม’
“...”
‘ถ้าไม่ทำ คืนนี้เธอเจอฉันแน่’
ทำอะไรไม่ได้ก็เอาความผีมาขู่!
นาราสติแตกแล้วในตอนนี้ สายตามองตรงไปยังเบื้องหน้าที่น้ำมนต์กำลังเทกับข้าวใส่จาน แล้วเตรียมจะตักให้ปรานต์กิน ก่อนภาพใบหน้าของปราณีจะทับซ้อนใบหน้าเขา
เป็นผู้ชายที่หน้าตาเหมือนแม่มาก และมันทำให้เธออยากระบายอารมณ์มากเช่นกัน!
“ว่างมากหรือไง ถึงได้ทำนั่นทำนี่มาให้สามีชาวบ้านทุกวัน”
หลุดปากพูดออกไปทันที สายตาดูโกรธเกรี้ยว ทำเอาคนที่ได้ยินต่างพากันชะงัก มองหน้านาราด้วยความพร้อมเพรียง ไม่เว้นแม้แต่หม่องที่กำลังจะเข้ามาร่วมวงกินข้าว
“วันๆ ไม่ทำอะไร ลอยไปลอยมาตั้งแต่เที่ยงจนเย็น ทำตัวแบบนี้พ่อแม่ไม่ว่าหรือยังไงคะ”
เอาจริงๆ นาราไม่ได้อยากจะว่าน้ำมนต์ แต่น้ำมนต์ดันมีจุดที่ต่อว่าได้มากกว่าปรานต์ ขณะที่น้ำมนต์ซึ่งอยู่ๆ ก็ถูกต่อว่าทำหน้าเลิ่กลั่กไปไม่ถูก
“เอ่อ...คือมนต์...มนต์ไม่ได้...”
“มนต์แค่หวังดี เอากับข้าวมาส่งให้เฉยๆ แล้วก็อยู่เป็นเพื่อนคุยกับผมเท่านั้น หนูนาไม่ต้องหงุดหงิด มันไม่มีอะไร”
“อย่ามาเรียกว่าหนูนาค่ะ” เริ่มกลับมาหาช่องทางค่อนแคะชายหนุ่มได้แล้ว “แล้วฉันก็ไม่ได้หงุดหงิดอะไร แค่ถามเฉยๆ เพราะฉันไม่รู้เรื่องของคุณมนต์ เห็นมาที่นี่ได้ทุกวี่ทุกวัน เลยอยากรู้ว่าว่างเหรอก็เท่านั้น”
ในน้ำเสียงเรียบมีความกระแหนะกระแหนซ่อนอยู่ น้ำมนต์หดคอก่อนจะเหลือบมองปรานต์ หวังให้เขาช่วย ปรานต์ก็ช่วย แต่ไม่ได้ช่วยเพราะต้องการจะปกป้องน้ำมนต์ ทว่ากลัวเขาจะถูกเข้าใจผิดต่างหาก
“มนต์ก็มีธุระของเขา ทำเสร็จแล้วถึงค่อยมาหาผม ส่วนระหว่างเราสองคนไม่มีอะไร ถ้าไม่เชื่อถามหม่องได้”
หม่องที่ถูกโบ้ยอุจจาระไปให้ไม่ทันตั้งตัวถึงกับทำหน้าเหลอหลา แต่แล้วก็ยิ้มแหยๆ ออกมาเมื่อถูกดวงตาคมกริบของนาราจ้องมอง
“ครับ...หม่องเป็นพยานให้คุณปรานต์ได้เลย เรื่องผู้หญิงไม่มี้ไม่มี”
เสียงสูงแบบนี้แหละที่ไม่จริ๊งไม่จริงละ!
นาราไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้น เธอตวัดสายตากลับมามองชายหนุ่มตรงหน้าที่ดูอึดอัดไปทันตา พลางยกยิ้มที่มุมปาก
อย่างน้อยก็ได้ระบายอารมณ์ออกไปด้วยการจิกกัดคนข้างตัวเขาละนะ ถึงจะนิดๆ หน่อยๆ แต่ก็สบายใจละ งั้นเธอกลับดีกว่า ให้คนอื่นรับช่วงดูแลเขาต่อแทน
“จะอะไรก็ช่างเถอะค่ะ ฉันขอตัวกลับก่อนแล้วกัน เดาว่าคุณคงกินข้าวไม่ลงแล้ว ไว้เจอกันที่บ้านนะคะ”
พูดจบก็เดินลงจากศาลาไป คว้าจักรยานแม่บ้านที่ได้รับการใส่โซ่ให้กลับมาใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ถีบกลับบ้านไป วันนี้เธอไม่ลืมหมวกปีกกว้างใบโตใส่ครอบศีรษะมาด้วย ฉะนั้นแดดแรงก็ไม่กลัวหรอก มันบรรเทาได้ ที่จะกลัวก็คือ...
