7

ปฏิบัติการห้ามตาย!

7

ปฏิบัติการห้ามตาย!

 

นาราห้ามตาย

ห้ามตายเด็ดขาด!

แต่ดูเหมือนจะมีแค่ปราณีเท่านั้นที่ยึดเป้าหมายนี้ ไอ้ตัวคนที่ใกล้จะตายอยู่รอมร่อกลับทำตัวเอื่อยเฉื่อย ตื่นแล้วก็ยังหนีไปนอนต่อ ไม่ยอมตื่นแล้วตื่นเลย ทำให้ปราณีต้องตามไปก่อกวน ดึงผ้าห่มบ้าง แกล้งทำเสียงดังๆ ให้สะดุ้งตื่นบ้าง จนสุดท้ายนาราก็ทนข่มตาหลับต่อไม่ไหว ดีดตัวลุกขึ้นนั่งแล้วหลับหูหลับตาถามเสียงดัง

“คุณป้าจะเอายังไงกับหนู หนูเหนื่อยแล้วนะ!”

เหนื่อยจริงๆ ถูกหลอกหลอนตามกวนใจจนเหนื่อย สิ่งที่ปราณีอยากให้เธอทำ เธอก็ทำตามไปหมดแล้วนี่ ให้เธอนอนสักงีบมันจะเป็นอะไรไป!

ปราณีที่คอยก่อกวนหญิงสาวปรากฏกายเป็นร่างโปร่งใสมาให้เห็นตรงปลายเตียง นาราเหลือบมองแล้วถามคำถามเดิมด้วยเสียงที่เบาลง

“เหนื่อยนะคะ ขอหนูนอนสักงีบได้ไหม อย่ากวน”

เป็นการขอร้องหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจนัก ปราณียกข้อมือซ้ายที่มีนาฬิกานับถอยหลังอายุของนาราขึ้นมาดู

‘ฉันก็เข้าใจอยู่หรอกนะว่าเธอเหนื่อยเพราะไม่เคยตื่นเวลานี้ แต่เห็นทีฉันคงจะให้เธอนอนต่อไม่ได้’

“ทำไมคะ” นาราถามขณะที่เรียวคิ้วขมวดมุ่น

‘เพราะเวลาของเธอเหลือน้อยลงเต็มทีน่ะสิ’ ว่าพลางเอานิ้วชี้ข้างขวาเคาะๆ บนหน้าปัดนาฬิกาเป็นการเตือนว่าเวลาเหลือน้อยจริงๆ

นารายกมือขึ้นลูบใบหน้า สรุปแล้วเรื่องที่เธอประสบอยู่มันเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เธอคิดมาก เบลอ หรือเพ้อเป็นประสาทไปเองใช่ไหม

“คุณป้าเป็นของจริงเหรอคะ”

ความจริงนาราก็รู้อยู่แก่ใจว่าอะไรจริงไม่จริง ถ้าไม่จริง เธอคงไม่ได้สัมผัสและรับรู้ตลอดหลายวันมานี้หรอก

‘เธอสับสนอะไรของเธอไม่ทราบ ที่ผ่านมามันยังไม่ชัดเจนอีกหรือไงว่าฉันเป็นของจริง’

ดวงตาคู่สวยเหลือบมองหน้าคน...ผีพูดอีกรอบ

เป็นของจริง...จริงๆ 

ถ้าอย่างนั้น...

“หนูขอเปิดอกคุยกับคุณป้าเคลียร์ๆ อีกสักครั้งได้ไหมคะ”

‘เรื่องอะไร’

“ที่คุณป้าไม่ยอมไปสู่สุคติแบบนี้ เป็นเพราะอะไร”

ปราณีชะงักไปเล็กน้อย หล่อนบอกเหตุผลไปแล้วนี่ว่าเพราะอะไร อยากจะสวนกลับแม่ลูกสะใภ้เหมือนกันนะ แต่ดูหญิงสาวสับสนกับสิ่งที่เจออยู่ งั้นตอนนี้จะอธิบายดีๆ แล้วกัน

‘เป็นเพราะฉันเป็นห่วงลูกชายฉัน’ หล่อนว่าไปตามตรง พอนาราสบตาก็พูดต่อ ‘ในวันทำบุญครบรอบวันตายหนึ่งร้อยวันของฉัน เธอจะถูกปรานต์ขอหย่า และเธอจะต้องตายเพราะความประมาทของตัวเอง แต่ก่อนตาย จิตของเธอมาผูกอาฆาตโทษว่าตาปรานต์เป็นต้นเหตุทำให้เธอตาย ฉันรับรู้และทนไม่ได้ ถึงได้ไปขอให้ท่านยมบาลช่วย’

“ให้ยมบาลช่วย?”

