3

ผีแม่ผัว

3

ผีแม่ผัว

 

‘เรื่องที่เธอตาย อย่ามาโทษลูกชายฉันนะ!’

เฮือก!

หญิงสาวสะดุ้งตื่นจากนิทรารมณ์...อันที่จริงจะเรียกว่านิทราก็ไม่ถูกนัก เพราะเธอไม่ได้หลับ เธอสลบไปต่างหาก

ดวงตากลมมองไปรอบๆ ห้อง ทุกอย่างในคอนโดของเธอยังคงสภาพปกติดี ที่ไม่ปกติก็คือเธอตื่นขึ้นมาบนพื้นข้างเตียง ไม่ใช่บนเตียงอย่างที่ควรจะเป็น นาราคิดย้อนกลับไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทันที

เธอสลบไป...เพราะผีแม่ผัว!

เฮี้ยนมากจนตามมาหลอกหลอนเธอถึงที่นี่ นั่นคงเพราะเธอไม่ยอมไปร่วมงานศพให้ครบกำหนดวันละมั้ง 

ดวงตากลมกลิ้งมองไปรอบๆ ห้องอีกครั้ง เห็นทุกอย่างปกติสุขดี เธอก็ถอนหายใจยาวออกมา 

ก่อนหน้านี้เธอต้องฝัน หรือไม่ก็นอนน้อยจนเบลอเห็นภาพหลอนแน่ๆ มือยกขึ้นลูบหน้าอกหน้าใจเป็นการใหญ่ กระนั้นในใจก็ยังเกิดคำถาม

วันนี้มันวันอะไรกันแน่

นาราถามตัวเองจริงจัง เธอรู้สึกสับสนวันอย่างประหลาด แต่พอจะลุกขึ้นไปคว้าโทรศัพท์มาดูหน้าจอเพื่อดูวันที่ เสียงเรียกเข้าก็ดังพอดี ทำเอาหญิงสาวสะดุ้งไปอีกระลอก ก่อนจะทำหน้าเบื่อหน่ายใส่เมื่อเห็นชื่อของคนที่โทร. เข้ามา 

ไม่ใช่ใครที่ไหน เลขาฯ จอมจิกของผู้บริหาร ‘บริษัทมนต์เงินตราศิราภรณ์’ นั่นเอง นารากระแอมกับตัวเองสองสามครั้ง ปั้นหน้ายิ้มไปหนึ่งที จากนั้นถึงกดรับโทรศัพท์

“สวัสดีค่ะคุณกิ่งแก้ว”

หญิงสาวกล่าวเสียงใสดุจระฆังแก้ววาววับ ขณะที่น้ำเสียงที่ตอบกลับมานั้นฟังดูจะค่อนแคะสักเล็กน้อย แม้ว่าจะพูดด้วยเสียงหวานหยดย้อยก็ตาม

[สวัสดีค่ะคุณนารา บอสให้กิ่งแก้วโทร. มาเตือนคุณน่ะค่ะว่าพรุ่งนี้อย่าลืมนัดของเรานะคะ บอสกลัวว่าคุณจะทำงานจนดึกดื่นแล้วนอนตื่นสาย เข้าประชุมสายเหมือนอย่างครั้งก่อนๆ มาค่ะ]

ถ้าเป็นเวลาปกติที่ถูกค่อนแคะอย่างนี้ นาราต้องสวนกลับด้วยข้ออ้างนานัปการแล้วว่า สาเหตุที่เธอไปเข้าประชุมสายในครั้งก่อนเป็นเพราะอะไร

หนึ่ง...เพราะเธอเป็นนักออกแบบเครื่องประดับฟรีแลนซ์ ทำงานไม่เป็นเวลา บางวันก็นอนดึก บางวันก็โต้รุ่ง พอหัวถึงหมอนได้นอนแล้วก็เหมือนเครื่องชัตดาวน์ดับไป ตื่นยากกว่าคนปกติเพราะร่างกายต้องการการพักผ่อน

และสอง...คอนโดของเธอกับบริษัทมนต์เงินศิราภรณ์อยู่ไกลกันพอสมควร แถมรถก็ยังติดอีกด้วย กว่าจะไปจะมาก็ร่วมชั่วโมง บางทีมันกะเวลาไม่ได้ว่ารถจะติดมากหรือน้อย ถ้าติดมาก กว่าจะไปถึงก็ใช้เวลามากกว่าหนึ่งชั่วโมงเช่นกัน

ส่วนสาม...