‘กว่าจะพูดใส่หน้าแม่น้ำเดินอะไรนั่นได้ ต้องให้รอหลายวัน เพิ่งสำนึกตัวเหรอว่าต้องประกาศความเป็นเมียน่ะ’
“ว้าย!”
จู่ๆ แม่สามีจอมเฮี้ยนก็โผล่มาแต่ศีรษะที่ตะกร้าหน้ารถ นาราเกือบจะเททั้งตัวเองทั้งจักรยานลงข้างทางไปแล้ว ดีนะที่เอาขายันพื้นไว้ได้ทัน
‘ขวัญอ่อนจริงแม่คุณ เห็นมานักต่อนักแล้ว เมื่อไรจะเลิกขวัญอ่อน’
ปราณีไม่ได้ต้องการคำตอบ หล่อนรู้ว่าอีกนานกว่าที่แม่คนนี้จะทำใจให้ชินกับหล่อนได้ หล่อนจึงได้แต่ยืนขึ้นทะลุตะกร้าหน้ารถออกมาอย่างช้าๆ จากนั้นก็กอดอกมองคนขวัญอ่อนที่หน้าถอดสีไปเล็กน้อย
‘ที่เธอทำบนศาลา ฉันเห็นหมดนะ’
เรื่องนี้ทำไมนาราจะไม่รู้ ตัวติดกันกับเธอตลอด ไม่เห็นสิแปลก
‘และฉันก็พอใจมากด้วยที่เธอมีปากมีเสียงกับเขาในฐานะเมียบ้าง ผู้หญิงอื่นมาเกาะแกะผัวตัวเองไม่เว้นวัน ไม่พูดก็ยิ่งเอาใหญ่ พูดไปอย่างนี้ แม่นั่นจะได้รู้ตัวบ้างว่าทำอะไรให้เกรงใจเมียเขา ไม่ใช่อยากได้ผัวคนอื่นจนตัวสั่นระริกระรี้’
“คุณป้าต้องการจะบอกอะไรหนูคะ”
นาราจับประเด็นไม่ได้ ปราณีเลยขยายความให้
‘ไม่ได้อยากจะบอกอะไรเธอ แค่อยากจะชม’
“ชม?”
‘ชมว่าทำได้ดี ไม่เห็นหน้าตอนแม่น้ำเดินถูกเธอว่าเหรอ ซีดเป็นไก่ต้มเชียว’
นาราร้องอ๋อ เธอไม่ได้ตั้งใจหรอก แค่ระบายอารมณ์น่ะ พลันประคองรถจักรยานให้ตั้งตรงแล้วออกแรงถีบไปข้างหน้าอีกครั้ง คราวนี้ปราณีกระถดตัวถอยลงไปในตะกร้า มีเพียงแต่ศีรษะและใบหน้าที่โผล่ขึ้นมา ชวนให้คนปั่นจักรยานขนลุก แต่ต้องทำใจดีสู้เสือเพราะบทสนทนายังไม่จบ
‘แต่ฉันไม่ชอบใจเธออย่างนึงนะ’
“เรื่องอะไรคะ”
‘เธอพาลใส่ลูกฉัน’
“พาลเหรอ พาลอะไร”
เธอไม่ได้ค่อนแคะเขาเลยแม้เพียงกระผีก มีแต่น้ำมนต์ที่โดนเท่านั้น
‘เธอหุนหันกลับบ้าน ทิ้งให้ลูกชายฉันทำหน้าหงอย นั่นแหละที่ฉันว่าพาล’
กระจ่างแจ้งแก่ใจในตอนนี้
ให้ตาย เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็เอามาใส่ใจหรือ!
