4

ปฏิบัติการของผีแม่ผัว

ปฏิบัติการของผีแม่ผัว

 

ปฏิบัติการทำให้ปรานต์หลงรักเธอ...เริ่มขึ้นได้

ฟังอย่างไรก็ชวนให้หงุดหงิด ทำไมผู้หญิงที่ดีพร้อมทั้งรูปทรัพย์ ทั้งหน้าที่การงานการเงินอย่างเธอจะต้องไปพยายามทำให้ผู้ชายที่ตัวเองไม่ได้รัก แค่แต่งงานด้วยมาหลงรักเธอจริงๆ กันล่ะ!

ความจริงปราณีที่มานั่งข้างๆ ตลอดการขับรถไปที่ ‘ไร่ปานดวงใจ’ ในจังหวัดสระบุรีก็บอกแล้วว่ามันมีเหตุผล

ถ้าปรานต์รักนารา ก็จะไม่ขอหย่าในวันที่ทำบุญครบรอบร้อยวันตายของปราณี และนาราก็จะไม่ต้องรีบร้อนขับรถด้วยความโมโหจนประมาทถึงแก่ความตาย

เป็นสเตปการแก้ปัญหาของปราณี นาราฟังหล่อนพร่ำพูดมาตลอดทาง เรียวคิ้วก็ขมวดมุ่นตลอด

ทำไมล่ะ ทำไมกัน มันไม่มีวิธีอื่นที่ทำให้เธอรอดชีวิตนอกจากนี้เลยหรือ

นาราครุ่นคิดไม่ตก จนถึงจุดหนึ่งก็รวบรวมความกล้าเอ่ยปาก

“ถ้าหนูไม่ไปทำบุญครบรอบหนึ่งร้อยวันคุณป้าก็สิ้นเรื่อง ถึงคุณปรานต์จะชวนไปหย่า หนูไม่ไปซะอย่าง ก็ไม่ตาย”

คำพูดที่โพล่งขึ้นมาอย่างนี้ทำเอาปราณีหันขวับไปมองตาเขียว

‘เธอคิดว่ามันง่ายอย่างนั้นเลยหรือไง’

“แล้วมันไม่ง่ายตรงไหนล่ะคะ”

พอเริ่มชินกับความผี...เอ่อ...ความเป็นวิญญาณของปราณีแล้ว นาราก็เริ่มมีปากมีเสียงขึ้นมาบ้าง จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม แต่มันทำให้ปราณีถอนหายใจยาว 

แม่ลูกสะใภ้คนนี้ สันดานขี้เถียงอย่างไรก็สันดานอย่างนั้น ถ้านาราอยากจะรู้ว่าทำไมไม่ง่าย งั้นหล่อนก็จะอธิบายให้ฟังแล้วกัน

‘มันไม่ง่ายเพราะว่าจิตสุดท้ายก่อนตายของเธอโทษลูกฉันน่ะสิ’

“แล้ว?”

‘มันก็จะเกิดเป็นความอาฆาต ผูกจิตอาฆาตน่ะ เธอเคยได้ยินไหม’

หญิงสาวพยักหน้าให้เป็นคำตอบ ตามองตรงไปยังถนนข้างหน้า ค่อยๆ ขับรถไปอย่างระมัดระวังด้วยระแวงว่าจะเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิตอีกระลอก ขณะที่ปราณียังอธิบายต่อ

‘เพราะมันเป็นอย่างนั้น พอเธอตายแล้ว วิญญาณของเธอก็จะไม่มีความสุข จิตจะอาฆาตแต่ลูกชายฉัน ถ้าเธอมาที่โลกของวิญญาณ แล้วเอาเรื่องนี้ไปพูดเล่าให้ใครต่อใครฟังว่าตายเพราะลูกฉันชวนไปหย่า ฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน’

นาราถึงกับชำเลืองไปมองทันที “โลกของวิญญาณก็มีสังคมเหรอ”

‘มีอะไรมากกว่าที่เธอรู้อีกเยอะ เธอคาดไม่ถึงหรอก ถ้าอยากรู้ว่ามีอะไรบ้างก็ลองไปตายดู แต่ยังไม่ต้องรีบตายอีกรอบนะยะ แค่นี้ฉันก็ถูกนินทากันสนุกปากละว่าระเห็จมาช่วยเธอเพราะอะไร’

