3

นักศึกษาที่ไม่ได้แลกเปลี่ยน

3

นักศึกษาที่ไม่ได้แลกเปลี่ยน

 

ณลิสาฟังที่สมพงษ์พูดด้วยท่าทางสงบเรียบร้อยผิดปกติ ผู้จัดการคู่ทุกข์คู่ยากของเธอบอกว่าเจสสิก้า ดาราลูกครึ่งน้องใหม่กำลังจะมาอยู่ในความดูแลของตัวเอง ตอนแรกสมพงษ์คิดว่าจะปฏิเสธเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ถูกกับณลิสา แต่พอมีเรื่องเรียนต่อขึ้นมา เขาก็คิดว่านี่อาจจะเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าคงถึงเวลาเปลี่ยนแปลง

“ลิซไม่โกรธพี่หมูหรอกค่ะ ยายนั่นยังเด็ก ทำงานได้อีกหลายปี แล้วตอนนี้ลิซก็ไม่สามารถทำงานได้ ลิซไม่ได้เห็นแก่ตัวขนาดจะห้ามพี่หมูเพราะอคติส่วนตัวหรอกค่ะ” ณลิสาพูดเสียงเรียบ 

ในขณะที่สมพงษ์ดวงตาเป็นประกาย เขาไม่คิดว่าณลิสาจะมีท่าทีสงบแบบนี้

“น้องลิซโตขึ้นมากแล้วจริงๆ พี่ขอบคุณมากนะที่เข้าใจพี่ เอาละ น้องลิซพักผ่อนเถอะ มีอะไรให้ช่วยโทร. หาพี่ได้ตลอดเลยนะ” สมพงษ์ลุกขึ้นโบกมือให้ดาราสาวที่ร่วมเดินทางกันมาอย่างยาวนาน ถึงต่อให้ณลิสาจะไม่ได้เป็นนักแสดงแล้ว แต่ก็ยังเป็นน้องสาวตัวแสบของเขาเสมอ 

หลังจากที่สมพงษ์ออกไปแล้ว ณลิสาก็ลุกขึ้นจากโซฟา เธอหยิบข้าวของทุกอย่างบนโต๊ะที่ราคาไม่แพงนักปาลงบนพื้น แม้อยากจะกรีดร้องขนาดไหน แต่ก็ต้องอดทน ในเมื่อตัดสินใจไปแล้ว เธอก็ต้องทำให้สุด ทั้งที่ตอนแรกคิดว่าอาจจะไม่กลับมาทำงานในวงการอีก แต่เมื่อได้รู้เรื่องจากสมพงษ์แล้ว เห็นทีเธอจะยอมไม่ได้ 

เธอจะกลับมาทวงบัลลังก์คืนอย่างสมเกียรติ!!

 

สองเดือนต่อมา...

ถึงวันที่ต้องนั่งเครื่องบินเพื่อเดินทางไปยังแองเคอเรจ จากวันนั้นจนถึงวันนี้สิ่งที่เธอรู้เกี่ยวกับเมืองที่จะไปอยู่นั้นมีเท่าเดิม แต่ที่มีเพิ่มมาคือทักษะการฟังของเธอ ในช่วงเวลาที่หยุดทำงาน ณลิสานั่งดูหนัง อ่านหนังสือ ฟังเพลง ดูรายการโทรทัศน์จากต่างประเทศ แม้ว่าจะเป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่เธอคิดว่าตัวเองก็พัฒนาขึ้นเล็กน้อย ไม่มีอะไรที่เธอทำไม่ได้ ต่อให้ต้องใช้เวลานานเท่าไรก็จะต้องเรียนให้รอดให้ได้

“ผมบอกพี่ลิซก่อนหน้านี้แล้วใช่ไหมครับว่าต้องต่อเครื่องที่ไทเปก่อน” กวินทร์บอกกับพี่สาวของเพื่อนที่วันนี้ดูแต่งตัวน้อยกว่าทุกครั้งที่เจอ ถ้ามองผ่านๆ อีกฝ่ายเหมือนคนอื่นมากกว่าที่จะเป็น ‘ณลิสา’ พี่สาวตัวร้ายของวันจันทร์