ไม่แปลกเลยที่นาราจะแอบเหน็บปรานต์ว่าเป็นลูกแหง่ แม่ให้ท้ายและปกป้องทุกเรื่องอย่างนี้ อย่างไรก็ลูกแหง่ละ
‘หัดพูด หัดทำกิริยามารยาทกับลูกชายฉันดีๆ หน่อย นั่นสามีของเธอ และก็อายุมากกว่าด้วย’
“แต่คุณป้าคะ นี่ไม่ใช่ยุคโบราณแล้วนะที่ต้องมาเทิดทูนผัวไว้เหนือเกล้าน่ะ”
รวบรวมความใจกล้าว่าออกมาจนได้ ใบหน้าของปราณีในตะกร้าหน้ารถขมวดคิ้วมุ่นทันที
‘ฉันก็ไม่ได้บอกให้เธอกราบลูกฉันเช้าเย็นสักหน่อย แค่ให้เคารพกันบ้าง อย่างน้อยก็ให้เกียรติกันเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น ไม่ใช่ทำสะบัดสะบิ้งทิ้งเขามาอย่างนี้ มันทำให้เขาอึดอัดและเสียหน้า เข้าใจไหม’
เข้าใจสิ เข้าใจดี นาราก็ได้รับการอบรมเลี้ยงดูเรื่องมารยาทมาเยอะเหมือนกัน ทำไมจะไม่รู้ แต่ในเวลานั้น เธอหงุดหงิดกดดันจนเผลอแสดงอากัปกิริยาไม่ดีออกไป
เป็นแบบนี้...เธอจะได้รับบทเรียนแบบไหนจากผีแม่ผัวกันนะ
จินตนาการไม่ออกเลย จะมานอนทับ เหยียบหน้าอก ทำคอหักคอเบี้ยว ขึ้นอืดตัวบวม หรืออะไรที่ยังไม่เคยทำหรือเปล่านะ
คิดแล้วก็ใจสั่นขึ้นมา ปราณีเห็นสีหน้าของลูกสะใภ้แล้วก็พอจะเดาได้ว่านาราคิดอะไร
คิดว่าหล่อนเป็นแม่ผัวใจร้ายที่หาวิธีหลอกผีได้สารพัดเลยละสิ!?
ใช่...นาราคิดถูก อะไรไม่ได้ดั่งใจ หล่อนจะลงโทษด้วยวิธีเหล่านี้แหละ แต่วันนี้จะยกให้วันหนึ่งเพราะอีกฝ่ายทำบางสิ่งถูกใจ นั่นคือการต่อว่าแม่น้ำเดิน...เอ้ย น้ำมนต์คนดีนั่นอย่างไรล่ะ
‘กลับถึงบ้านก็อาบน้ำพักผ่อนซะ คืนนี้นอนให้เยอะๆ ฉันจะไม่กวน’
คำพูดนั้นทำให้นาราเหลือบมองในตะกร้าเล็กน้อย ก่อนที่ภาพใบหน้าและศีรษะของปราณีจะอันตรธานหายไป นาราถอนหายใจออกมาเต็มแรง
ในที่สุดเธอก็มีเวลาอยู่กับตัวเองสักที...
แต่ถ้าปราณียังเกาะเธอไม่เลิกราอย่างนี้ เธอคงจะสติแตกในอีกไม่นานแน่ เชื่อขนมกินได้เลย
ปราณีบอกให้พัก ลูกสะใภ้คนดีก็พักจริงๆ ตามที่ผีแม่สามีอนุญาต กลับมาถึงบ้าน ล้างเนื้อล้างตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าได้ นาราก็เข้านอนตั้งแต่บ่ายจนถึงเย็น ช่วงเย็นนี่ตื่นขึ้นมาเพราะมีนัดกับปรานต์
จริงๆ จะบอกว่านัดกับปรานต์ก็พูดได้ไม่เต็มปากนัก ต้องบอกว่าเป็นเพราะปราณีบังคับขู่เข็ญให้นารานัดกับปรานต์มากินข้าวเย็นพร้อมกันมากกว่า ถึงจะถูก
หญิงสาวเริ่มปฏิบัติภารกิจนี้มาหลายวันแล้ว ดูเหมือนปรานต์เองจะถูกใจเช่นกัน เขาหิ้วกับข้าวที่หม่องทำไว้ให้มากินกับศรีภรรยาของตนทุกเย็น ถึงจะแทบไม่ได้คุยกันเลยระหว่างมื้ออาหาร แต่ก็ดีกว่านั่งกินคนเดียวเปล่าเปลี่ยวเอกาเป็นไหนๆ
ทว่าวันนี้ต่างไปจากทุกวัน ไม่ใช่ปรานต์ที่ขี่มอเตอร์ไซค์มาพร้อมกับข้าวของมื้อเย็น แต่เป็นหม่องที่เดินเอาถุงกับข้าวมาให้ พร้อมบอก...
“คุณปรานต์ติดธุระ ออกไปโรงน้ำนมดิบน่ะครับ”
แล้วทำไมไม่โทร. มาบอกก่อน...
นาราอดบ่นในใจไม่ได้ ตอนนี้เธอหิวท้องกิ่วแล้ว นึกว่าตื่นมาจะได้กินเลยเสียอีก
“แล้วคุณปรานต์จะกลับมาเมื่อไร รู้ไหม”
หม่องส่ายหน้า “ไม่รู้เลยครับ”
นารายิ่งทำหน้ายุ่งมากไปอีก
มันน่าบ่นไหมเนี่ย ไปไหนมาไหนไม่บอกไม่พอ ยังจะไม่บอกอีกว่าจะกลับมาเมื่อไร โทรศัพท์มีไว้ทำไมกันนะ
“ไม่เป็นไร ไว้ฉันโทร. ไปถามเอง”
พูดไปอย่างนั้น หม่องก็รีบยกมือขึ้นเป็นเชิงขัด
“เอ่อ...คุณนาราครับ คุณปรานต์เขา...”
