5

ภรรยาของปรานต์

5 

ภรรยาของปรานต์

 

การแต่งงานไม่ใช่เรื่องของคนสองคน โดยเฉพาะถ้าการแต่งงานนั้นไม่ได้เกิดจากคนสองคนตั้งแต่ทีแรก ที่สำคัญ...มันไม่ได้เกิดจากความรัก

หลังการแต่งงานกับลูกชายของเพื่อนพ่อที่ณัฐฐ์ พ่อของเธอ และประทีป พ่อของผู้ได้ชื่อว่าเป็นสามีเธออย่างปรานต์จัดแจงให้ นาราก็ไม่เคยได้พบกับความสุขอีกเลย ยิ่งหลังจากการแต่งงานเสร็จสิ้นลงไปพร้อมๆ กับการจากไปของผู้ใหญ่ทั้งคู่ด้วยอุบัติเหตุ นาราก็แทบจะลืมไปแล้วว่า ครั้งสุดท้ายที่เธอหัวเราะอย่างมีความสุขมันเกิดขึ้นเมื่อไร

หญิงสาวได้คนดูแลเป็นอย่างดีตามความตั้งใจของณัฐฐ์เมื่อสิ้นเขาไปก็จริง แต่การต้องย้ายมาอยู่บ้านเดียวกับปรานต์ และแม่สามีที่ขึ้นชื่อว่าจู้จี้จุกจิกไม่มีใครเกิน อีกทั้งยังไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานของทั้งคู่ตั้งแต่ทีแรกอย่างปราณี นาราก็แทบจะร้องกรี๊ดออกมาวันละหลายครั้ง ยิ่งเธอกลับบ้านมาเหนื่อยๆ แล้วต้องมาเจอกับปราณีที่คอยจับผิด ตำหนิต่อว่าไปเสียทุกเรื่อง นาราก็แทบจะประสาทเสีย

“นี่เธอ อย่ามานั่งๆ นอนๆ ตรงนี้ เหนื่อยนักก็ไปพักในห้องนอนให้มันเรียบร้อย เป็นสาวเป็นนาง นุ่งกระโปรงด้วย มานอนแหกแข้งแหกขาอย่างนี้ได้ยังไง”

เสียงแหลมๆ ของแม่สามีดังขึ้น ทำเอานาราที่เพิ่งจะโยนกระเป๋าและแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะรับแขก ก่อนจะเอนตัวลงนอนบนโซฟาตัวยาวเมื่อครู่ถึงกับเหลือบมองหน้า

เอาอีกแล้ว...ศึกวันนี้เริ่มขึ้นอีกแล้ว

“ยัง...พูดแล้วยังไม่ไปอีก มามองหน้าอยู่ได้ ฉันบอกแล้วก็ทำตามสิ”

ไม่มีความเมตตาเอ็นดูในน้ำเสียงเลยสักนิด แม้ว่านาราจะเป็นลูกสาวของเพื่อนสามี และรู้จักกันมาแต่อ้อนแต่ออก กระนั้นปราณีก็ไม่เคยชอบนาราเลย ด้วยคิดว่าเธอถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจตั้งแต่แม่ของเธอเสียไป มิหนำซ้ำ เธอยังเป็นพวกมั่นใจในตัวเองสูง ไม่ว่าจะเพราะไปเรียนเมืองนอกเมืองนามาหลายปี หรือเป็นเพราะสันดานที่ติดตัวมาแต่กำเนิด หรือการเลี้ยงดู ปราณีก็ไม่ชอบทั้งนั้น ไม่ชอบมากกว่าเดิมด้วยเมื่อต้องมาอยู่ด้วยกัน

อาการอย่างนี้เรียกว่าหวงลูกชายจนพานให้ไม่ชอบหน้าลูกสะใภ้หรือเปล่า ปราณีไม่รู้หรอก รู้แต่ว่าหล่อนกับแม่นาราไม่มีอะไรเข้ากันได้เลยสักนิด

“นี่เธอ! ฉันบอกให้ลุกไปไง”

พอเห็นว่าสาวเจ้าไม่ลุกก็เอ็ดตะโรเข้าให้ นาราดันตัวขึ้นนั่งแล้วถอนหายใจออกมาเต็มแรง

“กลับมาเหนื่อยๆ คุณป้าอย่ามาหาเรื่องกันได้ไหมคะ”

เธอแสดงท่าทีดื้อรั้นเต็มที่ ปราณีรู้ทันทีว่าหลังจากนี้ต้องได้เปิดศึกน้ำลายกับลูกสะใภ้แน่

“ฉันไม่ได้หาเรื่อง แต่ฉันบอกให้เธอทำตัวให้เรียบร้อย อย่าคิดว่าที่นี่เป็นบ้านของเธอคนเดียว จะมาทำอะไรตามใจตลอดเวลาก็ได้ ให้เห็นหัวฉันด้วย”

ไม่อยากจะพูดหรอกว่ามันไม่ใช่บ้านของนารา เพราะมันไม่ใช่จริงๆ บ้านหลังนี้เป็นบ้านของประทีปและปราณีที่ซื้อเอาไว้เตรียมยกให้เป็นเรือนหอของลูกชาย ทั้งคู่ตั้งใจกันว่าหากปรานต์แต่งงานเมื่อไร พวกเขาจะย้ายไปอยู่ที่ไร่ปานดวงใจ ทำไร่ทำสวนกันตามประสาคนเกษียณ ทว่าเพราะประทีปดันชิงตัดหน้าตายไปเสียก่อน ด้วยความเป็นห่วงแม่ ปรานต์จึงขอนาราให้ปราณีมาอยู่ด้วย ในตอนนั้นนาราไม่ว่าอะไร เข้าใจความเป็นห่วงของสามีเลยตกปากรับคำ 

ถ้าเธอรู้ก่อนว่าการที่ปราณีมาอยู่ด้วยจะทำให้เธอเครียดไม่เว้นวันอย่างนี้ เธอไม่เออออไปกับสามีลูกแหง่นั่นหรอก!

“แล้วหนูไม่เห็นหัวคุณป้าตรงไหนคะ”

แรงมาก็แรงกลับ นาราถามพลางมองจ้องใบหน้าที่มีริ้วรอยผ่านกาลเวลาของปราณีนิ่ง ปราณีถึงกับต้องถลึงตา

“แม่คนนี้! ใครสอนใครสั่งให้เถียงผู้ใหญ่คอเป็นเอ็นขนาดนี้ฮะ”

หล่อนเลี้ยงปรานต์มา ปรานต์ไม่เคยเถียงหล่อนสักคำ แล้วแม่นารานี่เป็นใคร กล้ามาเถียงหล่อนทุกคำพูดอย่างนี้ หล่อนไม่ยอมหรอกนะ!

“หนูไม่ได้เถียง หนูแค่ถาม”

“ถามนั่นแหละที่เรียกว่าเถียง!”

“คุยไม่รู้เรื่องแล้ว คุณป้าเลิกคุยกับหนูเถอะค่ะ รำคาญ ไม่อยากมีเรื่องด้วย”

ไม่เพียงแต่พูด ยังแสดงท่าทีออกมาชัดเจนว่ารำคาญเต็มแก่ นาราลุกขึ้นจากโซฟา คว้าข้าวของเตรียมจะหนีเข้าห้องนอน แต่ปราณีกลับรั้งไว้ด้วยคำพูด

“ทำอย่างกับฉันอยากจะเสวนากับเธอนักงั้นละ จำเอาไว้นะนารา เธอเป็นเมียของลูกชายฉัน ฉันมีศักดิ์เป็นแม่ผัว ให้มันเคารพกันบ้าง!”

คำว่า ‘เมีย’ ทำเอานาราถึงกับขมวดคิ้วยู่

“ยังไม่ได้เป็น ‘เมีย’ ค่ะ!”

หญิงสาวกระแทกเสียงสวนคืนไปทันที

จะมาบอกว่าเธอเป็นเมียได้อย่างไร เป็นสามีภรรยากันทางนิตินัย ไม่ได้เป็นในทางพฤตินัยสักหน่อย พูดอย่างนี้เธอเสียหายนะ!