[กิ่งแก้วขอย้ำอีกทีว่าพรุ่งนี้เป็นนัดสำคัญมากนะคะ เพราะคอลเล็กชันที่คุณนาราจะต้องเอามาพรีเซนต์กับบอส มันเป็นคอลเล็กชันใหม่ล่าสุดของบริษัทเราที่จะส่งออกไปต่างประเทศ สำคัญมากด้วย เพราะเป็นคอลเล็กชันครบรอบยี่สิบปีของบริษัท ถ้าคุณมาไม่ทันเวลา บอสอาจจะหงุดหงิด แล้วยกเลิกงานกับคุณในครั้งต่อไปก็เป็นได้ อ๊ะๆ กิ่งแก้วไม่ได้ขู่นะคะ นี่ถอดคำพูดของบอสมาให้เลย]

ฟังแล้วก็ชวนให้หัวเสียอยู่หน่อยๆ เหมือนกัน แต่สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ...

“ครบรอบยี่สิบปีของบริษัท? ไม่ใช่ว่าคอลเล็กชันนี้ฉัน...”

[อะไรคะคุณนารา]

...พรีเซนต์ไปแล้วหรือ

นาราไม่กล้าพูดต่อ ใจสั่นหวิวไหวแปลกๆ มิหนำซ้ำ เธอยังรู้สึกเหมือน...มีใครบางคนมองจ้องมาจากทางด้านหลัง

หญิงสาวหันขวับไปมอง พบแต่ความว่างเปล่าก็ยิ่งใจไม่ดี สิ่งที่เรียกสติของเธอให้กลับมาได้มีแต่เสียงของกิ่งแก้วเท่านั้น

[คุณนารา ยังอยู่ไหมคะ]

“ค่ะ อยู่ค่ะ”

[โอเค งั้นอย่าลืมนะคะ พรุ่งนี้นัดเก้าโมงเช้า ห้ามสาย ห้ามลืม ห้ามมีข้ออ้าง ถ้าบอสหงุดหงิด กิ่งแก้วไม่รู้ด้วยนะคะ]

“รับทราบค่ะ”

คุยกันต่ออีกไม่กี่ประโยคก็วางสายไป นารายกมือขึ้นนวดคลึงขมับอีกครั้ง

พรุ่งนี้มีพรีเซนต์งาน แสดงว่าวันนี้ก็วันที่...

คว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูหน้าจออีกครั้ง เห็นวันที่แล้วหญิงสาวก็ไม่อยากจะเชื่อสักเท่าไร ก็ก่อนหน้านี้ เธอเพิ่งจะเดินทางไปสระบุรีเพื่อไปทำบุญครบรอบหนึ่งร้อยวันแม่สามีกับเตรียมตัวจะไปหย่า...กับปรานต์

มันเรื่องอะไรกันนะ...

นาราคิดไม่ออกเลยแม้แต่น้อย ได้แต่ยีเส้นผมตัวเองจนยุ่งเหยิงไปหมด ยิ่งเดินมาเจอเอกสารการพรีเซนต์งานของตัวเองวางอยู่บนโต๊ะคอมพิวเตอร์ด้วยแล้ว เธอก็ยิ่งสับสนมากขึ้นไปใหญ่

“เอาวะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ได้รู้เองว่าตกลงฝันหรือเรื่องจริง”

ริมฝีปากบางขยับพึมพำ ไม่รู้เลยว่าร่างโปร่งแสงของใครบางคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเบะปากใส่อยู่

‘ฮึ กว่าจะรู้ตัว สงสัยวันตายนั่นละมั้ง คิดผิดหรือเปล่าเนี่ยที่ฉันออกจากนรกมาช่วยเธอน่ะ’