จากนั้นอีกฝ่ายก็ล้วงมือเข้าไปในกางเกง ยื่นบางสิ่งออกมาให้นายผู้หญิงดู นาราชำเลืองมองพร้อมๆ กับที่หม่องพูดขึ้นอีกครั้ง
“คุณปรานต์ลืมโทรศัพท์ไว้ที่ศาลาครับ”
เจริญล่ะพ่อคุณ! แสดงว่าต้องรอแบบไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไรสินะ
แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ถ้าไม่ใช่ธุระด่วนหรือสำคัญจริงๆ ปรานต์คงไม่ขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปนอกไร่ในช่วงโพล้เพล้อย่างนี้หรอก เอาเป็นว่าเธอจะไม่ถือสาหาความเขาแล้วกัน
“ขอบใจมากนะหม่องที่เอากับข้าวกับโทรศัพท์มาให้ ไปพักผ่อนเถอะ ฉันไม่รบกวนแล้ว”
“ครับคุณนารา”
หม่องยกมือไหว้ ก่อนจะเดินกลับไปที่ศาลาในไร่เพื่อเอาจักรยานตัวเองปั่นกลับไปยังที่พักคนงานของไร่ปานดวงใจ นอกจากจะเป็นคนงานประจำไร่แล้ว หม่องยังรับหน้าที่เป็นผู้รักษาความปลอดภัยของไร่แห่งนี้อีกด้วย แม้ว่าปรานต์จะไม่ได้มอบหน้าที่นี้อย่างเป็นงานเป็นการก็เถอะ แต่หม่องก็อยู่ที่นี่มานานตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ ทำให้ไร่ปานดวงใจเป็นเสมือนบ้าน เขาจะดูแลบ้านของเขาให้สงบเรียบร้อย มันก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงหรอก
ส่วนนาราเมื่อได้ของทั้งหมดมาไว้ในมือก็กลับมานั่งรอในบ้าน เธอเอากับข้าวไปใส่ตู้เย็นไว้ก่อน กะไว้ค่อยอุ่นตอนที่ปรานต์กลับมา โทรศัพท์มือถือของเขาเธอก็ไม่ได้ไปยุ่งอะไร นอกจากเอาไปวางไว้บนโต๊ะรับแขก จากนั้นก็เอกเขนกนอนอยู่บนโซฟา รอการกลับมาของสามี แต่นอนได้ไม่นานก็ต้องสะดุ้งเมื่อจู่ๆ ปราณีโผล่แวบขึ้นมาจากโซฟาทางปลายเท้า
“ว้าย!”
‘ขวัญอ่อนไม่เลิกรา’
ปราณีบ่นเสียงขรม คนถูกว่าถึงกับชักสีหน้า
“ถ้าคุณป้าโผล่มาแบบปกติๆ หนูก็ไม่ตกใจหรอกค่ะ นี่อะไร เดี๋ยวโผล่มาจากตะกร้าจักรยานบ้าง กลางเตียงบ้าง ปลายโซฟาบ้าง ใครจิตแข็งก็เทพแล้วค่ะ”
‘นี่ๆ ให้มันน้อยๆ หน่อย ฉันไม่ได้โผล่มาให้เธอประชดประชันนะยะ ฉันแค่จะมาบอกอะไรก็เท่านั้น’
นารารู้ตัวในตอนนี้ว่าหลุดพูดอะไรไปเยอะแยะ บางที...เธอคงจะกลัวปราณีน้อยลงแล้วละมั้ง?
