6

หน้าที่ของภรรยาที่แสนดี

6 

หน้าที่ของภรรยาที่แสนดี

 

“นี่เธอ! เอาของของฉันไปทิ้งเหรอฮะ!?”

เสียงตวาดแหวดังขึ้นในบ่ายวันหยุดของนารา เธอที่กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่เพลินๆ ถึงกับต้องมองไปยังเจ้าของเสียงที่เดินมาหยุดเท้าสะเอวตรงหน้า

“ของอะไรคะ”

“ก็ของของฉันที่อยู่ในครัวไง เธอเอาไปทิ้งใช่ไหม!”

คนถูกถามทำท่าครุ่นคิดไปเล็กน้อย ไม่แน่ใจนักว่าสิ่งที่ปราณีถามถึงคืออะไร แต่ถ้าเป็น...

“ถุงที่ใส่ขวดพลาสติก...”

...อันนี้ เธอเป็นคนเอาไปทิ้งเอง

ไม่ใช่สิ ไม่ได้ทิ้ง เธอเอาไปให้คนเก็บขยะขายที่มักเข็นรถเข็นผ่านหน้าบ้านในทุกๆ เช้าวันหยุดต่างหาก เอาไปให้เขาเอาไปขายต่อน่ะ

ส่วนปราณีพอได้ยินว่าสิ่งที่นาราเอาไปทิ้งคือของที่หล่อนหวงหนักหนา ก็อดไม่ได้ที่จะตวาดแหวขึ้นมา

“ใครบอกให้เธอเอาไปทิ้ง ของนั่นฉันเก็บสะสมมาตั้งนาน กล้าดียังไงถึงเอาของของฉันไปโดยไม่บอกกล่าว!”

ดูท่าจะโมโหมาก นาราเลยลุกขึ้นนั่งหลังตรง ตอบโต้กลับไปทันที

“หนูไม่ได้เอาไปทิ้งนะคะ หนูเอาไปให้คนยากไร้ ให้เขาเอาไปขาย”

“นั่นแหละ ฉันสั่งเธอให้ทำอย่างนั้นหรือไง”

“ก็หนูเห็นว่าเก็บไปก็ไม่เอาไปขายสักที มันรกบ้าน เต็มแน่นห้องครัวไปหมด เลยโละออกไป จะได้มีทางเดินโล่งๆ มันไม่ดีหรือไงคะ”

นาราพูดความจริง คนตรงหน้าเธอติดนิสัยชอบเก็บนั่นเก็บนี่ไว้เป็นกระบุงๆ แต่ก็ไม่เอาไปขายหรือเอาไปใช้ต่อแต่อย่างใด เหมือนเป็นโรคบ้าสมบัติ ทั้งๆ ที่ของที่ปราณีเก็บนั้นมันควรเรียกว่าขยะมากกว่าสมบัติ

แต่พอเธอพูดไปอย่างนั้น ปราณีก็แผดเสียงกลับมา

“ไม่ดี! ฉันไม่ได้เป็นคนบอกให้เธอทำอย่างนั้น มาทำทำไม สาระแน!”

นาราถึงกับเส้นสติขาดผึง หงุดหงิดเรื่องที่เธอเอาถุงขวดเปล่าไปให้คนอื่นยังพอเข้าใจได้ แต่นี่ถึงขั้นมาว่ากันด้วยคำพูดเสียหาย เธอไม่ทนหรอกนะ

“แล้วคุณป้าจะเก็บเอาไว้ถมหลุมศพตัวเองตอนตายหรือไงคะ จะมาโวยวายให้เป็นเรื่องเป็นราวทำไมกับอีแค่ถุงขยะแค่นั้น”

“นี่เธอ! มันจะมากไปแล้วนะ กล้าแช่งให้ฉันตายเหรอ!”

“หนูว่าคุณป้าออกทะเลไปไกลแล้วนะคะ ตรงไหนกันที่หนูแช่ง”

“อย่ามาแถแม่นารา แล้วก็อย่ามาเถียงฉันด้วย นี่มันบ้านฉัน ไม่ใช่บ้านเธอ อย่าคิดว่าจะมาทำอะไรตามใจชอบได้”

สุดท้ายก็หลุดออกมาจนได้ นาราได้ยินปราณีพูดจาในลักษณะนี้มาหลายครั้งแล้ว และทุกๆ ครั้งที่มีการทะเลาะถกเถียงกัน ปราณีก็จะไม่นับว่าเธอเป็นสมาชิกในครอบครัวหรือเป็นลูกสะใภ้แต่อย่างใด นับว่าเธอเป็นคนนอกที่ไม่มีสิทธิ์มีเสียงใดๆ ในบ้าน มันเริ่มหนักขึ้นทุกวันๆ จนนาราชักจะทนไม่ไหว

เธออยู่ของเธอดีๆ มาหาเรื่องกันทุกวันอย่างนี้ อย่าคิดว่าเธอจะยอมเพราะไม่มีที่ไปนะ!

“งั้นคุณป้าก็เชิญอยู่ไปเลยค่ะ ส่วนค่าขยะของคุณป้า หนูจะเอาเศษเงินมาคืนให้!”