เสียงนี้นาราไม่ได้ยินหรอก มีแต่เสียงถอนหายใจของตัวเองกับเสียงพึมพำที่หลุดออกจากปากเท่านั้นที่เธอได้ยิน ก่อนที่เวลาในวันนั้นจะถูกปล่อยไปให้เสียเปล่าในสายตาของปราณี

เอาเถอะ ถ้าจะต้องเสียเวล่ำเวลาก็คงต้องปล่อยให้เสียไปก่อน ไม่อย่างนั้นนาราก็คงไม่ได้รู้สักทีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอมันเป็นเรื่องจริงหรือความฝัน

พรุ่งนี้เดี๋ยวได้รู้กัน!

 

จะเป็นเรื่องจริงหรือความฝัน นาราคาดการณ์ในใจอยู่แล้วว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์เดียวกับที่เธอเคยประสบมาในวันพรีเซนต์งานอีกระลอก เธอจะเชื่อว่าคงจะมี ‘เรื่องประหลาด’ เกิดขึ้นกับเธอจริงๆ

หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด เตรียมตัวเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ต่างๆ ในอนาคตอันใกล้นี้เต็มที่ เรียวขาก้าวเข้าไปในลิฟต์ พลางคิดครุ่น

ระหว่างขึ้นลิฟต์ไปที่ห้องประชุม เธอจะต้องเจอกับผู้บริหารและคุณกิ่งแก้วพอดี แล้วผู้บริหารก็จะต้องทัก...

ติ๊ง!

เสียงของลิฟต์หยุดที่ชั้นชั้นหนึ่งดังขึ้น นารามองไปยังบานประตูที่เปิด ก่อนจะต้องเบิกตาโตเล็กน้อยเมื่อเห็นผู้บริหารหนุ่มและเลขาฯ คนสนิทก้าวเข้ามา พอทั้งคู่เห็นว่าคนที่ขึ้นลิฟต์มาก่อนคือนารา ผู้บริการก็ออกปากทัก

“นึกว่าคุณจะมาสายซะแล้ว นี่คุณกิ่งแก้วคงจะโทร. ไปเตือนคุณละสินะ”

ใช่! เขาพูดประโยคนี้เป๊ะๆ เลย!

นาราทำหน้าไม่ถูก ได้แต่ยิ้มแหย ตอบค่ะๆ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจะตอบไปทำไม

ในเมื่อเขาพูดอย่างนี้แล้ว พอลิฟต์มาถึงชั้นที่หมาย เขาก็จะบอกว่า...

“ทำให้เต็มที่นะคุณนารา ผมฝากอนาคตของบริษัทไว้ที่คอลเล็กชันใหม่ของคุณเลย”

ชะ...ใช่! เขาพูดอย่างนี้เหมือนกัน!

นาราอ้าปากพะงาบๆ พูดไม่ออก ต่อไม่ถูก จนกระทั่งผู้บริหารออกจากลิฟต์ไป และกิ่งแก้วหันมาเรียกเธอนั่นละ เธอถึงได้สติ

“ไปเตรียมตัวเร็วสิคะคุณนารา บอสเข้าห้องประชุมไปแล้วนะ”

“...ค่ะ”

หญิงสาวรีบกุลีกุจอจัดการทุกอย่างตามที่มันควรจะเป็น เธอเข้าไปในห้องประชุม พูดสคริปต์เดิมๆ ตามที่เคยพรีเซนต์งานมาก่อนหน้านั้น และ...ก็ได้รับคำชื่นชมเดิมๆ แม้กระทั่งหลังพรีเซนต์งานเสร็จ ผู้บริหารก็เดินเข้ามาหาแล้วแสดงความเสียใจกับเธอ...เหมือนเดิม

“วันนี้คุณทำได้ดีมาก ผมพอใจมาก ส่วนเรื่องแม่ของสามีคุณ...ผมเสียใจด้วยนะ แล้วก็ขอโทษด้วยที่ไม่ได้ไปร่วมงานเลย คุณรู้ใช่ไหมว่าผมติดธุระสำคัญ"

