2
แองเคอเรจ คือที่ไหน?
ศรีนวลส่งเรื่องเกี่ยวกับการสมัครเรียนมาเร็วกว่าที่คิด มีเอกสารหลายอย่างที่ต้องแปล และสิ่งสำคัญที่สุดคือคะแนนสอบภาษาอังกฤษ แต่เนื่องจากเรื่องนี้ต้องใช้เวลา น้าของกวินทร์จึงเสนอว่าจะให้ณลิสาไปเรียนภาษาอังกฤษเพื่อเตรียมสอบวัดระดับภาษาที่นั่นเลยสักหกเดือนก่อนที่จะยื่นหลักฐานการสมัคร ซึ่งน่าจะพอดีกับเวลาที่มหาวิทยาลัยเปิดเรียน
น้ำหวาน ผู้จัดการส่วนตัวของณลิสาหัวหมุนไปหมดกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น เธอรู้ตัวว่ากำลังจะตกงาน แต่ยังไม่มีเวลาได้ทำใจร้องไห้เก็บเสื้อผ้ากลับบ้านนอก ดาราสาวก็มาบอกว่า
“น้ำหวาน ช่วงที่ฉันไม่อยู่ เธอไปทำงานที่ร้านของวันจันทร์แล้วกัน แต่ถ้ามีงานอื่นที่อยากทำก็ไม่ว่ากัน แล้วแต่เธอตัดสินใจ” หญิงสาวว่า เห็นแก่ที่ผู้จัดการคนนี้เป็นคนที่สองรองจากวันจันทร์ที่ทนความเอาแต่ใจของเธอได้นานขนาดนี้ ตอนแรกเธอคิดว่าจะฝากน้ำหวานไว้กับอนาคิน แต่พูดก็พูดเถอะ คนที่รับละครแค่สองปีหนึ่งเรื่องแบบนั้น อีกไม่นานก็ต้องอำลาวงการแน่ ทุกวันนี้ชายหนุ่มเหมือนทำงานไปวันๆ เพื่อรอน้องสาวของเธอกลับมาแต่งงานด้วย
“ขอบคุณมากนะคะคุณลิซ” น้ำหวานน้ำตาคลอ
“อย่ามาร้องนะ รีบจัดของให้เรียบร้อย ถ้าเอาเสื้อผ้าของฉันไปไม่ครบจะบินกลับมาด่าจริงๆ” น้ำเสียงของณลิสาเปลี่ยนกะทันหันจนน้ำหวานลนลานรีบหยิบทุกอย่างโยนลงไปในกระเป๋าเดินทางใบใหญ่
ณลิสากำลังส่องกระจกมองใบหน้าที่สวยสะดุดตาของตนเอง เธอไม่ได้หลงตัวเองเกินจริงไปเลย แต่ใช่ว่าจะชอบที่เกิดมาหน้าตาดี สิ่งเดียวที่เธอชอบคือการที่หน้าตาแบบนี้ใช้หาเงินได้เยอะ เพราะฉะนั้นเมื่อต้องการจะทำงานในวงการต่อไปเรื่อยๆ จึงทำให้เธอต้องทำทุกอย่างให้ตัวเองสวยอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะกิน นั่ง เดิน หรือออกไปซื้อของข้างนอก ทุกอย่างเป็นภาพลักษณ์ที่ต้องรักษา
แต่หากต้องไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีใครรู้จัก...เปลี่ยนหน่อยก็คงไม่เลว
“น้ำหวาน เอาเสื้อผ้าเดิมออกให้หมดเลย ฉันจะไปซื้อใหม่” หญิงสาวสั่งก่อนจะคว้ากระเป๋าสะพายแล้วเดินออกจากห้องไปทันที รวดเร็วจนน้ำหวานวิ่งตามไม่ทัน ทุกครั้งที่ไปทำงานณลิสาจะเป็นคนขับรถเอง โดยมีน้ำหวานติดรถไปด้วย เวลาออกไปซื้อของก็เช่นกัน เมื่อขับรถมาถึงห้างสรรพสินค้าหรูแห่งหนึ่ง หญิงสาวก็เดินเข้าไปหยิบเสื้อผ้าที่แขวนอยู่บนราวแล้วดูป้ายราคา
“อะไรกัน ทำไมแพงขนาดนี้” ดาราสาวย่นคิ้วเขาหากัน ก็แค่เสื้อฮูดตัวใหญ่ไม่มีดีไซน์อะไรแปลกตาเลย
“ยี่ห้อนี้มันก็ราคานี้แหละค่ะคุณลิซ มันก็ถูกกว่าเสื้อผ้าที่คุณลิซใส่นะ” น้ำหวานออกความคิดเห็น
“เสื้อผ้าที่ฉันใส่น่ะเอาไว้ออกงานทั้งนั้น ใส่ซ้ำก็โดนด่า ใส่ถูกไปก็โดนด่า ฉันก็เลยต้องซื้อแพง แต่นี่ใส่ไปเรียน แพงขนาดนี้ ฉันแก้ผ้าไปก็ได้มั้ง” หญิงสาวพูดอย่างไม่สบอารมณ์ เธอไม่ใช่คนใช้เงินเปลืองกับเรื่องของใช้ส่วนตัวหากไม่จำเป็น แต่ถ้าให้พ่อแม่กับน้องสาวละก็ เท่าไรเท่ากัน