แรงมาก็แรงกลับ ไม่โกงอะไรทั้งนั้น ปราณีชี้ดวงหน้าสะสวยด้วยนิ้วชี้อันสั่นเทา

“เธอ! ให้มันน้อยๆ หน่อย ให้รู้จักหัวหงอกหัวดำด้วย”

“ก็รู้จักยังไงล่ะคะ หนูถึงได้ถอนหงอก บังเอิญผมหงอกของคุณป้าเยอะซะด้วย เลยต้องถอนกระจุกใหญ่หน่อย”

“แม่นารา! ปากคออย่าให้มันร้ายนัก!”

“แค่นี้ไม่เรียกว่าร้ายหรอกค่ะ ธรรมดาจะตายไปสำหรับคุณป้า...ใช่ไหมคะ”

“อย่ามาลอยหน้าลอยตาอย่างนี้นะ หน็อย! ฉันล่ะอยากจะรู้ว่าคุณณัฐฐ์เลี้ยงลูกยังไง ถึงได้โตมาเป็นแบบนี้”

“อย่ามาพาดพิงถึงพ่อหนูนะคะ ให้เกียรติคนตายด้วย”

“แล้วเธอล่ะให้เกียรติฉันไหม”

“หนูให้เกียรติคนตายค่ะ ถ้าคุณป้าอยากให้หนูให้เกียรติ ก็ลองตายดูสิคะ”

“แม่นารา!! เธอนี่มัน...!”

ยิ่งทะเลาะกัน ยิ่งเสียงดัง ทำเอาปรานต์ที่ยังไม่ออกจากห้องนอนต้องรีบลุกจากเตียงเพื่อมาดูสถานการณ์ พอเห็นว่าผู้หญิงสองวัยในบ้านกำลังเถียงกันคอโก่ง เขาก็รีบเข้ามาห้ามทัพอย่างเคย

“มีอะไรกันอีกล่ะครับคราวนี้”

เป็นคำถามที่เจือด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย เมื่อคืนกว่าเขาจะได้นอนก็ดึกดื่น พอตั้งใจว่าจะนอนพักผ่อนให้เต็มที่ก็ต้องตื่นมาเพราะเสียงเอะอะโวยวาย มันจะอะไรกันหนักหนา เขาไม่เข้าใจเลย

“แกก็ถามเมียแกสิว่าทำอะไรมา”

ปราณีไม่ตอบ โยนมาให้นาราที่ยืนกอดอกอยู่ตอบแทน พอปรานต์หันไปมอง นาราก็ย้อนด้วยประโยคคล้ายๆ กัน

“อยากรู้ก็ถามแม่คุณค่ะ ฉันอยู่ของฉันเฉยๆ แม่คุณก็มาหาเรื่อง”

“หาเรื่องอะไร อยู่เฉยๆ ตรงไหน เธอเอาของของฉันไปยกให้คนอื่น ตรงไหนที่เธอว่าเฉยไม่ทราบ!”

“แล้วคุณป้าจะเอาใหม่สักกี่ขวดล่ะคะ ขวดพลาสติกเปล่าเนี่ย เดี๋ยวหนูจะไปซื้อมาคืนให้ จะได้จบๆ”

ปรานต์พอจะเดาได้แล้วว่าสาเหตุที่ทั้งสองทะเลาะกันคืออะไร เขายกมือขึ้นคลึงขมับแล้วพูดเสียงแผ่ว

“ขอได้ไหม เรื่องอะไรที่มันเล็กๆ น้อยๆ ก็ยอมๆ กันหน่อยเถอะ นะแม่...นะคุณ”

หันไปขอความเห็นใจทั้งทางมารดาและภรรยา ทว่าทั้งสองต่างคนต่างไม่ยอมลงให้กัน

“มันของของฉัน ทำไมฉันจะต้องยอมด้วย ฉันไม่ผิด”

“หนูอยากให้บ้านสะอาดก็ไม่ผิดเหมือนกัน”

“ทำไมจะไม่ผิด” ปราณีสวนขวับ “ถ้าอยากจะให้บ้านสะอาดนัก ก็ไปอยู่บ้านตัวเองโน่น ไม่ใช่บ้านคนอื่นอย่างนี้!”

เหมือนความอดทนของนาราจะสิ้นสุดเพียงเท่านี้ ไล่เธอหลายครั้งแล้ว คิดว่าเธออยากอยู่นักหรืออย่างไร ไอ้บ้านสัปปะรังเคแบบนี้น่ะ ไม่ไล่เธอก็ไปอยู่แล้ว!

“งั้นก็ดีค่ะ จะได้เก็บข้าวของย้ายออกแบบไม่ต้องกังวลอะไร ขอบคุณนะคะที่ไล่อย่างชัดเจน”

ประชดแดกดันเสร็จ สองขาเรียวก็ก้าวฉับๆ ไปที่ห้องนอนของตัวเอง ปรานต์มองตามแล้วก็ได้แต่ยึกยักครู่หนึ่งด้วยไม่รู้ว่าจะคุยกับแม่ก่อน หรือคุยกับนาราก่อนดี แต่สุดท้ายก็เดินตามนาราไปที่ห้องนอน โดยมีเสียงของปราณีไล่ตามหลัง

“เออ แกเลือกเมีย ฉันจะได้จำเอาไว้ว่าแม่อย่างฉันมันไม่สำคัญ!”