“บอกแล้ว ฉันเคยต่อเครื่องไปไต้หวันบ่อยๆ ไม่ต้องกังวลหรอก”

“แต่ยังไม่จบนะครับ พี่ลิซต่อเครื่องที่ไทเปแล้วต้องไปต่อเครื่องอีกที่ซีแอตเทิล”

“อะไรนะ บินอะไรตั้งสองต่อสามต่อ” ณลิสาขมวดคิ้ว เธอนึกว่าต่อเครื่องครั้งเดียวเสียอีก หรือเพราะว่าเธอไม่ได้ฟังที่เขาพูดให้ดีก็ไม่รู้ เฮอะ! ช่างเถอะ เธอไม่ใช่คนเรื่องมากสักหน่อย

“มันก็มีแค่สองต่อเนี่ยแหละครับ ไม่มีง่ายกว่านี้แล้ว ไม่งั้นพี่ลิซต้องเช่าเหมาลำไปเองแล้วละ” กวินทร์ถอนหายใจ

“แค่นี้ก็แพงจะตายแล้ว ฉันเป็นคนตกงานอยู่นะ อะไรประหยัดได้ก็ต้องประหยัดสิ” ณลิสาบ่น

“ครับๆ เอาเป็นว่ามีปัญหาก็โทร. หาพี่ผมแล้วกัน” เขาว่า

“ฉันไม่ใช่คนปัญหาเยอะ” หญิงสาวว่าก่อนจะเดินลากกระเป๋าไปต่อแถวเพื่อเช็กอิน 

กวินทร์เม้มปากแน่นก่อนจะค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออก ไม่รู้ว่าวันจันทร์ทนคนแบบนี้ได้ยังไง พี่สาวของเธอเหมือนนางมารร้ายผิดจากบทบาทการแสดงที่ได้รับ ตั้งแต่รู้จักตัวจริงของเธอ เขาก็ไม่อยากจะดูอะไรที่เกี่ยวกับณลิสในจอโทรทัศน์อีกเลย

ก็เพราะรู้ว่ามันไม่จริงไงล่ะ!

เมื่อเห็นว่าเธอเช็กอินเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็ขอลากลับทันที ในเมื่อเจ้าตัวบอกเองว่าเป็นคนปัญหาไม่เยอะ เขาก็จะปล่อยให้เธอได้จัดการตัวเอง หลังจากกลับไปสักพักแล้ววันจันทร์ก็โทร. หาเขาเพื่อถามเรื่องความเรียบร้อยของพี่สาว

“ขอบคุณมากนะกาย พี่ลิซฝากบอกมา”

“อะไรนะ!”

“เมื่อกี้เขาโทร. มาบอกฝากขอบคุณ”

“ทำไมต้องฝาก เมื่อกี้เราก็ยืนอยู่ตั้งนานไม่เห็นพูดอะไร” กวินทร์แปลกใจมาก

“เขาเป็นแบบนั้นละ ทำดีกับใครไม่ค่อยเป็น แต่ถ้าเจอผู้ชายในสเปกนะ เป็นนางฟ้าเลยละ” วันจันทร์ว่า เธอยังจำตอนที่ณลิสาชอบอนาคินได้ พี่สาวของเธอกลายเป็นคนอ่อนหวานน่ารักขึ้นมาทันที ถึงจะเป็นการแสร้งทำก็เถอะ ตัวเองเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่สาวคิดอะไรอยู่บ้าง แต่คนที่จะมาเป็นคนรักของณลิสาต้องเป็นผู้ชายที่โชคดีมากแน่

“จะได้เห็นไหมน่ะ ภาคนางฟ้า” กวินทร์บ่น

“เอาเถอะๆ ขอบใจอีกครั้งนะกาย” วันจันทร์ว่า หลังจากนั้นเธอก็ถามถึงอนาคินนิดหน่อยแล้วก็วางสายไป 

กวินทร์ดูเวลาที่ณลิสาจะถึงที่นั่นอีกครั้ง ก่อนจะถ่ายรูปแล้วส่งให้ศรีนวลผู้เป็นน้า รวมเวลาบินกับต่อเครื่องสองที่ยี่สิบสี่ชั่วโมง ไปถึงแล้วณลิสาอาจจะก่นด่าเขา แต่ช่วยไม่ได้ นี่คือการเดินทางที่ถูกและเร็วที่สุดแล้ว

ถือเป็นประสบการณ์ชีวิตใหม่แล้วกัน...