“สรุปแล้ว ตกลงเป็นห่วงลูกชายที่จะทุกข์ตรม หรือเป็นห่วงว่าตัวเองจะเสียหน้ากันแน่คะ”

นาราย้อนถาม ปราณีถึงกับย่นจมูกใส่

‘ห่วงตาปรานต์สิ เรื่องของฉันมันเรื่องรอง ส่วนเรื่องของเธอ...ฉันไม่อยากใส่ใจนักหรอก อยากปล่อยให้แล้วแต่บุญแต่กรรมด้วยซ้ำ แต่เธอดันมาเป็นลูกสะใภ้ฉันซะนี่’

ขอโทษแล้วกันค่ะที่ดันไปเป็นลูกสะใภ้...

นาราอยากเถียงนัก แต่ทำได้แค่ขมุบขมิบปากเพราะจู่ๆ ก็โดนดุ

‘แล้วนี่จะตีนผีไปไหน ขับอย่าให้เกินร้อย ไร่ปานดวงใจมันไม่หนีไปไหนหรอก’

ถึงจะขับขี่อย่างระมัดระวังแล้ว ตอนหัวเสียก็เผลอเหยียบคันเร่งแรงกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัว นาราค่อยๆ ผ่อนคันเร่ง ลอบถอนหายใจเมื่อเห็นว่าผีแม่สามียังบ่นไม่หยุด

‘เพราะขาดการอบรมสั่งสอนที่ดี เธอเลยเป็นคนควบคุมอารมณ์ไม่ได้อย่างนี้ไงล่ะ เอ้า นี่ๆ ฉันบอกให้ขับอย่าเกินร้อย แล้วรถบรรทุกข้างหน้าน่ะ ไม่ต้องไปหาทางแซงเลยนะ ขับตามไปเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบร้อน’

พากย์มาเป็นชุด นาราเหลือบไปค้อนนิดหนึ่งก็กลอกลูกตาหนี กลัวว่าจะได้เห็นปราณีในสภาพเละเทะอีก โดยเฉพาะตอนที่หล่อนเห็นค้อนวงนั้นแล้วถามกลับ

‘มีอะไรไม่ทราบ’

“ไม่มีอะไรค่ะ”

เป็นลูกแมวเซื่องๆ เลยทีเดียว ก่อนที่นาราจะสะดุ้งขึ้นน้อยๆ เมื่อจู่ๆ วิทยุในรถก็มีเสียงเพลงลูกทุ่งดังขึ้น

‘ไม่ต้องตกใจ ฉันเปิดเอง’

คราวนี้หญิงสาวถึงกับต้องหันไปมองเต็มตา

‘ฉันบอกว่าฉันเปิดเอง ยังจะสงสัยอะไรอีก ตามีก็มองไปข้างหน้า อย่าให้เห็นว่าหันมามองฉันนะ ไม่อย่างนั้น...เจอดี’

ขู่ได้ขู่ดี ขู่เข้าไป ตอนมีชีวิตอยู่เห็นว่าขู่แล้วนาราไม่กลัว เลยมาเอาคืนตอนนี้อย่างนั้นหรือ

ใช่ ปราณีมาเอาคืนตอนนี้แหละ แถมได้ผลเสียด้วย นาราเชื่อฟังเป็นแมวเซาเลยทีเดียว ขับรถตัวตรงแหน็ว ปฏิบัติการตามที่ผีแม่สามีสั่งทุกประการตั้งแต่ขับรถความเร็วไม่เกินร้อย และไม่พยายามหาทางแซงหน้ารถบรรทุก ค่อยๆ ไปช้าๆ ใจเย็นๆ ส่วนปราณีก็ฟังเพลงจากวิทยุอย่างสบายใจพลางฮัมไปด้วย ไม่สนแม่ลูกสะใภ้ที่เกร็งจนตะคริวแทบจะกินไปทุกสัดส่วนของร่างกายแต่อย่างใด

เป็นการขับรถที่เมื่อยที่สุดในชีวิตเลยโว้ย!