ไว้ไปตามง้อแม่ทีหลังแล้วกัน เรื่องใหญ่กว่านั้นคือความรู้สึกของนาราที่ตอนนี้ดูจะร้อนรุ่มไปหมด หญิงสาวคว้าเอากระเป๋าเดินทางใบเขื่องมากางลงบนเตียง คว้าเอาเสื้อผ้ามายัดๆ ลงไป พร้อมๆ กับน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้า

เธอเสียใจที่ถูกไล่ออกจากบ้านหลังนี้หรือ

ไม่...ไม่ใช่เลย ที่เธอร้องไห้เป็นเพราะเจ็บใจที่เชื่อฟังพ่อ เอาตัวเองมาฝากฝังกับครอบครัวนี้ด้วยคิดว่าปรานต์จะดูแลเธอได้ตามคำที่พ่อบอกต่างหาก ดูสิ ในความเป็นจริงแล้ว นอกจากเขาจะปกป้องเธอไม่ให้ปราณีมาหาเรื่องในแต่ละวันไม่ได้แล้ว ยังจะปล่อยให้หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ อีก

แล้วอย่างนี้เธอจะอยู่ไปทำไม หวงลูกชาย อิจฉาลูกชายที่เห็นอกเห็นใจเมียมากกว่าตัวเองก็เชิญเอาลูกแหง่คนนี้คืนไปเลย เธอก็ไม่ได้อยากได้นักหรอก!

“นารา...”

เห็นท่าทางหัวเสียอย่างนั้น ปรานต์ก็ยากที่จะทัดทาน เขาเอ่ยเรียกอีกฝ่ายด้วยเสียงต่ำ ไม่ได้หวังว่าเธอจะได้ยินแล้วหันมามองหรอก แต่เธอก็หยุดพร้อมกับหันมา

“ใจเย็นๆ ก่อนนะ ที่แม่พูดไปก็เพราะอารมณ์ คุณอย่าไปถือสาเลย”

ประโยคอย่างนี้ นาราได้ยินมาบ่อยแล้ว เธอเชิดหน้าขึ้น น้ำตายังไหลอาบใบหน้าอยู่ พลางถามกลับ

“ไม่ให้ฉันถือสา แล้วฉันจะต้องทนรับอารมณ์วัยทองของแม่คุณไปอีกนานแค่ไหนกันไม่ทราบ”

ปรานต์ตอบไม่ได้ เขารู้แต่เพียงไม่อยากให้ทั้งคู่ทะเลาะกัน จึงได้แก้ตัวแทนแม่ไปก่อน

“แม่ผมไม่มีใคร ท่านเป็นห่วงผมมาก ก็เลยพานมาจู้จี้จุกจิกกับคุณด้วยเพราะเป็นห่วง ผมต้องขอโทษแทนแม่ด้วยนะ”

“หึ! ถึงกับออกปากไล่ฉันออกจากที่นี่เพราะฉันเอาขยะของแม่คุณไปให้คนจร เป็นห่วงมากเลยสินะ ที่เป็นห่วงน่ะ ห่วงแค่คุณมากกว่า ไม่ได้ห่วงฉัน”

คราวนี้ปรานต์แก้ตัวแทนแม่ตัวเองไม่ได้แล้ว มันจริงอย่างที่นาราพูด ปราณีห่วงแค่เขา แต่กับลูกสะใภ้นั้นเอาแต่โขกสับ ถึงปราณีจะเคยบอกเหตุผลว่าที่ทำอย่างนี้เป็นเพราะนาราเป็นคนเอาแต่ใจ ไม่สนใจความรู้สึกใคร เลยต้องดูแลอย่างใกล้ชิดด้วยกลัวว่าหญิงสาวจะมาทำให้ปรานต์ลำบากใจตอนใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน

แต่ก็นั่นละ เหตุผลของปราณีมันไม่หนักแน่นพอที่จะเอามาใช้เป็นเหตุผลในการโขกสับลูกสะใภ้ได้

“แต่ผมไม่ได้อยากให้คุณไปนะ ผมอยากให้คุณอยู่ด้วย เดี๋ยวเรื่องแม่ ผมจะคุยกับท่านอีกที คุณใจเย็นๆ นั่งลงก่อน ไม่ต้องเก็บกระเป๋าแล้ว”

ปรานต์ตัดสินใจปลอบประโลมนาราอย่างเต็มที่ ถ้าเอาน้ำเย็นเข้าลูบไม่พอ เขาจะเอาน้ำใส่น้ำแข็งมาเทราดเธอทั้งถังเลยก็ได้ 

นาราหยุดมือที่กำลังเก็บเสื้อผ้าอยู่ก็จริง ทว่าใจของเธอกลับไม่ได้อยากอยู่ที่นี่แล้ว

“ไม่ต้องพยายามหรอกค่ะ คุณคงไม่อยากให้ฉันทะเลาะกับแม่คุณทุกวันหรอกใช่ไหม”

คนถูกถามไม่ตอบ แต่ความเงียบนั้นก็คือคำตอบที่ชัดเจน

“ฉันรู้ว่าฉันเข้ากับแม่คุณไม่ได้ และมันจะไม่มีทางเข้ากันได้ด้วย ถ้าแม่คุณยังเป็นอย่างนี้”

“แต่ผมไม่ได้อยากให้คุณไปนะ บ้านหลังนี้เป็นเรือนหอของเรา คุณอยู่ได้ในฐานะ...”