‘ใช่ ยมบาลที่เป็นผู้พิพากษาดวงวิญญาณในนรกภูมิ ฉันไปขอให้ท่านช่วยเอาชีวิตเธอกลับคืนมา เพื่อที่จะได้กลับไปแก้ไขเหตุการณ์ในวันนั้น ช่วยให้เธอไม่ตาย และช่วยให้ตาปรานต์พ้นผิดจากข้อกล่าวหาที่จะทำให้เขาเฝ้าโทษตัวเองว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอตายไปตลอดชีวิต ฉันรู้จักนิสัยลูกชายฉันดี เขามักไม่โทษคนอื่น โทษแต่ตัวเอง ฉันไม่ยอมให้ตาปรานต์จมอยู่กับความทุกข์ทั้งชีวิตหรอก’

“คุณป้าก็เลยต้องกลับมา”

‘แลกกับการไม่ได้รับบุญจากการทำบุญร้อยวันของฉัน ฉันเอาไปซื้อเวลาให้เธอได้มีชีวิตย้อนกลับไปหนึ่งร้อยวันก่อนตาย’

“ซื้อเวลา? ต้องซื้อด้วยเหรอคะ ไหนว่าไปขอให้ท่านยมบาลช่วย”

‘แล้วเธอคิดเหรอว่าท่านจะช่วยฟรีๆ ไม่มีของฟรีในโลกไม่ว่าจะภพภูมิไหนทั้งนั้น ในภพของฉันก็มีสิ่งที่ใช้แทนเงินอยู่เหมือนกัน’

“มันก็คือ...”

‘แต้มบุญ’ ปราณีตอบ ก่อนจะคิดได้ว่าควรอธิบายเพิ่มหน่อย ไม่อย่างนั้นหญิงสาวตรงหน้าทำหน้างุนงงสงสัยไม่เลิกราแน่ ‘ในนรกหรือสวรรค์ สิ่งที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนเหมือนเงินเรียกว่าแต้มบุญ มันคือการทำความดีที่เราทำเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ พอตายไปแล้ว ก็เอาบุญนั้นๆ มาใช้จ่าย ใครทำบุญมาให้ก็เหมือนมีคนเอาเงินมาให้ ถ้าหาไม่ได้ก็ต้องสร้างเอง จะด้วยการใบ้หวยหรือหลอกหลอนให้คนกลัวจนทำบุญมาให้ ก็สุดแท้แต่ใจนึก’

น่าสนใจมาก! นาราอดคิดไม่ได้

“แล้วคุณป้ารู้ได้ยังไงคะว่าแต้มบุญเรามีเท่าไร”

ปราณีสะบัดมือเล็กน้อย พลันก็ปรากฏบัตรคล้ายบัตรเอทีเอ็มในมือ

‘ก็ใช้ไอ้นี่รูดจ่ายเอา เรียกว่าบัตรแต้มบุญ จะเชื่อมต่อกับบัญชีแต้มบุญของธนาคารนรกหรือสวรรค์อีกที’

ทันสมัยมาก นาราคิดว่านรกหรือสวรรค์มันจะเป็นอะไรที่โบราณๆ เสียอีก ทำเอาเธออยากถามไม่รู้จบ

“ถ้าอย่างนั้นพ่อของหนูก็ต้องมีบัตรแต้มบุญด้วยน่ะสิคะ” 

ณัฐฐ์เป็นคนแรกที่นาราคิดถึง ตามด้วย...

“แล้วคุณป้าอยู่ในนรกหรือสวรรค์ แล้วพ่อของหนูล่ะ อยู่ที่...”

‘โอ๊ย นี่เธอ จะถามซักไซ้อะไรนักหนา ฉันขี้เกียจตอบ’

“ก็หนูอยากรู้”

นาราถึงกับชะงัก ตอนนี้กลับมากลัวว่าปราณีจะทำหน้าตาเละๆ ให้เห็นอีกแล้ว ปราณีก็อ่านความคิดของหญิงสาวได้เช่นเคย พลันพ่นลมหายใจเต็มแรง

‘เอาไว้ฉันจะเล่าให้ฟัง จะเล่าทุกอย่างที่เธออยากรู้เลย แต่ต้องมีเงื่อนไข’

“เงื่อนไขอะไรคะ”

‘ทำหน้าที่ภรรยาที่ดีให้ปรานต์หนึ่งครั้ง ฉันจะเล่าเรื่องในภพนี้หนึ่งเรื่อง’

นาราถึงกับทำหน้าเหยเก แต่ปราณีไม่สนหรอก หล่อนตั้งกติกาแล้ว มันจะเป็นไปตามนั้น

‘ตกลงตามนี้ อยากรู้อะไรก็ต้องทำตัวดีๆ แลก แล้วก็ลุกจากเตียงได้แล้ว อย่ามาทำตัวเอื่อยเฉื่อย เธอเหลือเวลาไม่มากแล้วนะ’

นารานิ่ง ไม่ยอมขยับ จนปราณีต้องเรียกอีกครั้ง

‘เอ้านี่ แม่นารา จะนิ่งอีกนานไหม ลุก!’

“ถ้าหนูตาย หนูจะได้เจอพ่อใช่ไหมคะ”

ปราณีเบิกตาโต ‘อย่าบอกนะว่าเธอคิดจะปล่อยให้ตัวเองตาย’

คนถูกถามไม่ตอบ คิดแต่ว่าบางทีการได้ตายไปแล้วเจอพ่อก็อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ เพราะอยู่บนโลกนี้ เธอก็ไม่เหลือใคร 

แต่ปราณีไม่ยอม พอจะเดาความคิดหญิงสาวได้ก็แหวเป็นการใหญ่

‘เธออย่ามาทำตัวไร้ความคิด ไร้แก่นสาร พ่อของเธอคงไม่ดีใจหรอกที่ลูกตัวเองรีบตายมาหาน่ะ อย่าลืมนะว่าฉันมาช่วยเธอแบบนี้ มันต้องแลกกับแต้มบุญของฉัน ฉันจ่ายแต้มบุญไปแล้ว จะไม่ยอมให้มันสูญไปฟรีๆ หรอกย่ะ เลิกทำท่าซังกะตายแล้วลุกขึ้นสักที’

“หนูจะลุกก็ได้ แต่ขอให้คุณป้าตอบมาหน่อยว่าถ้าหนูตายไปในวันทำบุญครบวันตายหนึ่งร้อยวันของคุณป้า หนูจะได้เจอพ่อไหม”

‘นี่เธอ...’