 

เพราะขับรถตามคำสั่งของปราณีอย่างเคร่งครัด กว่าจะมาถึงยังที่หมายก็เล่นเอาตะวันเกือบตกดิน รถเก๋งคันหรูเลี้ยวเข้ามาในไร่ปานดวงใจซึ่งเป็นทั้งไร่มันสำปะหลัง ข้าวโพด และพืชพรรณอื่นๆ รวมถึงมีฟาร์มโคนมขนาดกลาง ความไม่คุ้นตาของรถคันนี้ทำให้บรรดาคนงานที่เพิ่งจะเลิกงานกันจับจ้องไปที่รถคันนั้นด้วยความสนใจว่าเป็นรถของใคร แต่ก็ไม่มีใครได้คำตอบ เพราะเจ้าของรถยังไม่ลงจากรถมาให้เห็นโฉมหน้าเสียที

นารากำลังยืดเส้นยืดสายด้วยความ...เกร็งสุดฤทธิ์ กลัวว่าทำอะไรผิดพลาดหรือไม่เข้าตาปราณี เดี๋ยวปราณีเวอร์ชันสยองจะมาให้เห็นอีก 

ปราณีเห็นท่าทางของลูกสะใภ้ที่เกร็งจนทำอะไรไม่ถูกก็เอ็ด

‘จะเกร็งอะไรหนักหนา เมื่อยก็บิดๆ ไปสิ บิดขี้เกียจน่ะ ฉันไม่ได้จะว่าอะไรสักหน่อย’

นาราเหลือบมอง...ก็เธอกลัวนี่นา

‘ฉันบอกว่าจะบิดขี้เกียจก็บิดไป ไม่ได้ว่าอะไร เลิกกลัวฉันได้แล้ว’

แม่สามีอ่านใจลูกสะใภ้ออกอีกครั้ง นารากลั้นใจ เอาวะ! บิดก็บิด

คราวนี้ถึงได้ยืดแขนขึ้นเหนือศีรษะจนสุด บิดซ้าย เอี้ยวขวา ไล่ความเมื่อยขบออกจากตัว พร้อมกับพึมพำออกมา

“โคตรเมื่อยเลย”

‘เวลาพูดกับตาปรานต์ เธอต้องพูดจาดีๆ นะ ไม่เอานะ โคตรอะไรนั่น’

คนโดนเตือนถึงกับหันขวับไปมองปราณี นี่เริ่มเป็นผู้กำกับอีกรอบแล้วหรือ

‘ฉันต้องสอนสั่งให้เธอดูแลเอาใจลูกฉันให้ดี ลูกชายฉันเป็นสามีของเธอ เธออยากให้เขารักก็ต้องรู้จักปรนนิบัติ อีกอย่างนะ ตาปรานต์เป็นรุ่นพี่เธอ จะมาใช้คำพูดหยาบคายไม่เคารพกันไม่ได้’

มาแล้ว วิถีเมียสมัยโบราณคร่ำครึ!

ตอนมีชีวิตอยู่ก็ใช่ว่าปราณีจะไม่เคยพูดเรื่องนี้ พูดบ่อยเสียจนมีปากเสียงกับนารานับครั้งไม่ถ้วนเลยละ และแน่นอนว่าคนห้ามทัพก็คือปรานต์ ตอนนี้นาราก็ตั้งแง่เหมือนกันเมื่อได้ยินคำสอนสั่ง ถึงจะไม่พูดอะไรออกมา แต่สีหน้าท่าทางก็บ่งบอกว่าอึดอัดและรำคาญใจจนปราณีเห็น

ทำไมจะไม่รู้ว่านาราคิดอะไร หล่อนก็ไม่อยากมาจู้จี้จุกจิกอย่างนี้แม้กระทั่งตอนตายไปแล้วหรอก ทว่ามันก็เพื่อตัวของปรานต์ ที่สำคัญ เพื่อตัวของนาราเองด้วย

‘ฉันรู้ว่าเธอไม่ชอบ แต่ต้องทำ เข้าใจไหม ไม่อย่างนั้นได้ตายแน่’