“ค่ะ...ธุระ...ต้องไปเยี่ยมลูกเมียที่อเมริกา”

เรื่องนี้จริงๆ แล้ว นารารู้หลังจากผู้บริหารบินไปที่อเมริกาแล้วจากปากของกิ่งแก้วที่เอาเจ้านายมาซุบซิบนินทา มิหนำซ้ำลูกเมียที่ผู้บริหารว่าก็ไม่ใช่ลูกและเมียหลวงที่ตบแต่งกันด้วย แต่เป็นลูกและเมียน้อยที่ซุกเก็บเอาไว้ไกลตัว พอเธอเอ่ยไปแบบนี้ อีกฝ่ายก็เลิกคิ้ว

“คุณรู้?”

“อะ...เอ่อ...ฉันก็เดาๆ ดูน่ะค่ะ”

“เดาเหรอ? น่าแปลกนะ คุณรู้ได้ยังไงว่าลูกเมียผมอยู่ที่อเมริกา”

“ตอนแรกก็ไม่ทราบค่ะ มาทราบเพราะ...อื้ม” เมื่อนารารู้สึกตัวว่ากำลังจะหลุดพูดอะไรออกไป เลยแสร้งกระแอมเล็กน้อย “เดาไปเรื่อยน่ะค่ะ บอสอย่าสนใจเลย นี่ก็พรีเซนต์งานเสร็จแล้ว ฉันว่าจะขอตัวกลับเลย พอดีเมื่อคืนยังไม่ได้นอนน่ะค่ะ”

พูดพลางชี้นิ้วไปที่หัวตัวเองเป็นเชิงว่าเบลอจริงๆ คู่สนทนาพอจะรู้ว่าหญิงสาวทำงานอย่างไร จึงไม่ได้พูดคุยต่อ บอกลาและปล่อยให้เธอได้ไปทำธุระของตัวเอง

นารารีบกลับมาที่คอนโดด้วยความรวดเร็ว ในหัวเรียบเรียงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นพัลวัน

ใช่แน่แล้ว เธอย้อนกลับมาวันที่พรีเซนต์งานจริงๆ หรือว่า...

“จะเป็นเดจาวู1?”

ถ้าเป็นอย่างนั้น เธอก็อาจจะคิดว่าการชวนไปหย่าของปรานต์เป็นความฝันหรือความฟุ้งซ่านไปเองของเธอได้ ส่วนเรื่องการตายของเธอก็ไม่ได้เกิดอย่างที่กังวล

“ทำงานหนักไปแน่เลยเรา”

นาราพูดกับตัวเองบ่อยเหลือเกิน จนปราณีที่ตามติดหญิงสาวทุกฝีก้าวเพื่อดูว่าเธอจะเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้หรือยังถึงกับต้องเท้าสะเอว

‘ไม่ได้ทำงานทำอะไรหนักไปหรอกย่ะแม่คุณ เธอน่ะตายจริงๆ ตายวันที่ไปทำบุญครบรอบหนึ่งร้อยวันของฉันนั่นแหละ’

เสียงแหลมที่ดังเข้ามาในหูทำเอานาราสะดุ้งเฮือก เธอหันไปตามต้นเสียงทันที ก่อนจะพบว่าร่างโปร่งใสของปราณีมายืนอยู่ตรงหน้า

“คะ...คุณป้า!”

เธอถอยหลังกรูดจนไปชนเข้ากับชั้นวางของใกล้ๆ ข้าวของบนชั้นร่วงกราวกระจาย ปราณีมองท่าทางนั้นแล้วก็ทำเสียงขึ้นจมูก

‘เธอจะตกใจฉันไปถึงไหน ตกใจมาหลายรอบแล้วนะยะ ให้มันน้อยๆ หน่อย’

พูดจาอย่างนี้ ปราณีไม่ผิดตัวแน่ แต่นารายังไม่เชื่อในสิ่งที่เห็นสักเท่าไรนัก

“ตะ...แต่คุณป้า...ตะ...ตายไปแล้ว...”