“ถ้าได้คำตอบ หนูจะทำตามที่คุณป้าต้องการ จะตอบไหมคะ”

ปราณีลังเลไปเล็กน้อย แต่เห็นแววตาเอาจริงของนาราแล้ว หล่อนก็จำต้องยอม

‘ถ้าฉันบอก จะทำตามที่พูดจริงๆ ใช่ไหม’

ดวงหน้าสวยพยักรับ จับจ้องไปยังปราณีอย่างรอคำตอบด้วย ทำให้ปราณีต้องยอมปริปากจนได้

‘ก็ได้ๆ ฉันจะบอกให้ แต่ก่อนอื่น เธอไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยซะ แล้วฉันจะเล่าให้ฟังอีกที’

จะว่าปราณีโกงหรือเปล่านะที่ให้นาราทำเรื่องที่ต้องการก่อนจะเล่าอะไรที่เธออยากรู้ให้ฟัง แต่ช่างเถอะ อาบน้ำก่อนก็ดี จะได้สดชื่น ไม่รู้สึกหดหู่กะทันหันอย่างนี้ อีกอย่าง เธอจะได้ไปเตรียมใจมาฟังเรื่องของอีกภพที่เธอไม่เคยรับรู้ด้วย

“ตามนั้นค่ะ”

นาราลุกจากเตียง คว้าผ้าเช็ดตัวเดินหายไปในห้องน้ำ ปราณีถอนหายใจอีกครั้ง

ไม่รู้ว่าหล่อนจะต้องถอนหายใจทั้งๆ ที่ไม่มีลมหายใจอีกกี่ครั้ง

การร่วมมือกับแม่ลูกสะใภ้คนนี้ให้มีเป้าหมายเดียวกันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ไม่เลยสักนิด...ให้ตายเถอะ

 

หลังจากที่นาราอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เธอก็ได้รับคำตอบจากปราณีตามความคาดหวังว่าเมื่อตายไปแล้ว การที่วิญญาณจะได้พบกันในอีกภพนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะคนแต่ละคนทำบุญและบาปไม่เท่ากัน ทำบุญเยอะก็ได้ไปอยู่ในภพที่สูงขึ้นไป หรือเรียกว่าบนสวรรค์ ส่วนทำบาปเยอะ ก็อยู่ในภูมิที่ต่ำลงไปหรือที่เรียกกันว่านรก 

มีการแบ่งชนชั้น แบ่งถิ่นที่อยู่กันอย่างชัดเจน ดังนั้นการที่ญาติพี่น้องครอบครัวจะมาเจอกันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดาย อยากเจอกันจริงๆ ต้องมีบุญเท่านั้น โดยเอาบุญหรือแต้มบุญไปใช้ซื้อตั๋วรถสวรรค์ – รถนรก นั่งไปมาหาสู่กัน ยิ่งชั้นห่างกันมาก ตั๋วก็ยิ่งแพง ด้วยในภพภูมินี้มีกฎอยู่ชัดๆ ข้อหนึ่งว่า ‘ต่างชนชั้นไม่ควรเกลือกกลั้วกัน’

ดูจะเป็นการเหยียดคล้ายๆ คนรวยกับคนจนเสียหน่อย แต่สังคมที่นั่นเป็นอย่างนั้นจริงๆ คำตอบที่นาราได้รับก็คือเธออาจไม่ได้เจอพ่อ เพราะแม้แต่ปราณีเองก็ไม่ได้เจอประทีปผู้เป็นสามีหรือณัฐฐ์เหมือนกัน ครอบครัวคนอื่นๆ ที่ตายไปก่อนหน้าก็ไม่เจอ ต้องไปสืบหาตามข่าวคราวกันในภพภูมินั้นกันเองอีกครั้งว่าอยู่ที่ไหนๆ กันบ้าง

เอาเป็นว่านาราได้รับรู้เรื่องนี้พอสังเขป ส่วนเรื่องที่เธอจะต้องทำแลกเปลี่ยนกับข้อมูลนี้ก็คือ...ทำข้าวกลางวันไปส่งให้ปรานต์ที่ไร่

ตอนได้ยินปราณีสั่ง นาราถึงกับทำหน้ายู่ปากเบะเลยทีเดียว เมื่อเช้าก็เห็นอยู่ทนโท่ว่าเธอทำอาหารห่วยแตกไม่ได้เรื่อง ยังจะให้เธอทำไปให้ปรานต์กินเป็นมื้อกลางวันอีก 

ทว่าปราณีก็ยืนยันเสียงแข็ง...