“ผู้อาศัย...” นาราสวน “บ้านหลังนี้มันยังเป็นของแม่คุณ ตราบใดที่แม่คุณยังอยู่ ฉันก็เป็นได้แค่ผู้อาศัย ขอเถอะค่ะ ให้ฉันได้ไปจากที่นี่ ไปใช้ชีวิตอย่างที่ฉันต้องการเถอะ แค่แต่งงานกับคุณก็เหมือนติดคุกมากพออยู่แล้ว ฉันไม่อยากตกนรกทั้งๆ ที่ติดคุกด้วย”

คำพูดเปรียบเปรยทิ่มแทงใจคนฟังน่าดูชม ปรานต์ถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะเลย ไม่คิดว่าการแต่งงานกับเขาจะทำให้หญิงสาวตรงหน้าทรมานอย่างนี้

ถ้าอย่างนั้น...เขาคงจะรั้งอะไรเธอไว้ไม่ได้ ต้องปล่อยให้เธอไปเพื่อที่จะรักษาความสัมพันธ์ที่บรรดาพ่อๆ ที่ล่วงลับต้องการให้ยั่งยืน

“โอเค...ถ้าคุณยืนกรานก็ตามนั้น ผมไม่ว่าอะไร แค่เป็นห่วงว่าจะอยู่คนเดียวได้ไหม"

“ฉันอยู่คนเดียวมาเกือบทั้งชีวิต เรื่องแค่นี้สบายมาก ฉันก็แค่กลับไปอยู่คอนโด บ้านหลังเดิมก่อนที่จะย้ายมาอยู่กับคุณ”

“แต่ผมเป็นห่วงที่คุณต้องกลับไปอยู่คนเดียว...”

“อยู่กับแม่คุณ ฉันน่าเป็นห่วงมากกว่าอีกค่ะ”

ปรานต์หมดคำพูดจะเปล่งออกมาแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างนารากับปราณีคงจะเป็นมิตรที่ดีต่อกันยากจริงๆ ถ้าอย่างนั้นเขาไม่พยายามต่อแล้วก็แล้วกัน

“ครับ...เก็บเสื้อผ้าต่อเถอะ ไว้ผมจะไปส่ง”

นาราไม่พูดอะไรต่อจากนั้น รวมถึงไม่ห้ามปรามปรานต์ที่เข้ามาช่วยเธอพับผ้า เก็บข้าวของลงกระเป๋าด้วย หนทางนี้เป็นทางที่ดีที่สุดสำหรับเธอ ส่วนปรานต์ ปราณี หรือใครจะคิดอย่างไร เธอไม่สนแล้ว ขอให้ได้ไปจากที่นี่ก็เพียงพอ

ไปจากขุมนรกที่เธอไม่ต้องการ

ไปจากคุณป้ายมบาลที่คอยพ่นคำพูดเป็นหอกทิ่มแทงเธอทุกวัน

ไปให้พ้นจากกันเสียที...

 

“เฮ้อ...”

จากที่สะดุ้งตื่นจากฝันร้ายแล้วจะส่งเสียงตกใจ กลายเป็นว่านาราถอนหายใจแทนแล้ว ก่อนจะตื่น เธอเพิ่งจะฝันเห็นเรื่องราวในอดีตระหว่างเธอกับปราณีที่ทะเลาะกัน จนเธอตัดสินใจย้ายออกจากบ้านหลังนั้นมาอยู่ที่คอนโดคนเดียว 

เรื่องมันก็ผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว เธอยังเก็บเอามาฝันอีก สงสัยคงเป็นเพราะมาเจอปราณีในสถานะผีแม่ผัวมั้ง ถึงได้คิดมากจนเอาเรื่องราวเก่าๆ เก็บไปฝัน

นาราเบี่ยงความสนใจเรื่องความฝันด้วยการคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลา พอเห็นตัวเลขบอกเวลาตีห้ากว่าๆ อีกทั้งแสงจากภายนอกก็ยังไม่มี เธอเลยตัดสินใจว่าจะนอนต่ออีกสักหน่อย แต่พอจะหลับตา เธอก็นึกถึงภาพใบหน้าของปราณีขึ้นมาไม่หยุดหย่อน

ไม่ได้การละ ไปล้างหน้าสักหน่อยดีกว่า เผื่อจะสดชื่นขึ้น...

พอคิดอย่างนั้นแล้วตั้งท่าจะลุก ดวงตาพลันเหลือบเห็นแสงสว่างนิดๆ ผุดพรายขึ้นมาจากกลางลำตัวเธอ พอเธอเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นว่าแสงนั้นมาจากร่างกายของปราณีที่โผล่พรวดขึ้นมาจากหน้าท้องแบนราบ นาราถึงกับกรีดร้องลั่นราวสติแตก

“กรี๊ดดด! อุ๊บ!”

และในเสี้ยววินาทีต่อมา มือทั้งสองก็ยกขึ้นตะครุบริมฝีปากราวกับถูกใครบังคับให้ทำอย่างนั้น

ใครบังคับ...แน่สิ จะเป็นใครไปได้นอกจากผีแม่ผัวตัวแสบที่โผล่ทะลุกลางปล้องของนาราขึ้นมา...เรียกให้ถูกต้องเป็นทะลุกลางลำตัว

และที่นารายกมือขึ้นตะครุบปากตัวเองอย่างนั้น เป็นเพราะถูกปราณีใช้อำนาจในการควบคุมกายเนื้อ อ้อ เรียกอีกอย่างตามภาษาชาวบ้านว่า ‘ผีสิง’ น่ะ แต่สิงเป็นส่วนๆ

‘จิตอ่อนเหลือเกินนะแม่คุณ ฉันบอกแล้วไม่ใช่หรือไงว่าให้ทำใจให้ชินได้แล้ว อีกหน่อยเธอจะโดนหนักกว่านี้อีก’

ไม่ใช่ขู่ เป็นเรื่องจริง นารายังคงทำตาโต ก่อนค่อยๆ ปรับสีหน้าเมื่อปราณีถอยห่างจากร่างกายเธอจนขยับตัวได้ตามปกติ

“มะ...เมื่อกี้คุณป้า...สิงหนู?”