ทว่าปราณีไม่สนใจ เชิดใบหน้าขึ้นแสดงท่าทีเหนือกว่า 

“แต่งกันแล้วก็ถือว่าเป็นผัวเมีย”

“ไม่ใช่ค่ะ!”

“ทำไมจะไม่ใช่”

“ยังไม่ได้ ‘เอา’ กัน จะเรียกว่าผัวเมียได้ยังไงกันคะคุณป้า”

นาราจงใจเน้นคำเพื่อยั่วโมโห แล้วมันก็ได้ผลเสียด้วย เพราะปราณีถึงกับชี้หน้า

“แม่ตัวดี! อย่ามาเถียงฉันนะ!”

“มีอะไรกันครับ”

ก่อนที่สงครามน้ำลายและสงครามประสาทของแม่สามีลูกสะใภ้จะยืดเยื้อไปมากกว่านี้ ปรานต์ที่เพิ่งกลับถึงบ้านก็เข้ามาห้ามทัพได้ทันกาลอย่างพอดิบพอดี อันที่จริงเขาได้ยินเสียงโวยวายแว่วๆ มาตั้งแต่หน้าบ้านแล้ว แต่ไม่คิดว่าพอเดินเข้ามาข้างในจะได้ยินเสียงดังขนาดนี้

“ก็แม่นาราน่ะสิ เถียงแม่คอเป็นเอ็น ถ้าไม่เห็นว่าเป็นลูกสะใภ้ละก็ ป่านนี้แม่ด่าเช็ดไปแล้ว”

ปราณีรีบฟ้องลูกชายทันที สาธยายความผิดของนาราออกมาด้วย ขณะที่นาราแสยะยิ้มเล็กน้อยราวกับเย้ยหยันว่าเรื่องแค่นี้ต้องฟ้องด้วยหรือ ก่อนจะยืนนิ่งๆ รอดูว่าปรานต์จะมีท่าทีตอบสนองอย่างไร

“ผมว่าแม่เข้าใจหนูนาผิดไปหรือเปล่า”

‘หนูนา’ เป็นชื่อเล่นของนาราที่ปรานต์เรียกติดปากมาแต่เด็ก นาราไม่อยากให้เขามาสนิทสนมหรอก แต่ในเวลาอย่างนี้ เธอไม่มีเวลาสนใจอะไร นอกเสียจากมองหน้าแม่สามีว่าจะตอบสนองอย่างไร

“เข้าใจผิดเหรอ เข้าใจผิดอะไรตาปรานต์ แกไม่ได้มาเห็นแม่นี่เถียงแม่ฉอดๆ ก็พูดได้สิ”

ฟ้องอย่างเดียวไม่พอ ออกอาการน้อยใจลูกชายที่เข้าข้างภรรยาด้วย ซึ่งจริงๆ แล้ว ปรานต์ไม่ได้เข้าข้างนาราหรอก แต่รู้อยู่แล้วว่าทุกครั้งที่ผู้หญิงสองคนนี้ทะเลาะกัน ปราณีจะเป็นฝ่ายเหน็บแนมต่อว่านาราตลอด และเขาจะเข้าข้างแต่แม่ตัวเองไม่ได้ ต้องพิจารณาจากสถานการณ์ เหตุผล และความรู้สึกของนาราด้วย

“แล้วครั้งนี้ทะเลาะ...เถียงกันเรื่องอะไรครับ”

ไม่อยากใช้คำว่า ‘ทะเลาะ’ สักเท่าไร มันดูเหมือนเป็นเรื่องร้ายแรง ใช้คำว่า ‘เถียง’ จะดีกว่า

“ก็แม่นี่...”

“แม่คุณหาเรื่องฉันเพราะฉันเหนื่อยจากงานมานอนพักที่โซฟา”

ไม่ทันที่ปราณีจะได้พูดจบ นาราก็แทรกเข้ามาเสียแล้ว เธอไม่ยอมเป็นฝ่ายถูกฟ้องอย่างเดียวหรอก ต้องเป็นฝ่ายฟ้องบ้าง

“นอนที่โซฟาเหรอ” ปรานต์ถามราวกับไม่เชื่อว่าแค่เรื่องแค่นี้ถึงกับทำให้ทะ...ไม่สิ เถียงกันใหญ่โต

“ค่ะ นอนที่โซฟา” นาราย้ำ

คราวนี้อีกฝ่ายได้ทีแย้งต่อ “แล้วมันเหมาะสมเหรอที่มานอนแหกแข้งแหกขาตรงนี้ แม่เห็นว่ามันไม่เรียบร้อยก็เลยไล่ให้ไปนอนพักในห้อง แต่แม่นี่ก็...”

“หนูไม่ได้นอนแหกแข้งแหกขาอย่างที่คุณป้าพูด หนูก็ต้องเถียงสิคะ”

“แต่เธอ...”

“แม่คุณใส่ร้ายฉัน ฉันก็แค่นอนพักเฉยๆ ขับรถมาตั้งนาน ทั้งเหนื่อยจากงาน ทั้งขับรถฝ่ารถติด ถึงบ้านแล้ว ฉันจะขอพักสักหน่อยก่อนไม่ได้เลยหรือไง”

นาราไม่ยอมเป็นฝ่ายถูกใส่ความอีกต่อไป พรั่งพรูออกไปอย่างนี้ ปรานต์ก็ร้องอ๋อในใจ

ความจู้จี้จุกจิกของแม่เขานั่นเองที่เป็นเหตุให้ทั้งสองคนนี้เถียงกันบ้านแทบแตก

“ฉันไม่ได้ใส่ร้าย”

“งั้นที่ว่าหนูนอนแหกแข้งแหกขา คุณป้าจะว่ายังไงคะ หนูนอนแหกอะไรต่อมิอะไรตรงไหนไม่ทราบ!”

เริ่มเถียงกันอีกระลอกแล้ว ปรานต์ที่เห็นท่าไม่ดีรีบชูมือขึ้นทั้งสองข้างเป็นเชิงห้ามทัพ...หรือยอมแพ้ให้กับผู้หญิงทั้งสองคนนี้ก็ไม่แน่ใจนัก

“หยุดๆ หยุดเลยทั้งคู่ มันแค่เรื่องเล็กน้อยเอง อย่าเอามาเป็นอารมณ์เลย ทั้งแม่ทั้งหนูนา แยกย้ายกันเถอะ”

“แต่แม่...”

“ขอนะครับแม่ ถือว่าเห็นแก่ผมนะ กลับมาบ้านเหนื่อยๆ อยากพักเหมือนกัน ไม่ทะเลาะกันแล้วนะครับ”

สุดท้ายเขาก็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันคือการทะเลาะ และพอเห็นว่าปราณีไม่มีท่าทีจะยอมง่ายๆ เขาจึงหยอดลูกอ้อนไปหนึ่งที ปราณีที่เห็นสีหน้าเหนื่อยล้าของลูกชายก็จำต้องปิดปากสนิทอย่างไม่มีทางเลือก

“ก็ใช่ว่าแม่อยากจะเถียงกับแม่นาราให้เหนื่อยหรอกนะ แต่เอาเถอะ ครั้งนี้จะปล่อยไปแล้วกัน ถือซะว่าแกขอ”

“ขอบคุณครับ” ปรานต์ยิ้มหวานให้คนเป็นแม่ รู้ว่าการออดอ้อนอย่างนี้จะทำให้ปราณีใจเย็นลงได้

แต่...ก็แค่ปราณีเท่านั้น นาราไม่ได้ใจเย็นลงด้วยเลย ยิ่งได้ยินสิ่งที่ปราณีพูดตบท้าย เธอก็กระทืบเท้าปึงปังเดินออกไปจากตรงนั้น ทำให้โจทก์ต้องตำหนิไล่ตามหลัง

“ดูสิดู ดูทำเข้า ทำอย่างกับว่าพ่อแม่ไม่สั่งไม่...”

“แม่ครับ...”