พูดไปแค่นี้ นาราพลันถอนหายใจเฮือกใหญ่

โอเค...ลองฟังดูสักตั้งก็ได้

‘เชื่อฉัน แล้วเธอจะได้ไม่ต้องตายอย่างน่าอนาถแบบนั้น’

นาราพยักหน้าให้ปราณีเป็นเชิงว่าเข้าใจและจะเชื่อฟัง ขณะเดียวกัน ภาพเบื้องหน้าก็ปรากฏร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดสุภาพสีดำสนิทเดินเข้ามาหาพอดี และคนคนนั้นก็คือปรานต์ที่ถูกคนงานไปตามว่ามีแขกมาหา 

ชายหนุ่มสงสัยอยู่ว่าใครมาหาเขาในตอนเย็นย่ำอย่างนี้ ในช่วงนี้แขกส่วนใหญ่จะไปพบเขาที่งานศพของปราณีที่ตั้งอยู่ในวัดไม่ไกลจากไร่ปานดวงใจมากนัก ทว่าพอเห็นรถแล้ว เขาก็รู้ทันทีว่าเป็นใคร

‘ตาปรานต์มาแล้ว พูดจากับเขาดีๆ ล่ะ’

ปราณีรีบบอกก่อนที่ปรานต์จะเดินมาถึงตัวรถ นาราพยักหน้า คิดครุ่นอยู่ว่ามีตอนไหนบ้างที่เธอพูดจากับเขาไม่ดี ก็พูดจาดีด้วยมาตลอด เรียกแทนเขาว่า ‘คุณ’ ด้วยซ้ำ เพียงแต่ในบางครั้ง...

‘อ้อ แล้วก็อย่าทำตัวห่างเหิน พูดจาห่างเหินเหมือนไม่ใช่สามีภรรยากันด้วยล่ะ เรื่องนี้เธอต้องปรับตัว ไม่อย่างนั้นฉันไม่รับประกันเรื่องความตายของเธอ’

...ตามนั้นแหละ ในบางครั้ง...ไม่ ทุกครั้งเลยมากกว่าที่เธอทำตัวห่างเหินกับปรานต์ราวกับว่าไม่ใช่คู่สามีภรรยากัน

“ทราบแล้วค่า...”

นาราแสร้งลากเสียงยานคางเบาๆ ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ พอเห็นหน้าปรานต์ เธอก็ดันไม่รู้จะทักอะไรเขาดี กลายเป็นป้ำๆ เป๋อๆ ยกมือไหว้เขาเสียอย่างนั้น ส่วนปรานต์ดูจะงุนงงไปเล็กน้อยที่เห็นภรรยาสาวทำท่าทางอย่างนี้ แต่ที่น่างุนงงมากกว่าก็คือ การที่เธอโผล่มาที่ไร่ปานดวงใจมากกว่า

“ไม่คิดเลยนะว่าคุณจะมาที่นี่”

ไม่คิดจริงๆ อย่างที่พูด ทุกครั้งที่นารามาเยือนสระบุรี เธอไม่เคยย่างกรายเข้ามาที่ไร่ปานดวงใจแห่งนี้เลย เหตุผลน่ะหรือ หึ...ไม่มี มีแต่ทิฐิ และความไม่อยากมาดื่มด่ำรับฟังความรักความโรแมนติกระหว่างปราณีกับประทีป เพราะทุกครั้งที่ผู้ใหญ่ชวนมาที่นี่ ก็จะมีการเล่าถึงการถือกำเนิดของไร่ปานดวงใจแห่งนี้ขึ้นมาทุกที 

ถามว่าพูดถึงทำไม นาราคิดว่าเป็นการบิลด์ของพวกผู้ใหญ่ที่พยายามจะทำให้เธอกับปรานต์มีความสัมพันธ์ ความรู้สึกดีๆ ต่อกันยามมาเยือนที่นี่ แต่ขอโทษทีเถอะ เธอไม่ใช่คนโรแมนติก ไม่ได้มีความอ่อนไหวเหมือนผู้หญิงทั่วๆ ไปที่อินกับเรื่องความรักง่ายๆ บอกตามตรง ถ้าไม่เป็นเพราะพ่อของเธอละก็ หน้าตาของครอบครัวนี้ เธอก็ไม่อยากมาเห็น