 

การนั่งเครื่องบินคนเดียวครั้งแรกของณลิสาเป็นการเดินทางที่ยาวนานกว่าที่คิด เมื่อตระหนักได้ว่าคนข้างกายไม่ใช่สมพงษ์หรือวันจันทร์ เธอก็เกิดกลัวขึ้นมา ผู้โดยสารที่นั่งอยู่ข้างกันนั้นเป็นผู้ชายชาวต่างชาติ ซึ่งเธอไม่รู้ว่าสัญชาติไหน แต่เป็นชาติตะวันตกแน่นอน หลังจากรู้สึกว่าถูกแอบมองอยู่สักพัก ผู้ชายคนนั้นก็หันมาถามเธอด้วยภาษาไทยว่า

“คุณเป็นดาราหรือเปล่าครับ หน้าคุ้นๆ” 

“เปล่าค่ะ หมายถึงดาราคนไหนคะ” เธอตอบด้วยภาษาอังกฤษก่อนจะหยิบแว่นตาขึ้นมาสวม วันนี้อุตส่าห์แต่งหน้ามาน้อยๆ สวมเพียงเสื้อแขนยาวกับกางเกงยีนทรงหลวมขายาวก็ยังมีคนจำหน้าได้อีก แต่ก็ไม่แปลกหรอก เพราะนี่คือเที่ยวบินจากกรุงเทพฯ ไปไทเป พอถึงที่หมายแล้วคงไม่มีคนสนใจเธออีก 

“อ้อ...ขอโทษครับ ผมนึกว่าคุณเป็นคนไทย” เขาว่าก่อนจะหันไปสนใจโทรศัพท์มือถือ

ณลิสายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไม่ใช่เพราะเธอหลอกผู้ชายคนนี้ได้สำเร็จ แต่เป็นเพราะเธอพูดภาษาอังกฤษกับเขาแล้วเขาคิดว่าเธอไม่ใช่คนไทยต่างหาก นี่คือความสำเร็จหนึ่งในการเพียรพยายามพูดคนเดียวอยู่สองเดือนของเธอ

ตลอดระยะเวลาที่นั่งอยู่บนเครื่องบิน ณลิสาไม่ได้ส่งเสียงหรือพยายามพูดคุยกับใคร แม้แต่แอร์โฮสเตสสาวชาวไต้หวันที่เข้ามาถามเธอเป็นภาษาอังกฤษว่าจะรับอาหารชุดไหนดี เธอก็ทำเพียงแค่ชี้แล้วก็หลับตาเพราะกลัวคนข้างๆ จับสำเนียงได้ การปลอมตัวเป็นชาวต่างชาติของเธอยังคงเป็นแบบนั้นไปเรื่อยๆ กระทั่งถึงเวลาที่จะลงจากเครื่อง เพราะเธอกึ่งหลับกึ่งตื่นมาตลอดทางจึงทำให้ลืมไปว่าก่อนหน้านี้ทำอะไรอยู่ เมื่อมีแม่ลูกชาวไทยคู่หนึ่งถอยหลังมาชนเธอขณะที่ทุกคนกำลังเตรียมลงจากเครื่องบิน 

“อุ๊ย! ขอโทษค่ะ”

“ไม่เป็นไร” หญิงสาวตอบห้วนๆ ก่อนจะเดินแทรกไปข้างหน้า เมื่อลงมาจากเครื่องบินแล้วเธอก็หยุดชะงักเพราะนึกได้ว่าลืมกระเป๋าใบเล็กเอาไว้ตรงที่นั่ง ปกติเวลาเธอไปต่างประเทศ ไม่วันจันทร์ก็สมพงษ์ที่จะถือของให้ พอมาตัวคนเดียวก็ลืมไปว่าไม่มีคนทำอะไรแบบนั้นให้แล้ว ขณะที่กำลังหันหลังกลับไป เธอก็พบว่าชายชาวต่างชาติที่นั่งอยู่ข้างเธอยื่นกระเป๋าใบที่เธอกำลังตามหาให้