ก่อนจะได้พูดจบประโยค ปรานต์ก็โพล่งขึ้นขัดไว้ก่อนแล้ว ปราณียอมหยุดอีกครั้งด้วยเห็นแก่ลูกชาย ส่วนคนกลางอย่างปรานต์ก็ได้แต่ถอนหายใจยาวเมื่อเห็นว่าเหตุการณ์นี้จบลงไม่ดีสักเท่าไรนัก แต่ถึงอย่างนั้นก็โอบกอดร่างผู้เป็นแม่ไว้ ส่งเสียงอ้อนเพื่อให้อีกฝ่ายอารมณ์ดีขึ้น

“แม่พักเถอะครับ เดี๋ยวผมขอตัวไปพักบ้าง ตัวเหนียวมากเลย อยากอาบน้ำจะแย่แล้ว”

ตบท้ายด้วยการหอมแก้มฟอดใหญ่ไปอีกหนึ่งที จากที่หงุดหงิดๆ อยู่ ปราณีก็ยิ้มออกทันตาเห็น

“อะไรของแกเนี่ย โตจะตายอยู่แล้ว ยังอ้อนเป็นเด็กอีก เดี๋ยวเมียแกก็หาว่าแกเป็นลูกแหง่...”

“ไม่ต้องพาดพิงหนูนานะครับแม่ หนูนาไม่ว่าอะไรผมหรอก แม่อย่าคิดมากนะ”

ไม่ว่า แต่แม่นั่นคิด!

ปราณีอยากบอกลูกชายว่าหล่อนอ่านสายตาของหญิงสาวออก แต่ช่างมัน ในเมื่อปรานต์อยากจะจบเรื่องนี้เต็มทน หล่อนยอมหยุดก็ได้

“งั้นก็ไปอาบน้ำซะ แล้วออกมากินข้าว แม่ทำกับข้าวเอาไว้ให้แล้ว เดี๋ยวจะเอาไปอุ่นให้อีกที จะได้กินอร่อย”

ปรานต์ไม่ขัดแม้ว่าตัวเองจะกินข้าวเย็นมาจากข้างนอกแล้วก็ตาม ได้แต่ยิ้มให้มารดา ก่อนปลีกตัวไปที่ห้องนอนของนารา

ใช่...ห้องนอนของนารา ที่หมายถึงห้องนอนของเธอ ไม่ใช่ของเขา เขากับเธอแยกห้องนอนกัน

“หนูนา ขอผมคุยหน่อยได้ไหม”

เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นกับเสียงร้องเรียกไม่ดังนักดึงความสนใจของหญิงสาวที่ยังคงนั่งหงุดหงิดอยู่บนเตียงเพียงลำพังไป เธอทำทีไม่สนใจ แต่สุดท้ายก็ต้องมาเปิดประตูเมื่อคนด้านนอกเรียกอีก

“หนูนา ขอผมคุยแป๊บเดียวนะ”

ประตูเปิดผางออกมาจนได้ พร้อมกับสีหน้ายุ่งเหยิงของหญิงสาว

“อย่ามาเรียกฉันว่าหนูนา ฉันไม่ได้สนิทสนมอะไรกับคุณ”

เปิดฉากก็แหวใส่เลย ปรานต์พยักหน้ารับ ไม่อยากจะมีปัญหาด้วย แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าเมื่อไรกันนะที่สรรพนามในการเรียกแทนตัวของทั้งเขาและเธอมันเปลี่ยนไป...

“คุณจะคุยอะไร”

เห็นไม่พูดสักที นาราเลยเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน และก็ตามที่เธอคาดหมายไว้ ปรานต์เอ่ยปากขอโทษแทนแม่ตัวเอง

“ผมต้องขอโทษแทนแม่ด้วยนะที่จู้จี้จุกจิกกับคุณ ทำคุณอารมณ์เสียทั้งๆ ที่เหนื่อยๆ กลับมา”

เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่เธอมีปัญหากับปราณี นารากลอกตาเล็กน้อย พยักหน้ารับอีกนิดหนึ่ง

“ค่ะ ก็ตามนั้น”

พลันทำท่าจะปิดประตู ไม่อยากจะคุยต่อด้วยสักเท่าไร แต่ปรานต์กลับดันประตูเอาไว้

“ผมยังคุยไม่จบ”

“มีอะไรอีก”

น้ำเสียงหงุดหงิดเร่งให้ชายหนุ่มรีบพูด

“ผมไม่อยากให้คุณคิดว่าแม่ผมรังเกียจคุณนะ แม่อาจจะจู้จี้จุกจิกไปบ้าง แต่ท่านก็เมตตา...”

“สิ่งที่แม่คุณทำเรียกว่าเมตตาฉันเหรอคะ” เสียงของนาราค่อนไปทางเย้ยหยัน

ปรานต์สูดหายใจเข้าปอดเฮือกหนึ่งก่อนพยักหน้า ท่าทางนั้นดันทำให้นารายิ้มเยาะออกมามากกว่าเดิมอีก

“ถ้าสิ่งที่แม่คุณทำเรียกว่าเมตตา ฉันคงได้รับความเมตตาเอ็นดูเป็นอย่างมากเลยสินะ แต่ขอโทษค่ะ ฉันไม่ต้องการ คุณเอาไปบอกแม่คุณด้วยนะว่าไม่ต้องมาเมตตาเอ็นดูฉัน ไม่อย่างนั้นฉันคงจะประสาทแด...กว่าเดิมแน่”

ไม่ระวังคำพูดเลยสักนิด ปรานต์ก็ใช่ว่าจะชอบหรอกที่หญิงสาวซึ่งอายุน้อยกว่าเขาหลายปีพูดจาไม่เคารพกันสักเท่าไรอย่างนี้ แต่เข้าใจว่าอารมณ์ของนาราในตอนนี้ไม่พร้อมจะพูดดีๆ กับใครหรอก

“เอาเป็นว่าผมขอโทษแทนแม่ด้วยแล้วกัน หนูนาไป...” ปรานต์ชะงักเมื่อเห็นสายตาเขียวๆ ของอีกฝ่าย ก่อนปรับคำพูด “คุณไปพักเถอะ ผมไม่กวนแล้ว”

นาราไม่พูดอะไรอีก ความหงุดหงิดไม่มีทีท่าว่าจะจางหาย เธอปิดประตูใส่หน้าชายหนุ่มอย่างไม่แยแส โดยไม่สนใจเลยว่าปรานต์ที่อยู่นอกห้องกำลังเหนื่อยใจมากเพียงใด

ถ้ายังเป็นแบบนี้ละก็ มีหวังอยู่ร่วมชายคาเดียวกันต่อไปไม่ได้แน่ๆ..

ความสัมพันธ์ของปราณีกับนาราเสมือนระเบิดเวลาที่รอวันระเบิดในความรู้สึกเขาอย่างไรก็ไม่รู้ เพียงแต่เขาไม่รู้ว่ามันจะระเบิดเมื่อไร

แต่ระหว่างที่รอให้ถึงเวลา เขาคงจะต้องระเบิดเป็นเสี่ยงก่อนเพราะเข้าไปห้ามทัพของผู้หญิงทั้งสองคนนี้ละ

 

เฮือก!

เป็นอีกครั้งที่นาราสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะปราณี แต่คราวนี้ไม่ใช่เพราะถูกปราณีหลอกหลอนแต่อย่างใด เป็นเพราะเธอฝันถึงเหตุการณ์ในอดีตที่เธอเคยมีร่วมกับปราณีต่างหาก แน่ละว่ามันไม่ใช่เหตุการณ์ที่น่าประทับใจ เรื่องทะเลาะกันพวกนั้น ไม่รู้ทำไมเธอถึงจำได้ดีนัก 

หญิงสาวยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาตัวเองเป็นพัลวัน คิดว่าสิ่งที่ฝันเห็นนั้นเป็นฝันร้ายอย่างหนึ่ง ถึงจะไม่ได้ฝันน่ากลัว ทว่าการฝันเห็นปราณีก็ถือว่าเป็นฝันร้ายสำหรับเธอแล้ว

ฝันร้ายกว่านั้นก็คือการลืมตาขึ้นมาจากฝันแล้วยังเห็นปราณีอยู่ โดยเฉพาะการที่หล่อนมาโผล่ตรงหน้าอย่างไม่ให้ตั้งตัวอย่างนี้

“ว้าย!”