เรื่องอัตตานี้จริงๆ ไม่ได้มีมาแต่แรก ประทีปและณัฐฐ์เป็นเพื่อนสนิทกันมานาน ย่อมแน่ว่านาราได้เจอกับปรานต์บ่อยครั้งตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ถึงกระนั้นหญิงสาวก็ไม่ได้สนิทสนมกับปรานต์สักเท่าไร ด้วยปรานต์เป็นผู้ชาย เธอเป็นผู้หญิง ไม่เคยเล่นด้วยกันสักครั้ง กอปรกับเธอไปเรียนที่เมืองนอกเมืองนาเสียหลายปี ความห่างเหินกับปรานต์จึงมีมากขึ้น และยิ่งถูกพวกผู้ใหญ่มาจับคลุมถุงชน ทำให้ความไม่สนิทสนมสักเท่าไรนั้นกลายเป็นความไม่สนิทอย่างสิ้นเชิงเลยทีเดียว แม้ว่าจะแต่งงานกันในท้ายที่สุดก็ตาม

“ถ้าจะมากะทันหันแบบนี้ อย่างน้อยก็โทร. บอกผมหน่อยสิ ผมจะได้จองโรงแรมเอาไว้ให้”

ปรานต์ว่าขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่พูดอะไร นารานึกถึงโรงแรมใกล้ๆ ที่เธอมาพักประจำแล้วเปิดปากพูด

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ไม่จำเป็น”

คำพูดนี้ทำเอาปรานต์ถึงกับเลิกคิ้ว “แล้วคุณจะพักที่ไหนกันล่ะ”

“ก็...” 

เธอนึกถึงคำพูดของปราณีที่ร่ายแผนการมาในรถช่วงหนึ่ง พลันถอนหายใจยาว ทำเอาปรานต์เลิกคิ้วสูงอีกครั้งกับท่าทางนั้น

“ก็จะพักที่เดียวกับคุณน่ะสิคะ ที่ไร่มีบ้านพักอยู่ใช่ไหมล่ะ ฉันพักที่นี่ด้วยแล้วกัน จะได้ไม่ต้องขับรถไปงานคุณป้าเอง ติดรถคุณไปเลย”

นี่ละคือแผนการของปราณีในขั้นแรก...เอาตัวเข้าไปใกล้ชิดกับปรานต์ให้มาก

ถึงมันจะแปลกๆ อยู่เพราะนาราไม่เคยแบ่งโลกส่วนตัวให้ปรานต์เลย ทว่าก็จำเป็นต้องทำ ไม่ทำไม่ได้ ไม่มีทางเลือกแล้ว นอกจากจะไม่อยากตายในอีกเกือบหนึ่งร้อยวันข้างหน้า เธอก็ไม่อยากเห็นสภาพผีแม่ผัวขึ้นอืดเหมือนกัน คิดแล้วก็เหลือบไปมองปราณีที่ยังคงอยู่ในรถ ดูตาหล่อนสิ จ้องเขม็งเลย!

“เอางั้นเหรอ” 

ปรานต์ไม่มั่นใจสักเท่าไรนัก ปกตินารามักปฏิเสธการมาพักที่นี่ แต่ครั้งนี้คง...

“เอางั้นค่ะ”

คงต้องตามใจเธอแล้วละ เพราะเขาก็ไม่มีเวลาว่างให้ทำนั่นทำนี่เหมือนกัน ต้องรีบไปดูแลงานศพของปราณีต่อ

“ถ้างั้นผมจะสั่งคนงานให้เตรียมห้องนอนแขกไว้แล้วกันนะ กระเป๋าคุณอยู่ไหนล่ะ ผมเอาเข้าไปไว้ในบ้านให้”

“ท้ายรถค่ะ”

นาราพูดทั้งๆ ที่ไม่หันไปมองรถของตัวเองทางด้านหลัง ไม่อยากหันไปเจอปราณีน่ะ จนป่านนี้ก็ยังจ้องเธอไม่เลิก คล้ายกับว่าจับผิดอย่างไรอย่างนั้น ใจนี่อยากจะให้ปรานต์เห็นเหลือเกินว่าแม่ตัวเองเฮี้ยนขนาดไหน แต่เขาไม่เห็น ไม่รับรู้อะไรสักอย่าง เอากระเป๋าของเธอลงจากท้ายรถได้ก็ลากเดินมาหาเธอ