“บอกอะไรเหรอคะ” ตั้งสติได้ก็ถามกลับ
ปราณีผุดจากโซฟามาเต็มๆ ตัว ก่อนปรับท่าให้เป็นท่านั่ง พร้อมใช้มือปัดๆ เท้าเรียวของหญิงสาวออกไปทั้งๆ ที่กายทิพย์ของตัวเองนั่งทับเท้าของอีกฝ่ายอยู่ นาราชักขากลับ ลุกขึ้นมานั่งหลังตรงบ้าง
‘ฉันแค่จะมาบอกว่าวันนี้ตาปรานต์คงกลับดึก’
“คุณป้ารู้ได้ไงคะ”
‘ไปโรงน้ำนมดิบแสดงว่ามีปัญหาเรื่องการซื้อขาย พวกการตกลงราคาอะไรแบบนั้น ต้องไปเจรจากันนาน ฉันกับคุณประทีปเคยทำฟาร์มและไร่นี่มาก่อน ทำไมจะไม่รู้’
นั่นสิ นาราลืมไปเสียสนิทเลย จริงๆ เธอลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่านอกจากไร่ข้าวโพดหลายไร่แล้ว ยังมีฟาร์มโคนมที่เธอไม่เคยไปเยือนอยู่อีก เอ...มันอยู่ตรงไหนของไร่ปานดวงใจกันนะ
‘ฉันก็เลยจะบอกให้เธอไม่ต้องรอตาปรานต์ กินข้าว เข้านอนก่อนได้เลย ดึกแน่นอน’
พูดมาอย่างนี้ นาราก็พลันยิ้มแฉ่ง “ถ้าเขาติดธุระทุกวันอย่างนี้ก็ดีเนอะ หนูจะได้ไม่ต้องรอ”
พลันก็เรียกสายตาเขียวๆ จากปราณีได้ทันที ‘พูดอย่างกับว่าไม่อยากกินข้าวเย็นพร้อมลูกชายฉันงั้นละ’
“ไม่ใช่ไม่อยากกินค่ะ แต่หนูขี้เกียจรอ อีกอย่าง หนูไม่อยากรู้สึกด้วยว่าตัวเองเป็นฝ่ายดูแลเอาอกเอาใจเขามากเกินไป แต่เขาไม่ได้เอาอกเอาใจหนู”
ว่ากันตรงๆ ว่ามันทำให้เธอเสียหน้า แต่ปราณีไม่เห็นด้วยกับตรรกะพิลึกพิลั่นนี้
‘ทำไม...เอาอกเอาใจลูกชายฉันแล้วมันเป็นยังไง ถ้าเธอทำให้เขารักเธอได้ เธอก็ไม่ต้องหย่ากับเขา แล้วก็จะได้ไม่ต้องตายในอีก...’ พูดพลางยกข้อมือข้างซ้ายขึ้นดูนาฬิกาชีวิตของนารา
ใช่ นาฬิกาชีวิต เรียกแบบนั้นได้เลยละ
‘เหลืออีกไม่เท่าไร...อยากตายก่อนวัยอันควรหรือไงฮะ’
ปราณีเลี่ยงที่จะไม่พูดจำนวนวัน หล่อนเห็นตัวเลขบนหน้าปัดนาฬิกาแล้ว ใจชักจะฝ่อ แม่ลูกสะใภ้คนนี้ กลัวตายจริงหรือเปล่านะ ทำอะไรไม่จริงจังสักอย่างเลย ต้องให้หล่อนสอนสั่งตลอด แล้วดูนี่สิ รู้ตัวว่าจะตายแท้ๆ ยังจะมามีทิฐิอะไรอีก ไร้สาระ!
“ไม่ได้อยากตายค่ะ”
‘แล้วจะมาบ่นเรื่องเอาอกเอาใจตาปรานต์ทำไมไม่ทราบ’
“หนูแค่อยากให้มันแฟร์ๆ ทั้งสองฝ่ายน่ะ หมายถึง...ให้เขาเอาอกเอาใจหนูบ้าง ไม่ใช่ให้หนูทำแต่ฝ่ายเดียว”
อ้อ กลัวเรื่องความไม่เสมอภาคสินะ
ปราณีคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระอยู่ดีนั่นละ จะตายรอมร่อ คิดมาก ทิฐิมากให้วุ่นวายไปทำไม ตายแล้วไม่มีทางแก้รอบสองแล้วนะ อย่าหาว่าหล่อนไม่เตือน
‘ถ้าเธออยากให้ตาปรานต์เอาอกเอาใจ เธอก็บอกตาปรานต์ไปสิ จะอมพะนำทำไม’ เตือนแล้วก็พูดตรงๆ ไปด้วย
นาราทำปากยื่น เหลือบมองหน้าผีแม่สามี
“ไม่เอาค่ะ ไม่อยากไปบังคับเขา”
‘เอ๊ะ แม่นี่...’