นาราหวีดร้องออกมาที่จู่ๆ ร่างโปร่งแสงของผีแม่สามีปรากฏให้เห็นเต็มสองตา ปราณีมองค้อนคนเพิ่งตื่นนอนเล็กน้อย

‘ขวัญอ่อนจังเลยนะแม่คุณ แล้วนี่ตื่นแล้วมัวงัวเงียอะไรอยู่ รีบลุกไปอาบน้ำสิ’

ออกปากสั่งตามนิสัยเดิม นารามองแล้วได้แต่ส่งเสียงขุ่น

“จะรีบไปอาบน้ำทำไมคะ วันนี้ไม่มีงานอะไรแล้ว”

เธอหมายถึงงานศพของปราณีที่เสร็จสิ้นไปเมื่อวานซืนนี้อย่างเป็นทางการ กายเนื้อถูกเผากลายเป็นตอตะโกแล้ว อัฐิก็ถูกจัดแจงเอาไปลอยอังคารเรียบร้อยแล้วด้วย ตั้งแต่ที่เธอมาอยู่ที่ไร่ปานดวงใจ เธอก็ช่วยงานศพของปราณีอย่างเต็มที่จนกระทั่งเสร็จสิ้นโดยสวัสดิภาพ ตื่นเช้าทุกวัน วันนี้จะให้เธอนอนขี้เกียจต่ออีกสักหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร

ปราณีเห็นท่าทางอิดออดของลูกสะใภ้ ก็อดไม่ได้ที่จะเชิดหน้าพูด

‘ใครบอกว่าไม่มีงานอะไร’

“งานอะไรคะ”

‘งานเอาใจลูกชายฉัน ให้ตาปรานต์รักและไม่คิดจะหย่ากับเธอไง จำไม่ได้หรือไงฮะ’

เหมือนจะตระหนักขึ้นมาได้ว่าตัวเองมาที่นี่ทำไม แต่...พอได้ยินปราณีบอกว่าเป็นงาน ‘เอาใจลูกชายฉัน’ นาราก็ไม่อยากทำขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“ไร้สาระ...”

หลุดปากพึมพำออกมาด้วย ไม่รู้เลยว่าปราณีได้ยินเต็มสองหู

‘ฉันได้ยินนะ’ จากนั้นก็เริ่มออกปากดุ ‘แล้วอย่ามาว่าสิ่งที่ฉันพยายามให้เธอทำมันไร้สาระด้วย ลืมไปแล้วหรือไงว่าฉันมาเพื่อช่วย...’

“...ลูกตัวเองให้พ้นจากตราบาป”

ขนาดปราณีตายไปแล้ว นารายังกล้าต่อปากต่อคำกับวิญญาณของหล่อน แล้วจะให้อยากเอ็นดูช่วยเหลือได้อย่างไรเนี่ย!

‘ช่วยเธอจากความตายด้วย ถึงจะเป็นผลพลอยได้ก็เถอะ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องไร้สาระ เข้าใจไหม’

ไม่เข้าใจก็ต้องเข้าใจ นาราถอนหายใจยาว

“แต่ขอหนูนอนอีกสักงีบไม่ได้เหรอคะ นอนดึกมาหลายวัน หนูเพลีย”

นอนดึกและเพลียเพราะช่วยงานศพของปราณีล้วนๆ เลย วันนี้งานเสร็จสิ้นแล้ว เธออยากจะนอนให้เต็มอิ่มสักหน่อย 

ทว่าพอทำท่าทิ้งตัวจะนอนลงไปบนเตียงดังเดิม ปราณีก็เดินทะลุเตียงเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า นาราที่ทำท่าง่วงงุนเมื่อครู่นี้ถึงกับเบิกตาโพลง ส่งเสียงออกมาด้วยความตกใจ

“กรี๊ดดด!”

‘ชินสักทีเถอะแม่คุณ ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย แค่เดินมาหา’

“ตะ...แต่...คะ...คุณป้าเดิน...ทะลุเตียง...”

‘ไม่ให้ทะลุเตียงแล้วจะให้ทะลุอะไร ก็เธอนอนอยู่บนเตียง กายทิพย์มันก็อย่างนี้แหละ ทะลุสิ่งของได้’

“...”

‘เอ้า ทำใจให้ชินซะ เพราะเธออาจจะต้องเห็นอะไรเหนือความคาดหมายมากกว่านี้อีก ตอนนี้เรื่องนั้นไม่สำคัญ มีเรื่องสำคัญกว่าที่จะต้องทำตอนนี้...และเดี๋ยวนี้’

เน้นย้ำมาอย่างนี้ นาราจะฝืนทิ้งตัวลงนอนหรือขัดคำสั่งอย่างเมื่อก่อนคงไม่ได้แล้ว กลัวว่าอีกฝ่ายจะเผยสภาพเละเทะมาให้เห็นอีก แต่...จะให้มาเอาใจปรานต์อย่างนั้น เธอคงทำไม่ได้

“ขอเวลาหนูสักหน่อยได้ไหมคะ”

‘เวลาอะไร’

“เวลาทำใจที่จะต้องไปเอาใจลูกชายคุณป้าน่ะค่ะ”

ปราณีถึงกับเบ้หน้าออกมา ‘จะมาทำจงทำใจเรื่องนี้ทำไม ไร้สาระ’

วิญญาณแม่สามียอกย้อนด้วยคำพูดของหญิงสาวเองด้วย กระนั้นนาราก็ยังยืนคำเดิม

“ก็หนูยังไม่พร้อม”

‘อะไรที่ว่าไม่พร้อม’

“ตัวหนู”

‘แต่เธอพร้อมที่จะตายในอีกไม่ถึงร้อยวันว่างั้น?’

พูดมาถึงตรงนี้ นาราเถียงไม่ออก เอาจริงๆ เธอไม่พร้อมกับอะไรทั้งนั้นแหละ!

“หนู...แค่คิดว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม เพราะคุณป้าที่เป็นแม่ของคุณปรานต์เพิ่งตาย ถ้าหนูไปเอาใจ มันคงจะดูไม่โอเค เขาคงยังเสียใจอยู่ ไม่อยากให้หนูไปกวนหรอก...”

คราวนี้เหตุผลมีน้ำหนัก ปราณีพยักหน้า ทว่าก็สวนกลับ

‘เวลานี้แหละเหมาะที่สุดแล้ว เข้าไปเอาใจใส่ตอนเขาสูญเสียและต้องการใครสักคนเคียงข้าง เธอจะเป็นหญิงสาวแสนดีเลยนะแม่นารา’

ก็ไม่ได้อยากเป็นหญิงสาวแสนดีสักหน่อย เธอก็แค่...

“หนูไม่อยากทำ”

เหตุผลนี้เท่านั้น สั้นๆ เลย 

บอกไปตามตรงแล้วก็หวังว่าปราณีจะเข้าใจ แต่ปราณีกลับพ่นลมหายใจเต็มแรงทั้งๆ ที่ไม่มีลมหายใจ

‘เลือกเอาแล้วกันระหว่างตายกับเอาใจลูกชายฉัน จะเลือกอะไร’

ตายหรือ ไม่ต้องถามให้ยุ่งยากหรอกว่าเลือกอะไร นาราเลือกได้ในทันทีที่ถูกถาม แต่ไม่ได้ตอบออกไป ถึงอย่างนั้นปราณีก็รู้คำตอบของหญิงสาวดี

‘ถ้าเลือกไม่อยากตาย ก็รีบไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วไปที่ไร่ซะ ถ้าให้ฉันพูดหลายรอบละก็...โดนดีแน่’

ไม่เพียงพูดแค่พูดเท่านั้น หน้าตาก็ค่อยๆ บวมเป่งขึ้นทีละน้อย นารารู้ทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ รีบยกมือขึ้นพนมระหว่างอกเป็นพัลวัน

“พอแล้วค่ะคุณป้า หนูยอมไปแล้ว!”

‘ยอมแล้วก็ลุกสิยะ ต้องให้พูดอีกกี่รอบ!’