“กระเป๋าใบใหญ่จัง คุณกะมาอยู่กี่วันน่ะ”

เขาอดถามไม่ได้ กระเป๋าของนาราใหญ่จริงๆ เดาไม่ถูกเลยว่าเธอขนอะไรมาบ้าง ส่วนนาราเหลือบมองกระเป๋าตัวเองแล้วก็ได้แต่ครุ่นคิด

“ไม่รู้สิคะ...เกือบร้อยวันมั้ง”

“หืม?” ปรานต์ได้ยินไม่ถนัดนัก แต่นาราไม่ตอบอะไรอีกแล้ว

“รีบเอาไปเก็บเถอะค่ะ จะได้ไปที่งานกัน ให้แขกรอเจ้าของงานมันไม่ดี”

ปรานต์เห็นด้วย เขาเองก็เร่งรีบเรื่องนี้อยู่ จึงจัดแจงลากกระเป๋าเข้าไปที่บ้าน จากนั้นก็ฝากฝังให้คนงานที่สนิทกันช่วยดูแลจัดการต่อ ก่อนจะเดินออกมาพร้อมเรียกนารา

“ไปกันเถอะครับ เรียบร้อยละ”

นารายืนนิ่งอยู่ไม่นาน กระทั่งเห็นปรานต์เดินไปเปิดประตูรถฝั่งข้างคนขับให้ เธอถึงได้เดินไปขึ้นนั่ง บอกขอบคุณเบาๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะมาประจำที่และขับออกไป...ท่ามกลางความอึดอัดที่ก่อร่างขึ้นมาในใจของนาราอย่างท่วมท้น

กับคนแม่ว่าอึดอัดแล้ว กับคนลูกนี่อึดอัดกว่าอีก

และทวีความอึดอัดมากขึ้นไปอีกเมื่อจู่ๆ ผีแม่สามีของเธอโผล่มานั่งที่เบาะหลังอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ตอนแรกนาราก็ไม่รู้ แต่พอรู้สึกเหมือนมีอะไรแวบๆ มาให้เห็นทางหางตา เธอก็หันไปมองแล้วต้องตกใจเมื่อเห็นว่าปราณีนั่งอยู่กึ่งกลางของเบาะโดยสาร

‘มองอะไร หันหน้าไป อย่าทำตัวมีพิรุธ’

เสียงดุดังลอยแว่วมาทันที นารารีบหันขวับกลับมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ท่าทางนั้นทำเอาปรานต์หันมามอง

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

“ปะ...เปล่าค่ะ”

พยายามเก็บพิรุธแล้ว แต่ยังมีเล็ดลอดออกมาอยู่ดี สายตาก็หลุกหลิก เหลือบมองไปทางด้านหลังอยู่ตลอด มองไปทีไรก็เห็นปราณีนั่งนิ่งเชิดคอเป็นคุณนาย 

ปรานต์ที่ลอบสังเกตเห็นท่าทางพิลึกของภรรยาตัวเองจึงเหลือบมองกระจกมองหลังเพื่อดูบ้างว่านารามองอะไร

ปรากฏว่า...ไม่มีอะไรทั้งนั้น 

เขาหันไปมองคนข้างตัวอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง ทว่านารากลับนั่งนิ่งทื่อแข็งเป็นหินด้วยถูกดุมาอีกครา

‘ลูกชายฉันเริ่มสงสัยแล้ว บอกว่าอย่ามีพิรุธไงล่ะยะ อยู่นิ่งๆ อย่าหลุกหลิก’

ถ้าจะให้นิ่งกว่านี้ เธอคงต้องหยุดหายใจแล้ว!

เป็นเวรเป็นกรรมอะไรของเธอที่ผีแม่ผัวต้องมาจองเวรจองกรรมกันแบบนี้เนี่ย

ตายแล้วไม่รู้จักแล้ว โอ๊ย!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น