“ของคุณครับ เห็นลืมไว้” เขาพูดด้วยภาษาไทย 

เธอรับมา กำลังจะอ้าปากพูดว่าขอบคุณ เขาก็เดินออกไปแล้ว เมื่อสักครู่คงรู้แล้วว่าเธอเป็นคนไทย ตอนนี้ณลิสารู้สึกว่าศีรษะร้อนขึ้นด้วยความอับอาย สำหรับเธอแล้วการจะพูดขอบคุณใครสักคนนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก อาจเป็นเพราะเธอไม่ค่อยขอความช่วยเหลือจากใคร พออยากพูดขึ้นมาก็กระดากปากเพราะไม่ค่อยได้พูด 

ณลิสาคิดว่าเรื่องจะจบแล้ว เพราะอย่างไรก็คงไม่เจออีกฝ่ายอีก เธอจะเก็บความน่าอายนี้เอาไว้ไม่บอกใคร นี่เป็นข้อดีของการเดินทางคนเดียว หลังจากผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองมาแล้ว ผู้โดยสารที่รอต่อเครื่องนั้นมีที่นั่งรออยู่อีกด้านหนึ่ง เธอคิดว่าจะนอนพักผ่อนตรงนั้นสักหน่อย แต่พอเดินเข้าไปก็เจอชายคนเดิมกำลังนั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ ทันทีที่เห็นเธอ เขาก็ยิ้มให้อย่างเป็นมิตรแล้วโบกมือทักทาย เธอมองไปรอบๆ ก็เห็นว่ามีที่นั่งเดียวที่ยังว่างอยู่ซึ่งอยู่ข้างชายหนุ่มคนนั้น ณลิสาไม่มีทางเลือก นอกจากต้องเดินไปนั่งข้างเขา

“ผมชื่อแอรอนนะ คุณชื่ออะไร” 

“ลิซ” หญิงสาวตอบเหมือนไม่เต็มใจ 

“คุณอายุเท่าไหร่เหรอ ผมจะได้เรียกถูก” ภาษาไทยของเขาไม่ได้ชัดมาก แต่เขาใช้คำพูดเหมือนกับคนไทย ดูไม่เหมือนเป็นชาวต่างชาติเลย

“ยี่สิบเก้า”

“โห จริงเหรอเนี่ย” เขาทำท่าทางตกใจ

ณลิสาไม่ใช่คนที่พะวงกับเรื่องการบอกอายุ เพราะหนีความจริงไม่ได้ เลี่ยงไปก็เท่านั้น เธอจะอายุเท่าไร ไปไหน หรือทำอะไรมันก็ไม่ได้หนักหัวใครสักหน่อย

“ผมอายุยี่สิบ ชื่อแอรอน” 

ณลิสากลอกตาไปมา เธอไม่ได้ถามเขาสักหน่อย แต่ที่น่าสงสัยกว่าเรื่องชื่อคือทำไมเด็กฝรั่งนี่ดูหน้าตากับอายุไม่ได้สัมพันธ์กันเลย หรือเพราะเขาตัวใหญ่จึงดูไม่เหมือนคนที่อายุแค่ยี่สิบ

“ต่อเครื่องไปซีแอตเทิลเหมือนกันเหรอครับ”

เธอพยักหน้า 

“คุณก็พูดไทยได้นี่ ทำไมถึงพูดภาษาอังกฤษล่ะ”

“ก็คุณเป็นฝรั่งนี่”

“แต่ผมพูดไทยได้นะ”

“ฉันอยากพูดภาษาอังกฤษ” ณลิสาว่า

เขาหัวเราะก่อนจะยกมือขึ้นทั้งสองข้างคล้ายกับพยายามจะบอกว่ายอมแพ้แล้ว ในเมื่อเธออยากจะพูดภาษาอังกฤษ เขาก็จะพูดด้วยภาษาอังกฤษแล้วกัน

“คุณจะไปไหนเหรอ” เขาถามขึ้น

“อะแลสกา”