‘ฉลาดดีนี่ นึกว่าเธอจะไม่รู้ซะแล้วว่าถูกฉันสิง’

นาราไม่ได้ฉลาดอะไร เธอแค่คาดเดา และไม่คิดด้วยว่ามันจะเป็นเรื่องจริง 

สิงเฉพาะที่แขนเนี่ยนะ มันเป็นไปได้...เหรอ

‘ยังมัวนั่งทำหน้างงอีก อยากถามอะไรก็ถามมา ไม่ต้องมัวมาจ้อง ฉันรำคาญ’

ไม่ทันจะอะไรเลย ถูกผีแม่ผัวเหวี่ยงวีนอีกระลอกแล้ว เอาวะ ถามก็ได้!

“ทำไมถึงสิงแค่ที่แขน...”

‘อยากให้ฉันสิงเต็มตัวหรือไง’

คนถูกถามส่ายหน้าพรืดให้อีกฝ่ายพ่นลมหายใจออกมา

‘งั้นก็เลิกถาม รู้แค่ว่าฉันสิงเธอได้ทุกส่วน แต่จะเลือกส่วนไหนมันเรื่องของฉัน อ้อ แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะสิงเธอบ่อยๆ หรอกนะ มันไม่ได้ทำกันง่ายๆ ต้องใช้พลังงาน ฉันไม่มีเวลามาใช้พลังงานไปกับเรื่องไร้สาระหรอก เอาละ ลุกขึ้น ไปทำหน้าที่ภรรยาที่ดีของลูกฉันได้แล้ว’

พูดทีพูดยาวเหมือนกับตอนที่มีชีวิตอยู่ไม่ผิดเพี้ยน 

นารามองข้ามความน่ารำคาญนี้ไป เธอไม่อยากทะเลาะกับผีแม่สามีสักเท่าไร แต่สะดุดใจตรงที่บอกให้เธอลุกไป ‘ทำหน้าที่ภรรยาที่ดีของปรานต์’ มากกว่า

“จะให้หนูทำอะไรคะ”

‘ลุกจากเตียง ล้างหน้าล้างตาแล้วฉันจะบอกเอง ไป! ลุก!’

จำใจต้องลุก แต่ไม่วายทิ้งท่าทีอิดออดให้ปราณีได้เห็น

ก็จะไม่ให้นาราอิดออดได้อย่างไร เหลือบไปมองนาฬิกาที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์เมื่อกี้นี้ มันยังตีห้าอยู่เลย จะรีบขุดเธอขึ้นมาจากเตียงทำไมกัน!

กระนั้นหญิงสาวก็ทำตามอย่างไม่มีทางเลือก พอจัดการกับตัวเองเสร็จ ปราณีก็สั่ง

‘ไปที่ครัว หน้าที่แรกของเธอคือการทำอาหารเช้าให้ปรานต์กิน’

“อะไรนะคะ”

เรียวคิ้วสวยขมวดมุ่นเข้าหากันเลย ปลุกเธอมาแต่เช้าเพื่อการนี้น่ะนะ!?

‘ใช่ เธอได้ยินไม่ผิด’ ปราณีว่าราวกับอ่านใจลูกสะใภ้ออกว่าคิดอะไรอยู่

“แต่ปกติแล้วคุณปรานต์ไปกินข้าวเช้าในไร่ไม่ใช่เหรอคะ”

สิ่งที่นาราพูดนั้นถูกต้อง ตั้งแต่เธอมาที่ไร่ปานดวงใจ ปรานต์ก็ไม่เคยอยู่กินข้าวเช้า ข้าวเที่ยง และข้าวเย็นกับเธอเลยสักวัน...อาจจะต้องบอกว่าทั้งคู่ไม่เคยร่วมกินข้าวด้วยกันเลยสักมื้อมากกว่า แม้ว่าปรานต์จะกลับมากินข้าวเย็นที่บ้านก็ตาม ส่วนสองมื้อแรก นาราพอจะเดาได้ว่าคงเป็นหม่อง หรือไม่ก็น้ำมนต์ หรือคนงานคนอื่นๆ จัดแจงหาให้กิน

แต่ปราณีไม่สน เชิดใบหน้าขึ้นพร้อมกอดอก

‘ก็ใช่ แต่นับจากวันนี้ ปรานต์จะกินข้าวเช้าที่บ้านเท่านั้น และหน้าที่ทำอาหารก็จะต้องเป็นเธอ’

นี่ปราณีลืมไปหรือเปล่าว่าเธอน่ะแทบไม่เคยเข้าครัว จับตะหลิว จับกระทะเลย

“หนูทำอาหารไม่ค่อยเป็น คุณป้าจำไม่ได้เหรอคะว่าหนูเคยพังครัวคุณป้ามาแล้ว”