‘ต่อให้ทำไม่ได้เรื่องก็ต้องทำ อย่างน้อยก็ทำให้ตาปรานต์เห็นถึงความเอาใจใส่ของเธอ ไม่ใช่มานอนก้นโด่งใส่ตะวันทั้งวัน’

แล้วจะทำอะไรได้ล่ะ ลงครัวไปทำอาหารใส่กล่องพลาสติก เตรียมเอาไปให้ปรานต์ตามที่ผีแม่สามีสั่งจนได้ แต่วันนี้เธอไม่ยอมเดินตากแดดร้อนๆ เข้าไร่ไปหรอกนะ มอเตอร์ไซค์ไม่อยู่ เธอก็ไปเอาจักรยานแม่บ้านที่จอดไว้ข้างบ้านมาขี่ พาตัวเองลุยแดดไปหาสามีที่ศาลากลางไร่

จักรยานก็ช่างไม่เข้าข้างเธอเสียเลย ไม่ทันจะถึงครึ่งทางดี โซ่ดันหลุดห้อยต่องแต่ง ทำเอานาราเกือบเทกระจาดเข้าข้างทางซึ่งเป็นไร่ข้าวโพด ดีนะที่พยุงไว้ทัน ไม่อย่างนั้นไม่ต้องเดาสภาพเธอเลย...เละเทะแน่นอน

สรุปสุดท้ายต้องมาเดินตากแดดเข้าไร่อยู่ดี พ่วงภาระเป็นจักรยานมาด้วยอีกคัน 

การปรากฏตัวของนาราในวันนี้สร้างความประหลาดใจให้บรรดาคนที่เห็นเช่นเดิม โดยเฉพาะปรานต์ที่ถูกหม่องซึ่งกำลังเก็บจานข้าวที่เจ้านายตนกินแล้วสะกิดยิกๆ

“คุณปรานต์ครับ คุณปรานต์”

“อะไร”

“คุณนารามาโน่นแล้วครับ”

ปรานต์หันขวับไปทันที ก่อนสายตาจะประสบกับดวงหน้าสวยที่บัดนี้เครื่องหน้ายู่ยี่ไปหมด ไม่รู้ว่ายู่ยี่เพราะแดดร้อนหรือเพราะอารมณ์ไม่ดี แต่ปรานต์ไม่สนใจจะคิดถึงเรื่องนั้นแล้ว รีบลงจากศาลาไปช่วยหญิงสาวเข็นจักรยานทันที

“ทำไมตากแดดมาหาผมอีกแล้วล่ะ มีอะไรหรือเปล่า”

ถามทันทีที่รับจักรยานโซ่หลุดจากมือของภรรยาสาวไป นาราหรี่ตาเหลือบมองเล็กน้อย

“จริงๆ ก็ไม่มีอะไรค่ะ”

“อ้าว แล้วคุณมาทำไม”

“เอาข้าวเที่ยงมาให้คุณ”

ประโยคนี้พูดจบตอนที่ทั้งคู่เดินเข้ามาอยู่ใต้ร่มของศาลาพอดี ปรานต์ตั้งขาตั้งจักรยานขึ้นแล้วถามซ้ำ

“เอาข้าวเที่ยงมาให้ผมเหรอ”

“ค่ะ” 

นาราไม่ได้ชูกล่องข้าวในถุงผ้าให้ดูหรอก แต่ปรานต์ที่หลุบสายตาไปมองก็พอจะเดาได้ว่าถุงผ้าที่หญิงสาวถือมาต้องบรรจุกล่องข้าวกลางวันของเขาอยู่

“ดีเลย ผมกำลัง...”

หิว...จะบอกอย่างนั้น ทว่า...

“คุณปรานต์เพิ่งกินข้าวเสร็จไปเมื่อกี้เองครับคุณนารา น่าเสียดายจัง คุณนารามาช้าไปหน่อย”

ปรานต์หันไปมองหน้าคนงานปากพล่อยพร้อมส่งสายตาดุๆ ทันที หม่องรู้ตัวในตอนนั้นแล้วก็หัวเราะแห้งๆ

“ไปเก็บจานต่อนะครับ แหะๆ”

ไม่เข้าไปแทรกจะดีกว่า อันที่จริงไม่น่าเข้าไปแทรกแต่ทีแรก ดูสิ ทำนาราเสียเวลาเลย

“ถ้าคุณกินแล้ว ฉันเอาไปเทให้หมากินก็แล้วกันค่ะ เห็นในไร่มีหมาอยู่หลายตัว คงมีตัวไหนสักตัวที่กิน”

“หมาพวกนั้นกินจนอิ่มกันหมดแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก ผมเลี้ยงให้พวกมันเฝ้าไร่ก็ให้กินอย่างดี อันนี้ทำมาให้ผมก็ให้ผมกินสิ”

“แต่คุณกินไปแล้ว”

“กินแล้วก็กินอีกได้ ผมยังไม่อิ่ม”

ไม่พูดเปล่า คว้าเอาถุงผ้าจากมือนาราไปด้วย หญิงสาวเห็นแล้วก็ปล่อยเลยตามเลย กระทั่งกล่องข้าวถูกหยิบออกมาจากถุง และปรานต์เปิดฝามาพบกับ...

“ไข่ดาว?”