“เอ๊ะ ที่เดียวกันเลย งั้นคุณก็ต่อเครื่องที่ซีแอตเทิลไปแองเคอเรจเหมือนกันใช่ไหม”

“ใช่ค่ะ”

“ผมเกิดที่นั่น เป็นคนท้องถิ่นเลยนะ ถ้ามีเรื่องให้ช่วยก็บอกได้เลย” ชายหนุ่มพูดด้วยท่าทางกระตือรือร้น 

ณลิสาทำเพียงยิ้มให้บางๆ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือของตนขึ้นมาเล่น เพราะต้องการจะให้เขาหยุดพูดกับเธอเสียที

แต่ดูเหมือนเธอจะคาดการณ์ผิดไปหน่อย เพราะแอรอนก็ยังพูดกับเธอไม่หยุด เขาไม่สนว่าเธอจะตอบหรือไม่ และยังคงพูดในสิ่งที่ตัวเองอยากพูด ตอนนี้ณลิสาเริ่มคิดว่าที่จริงเขาอาจจะไม่ได้อายุยี่สิบอย่างที่บอก แต่เป็นสิบขวบต่างหาก 

“ผมเรียนภาษาไทยมาตั้งแต่เด็กเลยนะครับ พ่อกับแม่เคยพามาเที่ยวครั้งนึง กลับไปผมก็ร้องอยากเรียนภาษาไทยเลย แต่ที่นั่นหาเรียนยากมาก โชคดีมากเลยที่แถวบ้านเรามีเพื่อนบ้านที่เป็นคนไทยอยู่ ผมเลยไปตื๊อเล่นกับลูกชายของเขาแล้วขอให้เขาสอนภาษาไทยให้ จากนั้นก็กลายเป็นว่าผมก็เห็นพี่ซีเป็นไอดอลไปเลย ไม่ว่าพี่ซีจะทำอะไร ผมก็ทำตาม พี่เขาเล่นฮอกกี้ ผมก็เล่นเหมือนกัน” พูดจบแล้วเขาก็มองขึ้นไปบนเพดานคล้ายกับน้ำตาจะไหลออกมา 

ณลิสาถอนหายใจ ทำไมการเดินทางคนเดียวครั้งแรกของเธอต้องเจออะไรแบบนี้ด้วย เด็กฝรั่งประหลาดที่เอาแต่พล่ามเรื่องของตัวเองยาวเหยียด เธอฟังทันแค่ว่าเขาไปเรียนภาษาไทยกับเพื่อนบ้าน แล้วอยู่ๆ ก็ซึ้งน้ำตาไหล

“เอาทิชชูไหม” ณลิสาถามขึ้น

“ไม่ต้องครับ ผมกำลังพยายามให้มันไหลกลับเข้าไปเอง” เขาเงยหน้าอยู่อย่างนั้น หลายคนที่นั่งอยู่แถวนั้นหันมามองอย่างสนอกสนใจ ภาพของเขากับเธอในตอนนี้คงดูเหมือนคู่รักที่กำลังทะเลาะกัน ซึ่งเธอไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้เลยค่อยๆ เขยิบกายออกมา

“พี่ซีนะเป็นคนที่ทำให้ผมมองเห็นตัวเอง ผมเลยคิดว่าอยากจะช่วยเขาบ้าง ผมมาเรียนแลกเปลี่ยนที่เมืองไทยก็เพราะอยากจะช่วยเขาตามหาครอบครัวของพ่อ แต่หาอยู่เป็นปีก็ไม่ได้เบาะแสอะไรเลย ถึงเวลาที่ผมต้องกลับก็เลยรู้สึกผิดที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย” แอรอนยังคงพูดต่อ

ณลิสาดีใจที่ฟังแอรอนพูดรู้เรื่องเกือบหมด แต่ที่สงสัยคือทำไมเรื่องที่เขาพูดฟังดูเหมือนละครที่เธอเคยเล่นเลยล่ะ เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีก้าวไกลไปถึงไหนแล้ว แค่จะตามหาคนไม่น่าใช่เรื่องที่ต้องลงทุนมาเรียนแลกเปลี่ยนที่นี่สักหน่อย ครอบครัวของตัวเองก็ไม่ใช่