ปราณีคิดย้อนกลับไปเมื่อปีก่อนที่นาราย้ายเข้ามาอยู่ในชายคาเดียวกันใหม่ๆ ตอนนั้นนารากลับมาจากทำงานดึกๆ ดื่นๆ และหิวจัด ทว่าไม่มีอะไรให้กิน คนอื่นๆ ก็นอนไปหมดแล้ว แม่บ้านก็กลับไปแล้วเช่นกัน เธอจึงสวมบทแม่ครัว ทอดไข่เจียวกินกับข้าวเปล่า แต่สุดท้ายไข่เจียวก็กลายเป็นซากไข่แทน พร้อมกับควันที่ลอยคลุ้งโขมงทั่วบ้าน จนปราณีกับปรานต์ที่ได้กลิ่นเหม็นไหม้ต้องตื่นมาดูด้วยความตระหนก และหลังจากนั้น นาราก็ไม่เคยเข้าครัวอีกเลย

เรื่องนี้ใช่ว่าปราณีจะจำไม่ได้ จำแม่นเชียวละ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องให้หญิงสาวทำละนะ

‘เพื่อทำให้ปรานต์หลงรักและเอ็นดูเธอ เธอต้องทำ’

ยืนกรานมาอย่างนี้ นาราก็ทำหน้ายู่

เผด็จการที่สุด!

นาราพึมพำในใจ ขนาดคิดในใจยังพึมพำเลย ตอนนี้เธอหวาดเกรงฤทธิ์เดชของผีปราณีแค่ไหนก็ลองคิดดู 

‘เอาเมนูง่ายๆ ไข่ดาวก็พอ ลูกฉันกินง่าย ไข่ดาวก็กินกับข้าวได้ ไป รีบทำก่อนปรานต์จะตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวเข้าไร่’

เร่งมาอย่างนี้ นาราก็ไม่มีทางเลือกแล้ว เดินไปหาอุปกรณ์ต่างๆ มาจัดการทำไข่ดาวสูตรนาราให้สามีกินเป็นมื้อเช้าตามคำสั่งแต่โดยดี

ทว่า...การทำอาหาร แม้จะเป็นเมนูง่ายๆ อย่างทอดไข่ดาว ก็เป็นเรื่องที่ทำให้นาราหงุดหงิด เพราะทำอย่างไรก็ไม่ได้ดั่งใจเสียที ทั้งติดกระทะบ้าง ทั้งไหม้บ้าง เล่นเอาเสียทรัพยากรไข่ไปหลายฟอง ปราณีที่มองอยู่ถึงกับต้องออกปากค่อนแคะ

‘แม่คนนี้ แค่ทอดไข่ดาวยังไม่เป็นเลย เกิดมีลูกมีเต้าขึ้นมาจะทำยังไงฮะ’

“จ้างแม่บ้านสิคะ มีเงินก็ใช้เงินแก้ปัญหา จะมาลำบากทำไม ว้าย!”

สวนกลับไปไม่ทันรู้ตัว ก่อนจะร้องหวีดเมื่อผิวขาวๆ ถูกน้ำมันร้อนๆ จากกระทะกระเด็นใส่

“อูย...แสบเลย”

‘ถ้าฉันยังมีกายเนื้ออยู่ ฉันไม่ปล่อยให้เธอทำแน่แม่นารา ไม่ได้ดั่งใจเอาซะเล้ย!’

บ่นมาอีกแล้ว นาราก็อยากบอกว่าเธออยากให้ปราณีทำเหมือนกัน แต่...โอ๊ย! ฟองนี้ก็ใช้ไม่ได้ เผลอแป๊บเดียว ไหม้จนเกรียมอีกแล้ว!

‘แม่นารา! เธอจะทิ้งไข่ลงขยะหมดแผงเลยหรือไง!’

เห็นลูกสะใภ้เทไข่ดาวเกรียมๆ ลงถังขยะอีกฟองหนึ่งก็โวยวาย นาราหันไปค้อนนิดๆ

“แล้วคุณป้าอยากให้ลูกชายตัวเองกินของไหม้ๆ เกรียมๆ แบบนี้เหรอคะ ถ้าไม่อยากก็เงียบๆ ค่ะ หนูต้องใช้สมาธิ”

ว่าแล้วก็คว้าไข่ฟองใหม่เตรียมตอกลงกระทะอีกระลอก

ทีนี้แหละ เธอจะต้องเอาชนะสกิลทำอาหารอันมีลิมิตของตัวเองให้ได้!

แต่แค่วิธีตอกไข่ที่เคาะข้างกระทะแล้วแตกดังโพละจนไข่ขาวกับไข่แดงผสมปนเปรวมกัน ก็ทำให้ปราณีปวดหัวตึ้บแล้ว

เป็นผี ไม่มีกายเนื้อ แต่ดันปวดหัวจนรู้สึกเหมือนสมองด้านในกะโหลกเต้นตุบๆ ได้ แม่นารานี่ไม่ธรรมดาจริงๆ!

‘เห็นแล้วขัดหูขัดตาจริ๊ง!’

แม่สามีอดส่งเสียงแสบแก้วหูไปทำให้นาราต้องขมวดคิ้วไม่ได้ด้วย นาราก็สวนกลับทั้งๆ ที่ไม่ได้หันไปมอง

“หนูบอกแล้วไงคะว่าเงียบๆ หน่อย ต้อง–การ–สมา–ธิ!”