‘ตายไปแล้วก็มาคุยกับเธอได้ย่ะ ไม่อย่างนั้นเธอจะเห็นฉันมายืนหัวโด่อย่างนี้เหรอ’

โด่จริงๆ มาเป็นแบบทรีดีเลยด้วย นารารวบรวมความกล้าในวินาทีนั้น เอื้อมมือไปสัมผัสปราณีด้วยความสงสัยว่า สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเป็นของจริงไหม และ...มือของเธอก็วาดผ่านร่างโปร่งแสงของปราณีไป ทำเอาปราณีต้องทำเสียงขึ้นจมูกอีกครั้งเมื่อเห็นสีหน้าตระหนกตกใจของลูกสะใภ้

‘เอ้าแม่คุณ จะตกใจอีกสักเท่าไรก็เชิญเลย ตกใจให้ถึงวันตายไปเลยนะ ฉันจะได้ไม่ต้องเสียเวลาช่วย’

ชักหัวเสียแล้ว แม่ลูกสะใภ้คนนี้ ทั้งๆ ที่ตอนหล่อนมีชีวิตอยู่ทำตัวเก่งกาจไปทุกเรื่องแท้ๆ ทำไมตอนมาเจอผีแม่ผัวอย่างหล่อนเข้า ถึงได้สติแตกจนทำอะไรไม่ถูกอย่างนี้นะ

‘ฉันคิดถูกหรือเปล่าเนี่ยที่ขึ้นมาช่วยเธอ’

ประโยคนี้พอจะดึงสติสัมปชัญญะของนาราให้กลับมาได้บ้าง หญิงสาวรีบตั้งหลักแล้วลำดับเรื่องราวในหัว

“ช่วยเหรอคะ”

ถามออกมาจนได้ ปราณีเบะปากใส่ไปเล็กน้อย 

‘ก็ช่วยน่ะสิ เธอคิดว่าเธอรอดจากการตายมาได้เพราะใครกัน’

การตาย...หรือว่า...

‘เธอน่ะถึงฆาตในวันที่ไปทำบุญร้อยวันให้ฉัน ฉันจะไม่โผล่หัวมาเลยนะจะบอกให้ ถ้าเธอไม่โทษว่าที่ตัวเองตายเป็นเพราะลูกชายฉันน่ะ’

ไม่ต้องถาม ปราณีก็ตอบคำถามที่สงสัยให้หมดแล้ว นารานึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้นได้ทันที

ฉันตายเพราะคุณ...ปรานต์...

เป็นประโยคที่หญิงสาวจำได้แม่นทีเดียวว่า ณ วินาทีนั้น เธอคิดอะไรออกมา และแน่นอนว่าพอคิดจบ ปราณีก็สวนขึ้นมาราวกับอ่านใจเธอได้ว่าคิดอะไรอยู่

‘ฉันไม่ยอมให้เธอมาปรามาสลูกชายฉันว่าเป็นคนทำเธอตายให้มีมลทินติดตัวหรอกนะ เพราะอย่างนี้ไง ฉันเลยต้อง...’

“มาช่วยให้หนูย้อนกลับมาหนึ่งร้อยวันก่อนหน้าวันที่หนูตาย”

เรื่องนี้นาราก็จำได้แม่นเช่นกัน ตอนแรกเธอไม่แน่ใจว่าได้ยินปราณีพูดว่า ‘กลับไปก่อนหน้านั้นหนึ่งร้อยวัน...’ หรือไม่ แต่ตอนนี้ชักแน่ใจแล้ว เพียงแต่ยังไม่เข้าใจว่าปราณีกลับมาช่วยเธอได้อย่างไร

‘ถ้าเธอจะเงียบปากแล้วฟังฉันพูดก่อน จะกรุณาเป็นอย่างมาก’