“แล้วทำไมเขาไม่มาหาเองล่ะ” หญิงสาวถามขึ้นด้วยความสงสัย

“เขาไม่ว่างหรอกครับ แล้วผมก็คิดว่าจะเซอร์ไพรส์ ถ้าเขายอมไปเที่ยวไทยกับผม ผมจะพาเขาไปหาครอบครัว” แอรอนยิ้มแฉ่งทั้งที่ใบหน้ายังมีคราบน้ำตาติดอยู่ 

ณลิสามองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความอึ้ง เขาเปลี่ยนอารมณ์เร็วยิ่งกว่านักแสดงอย่างเธอเสียอีก

แอรอนชวนเธอคุยเรื่องที่บ้านเกิดของเขาไม่หยุด เขาบอกว่าแองเคอเรจมีสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นธรรมชาติเยอะแยะไปหมด ในหน้าหนาวก็มีลานสกีกับกิจกรรมช่วงฤดูหนาว แม้ว่าอุณหภูมิจะติดลบ แต่ภาพตอนที่มีหิมะตกก็สวยมาก ส่วนหน้าร้อนบางทีก็ร้อนจนอยากแก้ผ้าวิ่ง คำพูดนั้นของแอรอนสำหรับคนที่มาจากประเทศที่ร้อนจนแทบเป็นลมอย่างณลิสานั้น คิดว่าต่อให้ร้อนแค่ไหนก็ยังอยู่ในระดับที่รับได้อยู่ดี

“คิดว่าไม่มีหน้าร้อนเสียอีก” ณลิสาว่า

“มีสิ หน้าร้อนเขาก็แต่งตัวกันธรรมดาเหมือนคนไทยนั่นแหละ แต่หน้าหนาวก็หนาวจนไม่อยากออกจากบ้านไปไหนเลยละ” 

ถึงจะรำคาญ แต่ณลิสาก็คิดว่าเรื่องที่แอรอนพูดให้ฟังก็ยังพอมีประโยชน์อยู่บ้างเหมือนกัน เธอแทบไม่ได้เอาเสื้อผ้าหน้าร้อนติดมาเลยเพราะคิดว่าที่นั่นคงหนาวอย่างเดียว นี่คือผลของการไม่ศึกษาข้อมูลก่อนสินะ ต่อไปนี้เธอต้องช่วยเหลือตัวเอง จะรอให้คนอื่นมาช่วยไม่ได้

ถึงเวลาที่ถูกเรียกขึ้นเครื่อง เธอคิดว่าจะได้โล่งหูสักที เพราะไม่ต้องทนฟังแอรอนพูด แต่ที่ไหนได้ ที่นั่งของเขาดันอยู่ติดกับเธออีกแล้ว เมื่อเขารู้ว่าต้องนั่งติดกันไปอีกเป็นสิบชั่วโมงก็ดีใจใหญ่ ส่วนเธอก็ได้แต่เอาผ้าห่มปิดหน้าแล้วเอนตัวลงนอน แอรอนพูดต่อสักพักก็เงียบไป ดูเหมือนเขาจะเพลียมากเหมือนกัน เมื่อเธอตื่นมาอีกทีก็เห็นว่าเขาหลับไปแล้ว

หญิงสาวมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อดูทัศนียภาพด้านนอก แม้ว่าจะมองไม่เห็นอะไรมากนักเพราะมีเมฆบัง แต่เธอก็สัมผัสได้ถึงความแตกต่างจากที่อื่นที่เคยไปมา แค่คิดว่านี่คือสถานที่ที่จะต้องอยู่อีกหลายปีก็รู้สึกประหลาดแล้ว

อยู่ๆ ณลิสาก็คิดถึงครอบครัวขึ้นมาจับใจ...