“ถ้าคุณปรานต์อยากทำก็ให้เขาทำเองดีกว่า ไม่อย่างนั้นเขาก็จะไม่เต็มใจทำแบบที่หนูทำนี่ไง”
ปราณียกมือขึ้นคลึงขมับ ตรรกะผิดเพี้ยนไปหมดแม่คนนี้ อยากได้อะไร ไม่อยากได้อะไร ไม่บอกไปตรงๆ แล้วลูกชายหล่อนจะรู้ไหม
‘เรื่องมากเหลือเกิน’
“หนูก็เป็นแบบนี้มาตลอด คุณป้ายังไม่ชินเหรอคะ”
นาราแสร้งว่า ปราณีมองดวงหน้าสดสวยที่ฉาบรอยยิ้มบางๆ ไว้นิ่ง ก่อนใบหน้าจะค่อยๆ บวมอืดขึ้นเรื่อยๆ จนนาราต้องร้องลั่น
“โอ๊ย! คุณป้า! ไม่เอาแล้วนะมุกขึ้นอืดเวลาไม่พอใจเนี่ย เล่นมุกใหม่บ้างเถอะ หนูเบื่อแล้ว”
แล้วก็กลัวเหมือนเดิมด้วย นาราไม่พูด แต่ปราณีรู้จากสีหน้าซีดเผือดทันตาของหญิงสาวนั่นแหละ
‘ก็เหมือนกับที่เธอไม่ชินฉันในสภาพเละเทะนั่นแหละย่ะ’
ปราณีกลับสู่สภาพเดิม กระแทกเสียงตบท้าย พลันลุกจากเก้าอี้
‘เอาเป็นว่าวันนี้ฉันจะยกให้วันนึง อยากทำอะไรก็ทำ อยากพักก็พัก ตาปรานต์กลับดึกแน่นอน ไม่ต้องรอ ฉันจะได้ไปทำธุระของฉันด้วย’
“ธุระอะไรคะ แล้วไปทำที่ไหน”
นาราอดสงสัยไม่ได้ว่าเวลาที่ปราณีหายตัวไป หล่อนไปไหน และไปทำอะไร แต่ได้คำตอบเป็นตาเขียวๆ ของอีกฝ่าย พร้อมกับเสียงดุ
‘ไม่ใช่เรื่องของเธอ เรื่องของผู้ใหญ่นี่อยากรู้นัก’
พูดแล้วก็หายวับไปจะจะคาตา ทิ้งให้นาราทำหน้ามุ่ยอยู่ตามลำพัง
“อะไรของเขา ถามหน่อยก็ไม่ได้ ก็อยากรู้นี่ว่าสวรรค์นรกมันเป็นยังไง โลกหลังความตายเป็นยังไง”
พูดได้แค่นี้ก็เงียบเสียงไป กลัวปราณีกลับมาบอกว่า ‘อยากรู้นักก็ลองตายสิ’ เลยไม่ต่อปากต่อคำจะดีกว่า
แต่...พอไม่มีใครอยู่บ้านก็เงียบเหงา นารานั่งพิงโซฟาอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้จะทำอะไรจึงเปิดโทรทัศน์ดูผ่านๆ ไปเรื่อยๆ หรือ...อาจจะเรียกว่าเปิดโทรทัศน์ให้ดูเธอก็ได้ เพราะหลังจากนั้นไม่นาน ความง่วงงุนก็รุกรานเธออีกครั้ง ทำให้หญิงสาวเหยียดตัวยาวนอนไปบนโซฟา เข้าสู่ห้วงนิทรารมณ์โดยง่าย
อาจจะเพราะนอนน้อยมาหลายคืน แม้นอนไปเมื่อบ่ายแล้วก็ยังไม่เพียงพอ นาราถึงได้หลับสนิทไม่รู้เหนือรู้ใต้ ไม่รู้กระทั่งว่าปรานต์ได้กลับมาถึงหน้าบ้านแล้ว
ชายหนุ่มดับเครื่องยนต์ของมอเตอร์ไซค์คันเก่ง ก่อนจะเปิดประตูเข้าบ้าน พลันก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่าประตูไม่ได้ล็อก มิหนำซ้ำยังมีเสียงโทรทัศน์เล็ดลอดมาให้ได้ยินอีก แต่...ไม่มีคนดูโทรทัศน์
เขามองจากทางด้านหลังโซฟา จึงไม่เห็นร่างบางที่นอนขดอยู่ กระทั่งเดินมาปิดโทรทัศน์นั่นละ ถึงได้เห็นว่านารานอนอยู่ตรงนั้น
“นารา?”
เขาแปลกใจไม่น้อยที่เห็นเธอมานอนอยู่ตรงนี้ หันไปมองนาฬิกาที่แขวนผนังก็เห็นว่าตอนนี้บอกเวลาห้าทุ่มแล้ว เธอยังไม่เข้าห้องนอน กลับมานอนอยู่ตรงนี้ หรือว่า...รอเขาอยู่?