ท้าดา! เซอร์ไพรส์ใช่ไหมล่ะ นาราอยากจะถาม เพราะตอนที่เธอลงครัวทำข้าวกลางวันให้เขาและปราณีพบว่าเธอทำเมนูนี้ ปราณีก็เซอร์ไพรส์ไปเหมือนกัน ตามมาด้วยการบ่นนารามากมายไม่หยุดหย่อน ตบท้ายด้วยการพึมพำว่า ‘รู้อย่างนี้ ก่อนตายจะเรียกไปเป็นเป็นลูกมือในครัวบ่ายๆ ก็ดี’ และ ‘ลูกชายฉันน่าสงสารจริงจริ๊ง!’

“เห็นแบบนี้ก็คงจะเริ่มอิ่มขึ้นมาแล้วสินะ”

นาราขำน้อยๆ ไม่กล้าแสดงออกสักเท่าไร ด้วยสายตาของผีแม่สามียังจับจ้องเธออยู่ แต่ปรานต์กลับส่ายหน้า

“ไม่หรอก ยังกินได้อยู่”

“กินสักคำสองคำ...”

“ไม่ ผมหมายถึง...กินทั้งหมดนี่เลย”

คนฟังเลิกคิ้วสูงเล็กน้อย ข้าวที่เธอตักมาเยอะพอสมควรเลยนะ เขาเองก็เพิ่งจะอิ่มข้าวไป จะเอากระเพาะตรงไหนไปเก็บข้าวกล่องของเธออีก

ปรานต์ทำให้หญิงสาวรู้ได้ด้วยการคว้าช้อนมาตักข้าวเข้าปาก เอื้อมมือไปหยิบซีอิ๊วขาวเหยาะปรุงรสนิดหน่อย จากนั้นก็เคี้ยวตุ้ยๆ กลืนกินข้าวลงคออย่างรวดเร็ว ขณะที่นารามองนิ่ง

เขากำลังเอาใจเธออยู่หรือเปล่านะ กินไป มองหน้าเธอไป และ...อมยิ้มน้อยๆ ไป

แต่จากที่รู้จักกันมานาน ปรานต์เป็นคนใส่ใจความรู้สึกของคนอื่นเสมออยู่แล้ว ไม่ว่าจะคนในครอบครัว เพื่อน หรือคนรู้จัก เขามักถนอมน้ำใจตลอด ดังนั้นที่เขากำลังทำอยู่ก็คงเพราะต้องการถนอมน้ำใจนั่นละ

“ไม่ไหวก็ไม่ต้องยัดลงไปแล้วค่ะ เดี๋ยวท้องก็แตก”

ถนอมน้ำใจเสียจนนารารู้สึกผิดที่เขาต้องมาทนกินข้าวกล่องง่อยๆ ของตัวเอง แต่ปรานต์กลับยิ้มกริ่ม

“อีกไม่กี่คำก็หมดแล้ว ไม่แตกง่ายๆ หรอก ผมกินเยอะ”

กินเก่งจริงๆ นาราไม่เถียง ปราณีก็ไม่เถียง กินเก่งอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่กินแล้วออกกำลังกายเป็นประจำ ทำให้หุ่นกำยำราวกับพวกนักกีฬา

อีกเพียงไม่กี่คำก็จะหมดกล่องแล้ว นาราเผลอลุ้นไปโดยไม่รู้ตัวว่าเขาจะกินหมดอย่างที่ปากว่าโดยไม่จุก ไม่ท้องแตกตายเหมือนชูชกจริงไหม ทว่าการลุ้นนั้นเป็นอันต้องชะงัก เมื่อเสียงแว่วหวานของใครบางคนลอยตามลมมาให้ได้ยิน

“พี่ปรานต์! มนต์เอากับข้าวมาส่งค่า!”

เป็นน้ำมนต์ในชุดเดรสบานๆ น้ำเสียงสดใสร่าเริงประดุจดั่งเสียงของเจ้าหญิงดิสนีย์ ทว่าพอเดินเข้ามาใกล้และเห็นว่าปรานต์ไม่ได้อยู่คนเดียว ยังมีนารายืนหัวโด่อยู่ด้วย เสียงใสๆ ก็พลันแผ่วลง

“อุ๊ย คุณนาราก็อยู่ด้วยเหรอคะ...สวัสดีค่ะ”

ฟังก็รู้เลยว่าน้ำมนต์เสียดายที่มาเจอกับภรรยาของปรานต์ เธอนึกว่าจะได้อยู่กับปรานต์สองต่อสองเสียอีก อุตส่าห์กะเวลามาหลังเวลาเริ่มงานบ่ายของคนงาน ด้วยรู้ว่าพอหมดเวลาพักเที่ยง คนงานไปเข้าไร่ทำงาน ที่ศาลาจะมีปรานต์ทำนั่นทำนี่ หรือไม่ก็พักผ่อนต่ออีกนิดหน่อย ถึงจะตามคนงานเข้าไร่ไป 

ไม่ยักคิดว่าเมียจะมาคุมอย่างนี้...