“งั้นก็ไปหาซื้อที่อื่นแล้วกัน ในห้างน่าจะแพงหมด” ณลิสาพูดเสียงดังก่อนจะเดินออกจากร้าน ในขณะที่พนักงานในร้านกำลังจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาขอถ่ายรูป ดาราสาวกับผู้ช่วยของเธอก็เดินหายลับไปแล้ว
หญิงสาวออกมาซื้อเสื้อผ้าข้างนอกห้างก็พบว่าราคาถูกกว่าข้างในมาก ดังนั้นเธอจึงกวาดซื้อมาเยอะพอสมควร โดยส่วนใหญ่จะเป็นเสื้อผ้าฤดูหนาวและของใช้ที่จำเป็นนิดหน่อย น้ำหวานที่ถือของพะรุงพะรังเดินหอบแฮก เมื่อเห็นว่าผู้จัดการถือไม่ไหวแล้วณลิสาจึงหยุดซื้อของเพิ่ม
“นี่ถ้าเป็นวันจันทร์นะ ฉันซื้อได้เยอะกว่านี้อีก” หญิงสาวบ่น ไม่มีใครทำอะไรถูกใจได้เท่ากับน้องสาวของเธออีกแล้ว
“โธ่คุณลิซ หวานไม่อึดเท่าคุณวันจันทร์หรอกค่ะ”
“นี่ด่าฉันว่าใช้งานเธอเยอะเหรอ”
“เปล๊า!”
ณลิสาเม้มปากเข้าหากัน เธอรู้ตัวว่าต้องใจเย็นและเอาแต่ใจน้อยกว่านี้ เพราะต่อไปคงไม่มีใครมาเอาอกเอาใจเธอแบบนี้อีกแล้ว แต่ทำอย่างไรได้ ความเอาแต่ใจกับมนุษยสัมพันธ์แย่มันเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตไปแล้ว แม้แต่ตัวเธอเองยังคิดว่าชาตินี้คงแก้ไขนิสัยตัวเองไม่ได้ จากนี้ไปคงต้องอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิต เพราะผู้ชายในอุดมคตินั้นไม่มีจริง ดูอย่างอนาคินสิ...
พูดถึงเรื่องนี้แล้วณลิสาก็อยากจะตบหน้าตัวเองแรงๆ สักที เพราะเมื่อก่อนเธอแอบหลงใหลได้ปลื้มอนาคิน พอรู้ว่าเขากลายเป็นคนหัวงูที่หลอกล่อน้องสาวของเธอให้ติดกับแล้วก็โมโห เธอไม่ชอบพวกเพลย์บอยขี้เก๊กที่คิดว่าตัวเองโดดเด่นเหนือคนอื่น จึงคิดว่าคนที่ดูนิสัยดีและอบอุ่นอย่างอนาคินจะแตกต่างจากคนพวกนั้น สรุปก็กลายเป็นเสือซ่อนเล็บ ใช้ความเจ้าเล่ห์และร้ายกาจแย่งน้องสาวของเธอไปครองได้
พอกันทีเรื่องผู้ชาย!! เธอจะตั้งใจเรียนแล้วคว้าใบปริญญาเอามาตบหน้าทุกคน
กวินทร์นัดณลิสามาที่ร้านของวันจันทร์เพื่อจะอธิบายรายละเอียดการสมัครเรียนให้ดาราสาวฟัง หญิงสาวฟังรู้เรื่องแค่ว่าเธอจะต้องไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในมลรัฐอะแลสกา แค่ฟังชื่อก็หนาวแล้ว
“นี่คือเรียกว่าค่าเทอมถูกแล้วใช่ไหมเนี่ย” ณลิสาตาโตเมื่อเห็นว่าจำนวนเงินที่ต้องจ่ายต่อปีเป็นเงินเท่าไร ถึงน้องสาวของเธอจะออกตัวว่าจะจ่ายให้ แต่นี่มันมากเกินไป
“ก็ปกติแหละครับ แต่ถ้ามีที่พักฟรีก็ทุ่นค่าใช้จ่ายกินอยู่ไปเยอะ สรุปก็ถูกกว่าไปอยู่ที่อื่น” กวินทร์ว่า ในขณะที่ณลิสายังคงทำสีหน้าครุ่นคิด ตอนแรกเขาคิดว่าเธอจะไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้เสียอีก คนที่ทำงานในวงการบันเทิงมานานแบบเธอ และซื้อคอนโดเล็กๆ อยู่แค่ห้องเดียว ไม่ได้ทำธุรกิจอะไรนอกจากเปิดร้านให้น้องสาว ก็น่าจะมีเงินเก็บอยู่ไม่ใช่น้อย หรือเธอกลัวว่าวันจันทร์จะหมดตัวเพราะต้องส่งพี่สาวเรียนกันล่ะ
“ช่างเถอะ เอาที่นี่แหละ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ก็บอก ฉันจะจ่ายเอง” ณลิสาว่า
“อ้อ แต่ว่าวันจันทร์...”