ปรานต์ไม่กล้าคิดไปอย่างนั้นเท่าไรนัก เพราะตั้งแต่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับนารา เธอไม่เคยใส่ใจหรือสนใจเขาเลยสักครั้ง ส่วนก่อนหน้านั้นที่ยังไม่ได้แต่งงานกัน ล้วนแล้วเป็นความทรงจำดีๆ ที่เธอปฏิบัติตัวกับเขาตรงกันข้ามกับในตอนนี้อย่างสิ้นเชิง
เช่นอะไรน่ะหรือ
เช่น เธอเรียกเขาว่า ‘พี่ปรานต์’ ไม่ใช่ ‘คุณปรานต์’ อย่างตอนนี้ และเรียกแทนตัวเองว่า ‘หนู’ ไม่ใช่ ‘ฉัน’ อย่างไรล่ะ
เวลาก่อให้เกิดเหตุการณ์ เหตุการณ์ทำให้อุปนิสัยคนเปลี่ยน ปรานต์เข้าใจเรื่องนี้ดี เขาไม่โทษนาราที่หลังจากแต่งงานกับเขาแล้ว เธอก็เย็นชา อีกทั้งเอาแต่ใจกับเขามาตลอด มันไม่ใช่ความผิดเธอ จริงๆ เป็นความผิดเขา...ที่เป็นฝ่ายไปตอบรับผู้ใหญ่ว่าจะแต่งงานกับเธอก่อน ทำให้เธอถูกบีบบังคับให้แต่งกับเขา จนเธอต้องปล่อยเลยตามเลย เพราะเห็นแก่ใจของบิดาที่แก่เฒ่าลงไปทุกวันๆ มากกว่าใจของตัวเอง
เรื่องนี้หากจะต้องเล่า เล่าสามวันก็ไม่จบ ปรานต์สลัดความคิดฟุ้งซ่านในอดีตทิ้งไป ตรงมาสะกิดไหล่เล็กเบาๆ
“นารา...ทำไมมานอนตรงนี้ เข้าไปนอนในห้องสิ”
“...”
“ยุงเยอะนะ หนาวด้วย เข้าไปนอนในห้องไป”
“อืม...”
ไม่ตื่น แต่มีปฏิกิริยาตอบรับในเชิงรำคาญ เรียวคิ้วสวยขมวดมุ่นเลยทีเดียวละ
“นารา...ลุกไปนอนในห้อง...”
“อื้อ!”
คราวนี้รำคาญหนัก ไม่เพียงแต่ส่งเสียง ยังปัดมือไปมาในอากาศคล้ายไล่อีกด้วย ปรานต์เหยียดตัวขึ้นยืน มองอยู่พักหนึ่ง ก่อนพ่นลมหายใจ
“ก็ได้ ในเมื่อไม่ยอมลุกเอง ผมก็จะพาคุณไปส่งถึงที่”
ไม่อยากให้ภรรยานอนอยู่ตรงนี้ ประตูเปิดเข้าเปิดออกทั้งวัน ยุงเล็ดลอดเข้ามาจะกัดให้ผิวสวยๆ เป็นตุ่มแดงๆ ได้
คิดดังนั้นก็โน้มตัวลงไปใกล้ร่างเล็ก ปากพึมพำ
“ขอโทษที่ล่วงเกินนะครับ” จากนั้นก็ส่งเสียง ‘ฮึบ!’ เมื่อสอดแขนเข้าใต้ร่างบางได้เป็นที่เรียบร้อย
นาราหลับสนิท ไม่ตื่น ไม่สะเทือนใดๆ มีเพียงเสียงอื้ออืมในลำคอที่บ่งบอกถึงความรำคาญเล็กน้อยเท่านั้น แต่ไม่ตื่นขึ้นมาแหละดีแล้ว ปรานต์ยังไม่อยากถูกก่นด่าที่ล่วงเกินภรรยาของตนเองโดยไม่ได้รับอนุญาตหรอก
ใช่ ต้องใช้คำว่าล่วงเกินเลย เพราะตั้งแต่แต่งงานกันมา แม้แต่ปลายเล็บ เขาก็ไม่เคยแตะ จู่ๆ มาอุ้มอย่างนี้ แน่นอนละว่านาราต้องไม่ยอมอยู่แล้ว
ถ้าจะด่า เอาไว้ค่อยด่าพรุ่งนี้แล้วกัน เขาจะได้ให้เหตุผลว่าเพราะอะไรถึงได้อุ้มเธอมานอนในห้องนอนแทน
แขนแกร่งวางร่างของหญิงสาวลงบนฟูกนุ่มอย่างทะนุถนอม ผ้าห่มถูกดึงขึ้นมาทาบทับร่างนั้นจนถึงคอ ปรานต์นั่งลงที่ขอบเตียง มองดวงหน้าผุดผาดของนารานิ่งๆ อย่างครุ่นคิด
ผู้หญิงคนนี้เป็นภรรยาของเขา...ทางนิตินัย และดูแล้วคงจะไม่มีทางเป็นไปมากกว่านี้ เพราะเขากับเธอไม่มีอะไรที่เข้ากันได้เลย ไม่ว่าจะมีพ่อแม่อยู่ครบ หรือจะมีกันแค่สองคน ก็ไม่มีอะไรที่ไปด้วยกันได้ มันชัดเจนมาทุกช่วง ไม่เว้นแม้แต่ช่วงนี้ที่นาราพยายามทำอะไรให้เขา แต่เขาสัมผัสได้ว่าเธอไม่ได้ทำจากใจจริง เหมือนทำไปด้วยจุดประสงค์บางอย่างที่เขาคาดเดาไม่ได้เหมือนกันว่ามันคืออะไร และเขาก็ไม่คิดจะไปคาดคั้นด้วย เพราะเขากลัวคำตอบ
คำตอบอะไร...มันเกินที่ปรานต์จะคาดเดาเหมือนกัน รู้แต่ว่าพอนาราลุกมาทำอะไรอย่างนี้ เขาก็อึดอัดไม่น้อย แต่ในความอึดอัด...ก็ดันมีความชอบอยู่
เขาชอบให้นาราแสดงออกในฐานะภรรยา ไม่ว่าจะดีหรือร้าย เขาชอบทั้งนั้น อย่างน้อยก็ไม่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองกับนาราอยู่ห่างกันเกินเอื้อม ทั้งๆ ที่เธอยืนอยู่ตรงหน้าเขาเพียงไม่กี่ก้าว
เป็นความรู้สึกที่ประหลาดพิลึกสิ้นดี...