“สวัสดีเช่นกันค่ะคุณน้ำมนต์”

นาราตอบรับราบเรียบ ไม่ได้รู้สึกรังเกียจ รำคาญ หรืออะไรต่อมิอะไรกับน้ำมนต์ในแง่ไม่ดีสักนิด ถึงจะรู้ว่าน้ำมนต์มาที่นี่เพราะปรานต์ แต่นาราไม่ได้รักปรานต์นี่ เป็นสามีแล้วอย่างไร ไม่ได้รักก็แปลว่าไม่หึง

คนหึงจึงกลายเป็นน้ำมนต์แทน เธอไม่ค่อยอยากจะมองใบหน้าคมเฉี่ยวของนาราสักเท่าไร แม้แต่เสวนาด้วยก็ไม่พิสมัย ทักทายพอเป็นพิธีแล้วถือว่าจบกัน ก่อนจะหันไปหาปรานต์ที่กำลังตักข้าวคำสุดท้าย

“แล้วนี่พี่ปรานต์กินข้าวหรือยังคะ มนต์ทำปลาดุกผัดพริกขิง ของชอบพี่ปรานต์มาให้ด้วย แกะสูตรหัดทำตั้งนาน อยากให้คุณปรานต์ได้ชิมค่ะ”

ปลาดุกผัดพริกขิงเป็นเมนูหนึ่งที่ปรานต์ชอบ น้ำมนต์รู้ ปราณีรู้ นาราก็รู้...แต่ไม่สนใจ สนใจก็แต่หน้าตาเมนูของน้ำมนต์ว่าจะเป็นอย่างไร เยิ้มๆ เกรียมๆ เหมือนไข่ดาวที่เธอทอดมาให้สามีหรือไม่...ก็เท่านั้น ใจก็หวังไปด้วยว่าปรานต์คงจะตอบรับน้ำใจจากหญิงสาวอีกคนที่ส่งสายตาหวานหยดย้อยให้เขา

ทว่าปรานต์กลับตักข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก เคี้ยวกลืนลงคอจนหมด แล้วตอบด้วยประโยคที่ชวนผิดหวัง

“คงชิมไม่ไหวแล้วละ พี่กินข้าวอิ่มพอดี มนต์เอาไปไว้ในตู้กับข้าว ให้คนงานเอาไปกินแล้วกัน ขอบคุณมากนะครับที่ทำมาให้”

ไม่ใช่แค่น้ำมนต์ที่ผิดหวัง นาราก็ผิดหวัง

ปลาดุกผัดพริกขิงของน้ำมนต์หน้าตาเป็นอย่างไร ไม่ได้รู้เลยทีนี้

“แต่มนต์อุตส่าห์ทำมาให้...”

“งั้นมนต์คงต้องมาเร็วกว่านี้สักหน่อย มาก่อนพี่กินอิ่ม พี่ถึงจะได้กินฝีมือของมนต์นะ”

น้ำมนต์ทำหน้าง้ำ เธอจะมาก่อนเวลานี้ได้อย่างไรกันล่ะ ก็กำนันปี๋พ่อของเธอน่ะ เอาแต่ดุด่าว่ากล่าวว่าเธอเรียนจบ ปวส.มาแล้วก็ไม่รู้จักหางานหาการทำ เอาแต่นอนตื่นตะวันโด่ง ว่างก็ออกไปแรดๆๆ หาผู้ชายไร่นั้นที ไร่นี้ที จนมาติดพันปรานต์ที่ไร่ปานดวงใจนี่ละ เธอถึงไม่ร่อนไปร่อนมา 

และเพราะถูกบ่นว่า น้ำมนต์จึงต้องไปสมัครงานพาร์ตไทม์ที่ศูนย์รับเลี้ยงเด็กประจำหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ทำแค่กะเช้าก็จริง แต่กะเช้ามันเลิกบ่ายโมง หมดเวลาพักกลางวันของไร่ปานดวงใจแล้ว มาตอนนี้ถือว่ามาเร็วสุดๆ แล้วนะ!

ขัดใจจริงเล้ย! แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ผู้ชายพูดมาอย่างนี้ เธอคงต้องแก้ตัวใหม่ในครั้งหน้าดั่งคำโบราณว่า วันพระไม่ได้มีหนเดียว อ้อ! แล้วก็ได้แต่หวังว่าในวันที่เธอมาทันเวลากินข้าวของปรานต์ แม่ศรีภรรยาของเขาคงจะไม่ปรากฏตัวให้เห็นเป็นที่ขวางหูขวางตาอย่างนี้หรอกนะ

คิดแล้วน้ำมนต์ก็เผลอเหลือบไปมองหน้าของนาราอย่างลืมตัว นาราระบายยิ้มให้บางๆ แล้วก็ต้องหุบยิ้มเมื่อจู่ๆ น้ำมนต์หันหน้าหนีไป

ยายคนนี้...วอนซะแล้ว

ขนาดไม่คิดอะไรกับปรานต์ แต่ถูกทำกิริยาอย่างนี้ใส่ ก็อดไม่ได้ที่อยากจะกระโดดถีบสองขารวด

เอาเถอะ ถือว่าคนเราเติบโตมาไม่เหมือนกัน ได้รับการอบรมสั่งสอนไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นคนดีมีศีลธรรมจริง คงไม่เที่ยวเร่มาหาผู้ชายที่รู้ทั้งรู้ว่ามีเมีย...ไม่สิ ภรรยาอยู่แล้วหรอก แบบนี้มันส่อเจตนาว่าตั้งใจจะแย่งผัวชาวบ้านชัดๆ!