ไม่ต้องพูดเพิ่มเติม รอบนี้เป็นรอบสุดท้าย นารากระเด้งตัวขึ้นจากเตียง พุ่งเข้าห้องน้ำไปโดยไม่หยิบผ้าเช็ดตัวติดไปด้วยซ้ำ 

เสียงสายน้ำสาดกระทบพื้นกระเบื้องแว่วมาให้ได้ยิน ปราณีเกือบจะตามเข้าไปกำกับการอาบน้ำของหญิงสาวอยู่แล้ว ถ้าเธอไม่ตะโกนออกมาก่อน

“คุณป้าไม่ต้องเข้ามานะ เดี๋ยวหนูตกใจลื่นล้มหัวฟาดพื้น อาบช้าไปอีก รออยู่ข้างนอกนั่นแหละ!”

ทำไมจะไม่รู้ว่าที่พูดอย่างนี้เป็นเพราะนารากลัว ปราณีกระหยิ่มยิ้มเล็กน้อย ยอมให้ลูกสะใภ้สักยกแล้วกัน

 

นาราแทบจะวิ่งผ่านน้ำด้วยกลัวว่าถ้าอาบน้ำนาน ผีแม่สามีจะตามมาวุ่นวายให้เธอได้ขวัญหนีดีฝ่ออีก แต่เธอก็ต้องมาขวัญเสียตอนออกจากห้องน้ำอยู่ดี เพราะหลังจากนั้น ปราณีก็คอยกำกับเธอทุกอย่าง ตั้งแต่การเลือกเสื้อผ้า การแต่งหน้า ทำเผ้าผมให้ดีประหนึ่งว่าจะไปทำธุระสำคัญที่ไหน นั่นก็เพราะ...

“เวลาปรานต์เห็นเธอจะได้สบายตาสบายใจ ไม่ใช่ไปในสภาพผมเผ้ารุงรัง หน้าไม่แต่ง อยู่บ้านก็ต้องดูแลตัวเอง อย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้ผัวระอา”

...เพราะปรานต์ล้วนๆ เลย

นาราลอบถอนหายใจไปกี่ร้อยรอบแล้วก็ไม่รู้ 

ถ้าต้องให้เธอมาทำเรื่องยุ่งยากน่ารำคาญอย่างนี้ไม่เว้นวันละก็ เธอยอมตายดีกว่า!

...ทำเป็นคิดไป ใจจริงไม่กล้าหรอก ปอดแหกอย่างกับอะไรดี 

นารายอมทำตามที่ผีแม่สามีสั่งทุกเม็ดก่อนออกจากบ้าน ฝ่าแดดร้อนๆ เดินตรงไปยังศาลาสำหรับพักผ่อนกลางไร่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวบ้านนัก

มือข้างหนึ่งยกขึ้นป้องใบหน้าไม่ให้แดดมาโดนจังๆ ดวงตาหรี่เล็กลง มองหา ‘คนตัวการ’ ที่ทำให้เธอต้องมาแต่งหน้าทำผมอยู่นานเป็นชั่วโมงๆ เป็นพัลวัน ก่อนจะเห็นว่าเจ้าตัวนั่งอยู่ท่ามกลางคนงานในไร่หลายคน ใต้ศาลาพักผ่อนขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นเพื่อเอาไว้ผ่อนคลายหลังจากทำกิจกรรมกลางแจ้งกัน มันมีลักษณะคล้ายๆ กับบ้านน็อกดาวน์ เพียงแต่ไม่มีผนังก็เท่านั้น

แต่นั่นไม่สำคัญอะไรสำหรับนาราแล้ว หญิงสาวเอาแต่จ้ำเดินไปยังที่หมาย โดยไม่รู้ตัวว่ามีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องมายังเธออยู่

“คุณปรานต์ครับ...นั่นเมียคุณปรานต์หรือเปล่า”

‘หม่อง’ คนงานในไร่ชาวพม่าที่สนิทสนมกับปรานต์กระซิบบอกข้างหูเจ้านายเมื่อเห็นร่างแน่งน้อย ชายหนุ่มที่กำลังตักข้าวเข้าปากถึงกับชะงัก เมื่อมองตามไปยังจุดที่หม่องบอกก็พลันต้องวางช้อนแล้วยืดตัวตรง

“ใช่...มาทำไมน่ะ”

เป็นคำถามที่ถามออกไปก็ไม่ได้คำตอบจากใครทั้งนั้น นอกเสียจากคำตอบที่มาจากปากของนาราเอง อ้อ มีหม่องที่ได้ยินส่ายหน้าพรืดให้เป็นคำตอบว่าเขาไม่รู้ด้วยอีกคน ขณะที่นาราเดินมาจวนจะถึงแล้วก็รีบหลบเข้าร่มก่อนเป็นอันดับแรก

ทำไมมันร้อนอย่างนี้นะ!

บ่นในใจสักหน่อย พร้อมกับคิดครุ่นด้วยว่าเธอจะเอาใจปรานต์ตามที่ปราณีบอกอย่างไรดี จริงๆ แล้วเธอเดินคิดมาตั้งแต่ออกจากบ้านแล้วด้วยซ้ำ

ให้เอาใจหรือ ยาก...ถ้าแค่โผล่มาให้เห็นหน้า ให้คนอื่นรู้จักเธอในฐานะภรรยาของเขาอะไรแบบนั้น เธอพอทำได้

งั้น...ทำอย่างหลังก็แล้วกัน! ไม่บอกปราณีด้วย 

นาราคิดว่าทำอะไรได้ในตอนนี้ก็ทำไปก่อน ที่เหลือค่อยว่ากันอีกครั้ง

ดวงหน้าสวยที่มีเหงื่อเม็ดเป้งผุดพรายหันไปมองปรานต์ ก่อนเธอจะเป็นฝ่ายเดินไปหาเขาเองทั้งๆ ที่เห็นเขาลุกออกมาจากศาลาแล้ว

“มาหาผมถึงที่นี่ มีอะไรหรือเปล่าคุณ”

ความห่วงใยถูกส่งออกจากตัวปรานต์ไปให้หญิงสาวเป็นอันดับแรก ทว่านาราส่ายหน้า ยกมือขึ้นพัดวีใบหน้าตัวเอง

“ไม่มีอะไรหรอก”

“ไม่มี? แล้วมาที่นี่ทำไม ทำไมไม่อยู่บ้าน มันร้อนนะ”

รู้ว่านาราเป็นคนรักสบาย ร้อนนิดเหนื่อยหน่อยก็โอดครวญแล้ว เป็นมาตั้งแต่เด็ก การที่เธอเดินฝ่าแดดเปรี้ยงมาหาเขาอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องปกติเลย

“รู้ว่ามันร้อนน่ะ แต่จำเป็นต้องมา” นาราว่าพลางเหลือบไปมองรอบๆ กาย เพื่อหาว่าผีแม่สามีที่บังคับขู่เข็ญให้เธอมาหาลูกชายหายไปไหนแล้ว

“อะไรนะ” คนฟังเลิกคิ้วสูง ได้ยินไม่ถนัดนัก

นาราหันกลับมา หาไม่เจอก็ช่างเถอะ เธอไม่ได้ต้องการจะเห็นปราณีอยู่แล้ว ไม่เห็นกันบ้างก็ดีเหมือนกัน

“ช่างเถอะค่ะ แล้วนี่จะให้ฉันขึ้นไปที่ศาลาได้หรือยัง ร้อน อยากตากพัดลม”

กระพือมือให้ลมพัดใบหน้าตัวเองมากขึ้นไปอีก ปรานต์เห็นอย่างนั้นก็ไม่ขัด ผายมือให้นาราได้เดินขึ้นไปพักบนศาลา พอขึ้นมาแล้ว พวกคนงานที่สนิทสนมกับปรานต์ก็มองมายังหญิงสาวเป็นตาเดียว มิหนำซ้ำยังพร้อมใจกันยกมือขึ้นไหว้โดยที่ปรานต์ซึ่งเดินตามหลังมายังไม่ได้พูดอะไรเลยสักนิด

“นี่คุณนารา...ภรรยาผมเองนะ”

กระนั้นปรานต์ก็ได้แนะนำตัวหญิงสาวให้ทุกคนรู้จักอยู่ดี นาราออกจะแปลกใจเล็กน้อยกับสำนวนการพูดของชายหนุ่ม

เขาสุภาพอย่างนี้กับทุกคนไม่เว้นแม้แต่คนงานอย่างนั้นหรือ นึกว่าจะวางอำนาจบาตรใหญ่เหมือนแม่ตัวเองเสียอีก

แล้วความสนใจก็ถูกดึงไปเมื่อมีเสียงใครต่อใครชมเธอดังมาให้ได้ยิน

“รู้ว่าคุณปรานต์แต่งงานมาได้ปีกว่าแล้ว แต่ยังไม่เคยเห็นภรรยาคุณปรานต์เต็มๆ ตาแบบนี้มาก่อนเลย สวยจังเลยค่ะ”

เป็นเสียงของหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง ตามมาด้วยชายวัยไล่เลี่ยกันอีกคน

“นั่นสิ สวยมาก เหมาะกันอย่างกับกิ่งทองใบหยก สวย...ไม่เหมือนอีแก่ที่บ้านเลย รายนั้นหนังเหี่ยวซะ!”