เน้นย้ำทีละคำอย่างชัดเจน นาราไม่คิดหรอกว่าคนที่ได้ยินเสียงเธอนั้นจะไม่ใช่แค่ปราณีคน...ต้องตนสิ...ตนเดียว แต่ยังมีชายหนุ่มที่เพิ่งออกจากห้องนอนของตัวเองมาด้วย

“คุณ...ทำอาหารเหรอ”

นาราสะดุ้งโหยงจนแทบปล่อยตะหลิวร่วง หันไปมองตามต้นเสียงก็เห็นว่าเป็นปรานต์ในชุดเตรียมพร้อมออกจากบ้านมายืนพิงขอบประตูห้องครัวอยู่

“ซักผ้ามั้ง”

โทษฐานที่ทำให้ตกใจ นาราเลยกวนประสาทไปนิดหน่อย ก่อนเหลือบไปเห็นปราณีทำตาถลนอยู่ใกล้ๆ โทษฐานที่ไม่ยอมตอบคำถามลูกชายหล่อนดีๆ นาราตาแทบเหลือก รีบเบนสายตากลับไปมองยังชายหนุ่มที่หัวเราะในลำคอน้อยๆ ทันที

“ผมได้ยินเสียงโล้งเล้งดังมาตั้งแต่ตอนตื่นแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะเป็นคุณตื่นมาทำอาหาร เห็นปกติกว่าจะตื่นก็บ่าย”

เรื่องนั้นเป็นเรื่องจริง นาราใช้เวลากลางคืนมากกว่ากลางวัน เลยนอนตื่นบ่ายแทบทุกวัน 

“แต่วันนี้ไม่ได้ตื่นบ่ายแล้วนี่คะ”

อยากจะเสริมไปด้วยว่ามีคนบังคับให้ตื่น ทว่าทำได้เพียงค้อนปะหลับปะเหลือกอยู่หน้าเตาเท่านั้น

ดีที่ปรานต์ไม่ถือสา มีแต่ความสงสัยมากกว่า

“แล้วคุณทำอะไรกินล่ะ ขอผมดูหน่อยสิ”

เรื่องนี้สงสัยที่สุดเลย เพราะจำได้ว่านาราทำอาหารไม่เก่ง แทบไม่เคยเข้าครัวเลย จู่ๆ ลุกมาทำอาหารแต่เช้า มันดูเป็นเรื่องประหลาดสำหรับเขาสักหน่อย

พอเดินเข้าไปใกล้ นาราก็ตอบก่อนที่ร่างใหญ่จะเดินถึงตัว

“ไข่ดาวค่ะ”

“ไข่ดาวเหรอ”

“อืม”

พลันดวงตาของปรานต์ก็เหลือบไปมองยังตะกร้าถังขยะที่อยู่บนพื้น มันอุดมไปด้วยซากไข่ที่ถูกทอดและทิ้งหลายฟอง เขาเลยหัวเราะออกมาเล็กน้อย

“จะทอดอีกกี่ฟอง คุณถึงจะได้กิน”

ไม่ใช่คำถามที่อยากได้คำตอบหรอก เขาแค่นึกสนุกอยากหยอกเล่น แม้ว่านาราจะไม่มีอารมณ์เล่นด้วยก็ตาม

“ไม่ได้ทอดกินเองค่ะ ฉันทอดให้คุณกิน”

“หืม? ให้ผมกิน?”

“ใช่ค่ะ”

แปลกมาก...ปรานต์เกือบจะพูดประโยคนี้ออกไปแล้ว ดีที่กลืนลงคอไปก่อน เพราะพอสิ้นเสียงของนารา เธอก็ปิดเตาแล้วเอาไข่ดาวมาใส่จาน ฟองนี้ดูดีหน่อย ขอบเกรียมไปบ้าง อมน้ำมันเยิ้มเล็กน้อย แต่ดูน่าจะกินได้

พอเอาไข่ดาวใส่ในจานเสร็จ นาราก็ถอนหายใจยาว พร้อมๆ กับมองใบหน้าคมเข้มของปรานต์ด้วย

เสร็จสิ้นสักที...

ปรานต์กำลังมองสภาพไข่ดาวสูตรนาราอย่างขบคิด

ทำให้เขากินหรือ แน่ใจนะ...?

“จริงๆ ไม่ต้องลุกมาทำข้าวเช้าให้ผมหรอกนะ ปกติผมไปกินในไร่ หม่องเป็นคนจัดหาให้”

มองแล้วก็พูด นารายกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าสะเอวอย่างเหนื่อยหน่าย

“จะไม่กินก็ได้นะคะ ไม่ได้บังคับ ฉันแค่ทำตาม...” ...คำสั่ง เฮ้อ...พูดไป ปรานต์ก็คงไม่เชื่อ เลี่ยงที่จะพูดถึงไปแล้วกัน “ฉันแค่อยากทำให้”

พอนาราพูดแบบนี้ไป ปราณีที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยก็หยักยิ้มพอใจ แบบนี้สิดี รู้จักพูดจาเอาใจ

ทว่า...

“กินได้ก็กิน กินไม่ได้ก็เททิ้ง ไม่งั้นก็เอาไปเทให้หมาในไร่กินก็ได้ค่ะ แล้วแต่คุณ”

น่าตบปากตอนพูดประโยคนี้นี่แหละ!