นาราเลยเลี่ยงจะกลับไปที่บ้าน แต่แค่หันหลังให้ ยังไม่ทันพูดอะไร ปรานต์ก็รีบวางกล่องข้าวแล้วปรี่เข้ามาเมื่อเห็นว่านาราขยับกายไปที่อื่น

“จะกลับแล้วเหรอ”

ดวงหน้าผุดผาดหันไปมองพลางพยักหน้า 

“ให้ผมไปส่งนะ แดดมันร้อน เดี๋ยวหน้าไหม้”

อ้างเรื่องหน้าไหม้เรื่องความสวยความงามไว้ก่อน ผู้หญิงร้อยทั้งร้อยต้องห่วงเรื่องนี้ นาราเองก็เช่นกัน เธอเสียค่าครีมบำรุงหน้าไปหลักหมื่นหลักแสน ไม่อยากให้มาพังเพียงเพราะตากแดดเดินไปเดินมาในไร่หรอกนะ แต่...ปรานต์ติดแขกนี่นา อยู่ต้อนรับแขกไปเถอะ

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันเดินกลับเองได้ บ้านอยู่แค่นี้เอง”

“แต่ให้ผมไปส่งก็ดีกว่าไม่ใช่เหรอ ถึงบ้านเร็ว ไม่ร้อน”

“ฉันเอาจักรยานมา...”

“คุณคงลืมไปแล้วว่าจักรยานโซ่หลุด ยังไม่ได้ใส่คืน”

ว่าพลางพยักพเยิดปลายคางไปยังจักรยานที่จอดอยู่ที่เดิม นั่นสิ นาราลืมเรื่องนี้ไปสนิทเลย

“ไป ให้ผมไปส่ง ผมขี่มอเตอร์ไซค์ไปแป๊บเดียว จะได้ไม่ร้อน”

ไม่พูดเปล่า เดินตรงไปที่มอเตอร์ไซค์ออโต้ที่จอดอยู่ไม่ไกลอีกด้วย แต่ก่อนที่จะเสียบกุญแจสตาร์ต นาราก็ว่าขึ้น

“แล้วแขกของคุณล่ะ”

เป็นทีของเธอบ้างที่พยักพเยิดปลายคางไปยังน้ำมนต์ที่ยืนมองตาละห้อยอยู่ ปรานต์ยิ้มกว้างออกมา

“ถ้าคุณอยากให้ผมรับแขกไวๆ ก็รีบมาซ้อนท้ายได้แล้ว มา เร็วเข้า”

ทั้งพยักหน้า ทั้งกวักมือเรียก นาราเห็นก็รู้ทันทีว่าเลี่ยงไม่ได้แล้ว ยิ่งจู่ๆ ปราณีก็มาปรากฏตัวข้างกายแล้วกระซิบ

‘จะไปหรือไม่ไป ถ้าไม่ไป ฉันจะสิงร่างเธอนะ ดูสายตาแม่น้ำเดินที่มองตาปรานต์สิ ขืนเธอปล่อยปละละเลยต่อไป มีหวังได้ถูกแม่คนนี้ฉวยเอาไปเป็นผัวแน่’

“น้ำมนต์ค่ะ ไม่ใช่น้ำเดิน”

นาราแก้ให้เสียงอุบอิบ ผีแม่สามียักยิ้มมุมปาก

‘เมื่อไรที่แม่นั่นเลิกมองลูกชายฉันด้วยสายตาจ้องจะงาบตั้งแต่หัวถึงปลายเท้า ฉันก็จะเลิกเรียกว่าแม่น้ำเดิน’

นาราไม่อยากเถียงอะไร เดี๋ยวคนอื่นจะเห็นแล้วสงสัย ได้แต่เดินดุ่มๆ ไปหาปรานต์ ก่อนขึ้นคร่อมซ้อนท้ายเขา หูได้ยินเสียงเขาบอกว่าจะออกตัวแล้วแว่วๆ พลันรถก็เคลื่อนตัวไปข้างหน้า ทิ้งให้น้ำมนต์มองตาละห้อยไล่หลัง

นารานั่งเกร็งไปตลอดทางกระทั่งถึงที่หมาย พอลงจากรถได้ เธอก็ถูกอีกฝ่ายเรียกไว้

“นารา ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ”

“คะ?”

“เรื่องน้ำมนต์”

ไม่เกริ่นให้ยาว ปรานต์เข้าเรื่องก่อนที่นาราจะตั้งสติได้อีกว่าเขาอยากคุยด้วย แต่พอได้ยินชื่อของหญิงสาวอีกคนแล้ว เธอก็พยักหน้า

“ค่ะ ทำไมคะ”

“ผมจะบอกคุณว่าจริงๆ แล้ว ผมไม่ได้สนิทสนมอะไรกับมนต์เท่าไรนัก มนต์เพิ่งมาที่ไร่เป็นประจำได้ราวสองเดือนก่อน ตอนนั้นผมกับกำนันปี๋ พ่อของมนต์ได้พันธุ์ข้าวโพดใหม่มาพร้อมกัน เลยได้คุยแลกเปลี่ยนเรื่องการปลูก ผมเลยได้เจอเขาบ่อย พอเจอบ่อยๆ เข้า ก็ได้เจอมนต์ด้วย มนต์เขาอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ถึงได้มาหาเพื่อนคุยที่นี่ ส่วนเรื่องทำอาหาร เพิ่งจะมีมาช่วงหลัง ก่อนหน้าคุณมาสักอาทิตย์สองอาทิตย์ได้เอง”