ปรานต์ปล่อยลมหายใจยาว ดึงผ้าห่มให้กระชับร่างแน่งน้อยอีกที ก่อนตัดสินใจจะออกจากห้องไป แต่ก่อนออกก็ไม่วายลอบพินิจดวงหน้าน่ารักที่เขาชื่นชอบมาตลอดอยู่อีกครู่ โดยไม่รู้เลยว่าระหว่างที่เขายืนมองหน้าภรรยายามหลับอยู่นั้น ปราณีโผล่ออกมาในร่างโปร่งแสง มองการกระทำของลูกชายแล้วพึมพำอยู่คนเดียว
‘แม่รู้ว่าแกคิดอะไร ตาปรานต์’
แค่เห็นสายตาที่ใช้มองนารา ปราณีก็รู้ตามประสาคนอาบน้ำร้อนมาก่อน แต่หล่อนเลือกที่จะไม่พูดเรื่องนี้ นอกจากการให้คำมั่นกับลูกชาย
‘แม่จะไม่ยอมให้แกถูกกล่าวหาว่าเป็นสาเหตุทำให้เมียตายหรอก ไม่มีทางเลย’
ท่ามกลางความเงียบงันนั้น ไม่มีเสียงใดๆ ลอยมาเข้าหูชายหนุ่มทั้งนั้น มีแต่ปราณีที่ปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำให้ลูกชายมีความสุขตราบชั่วชีวิตของเขาเท่านั้น
จะไม่ยอมให้ปรานต์กลายเป็นคนอมทุกข์ไปตลอดชีวิต...ไม่ยอมอย่างเด็ดขาด
‘แม่จะทำทุกอย่างเพื่อให้แกหลุดพ้นจากความทุกข์ชั่วชีวิตของแก ไม่ว่าจะต้องแลกกับอะไรก็ตาม’
ประโยคนี้ปรานต์ก็ไม่ได้ยิน เขาผละจากเตียงที่นารานอนไปปิดสวิตช์ไฟและออกจากห้องไป เหลือแต่ปราณีที่มองลูกสะใภ้ยามหลับใหลแล้วได้แต่คิด
แม่ของปรานต์เฮี้ยนไหมอย่างนั้นหรือ...
เฮี้ยนหรือไม่เฮี้ยนไม่รู้ละ รู้แต่ว่าหล่อนตายตาไม่หลับแน่นอนถ้าปรานต์ยังเป็นทุกข์อยู่ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร หล่อนก็จะช่วยปลดเปลื้องทุกข์ให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนทุกอย่าง
ทีนี้ละ แม่ลูกสะใภ้ตัวดีจะได้รู้ว่าผีแม่ผัวอย่างปราณีเฮี้ยนจริงหรือไม่
ถ้าคิดว่านี่เฮี้ยนแล้ว หล่อนเฮี้ยนได้กว่านี้อีก...บอกเลย
‘พรุ่งนี้เรามีงานใหญ่ต้องทำกันแล้วละ แม่นารา’
ปราณีลอยไปกระซิบที่ข้างใบหูของหญิงสาว นาราตกอยู่ในภาวะฝันร้ายทันที ยกมือโบกปัดไปมา หน้าสะบัดหนีซ้ายทีขวาที ปากพึมพำ
“ไม่...คุณป้า...ไม่...”
ปราณีถอยห่างออกมา ส่ายหน้าให้กับท่าทางหวาดผวานั้น ก่อนจะหายวับไป ส่วนนารา...คงอีกนานทีเดียวกว่าจะปรับตัวเข้ากับปราณีในสภาพผีๆ อย่างนี้ได้
หรือต้องกลายมาเป็นผีเหมือนกันก่อน ถึงจะหายหวาดผวาปราณีได้กันนะ?
น่าเป็นห่วงจริงๆ...
ความคิดเห็น |
---|