เธอคิดถูกหรือเปล่าที่มาไกลถึงที่นี่แค่เพราะจะเอาชนะเจสสิก้าและคนที่ดูถูกเธอ

“ฮึก ฮึก” เสียงเหมือนคนร้องไห้สะอึกสะอื้นดังมาจากด้านข้าง เมื่อหันไปมองก็พบว่าเป็นแอรอนกำลังเล่นโทรศัพท์อยู่ หรือเขาจะดูหนังเศร้าอยู่กันนะ ทั้งที่ก่อนหน้านี้นอนหลับอยู่แท้ๆ เจ้าเด็กบ้านี่เกิดซึ้งใจอะไรขึ้นมาอีก

“เป็นอะไรน่ะ”

“พี่ซีส่งข้อความมาหาผม ซึ่งมากเลย” เขาตอบเป็นภาษาไทยทั้งที่ณลิสาถามเป็นภาษาอังกฤษ

“ซึ้ง ไม่ใช่ซึ่ง”

“ครับ นี่ไงเป็นภาษาไทยด้วย” เขาหันหน้าจอโทรศัพท์ให้ฉันดู

ไอ้เด็กเวน แกขโมยสติ๊ก[1]ของฉันไปใช่ไม่ กลับมาฉันจะเตะจูบแก’’

“คนนี้ที่ว่าเป็นคนไทยน่ะเหรอ” ในที่สุดณลิสาก็ยอมแพ้ เธอถามกลับเป็นภาษาไทย

“ครับ พี่ซีเก่งไหม”

“ผิดเกือบทุกคำ”

“ผิดเหรอครับ ผมก็ว่าอ่านรู้เรื่องนะ แถมบอกว่าจะจูบผมด้วย สงสัยจะคิดถึงที่ผมไปนาน” 

ยิ่งแอรอนพูด ณลิสาก็ยิ่งรู้สึกแย่แทน ไม่รู้ว่าคนคนนี้เติบโตมาได้อย่างไร หรือเล่นกีฬาจนศีรษะกระทบกระเทือนฟั่นเฟือนไปแล้ว พูดภาษาไทยรู้เรื่องขนาดนี้ก็ควรต้องรู้หลักไวยากรณ์บ้างสิ

“ช่างมันเถอะ” หญิงสาวส่ายหน้า

“อ๊ะ! ถึงแล้ว” เขาชะโงกหน้ามาที่หน้าต่าง เด็กฝรั่งยักษ์คนนี้ดูเหมือนจะไม่มีความเกรงใจคนที่เพิ่งเจอกันยังไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงแบบเธอเลย 

ไม่นานเครื่องบินก็ลงจอด การเดินทางที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของเธอสิ้นสุดลงแล้ว ณลิสารู้สึกชาไปทั้งร่าง หญิงสาวหยิบแว่นตาที่ถอดวางไว้ตอนจะนอนขึ้นมาสวม ยังดีที่ตอนคุยกับแอรอนเมื่อครู่ เขาไม่ทักเรื่องที่เธอหน้าเหมือนดาราขึ้นมาอีก แอรอนช่วยเธอหยิบกระเป๋าแล้วถือเอาไว้ให้ราวกับเป็นคนรู้จักที่เดินทางมาด้วยกัน เมื่อผ่านการตรวจคนเข้าเมืองมาแล้วเธอก็มารับกระเป๋าใบใหญ่สองใบของตัวเอง แอรอนเป็นคนช่วยอีกเหมือนเคย เขายกกระเป๋าของเธอใส่รถเข็นแล้วช่วยเข็นออกไปด้านนอก เมื่อณลิสาเหลือบไปมองกระเป๋าของเขาก็เห็นว่ามีใบเดียว ซ้ำยังใบเล็กมากอีกต่างหาก 

สรุปเขาเอาเสื้อผ้าที่ไหนใส่ตอนอยู่ที่ไทยกันล่ะ

“พี่พักโรงแรมไหนครับ เดี๋ยวผมบอกรถแท็กซี่ให้” 

แอรอนยังคงพูดภาษาไทยกับเธอ ฟังมาจนถึงตอนนี้ก็อดที่จะรู้สึกทึ่งในทักษะภาษาไทยของเขาไม่ได้ ในเมื่อเขาไปเรียนแลกเปลี่ยนที่ไทยแล้วเก่งขนาดนี้ได้ เธอมาเรียนที่นี่ก็ต้องทำได้เหมือนกัน