“แกก็เหี่ยวเหมือนกันนั่นแหละไอ้แก่ ไม่ใช่แค่ข้าโว้ย!”

รู้ได้ทันทีว่าทั้งสองคนนั้นเป็นสามีภรรยากัน ทั้งคู่เรียกเสียงหัวเราะจากคนอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี มีแต่นาราเท่านั้นที่หัวเราะแห้งๆ

เหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก...เธออยากจะสำรอก! เธอมีดีกว่าปรานต์เยอะ เขาเทียบเธอไม่ติดหรอก ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อบังคับกึ่งขอร้องให้แต่งงานกับเขา เขาก็อย่าได้หวังเลยว่าชีวิตนี้จะมีผู้หญิงดีๆ อย่างเธอยอมเป็นภรรยาให้น่ะ!

อดหมั่นไส้และยกยอตัวเองไม่ได้เมื่อคิดถึงแม่ของเขา จะบอกว่าปรานต์โดนลูกหลงก็ได้ 

มัน...ก็สมควรแล้ว

สีหน้าไม่สู้ดีของคนข้างกายพอจะทำให้ปรานต์อ่านออกว่าเธออึดอัดกับสถานการณ์ตรงหน้าไม่น้อย เขาจึงต้องออกปาก

“เลิกเล่นกันได้แล้วครับ กินข้าวอิ่มแล้วก็แยกย้ายไปทำหน้าที่กันเถอะ ผมมีเรื่องจะคุยกับนาราสักหน่อย ขอเวลาส่วนตัวหน่อยนะครับ”

แล้วจะมีใครกล้านั่งหัวโด่รอผัวเมียคุยเรื่องส่วนตัวกันล่ะ 

เหล่าคนงานต่างเก็บกับข้าว เก็บจาน ลุกไปล้างหน้าล้างมือ ก่อนพากันแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนเองทั้งในฟาร์มโคนมและไร่ข้าวโพด ช่วงนี้ข้าวโพดออกฝักโตพร้อมเก็บแล้ว คนงานเลยต้องแบ่งกำลังไปช่วยกันหักข้าวโพดด้วย มีแต่หม่องที่ยังยืนอยู่ที่เดิม ยิ้มหวานให้นายผู้หญิงของตน

“คุณนารานี่สวยมากจริงๆ เลยนะครับ อย่างกับนางฟ้ามาเดินดิน”

“เอ่อ...คือ...”

จากที่อึดอัดอยู่แล้วก็ทวีมากขึ้นเป็นเท่าตัว ทำเอาปรานต์ต้องกระแอมแล้วส่งสายตาดุๆ ไปให้ หม่องรู้ตัวในตอนนี้ว่าตัวเองขัดคำสั่งเจ้านายก็สะดุ้งน้อยๆ

“อุ้ย...ไปเดี๋ยวนี้ละครับ”

หม่องค้อมศีรษะลงต่ำ เดินกระย่องกระแย่งผ่านหน้าผู้เป็นนายลงจากศาลาไป ปรานต์และนารามองตามหลังจนกระทั่งคนงานหนุ่มเดินห่างไปไกล ก่อนที่บทสนทนาของทั้งคู่จะเริ่มต้นขึ้น

“ตกลงแล้วที่คุณมาที่นี่เป็นเพราะอะไรเหรอครับ”

เรื่องนี้ปรานต์ยังข้องใจไม่เลิก นาราเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่หน้าพัดลม มือยังพัดวีไม่เลิก

“ไม่มีอะไรสำคัญมากหรอกค่ะ”

“มันต้องสำคัญสิ ถ้าไม่สำคัญ คุณคงไม่อยากเสวนากับผม...จริงไหม”

ดวงตากลมสวยเหลือบไปมอง...

จริง...ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญ เธอไม่ค่อยคุยกับปรานต์หรอก เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ตอนรู้ว่าพ่ออยากให้เธอแต่งงานกับเขาแล้ว ส่วนปรานต์ก็รู้ทันเธอดี

แต่จะให้เธอบอกได้อย่างไรกันว่าผีแม่ผัวหรือผีแม่ของเขาเป็นคนบังคับให้มาน่ะ!

ไม่เชื่อไม่ว่า โดนเขาหาว่าบ้า จะเสียหน้ากันพอดี นาราจึงเบี่ยงไปเรื่องอื่น

“เบื่อๆ น่ะค่ะ เลยออกมาดูอะไรข้างนอกบ้าง”

มีเหตุผล...ปรานต์รู้ดีอีกเช่นกันว่าหญิงสาวเป็นคนเบื่อง่าย

“แล้วทำไมไม่รอให้แดดร่มลมตกก่อนล่ะ ค่อยออกมา ไม่ชอบอากาศร้อนๆ ไม่ใช่เหรอ”

รู้ดีไปเสียทุกเรื่อง!

นาราชะงักมือที่พัดวีใบหน้าตัวเอง มองหน้าเขาพร้อมกับหัวสมองที่ตื้อตัน ไม่รู้จะชวนเขาคุยอะไรดี

“มีอะไรเหรอ”

พอโดนมองนานไป ปรานต์ก็รู้สึกแปลกๆ เลยต้องออกปากถาม นาราผ่อนลมหายใจยาว ส่ายหัวน้อยๆ

“ไม่มีอะไรค่ะ แค่ดูว่าคุณโอเคไหม”

จริงๆ ต้องพูดว่าเธอโอเคไหมต่างหาก แต่พูดออกไปอย่างนี้ก็เพราะจู่ๆ นึกถึงงานศพของปราณีขึ้นมา

ถึงจะไม่ชอบหน้ากัน ไม่ลงรอยกัน มีเรื่องให้เถียงให้ทะเลาะกันตลอด นาราก็รู้สึกใจหายไม่น้อยที่จู่ๆ ปราณีมาเสียชีวิตไปอย่างกะทันหัน ขนาดเธอยังใจหายขนาดนี้ แล้วปรานต์ที่ต้องสูญเสียแม่ล่ะ เขาจะใจหายขนาดไหน

“เรื่องอะไรครับ”

และก็ช่างพอเหมาะพอเจาะเหลือเกินที่เขาถามออกมา นาราเลยได้เรื่องพูดคุย

“เรื่องแม่คุณน่ะค่ะ คุณโอเคไหม”

เอาใจไม่ได้ งั้นเธอจะปลอบแล้วกัน อย่างที่ปราณีบอกว่าเขาต้องการใครสักคนเคียงข้างในตอนที่สูญเสียอย่างนี้

ทว่าปรานต์กลับยิ้มกว้างออกมาแล้วตอบรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“โอเคสิครับ ผมไม่เป็นไรหรอก”

“แน่ใจนะ?”

“แน่ซะยิ่งกว่าอะไร คุณไม่ต้องห่วงหรอก ผมทำใจได้บ้างแล้วละ”

ทำเป็นแข็งแกร่งกลบเกลื่อนความอ่อนแอ...ทำไมนาราจะไม่รู้

ทว่าก็ไม่อยากจะไปขัดอะไร เขาบอกว่าทำใจได้บ้างแล้วก็ตามนั้นแหละ 

“งั้นก็โอเค ฉันแค่กลัวว่าบางทีคุณอาจจะอยากมีใครไว้คุยด้วย”

พูดออกไปเท่านั้น เรื่องของปราณีก็ถูกปัดตกทันที

“อย่าบอกนะว่าที่คุณเดินฝ่าแดดเปรี้ยงๆ มาที่นี่เพราะเป็นห่วงผม?”