ปราณีทำตาถลนน่ากลัวออกมาอีกแล้ว หมายจะขู่ให้แม่สะใภ้ปากดีกลัว แต่นารารู้ทัน ไม่ยอมหันไปมอง เอาแต่จับจ้องใบหน้าของปรานต์นิ่งละม้ายคล้ายไม่สนใจ แต่ในใจนี่เต้นตึกๆๆ แล้ว

มีเพียงปรานต์ที่หัวเราะ จากนั้นก็เดินไปคว้าจานมาคดข้าวที่หุงไว้ตั้งแต่เมื่อวานเย็นมาใส่ ก่อนเดินไปตักไข่ดาวของนาราโปะลงไป

ท่าทางนั้นทำเอานารายืนมองนิ่งๆ ขณะที่ปรานต์เริ่มตักข้าวเข้าปาก และชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปบนโต๊ะฝั่งหญิงสาว

“หยิบซีอิ๊วขาวให้ผมหน่อยสิ กินเปล่าๆ จืดไปหน่อย”

นาราเหลือบมองเห็นขวดซีอิ๊วขาวเล็กๆ ก็อยากหยิบให้เขาแหละนะ แต่พอหันไปเจอผีแม่ผัวยืนตาถลนไม่เลิก เธอก็ไม่กล้ากระดิกตัว

‘หยิบสิ ลูกชายฉันจะเอา ไม่ได้ยินหรือไง’

ป้าก็เลิกทำตาถลนออกจากเบ้าสักทีสิ!

เป็นไงเป็นกัน หลับหูหลับตาคว้าขวดซีอิ๊วขาวมาไว้ในมือ พลันส่งให้ชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว ปรานต์ดูงุนงงเล็กน้อย แต่ไม่ได้ว่าอะไร เหยาะน้ำซีอิ๊วปรุงรสข้าวแล้วก็กินต่อกระทั่งหมดจานต่อหน้านารา เสร็จแล้วก็เดินเอาจานไปไว้ที่อ่างล้างจาน เท่านั้นไม่พอ ลงมือล้างจานจนสะอาดเอี่ยมเองด้วย

เสร็จทุกอย่างแล้วถึงเดินมาหยุดตรงหน้านาราอีกครั้ง

“ขอบคุณสำหรับข้าวเช้านะครับ ผมออกไปไร่แล้วนะ อ้อ มื้อเย็นไม่ต้องทำนะ เดี๋ยวผมให้หม่องทำไว้ให้เหมือนเดิม คุณจะได้เอาเวลาไปทำงานตัวเอง”

สั่งการเสร็จสรรพถึงได้ออกจากห้องครัวไป ไม่นานนักก็มีเสียงมอเตอร์ไซค์ดังมาให้ได้ยิน ก่อนที่มันจะค่อยๆ ห่างออกไปจากละแวกบ้านและหายไปในที่สุด

ปราณีผลุบหายออกไปส่งลูกชายที่หน้าบ้านในช่วงเวลานั้น เสร็จสิ้นแล้วถึงกลับเข้ามาหานาราที่กำลังเก็บอุปกรณ์ทำครัวที่เธอทำเลอะเทอะลงอ่างล้างจานอีกครั้ง

‘ลูกชายฉันนี่สุภาพบุรุษจริงๆ ดูก็รู้เลยนะเนี่ยว่าพ่อแม่สอนมาดี ถ้าเป็นฉัน เห็นไข่ดาวสภาพอย่างนั้น ฉันไม่กินให้เปลืองพื้นที่กระเพาะหรอก เขาถนอมน้ำใจคน ใส่ใจความรู้สึกคนอื่น...ไม่เหมือนคนแถวนี้’

นาราสะดุ้งน้อยๆ ที่จู่ๆ ปราณีโผล่เข้ามาทางด้านหลัง ก่อนจะกลายเป็นฮึดฮัดเมื่อตระหนักได้ว่า เมื่อครู่เธอถูกแดกดัน

ปราณีรู้ทันทีว่าทำหญิงสาวไม่พอใจเสียแล้ว และก็รู้เช่นกันว่านาราไม่กล้าต่อกรกับหล่อน หล่อนจึงถามเสียงสูงกลับไป

‘ทำไม ฉันพูดอะไรผิดตรงไหน’

นาราส่ายหน้า “ไม่ค่ะ คุณป้าไม่ได้พูดอะไรผิดหรอก ไม่เคยมีอะไรผิดเลย”

เผลอประชดอย่างลืมตัวกลัวตาย พอรู้สึกตัวขึ้นมาก็รีบชิงพูดก่อนจะได้เห็นตาถลนๆ ของปราณีอีกระลอก

“หมดหน้าที่ภรรยาที่แสนดีของคุณปรานต์แล้ว หนูขอตัวกลับไปนอนสักงีบนะคะ ง่วง!”

หญิงสาวกระแทกเสียงแล้วปึงปังจากไปเลย ไม่สนใจเก็บล้างแล้ว เพราะเดี๋ยวก็มีแม่บ้านมาจัดการต่อในตอนสาย ทิ้งให้ปราณียืนกอดอกมองไล่หลังก่อนจะมองเศษซากไข่ที่กองอยู่ในถังขยะ

เริ่มต้นการเป็นภรรยาที่แสนดีของปรานต์วันแรกก็ทำให้เขายิ้ม และยอมกินอาหารง่อยๆ ของนาราได้ ก็ดูมีความหวังขึ้นมาบ้างแล้ว

ริมฝีปากของปราณีขยับยุกยิก พอให้จับใจความได้เพียงคนเดียว

‘เธอจะต้องไม่ตาย...นารา...ฉันจะไม่ยอมให้เธอตายอย่างแน่นอน...’


 


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น