อธิบายเสียยืดยาวเลย นาราไม่ได้อยากรู้สักหน่อย แต่ไหนๆ เล่ามาแล้ว เธอจะพยักหน้าเออออไปแล้วกัน

“ค่ะ ไม่มีอะไรแล้วเนอะ งั้น...ขอตัวนะคะ”

ตัดบทเอาดื้อๆ เลย แต่ปรานต์กลับเอื้อมมือไปคว้าท่อนแขนเรียวไว้

“เดี๋ยวสิหนูนา”

เรียกชื่อสั้นๆ เดี๋ยวก็ถูกนาราแยกเขี้ยวใส่หรอก 

แต่นาราไม่ทันฉุกคิดว่าถูกเรียกอย่างสนิทสนม ได้แต่ทำหน้ามุ่ยๆ เพราะเธอรู้สึกว่าสิ่งที่สนิทสนมยิ่งกว่าการเรียกชื่อคือ การที่ปรานต์คว้าแขนเธอแบบนี้ต่างหาก

“มีอะไรอีกคะ”

น้ำเสียงเรียบ แต่สีหน้าไม่เรียบตาม ทำให้ปรานต์รู้ตัวและปล่อยมือออกจากเธอ

“ผม...” เขาทำท่าจะพูดต่อ แต่ก็ไม่พูด ได้แต่ถอนหายใจยาว

“คุณทำไมคะ”

“ผม...” ตั้งท่าจะพูดอีกครั้ง ทว่าก็ยอมพ่ายแพ้แก่ใจตัวเอง ยิ่งมองหน้าหญิงสาวที่ขมวดมุ่นรอฟังคำพูดจากเขา ปรานต์ก็พ่นลมหายใจยาว และ... “เย็นนี้รอกินข้าวพร้อมกับผมนะ”

ไม่แน่ใจหรอกว่าสิ่งที่ปรานต์อยากบอกใช่เรื่องนี้หรือเปล่า แต่นาราก็ไม่คิดจะถาม เธอมองใบหน้าคร้ามนิ่ง ก่อนเปล่งเสียง

“ฉันไม่...”

‘ผัวเมียไม่กินข้าวด้วยกันจะเรียกว่าผัวเมียได้ยังไง’

คำพูดนั้นที่กำลังจะหลุดจากปากนาราถึงกับชะงัก เธอเหล่มองไปข้างตัว เห็นผีแม่สามีสภาพขึ้นอืดตัวเขียวม่วงเป็นจ้ำๆ ก็สะดุ้งโหยง ก่อนได้ยินเสียงของปราณีดังมาอีก

‘ถ้าเธอไม่กินข้าวเย็นกับตาปรานต์วันนี้ คืนนี้เตรียมหัวโกร๋นได้เลย’

เท่านั้นนาราก็รีบตอบละล่ำละลัก

“คะ...คุณ...คุณปรานต์ คุณปรานต์ๆๆ”

“ครับ?”

“เย็นนี้กินข้าวด้วยกันนะคะ!”

พูดเสียเสียงดังเชียว ปรานต์พยักหน้ารับ เขาดีใจอยู่หรอกที่จะได้กินข้าวเย็นพร้อมกับเธอ แต่สีหน้าและท่าทางตื่นกลัวนั้นทำให้ปรานต์อดเป็นห่วงไม่ได้

“เป็นอะไรหรือเปล่า หน้าซีดมากเลยนะคุณ”

นารารีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติด้วยการลูบหน้าลูบตา ปากก็ว่าเร็วๆ

“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เป็นไร สงสัยจะร้อนแดดเลยกลัว...เอ้ย! เบลอๆ ขอตัวเข้าบ้านก่อนนะคะ ไม่ไหวแล้ว”

ไม่ไหวแล้วจริงๆ อย่างที่พูด นาราหันขวับเข้าบ้านอย่างรวดเร็ว ขณะที่ปราณีซึ่งอยู่ในสภาพบวมอืดค่อยๆ กลับกลายมาเป็นร่างปกติเหมือนเดิม ในมือยกตลับแป้งขึ้นมาดูใบหน้าที่มีร่องรอยม่วงช้ำจางๆ ปรากฏอยู่ พลางบ่นพึมพำ

‘ทำแบบนี้ทีไร ทิ้งรอยไว้ทุกที ยังไม่ค่อยชินสินะ’

แต่พอหางตาเหลือบไปมองเห็นแผ่นหลังลูกชายไวๆ ก่อนหายเข้าบ้านไป หล่อนก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ส่องกระจกดูความสวยสมวัยของตนไปตามเรื่อง ปล่อยให้หนุ่มสาวได้ใช้เวลาด้วยกัน

ได้แต่หวังว่าแม่นาราจะไม่ประสาทเสียจนเสียสติชนิดที่ลูกชายหล่อนคุมไม่ได้ก็แล้วกัน

เป็นแม่ผัวว่ายากแล้ว เป็นแม่ผัวในสภาพผียิ่งยากเข้าไปใหญ่ 

เมื่อไรภารกิจจะสำเร็จ เฮ้อ!


 


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น