คนถูกถามเบิกตาโพลง 

ใครบอกว่าเธอเป็นห่วงเขา เธอเป็นห่วงตัวเองต่างหาก ถ้าไม่มา ผีแม่ผัวจะมาให้เห็นสภาพเละเทะ ใครมันจะไปอยากเห็นกัน!

“ถ้าเป็นห่วงผม ผมก็ขอบคุณนะ แต่ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ สาบานได้เลย”

ไม่เห็นนาราตอบรับอะไร ปรานต์ก็เป็นฝ่ายพูดเอง นาราเม้มริมฝีปากเล็กน้อยราวกับขบคิดว่าจะพูดอะไรบางอย่างดีไหม

บางอย่างที่เป็นเรื่องจริง เช่น...สาเหตุที่เธอมาหาเขาถึงที่นี่ ไม่ใช่เพราะเป็นห่วง แต่เป็นเพราะว่าเธอเจอกับผีปราณี แล้วปราณีก็อยากให้เธอทำอะไร...ประมาณนั้น

เล่าดีไหมนะ...

คิดไปคิดมา คิดไม่ตก แล้วก็ต้องหยุดคิดเมื่อได้ยินเสียงหวานใสของใครบางคนดังเข้ามาในโสตประสาท

“พี่ปรานต์...”

เสียงนั้นหวานหยดย้อยปานน้ำผึ้งเดือนห้าด้วย นาราถึงกับต้องหันไปมอง ก่อนจะพบว่ามันเป็นเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่ถักเปียสองข้างเหมือนนักเรียนชั้นประถม สวมชุดกระโปรงสีขาวลูกไม้ โดนลมก็ปลิวพลิ้วๆ ไหวๆ ประหนึ่งชุดเจ้าหญิงในนิทาน ท่าทางสดใสเหมือนเจ้าหญิงที่หลุดออกมาจากการ์ตูนของวอลต์ ดิสนีย์ ทำให้นาราอดอยากรู้ไม่ได้เลยว่าเธอเป็นใคร

นาราได้แต่จ้องจนอีกฝ่ายเดินขึ้นมาบนศาลา พร้อมกับทำหน้าสงสัยเมื่อไม่เห็นใครอยู่ที่นี่นอกจากปรานต์และภรรยา

“ทานข้าวกลางวันกันเสร็จแล้วเหรอคะ ไม่เห็นมีใครเลย”

“กินเสร็จแล้วครับ”

ปรานต์ซึ่งเป็นเจ้าของสถานที่จำต้องเบนความสนใจไปให้แขกที่นาราดูแล้วก็พอคาดเดาได้ว่าเป็นแขกประจำ และมั่นใจขึ้นเมื่อหญิงสาวในชุดเจ้าหญิงนั่นถามมาอีก

“นี่มนต์มาช้าไปใช่ไหมคะ เสียดายจัง อุตส่าห์ตั้งใจทำกับข้าวมาเสริม คนอื่นๆ ไม่ทันได้กินเลย” พูดพลางยกถุงผ้าที่บรรจุกล่องทัปเพอร์แวร์อาหารหลายเมนูขึ้น สีหน้าดูเสียดาย

“ไม่ได้กินก็ไม่เป็นไร มนต์เอาทิ้งไว้ที่นี่ได้ เดี๋ยวเลิกงานแล้วเขาก็มากินกันอีก”

ปรานต์ว่าไปตามประสา คนงานของเขากินกันตลอดเวลาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมื้อหนักมื้อเบา ไม่ต้องกลัวว่าจะเหลืออะไรทิ้งค้างให้บูดหรอก

“โอเคค่ะ งั้นมนต์เอาไปวางไว้ที่โต๊ะนะคะ...อุ๊ย...นั่น...”

ทำเป็นเพิ่งจะเห็นนาราที่นั่งหัวโด่อยู่อีกคนตรงนี้

ที่ต้องบอกว่า ‘ทำเป็น’ เพราะจริงๆ แล้ว หญิงสาวที่มาใหม่คอยเหลือบมองเธออยู่ตลอดเวลา แต่พอไม่เห็นว่าปรานต์จะแนะนำให้รู้จักสักที เลยต้องทำเป็นเพิ่งมองเห็น

และก็ได้ผลเสียด้วย ปรานต์เข้ามาแนะนำตัวให้ทั้งคู่ให้รู้จัก

“นี่นารา...ภรรยาผมครับ แล้วก็นี่น้ำมนต์นะ เป็นลูกสาวของกำนันปี๋ เจ้าของฟาร์มโคนมข้างๆ กันนี่เอง”

นาราไม่สนใจหรอกว่า ‘น้ำมนต์’ จะเป็นลูกของ ‘กำนันปี๋’ หรือเป็นใคร รู้แต่ว่าเห็นน้ำมนต์แล้ว ก็อยากจะกลับไปที่บ้าน เปิดแอร์เย็นๆ นอนกลิ้งไปมามากกว่า

อ๊ะๆ อย่าคิดว่าเพราะเธอหึงปรานต์เลยอยากทำแบบนั้นนะ อยากทำเพราะเห็นว่ามีคนมารับช่วงดูแลเขาต่อจากเธอแล้วต่างหาก เธอจะได้กลับไปนอนเอกเขนกให้สบายๆ

จะมีก็แต่น้ำมนต์นี่ละที่พอได้ยินการแนะนำตัวจากปากของปรานต์แล้ว สีหน้าก็ดูตกใจไม่น้อย

“ภรรยาของพี่ปรานต์เหรอคะ”

“ครับ ภรรยาของพี่เอง”

ปรานต์ยิ้มรับ ทำเอาอีกฝ่ายยิ้มแหยออกมาเลย

“ไม่นึกว่าภรรยาพี่ปรานต์จะมาอยู่ที่นี่ด้วย เห็นคุณพ่อเล่าว่าอยู่ที่กรุงเทพฯ นึกว่าจะแยกกันอยู่”

มันก็ใช่ แยกกันอยู่...แยกกันมาตั้งนานแล้วด้วย แต่นาราไม่มาเล่าหรอกว่าเพราะอะไร ตั้งแต่เมื่อไร ไม่ใช่เรื่องที่จะบอก และเธอก็พอจะเดาได้ด้วยว่ายายน้ำมนต์อะไรนี่คงมีใจให้กับปรานต์ ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำอาหารมาให้ ซึ่งดูเหมือนจะมาทุกวันด้วย อีกอย่าง คงไม่ทำน้ำเสียงคล้ายว่าผิดหวังเสียดายอย่างนั้น

เสน่ห์แรงไม่เบา...

นาราทำปากเบะนิดๆ แล้วพยักหน้ากับตัวเอง

ก็นะ ปรานต์ไม่ใช่ผู้ชายกะโหลกกะลาอย่างที่เอาเท้าเขี่ยๆ แล้วเจอเสียหน่อย เป็นถึงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าของฟาร์มโคนมขนาดกลางและไร่อีกหลายสิบไร่ มิหนำซ้ำยังหน้าตาดี หล่อเหลาชนิดสาวๆ คนไหนได้เห็นเป็นต้องมองเหลียวหลัง การศึกษาก็ดี จบมาจากมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงของประเทศ อีกทั้งยังนิสัยดี สุภาพเรียบร้อย ให้เกียรติทุกคน 

ใครไม่ชอบก็บ้าละ!

พลันก็มาคิดได้...