สิ่งที่สงสัยจะได้รับคำตอบในตอนนี้แหละ นาราปิดปากสนิท รอฟังอีกฝ่ายด้วยความตั้งใจ

‘ฉันกลับมาช่วยเธอน่ะใช่ แต่บอกไว้ก่อนว่าที่ช่วยเป็นเพราะไม่ต้องการให้ใครมาตราหน้าลูกชายฉันว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอตาย ทั้งๆ ที่จริงแล้วเธอต่างหากที่ประมาทเอง และจริงๆ มันก็ไม่สำคัญว่าใครจะมองลูกชายฉันยังไง ฉันแคร์ตาปรานต์มากกว่า เพราะถ้าเขารู้ว่าเธอขับรถประมาทอย่างนั้นเพราะโมโหที่เขาบอกให้เธอเตรียมตัวไปหย่าหลังทำบุญเสร็จ เขาจะคิดว่ามันเป็นความผิดตัวเองไปชั่วชีวิต ซึ่งฉันไม่ยอมแน่ๆ ฉันต้องปกป้องความรู้สึกของลูกชายฉัน’

“แล้วคุณป้าบอกว่าช่วยหนู...”

‘ช่วยให้เธอไม่ตาย จะได้ไม่ต้องมาทำให้ลูกชายฉันรู้สึกผิดไปจนตาย ฉันเลยไปร้องขอท่านยมบาลให้เธอได้ย้อนกลับมาหนึ่งร้อยวันก่อนที่จะถึงฆาต เพื่อมาแก้ไขชีวิต’

“ยัง...ไงคะ”

นาราไม่แน่ใจเท่าไรนัก ขณะที่ปราณีสูดหายใจเข้าเต็มปอดทั้งๆ ที่ออกซิเจนไม่จำเป็นกับหล่อนอีกแล้ว

‘ก็มาทำให้เธอกับปรานต์รักกัน จะได้ไม่ต้องนัดกันไปหย่า เธอก็จะได้ไม่ต้องขับรถประมาทจนตัวเองตายยังไงล่ะ’

พอได้ยิน นาราก็เบิกตาโต

“ทำให้หนูกับคุณปรานต์รักกันเนี่ยนะ?”

‘ใช่ ทำไม’

ถ้าจะรักกัน เธอกับเขารักกันไปนานแล้ว ที่แต่งงานกัน เป็นสามีภรรยาทางนิตินัย ล้วนแล้วแต่เป็นความต้องการของพวกพ่อๆ ทั้งนั้น ปราณีจำไม่ได้หรือ

ถ้าปราณีเป็นมนุษย์ที่ยังมีลมหายใจอยู่ละก็ นาราไม่รีรอที่จะเถียงไปแล้ว แต่นี่...เป็นผี สงบปากสงบคำไว้ก่อนดีกว่า เขาว่ากันว่าพวกผีมีอิทธิฤทธิ์ก่อกวนมนุษย์ได้ ปราณีก็คงไม่ต่างกัน ยิ่งเป็นโจทก์กันมาตั้งแต่ตอนมีชีวิตอยู่ เธอไม่กล้าเถียงให้ปราณีมาบีบคอหรอก

“ก็...ไม่ทำไมค่ะ”

‘ฉันรู้ว่าเธออยากเถียงแต่ไม่กล้า’ ปราณีว่าอย่างรู้ทัน ดวงตาหรี่เล็กลงอย่างจับผิด 

นาราเกลียดความรู้ทันของแม่สามีชะมัด!

‘แต่ไม่เถียงก็ดี ฉันจะได้ไม่เสียเวลาไปเปล่าประโยชน์ เวลาของฉันมีค่าเพราะฉันเอาแต้มบุญไปแลกมา’

“แต้มบุญแลกเหรอคะ”

‘ใช่ นี่ไง’ พลันก็ยกข้อมือซ้ายที่มีนาฬิกาขึ้นมาให้หญิงสาวดู มันเป็นนาฬิกาหน้าจอดิจิทัลที่ไม่ได้บอกเวลาว่าตอนนี้เวลาเท่าไร แต่เป็นการนับถอยหลังก่อนจะถึงวันที่นาราถึงฆาต 

‘แต้มบุญแลกกับเวลาของเธอหนึ่งร้อยวันก่อนตาย ขอบคุณฉันซะด้วยล่ะ’ ปราณีว่าเสริม

นาราไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรดี ไม่รู้จะทำตัวอย่างไรดีด้วย ได้แต่พนมมือแล้วค้อมศีรษะไหว้ปลกๆ