“เดี๋ยวมีคนมารับน่ะ ขะ...” เธอพยายามจะพูดคำว่าขอบคุณ แต่ยังพูดไม่จบ อีกฝ่ายก็ตัดบทก่อน

“ไม่เป็นไรครับ ถ้าอย่างนั้นโชคดีนะครับ” ชายหนุ่มโบกมือก่อนจะเดินแยกออกไป 

ในสถานที่ที่ไม่มีใครรู้จักแบบนี้เธอก็กังวลอยู่เล็กน้อย ถึงแอรอนจะเป็นคนแปลกหน้าที่พูดน้ำไหลไฟดับมาทั้งยี่สิบกว่าชั่วโมงแต่พอเริ่มคุ้นกับเขาแล้วก็รู้สึกว่าไม่ได้น่ารำคาญมาก พอเขาไป บรรยากาศรอบกายก็เงียบเหงา รู้สึกอ้างว้างขึ้นมาทันที

เธอยืนอยู่ตรงนั้นนานพอสมควร พยายามมองไปรอบๆ เพื่อหาคนที่กวินทร์บอกว่าจะมารับ เขาบอกว่าเจ้าของบ้านที่เธอจะไปอยู่ด้วยชื่อศรีนวล เป็นญาติของกวินทร์กับอนาคิน ยืนรออยู่สักครู่ใหญ่เธอก็เห็นผู้หญิงเอเชียคนหนึ่งถือป้ายกระดาษเขียนด้วยภาษาไทยว่า ‘ขอต้อนรับ น้องริด’

ณลิสามองซ้ายมองขวาก็พบว่าตนเองเป็นคนไทยแค่คนเดียวที่อยู่แถวนี้ หญิงสาวตัดสินใจเดินไปถามเพื่อความแน่ใจว่าคนที่ถือป้ายนั้นคือศรีนวลหรือเปล่า

“น้าศรีนวลใช่ไหมคะ” 

“น้องริดเหรอ”

“ลิซค่ะ แอลไอเอส” หญิงสาวพยายามแก้ชื่อตัวเองให้ถูกต้อง 

“อุ๊ยตาย! น้าเขียนผิดเหรอ ขอโทษนะจ๊ะ กายบอกว่าริดเดียวกับริดสีดวง น้าก็แปลกใจอยู่ว่าทำไมพ่อแม่เขาตั้งชื่อลูกแบบนี้กัน” พูดจบศรีนวลก็หัวเราะ ก่อนจะสะดุ้งขึ้นมาแล้วมองไปรอบๆ ด้วยท่าทางตื่นตกใจ

“มีอะไรเหรอคะ” 

“ต๊าย แอนดี้ไปไหน ลูกน้าน่ะ เมื่อกี้ยังอยู่นี่เลย” ศรีนวลมองไปรอบๆ อย่างร้อนรน เห็นแบบนั้นแล้วณลิสาเองก็กวาดสายตามองตามไปเช่นกัน ทันใดนั้นหญิงสาวก็เห็นเด็กชายคนหนึ่งกำลังแหวกว่ายอากาศอยู่บนพื้นไม่ไกลจากตรงนั้น สัญชาตญาณบางอย่างของเธอกำลังบอกว่าเด็กคนนั้นอาจจะเป็นแอนดี้

“นั่นหรือเปล่าคะ” เธอชี้ไปที่เด็กคนนั้น

“อ้อ ใช่จ้า นั่นแหละแอนดี้” ศรีนวลกวักมือเรียกลูกชาย 

เด็กคนนั้นกระโดดลุกขึ้นจากพื้นแล้ววิ่งมาหยุดตรงหน้าณลิสา ก่อนจะค่อยๆ ยกมือขึ้นชี้หน้า ด้วยสายตาที่แข็งกร้าว ริมฝีปากเม้มแน่น ก่อนที่จะเอ่ยออกมาว่า “นังยอพระกลิ่น แกกินแมวของฉันไปใช่ไหม!!”

ศรีนวลรีบจับมือของลูกชายดึงลงไปข้างลำตัวก่อนจะหันมาพูดกับณลิสาด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “โทษทีจ้า แอนดี้ลูกน้ามันชอบดูละครพื้นบ้านไทย”

 


 


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น