ถ้าอย่างนั้น นาราคงจะเป็นบ้าอยู่คนเดียวที่ไม่ชอบเขา

เอาเถอะ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ตอนนี้หมดหน้าที่เธอแล้ว เธอไม่อยู่ให้เหงื่อไหลไคลย้อยละ

“ฉันกลับก่อนนะ”

คิดแล้วก็ลุกพรวดจากเก้าอี้ เดินดุ่มๆ ลงศาลาไปท่ามกลางความงุนงงของปรานต์เลย ทำให้เขาต้องรีบตามไป

“เดี๋ยวสิคุณ ให้ผมไปส่งไหม”

นาราหันมามอง ส่ายหน้าให้อีกฝ่ายที่เดินมาเสียใกล้

“ไม่ต้อง คุณไปคุยกับคุณผู้หญิงบนนั้นเถอะ ดูท่าทางอยากจะคุยกับคุณเต็มแก่”

นาราว่าไปตามตรง ทำเอาคนฟังอึดอัดใจไม่น้อย

“ถ้าคุณไม่อยากให้ผมคุยกับมนต์ ผมทำได้นะ”

พอตัดสินใจพูดออกมา นาราก็เลิกคิ้วสูง ก่อนจะเข้าใจได้ในอีกไม่กี่วินาทีให้หลังว่าปรานต์หมายถึงอะไร

“นี่คุณคิดว่าฉันหึงคุณเหรอ”

ปรานต์เม้มริมฝีปากเป็นคำตอบแทน เขาไม่ได้คิดหรอกว่านาราจะหึง แต่บางทีเธออาจจะไม่พอใจที่มีผู้หญิงมาเกาะแกะสามีตัวเองก็ได้ 

ทว่าผิดคาด เพราะนอกจากจะไม่หึงแล้ว ยังสนับสนุนอีก

“คุณไปคุยตามสบายเถอะ ไม่ต้องมาสนใจฉัน ไว้มีอะไรค่อยไปคุยกันที่บ้าน ตอนนี้ร้อน ฉันอยากกลับบ้านอาบน้ำเปิดแอร์นอนแล้ว”

พูดจบหญิงสาวก็หันหลังเดินออกมาจากตรงนั้นเลย ปรานต์ทำท่าเก้ๆ กังๆ จะเรียกก็ไม่เรียก สุดท้ายก็ได้แต่ปล่อยให้นาราเดินจากไป ส่วนตัวเองกลับขึ้นไปบนศาลา พูดคุยกับน้ำมนต์ไปตามเรื่องแทน

‘นี่เธอไม่หึงลูกฉันบ้างเลยหรือไงยะ’

เดินห่างจากศาลาได้ไม่เท่าไร น้ำเสียงแดกดันก็ดังขึ้นข้างหูพร้อมกับการปรากฏกายของร่างโปร่งแสงของปราณี นาราหันไปมองแล้วสะดุ้ง ก่อนเปลี่ยนมาถอนหายใจเต็มแรง

ไม่เห็นก็นึกว่าหายไปแล้ว สุดท้ายก็ยังโผล่มาให้เห็นอีก เฮ้อ!

‘ฉันถามก็ตอบมา อย่าทำมาเป็นมองค้อนปะหลับปะเหลือก’

ถูกถามมาอย่างนี้ คงต้องตอบตรงๆ แล้วละ

“ไม่หึงค่ะ”

‘แม้แต่นิดเดียว?’

“ค่ะ” พยักหน้าประกอบคำตอบไปด้วย

‘แต่อย่างน้อยก็หวงหน่อยเถอะแม่คุณ ไม่เห็นยายแม่น้ำมนต์แรดอะไรนั่นเหรอ จ้องลูกชายฉันตาเป็นมันแล้ว’

“หนูไม่ได้รัก ไม่ได้ชอบคุณปรานต์นี่ จะไปหึงหวงเขาทำไม”

‘ก็แสดงความเป็นเจ้าของในฐานะเมียหน่อยก็ได้ พอใครต่อใครรู้ว่าเธอเป็นเมียตาปรานต์ จะได้ไม่มีใครมาเป็นอุปสรรคขัดขวางแผนการของพวกเรา’

‘พวกเรา’…ตอนนี้นับว่าเป็นพวกกันแล้วสินะ

“แค่หนูโผล่หน้าไป คนก็รู้กันทั้งไร่แล้วค่ะว่าหนูเป็นอะไรกับคุณปรานต์ คุณป้าไม่ต้องห่วง”

‘ไม่ห่วงได้ไง ลูกสาวกำนันปี๋เกาะลูกฉันเป็นปลิงขนาดนั้น ถ้าเกิดมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา จะทำยังไงฮะ’

“อะไรผิดพลาดเช่น?”

น้ำเสียงและสีหน้ายียวนเหลือเกิน ปราณีกลั้นความหัวเสียเอาไว้ ก่อนตอบออกไป

‘เช่น ลูกฉันไปรักผู้หญิงคนอื่น ไม่ได้รักเธอยังไงล่ะ ถ้าลูกฉันไม่รักเธอ เธอต้องตายนะ อย่าลืมสิว่าเธอจะตายเพราะถูกลูกชายฉันขอหย่า’

นาราไม่ลืมหรอก เพียงแต่เธอรู้สึกเหนื่อยๆ ไม่อยากคิดเรื่องนั้น ที่สำคัญ ดูจากลักษณะของน้ำมนต์แล้ว หญิงสาวน่าจะเป็นคนเรียบร้อย ไม่น่าจะกล้าแย่งสามีใครหรอก

“ถ้าคุณป้าคิดว่าน้ำมนต์ยั่วยวนคุณปรานต์ได้ คุณป้าคงคิดผิดแล้วละค่ะ เรียบร้อยขนาดนั้น”

‘เธอไม่รู้อะไร ผู้หญิงเรียบร้อยนี่ละตัวดีเลย ใสๆ แบ๊วๆ แต่แรดมีเยอะแยะไป อย่าประมาทเชียว’

ใช่ว่านาราจะไม่เคยได้ยินวลีและทัศนคติเหล่านี้นะ เธอได้ยินมาบ่อยทีเดียว และเธอก็ไม่ค่อยชอบใจสักเท่าไรหรอก มันดูเป็นการตัดสินกันมากไปหน่อย เป็นการตีตราด้วย เธอไม่ชอบให้ผู้หญิงปรามาสผู้หญิงด้วยกันหรอกนะ

“ตอนนี้ใครต่อใครรู้แล้วว่าภรรยาคุณปรานต์มาอยู่ด้วย ไม่มีใครกล้าหรอก คุณป้าเชื่อหนู”

‘เธอสิต้องเชื่อฉัน ฉันรู้มากกว่าเธอ ถ้าไม่ทำตาม ฉันจะ...’

“ไม่เอาหลอกผีกลางวันแสกๆ นะคะ ตรงนี้ร้อนด้วย มาทำหน้าตาเละๆ น้ำเลือดน้ำเหลืองไหลตรงนี้ไม่ได้นะ มันจะดูแหยะกว่าเดิม ไว้ถึงบ้านก่อนแล้วกันค่ะ”

ถูกมุกผีหลอกของปราณีเล่นงานบ่อยเข้า นาราก็เริ่มรู้ทัน ดักคอก่อนที่ตัวเองจะได้เห็นสภาพเน่าเฟะของปราณีทันควัน พูดเสร็จแล้วก็รีบเดินจ้ำอ้าวหนีทั้งๆ ที่ใจเต้นระส่ำ ด้วยกลัวว่าจะได้เห็นสภาพเละเทะของอีกฝ่ายจริงๆ ขณะที่ปราณีได้แต่ยกนาฬิกาที่ข้อมือข้างซ้ายขึ้นดู ก่อนจะถอนหายใจยาวเมื่อเห็นเวลาที่ลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ

‘จะรอดไหมนะแม่คนนี้...ไม่สิๆ ต้องรอดๆ...’

หล่อนมาช่วยขนาดนี้แล้วต้องรอด อย่างไรก็ต้องรอดให้ได้ ไม่อย่างนั้นเสียชื่อหมด เพราะก่อนจะมาคอยกำกับนาราอย่างนี้ หล่อนเอาไปคุยกับเพื่อนๆ ผีไว้เสียมาก ถ้าไม่สำเร็จละก็...คอยดูเถอะ หล่อนจะตามหลอกหลอนนาราแม้ว่าจะตายตกมาเป็นผีเหมือนกันก็ตาม

เอาให้ขนลุกขนพองซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่เว้นวันเลยทีเดียว!


 


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น