“ขะ...ขอบ...คุณค่ะ”

น้ำเสียงยังงุนงงและหวาดกลัวผสมปนเปกัน ปราณีพ่นลมหายใจ ก็พอเข้าใจอยู่หรอกว่ายังสับสน ถ้าเป็นหล่อนมาเจออะไรแบบนี้ หล่อนคงจะสติแตกสับสนเหมือนกันนั่นแหละ

แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาจะให้นาราได้สับสนงุนงงอะไรอีกต่อไปแล้ว ปราณีรีบชี้นิ้วสั่ง

‘ได้สติแล้วก็รีบไปเก็บข้าวเก็บของลงกระเป๋าซะ แล้วเตรียมออกเดินทาง’

“เดินทางไปไหนคะ”

‘เอ้า แม่นี่ ถามมาได้ ก็ไปหาตาปรานต์สิ จะมาซุกหัวอยู่ที่คอนโดได้ยังไง เดี๋ยวก็ได้ตายจริงหรอก ต้องเริ่มปฏิบัติการแล้ว’

“ปฏิบัติการ...”

‘ถ้าเธอถามฉันหรือทำหน้าตางงงวยอีกครั้ง ฉันรับประกันเลยว่าเธอจะได้เห็นฉันในสภาพขึ้นอืดแน่’

“แต่งานหนู...”

‘ทำงานฟรีแลนซ์อยู่กับบ้านไม่ใช่หรือไง แล้วแต่เธอนะ ถ้าอยากตายก็ไม่ต้องไป แต่ถ้าไม่อยากตาย…รีบ–ไป–เก็บ–กระ–เป๋า!’

สั่งอย่างเดียวไม่พอ สภาพร่างกายที่ดูปกติของปราณียังค่อยๆ บวมอืดขึ้นมากะทันหัน น้ำเลือดน้ำหนองค่อยๆ ปริซึมออกมาจากผิวหนัง ใบหน้าสวยตามวัยเริ่มคล้ำดำ เปลี่ยนสภาพจนเหมือนกับศพที่กำลังเน่าเปื่อย ตาทั้งสองข้างถลนออกจากเบ้า ทำเอานาราที่มองอยู่ตกใจจนหน้าตาตื่นไปหมด ยกมือขึ้นท่วมหัวพร้อมกับหวีดร้องโวยวาย

“กะ...กลัวแล้ว! กลัวแล้วค่ะคุณป้า! อย่ามาให้หนูเห็นเละๆ เลยนะ”

‘งั้นก็รีบไปเก็บกระเป๋า อย่าให้ฉันพูดอีกซ้ำสอง!’

นาราพยักหน้าหงึกๆ รีบทำตามคำสั่งของผีแม่สามีด้วยความรวดเร็ว เพราะเกรงว่าปราณีจะทำตัวบวมอืดจนแตกโพละมาให้เห็นตรงหน้าอีก วินาทีนี้นอกจากกระเป๋าเสื้อผ้าตรงหน้าที่ลากออกมาจากตู้เสื้อผ้าแล้ว นาราไม่กล้ามองไปที่ไหนเลย กลัวจะเห็นปราณีเป็นอย่างมาก โดยไม่รู้เลยว่าปราณีได้กลับมาอยู่ในสภาพปกติแล้ว

‘เอาเสื้อผ้าไปเยอะๆ เพราะเธอต้องไปอยู่นานแน่’

หญิงสาวรีบร้อนไปเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าอย่างลวกๆ ไม่นานนักก็เสร็จสิ้น เธอลากกระเป๋าใบเขื่องและสัมภาระสำคัญมาที่ประตู ขณะที่ปราณียืน...ไม่สิ ลอยรออยู่ที่หน้าประตูแล้ว

‘เรียบร้อยแล้วก็ไปกัน’

“...”

‘ปฏิบัติการทำให้ปรานต์หลงรักเธอ...เริ่มขึ้นได้’


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น