“เดี๋ยวคุยเอง บอกไปตามนี้แหละ”
“โอเค ถ้ามีเรื่องสงสัยอะไรก็โทร. มาถามผมได้ ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว เหลือจองตั๋วเครื่องบิน ขอวีซ่า เดี๋ยวจะมีคนช่วยทำเรื่องพวกนี้ให้ พี่ลิซก็เตรียมตัวให้ดี เรื่องเสื้อผ้า ของใช้แล้วก็...” กวินทร์ต้องเงียบกลางคันเมื่อเห็นว่าคนฟังเอาโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเสียแล้ว พูดตามตรงเขาไม่ค่อยชอบคนแบบณลิสาเท่าไรนัก ถึงแม้ว่าวันจันทร์จะสาธยายว่าพี่สาวของตัวเองดีอย่างไร แต่เท่าที่เขาเห็นเธอก็เป็นแค่คนเอาแต่ใจที่ไม่เคยเห็นหัวใคร ดูอย่างตอนนี้สิ เขาอุตส่าห์อธิบาย แต่เจ้าตัวกลับไม่สนใจ ข่าวลือของคนวงในถือเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกินจริงไปเลย แต่เพราะคนตรงหน้าทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีจึงทำให้เธอทำงานอยู่ในวงการนี้ได้นานขนาดนี้ แต่ถ้าพูดถึงนิสัยส่วนตัว เขาก็ต้องส่ายหน้าเหมือนกัน
ดูสิ...ขอบคุณสักคำก็ไม่มี
“งั้นเดี๋ยวผมกลับก่อนแล้วกันนะครับ” ชายหนุ่มว่า แต่อีกฝ่ายก็ทำแค่พยักหน้าเบาๆ เขาเดินไปที่เคาน์เตอร์เพื่อที่จะจ่ายเงิน แต่พนักงานกลับบอกว่าณลิสาจ่ายไปแล้ว ซ้ำยังซื้อเค้กไว้ บอกกับพนักงานว่าให้เขาเอากลับไปด้วย กวินทร์หันไปมองหญิงสาวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยความข้องใจ สักพักเธอก็ลุกขึ้นเดินมาทางเขาแล้วพูดเบาๆ ว่า
“ฉันเลี้ยง ในโอกาสที่นายช่วยเป็นธุระให้” จากนั้นเธอก็เดินออกไปเลย
จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้พูดว่า ‘ขอบคุณ’
กวินทร์เลิกคิดมากแล้วถือขนมเค้กกลับบ้าน เขาคิดว่าจะเอาหน้ากับอนาคินเสียหน่อยว่าอุดหนุนร้านของวันจันทร์หมดเงินไปหลายบาท
ณลิสากลับมาหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ที่จะต้องไปเรียนอย่างตั้งอกตั้งใจ ถ้าดูจากเอกสารที่กวินทร์ให้มาแล้วเธอต้องไปเรียนที่เมืองที่ชื่อว่า ‘แองเคอเรจ’ พอดูรูปสถานที่แล้วก็รู้สึกกลัวขึ้นมา เธอไม่เคยไปอยู่ที่ห่างไกลโดยไม่มีคนใกล้ชิดอยู่ด้วย ถ้าไปแล้วจะเป็นอย่างไร จะคุยกับใครได้ไหม
ไม่สิ! คนอย่างณลิสาอยากทำอะไรให้สำเร็จสักอย่างไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถ ต่อให้เป็นที่เกลียดชังของคนทั้งโลก แต่เธอก็จะเรียนให้จบให้ได้
เธอเลิกค้นหาข้อมูลแล้วไปเปลี่ยนชุดเพื่อที่จะเล่นโยคะสักหนึ่งชั่วโมง เนื่องจากช่วงนี้ไม่ได้รับงาน เลยทำให้เธอมีเวลาดูแลตัวเองอย่างเต็มที่ ก่อนที่จะไปเรียนต่อ เธอก็มีแผนจะไปอยู่กับพ่อแม่ที่เชียงรายสักสองสัปดาห์ เมื่อเตรียมตัวเตรียมใจพร้อมแล้ว ต่อให้หนทางข้างหน้าเป็นอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว
ขณะที่กำลังเล่นโยคะอยู่นั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมารัวๆ หญิงสาวถอนหายใจอย่างอารมณ์เสีย คนที่กล้าเคาะประตูแบบนี้มีแต่สมพงษ์คนเดียวเท่านั้น เขาคงรู้ว่าเธออยู่ในห้องถึงไม่เปิดประตูเข้ามาทั้งที่มีคีย์การ์ดอยู่แล้ว
“พี่หมูมีอะไรคะ” ทันทีที่ณลิสาเปิดประตูก็เห็นผู้จัดการของเธอยืนอยู่หน้าห้องด้วยสีหน้าเป็นเดือดเป็นร้อน
“น้องลิซจะไปเรียนต่อจริงๆ เหรอ”
“ค่ะ”
“แต่ถ้าหายไปนานขนาดนั้นจะกลับมาทำงานยากนะ คิดดีแล้วเหรอ” ตอนที่คุยโทรศัพท์กัน สมพงษ์ไม่คิดว่าณลิสาจะจริงจังกับเรื่องไปเรียนต่อ แต่รู้จากน้ำหวานว่าอีกฝ่ายไปซื้อเสื้อผ้าเตรียมจัดกระเป๋าแล้ว ทั้งยังฝากน้ำหวานให้ไปทำงานที่ร้านของวันจันทร์อีก
ณลิสาเอาจริง!!
“คิดดีแล้วค่ะ ปรึกษาวันจันทร์แล้วด้วย นี่กายก็ช่วยเตรียมทุกอย่างให้แล้ว”
“แล้วพี่ล่ะน้องลิซ”
“ยังมีน้องๆ คนอื่นให้พี่หมูดูแลอยู่ค่ะ ลิซเองก็ทำงานมาหลายปีแล้ว ไปกะทันหันแบบนี้ก็ต้องขอโทษพี่หมูด้วย แต่ถึงลิซอยู่ไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอกค่ะ สภาพจิตใจของลิซไม่พร้อมที่จะทำงาน” เธอหมายความตามนั้นจริงๆ การที่โดนดูถูกเรื่องการศึกษามานานทำให้เธออัดอั้นจนไม่อยากจะทำงานต่อ อีกทั้งตอนนี้พ่อแม่และน้องสาวก็สบายแล้ว เธอไม่ต้องโหมทำงานเหมือนแต่ก่อน บางทีสี่ปีหลังจากที่เรียนจบอาจจะไม่มีใครจ้างงานเธอเลยก็ได้ ข้อนั้นเป็นสิ่งที่เธอเตรียมรับสภาพเอาไว้อยู่แล้ว
“ถ้าคุณลิซไม่ได้คิดจะเป็นนักแสดงไปตลอดก็ควรต้องเรียน หรือหาทางของตัวเองให้เจอ”
คำพูดของอนาคินวนเวียนอยู่ในหัวของเธอ ถึงเวลาต้องทำเพื่อตัวเองบ้างแล้ว ไม่ว่าสมพงษ์จะพูดอย่างไร เธอก็จะไม่เปลี่ยนใจแน่
“น้องลิซไม่คิดว่าจะกลับมาทำงานแล้วหรือเปล่าคะ” สมพงษ์เม้มปากแน่น ที่เขามีวันนี้ได้ก็เป็นเพราะณลิสา แม้ตอนที่โด่งดัง แต่เธอก็ไม่เคยคิดจะทิ้งเขา ส่วนตัวเขาเองก็ไม่คิดว่าจะมีวันที่ต้องแยกทางกับอีกฝ่าย ถึงหญิงสาวจะน่ารำคาญและเรื่องมากขนาดไหนก็ตาม
“เอาเป็นว่าถ้าลิซเรียนจบแล้วค่อยว่ากันนะคะ” อนาคตจะเป็นยังไง เธอก็ไม่อาจรู้ล่วงหน้า บางทีเรียนจบมาแล้วเธออาจจะแค่มาออกรายการให้สัมภาษณ์สักรายการหนึ่ง แล้วตอกกลับพวกที่ว่าเธอชุดใหญ่ จากนั้นก็หายตัวไปเลยก็ได้ หรือเธออาจจะมีกำลังใจในการทำงานมากขึ้น และค้นพบว่าอาชีพนักแสดงเป็นเส้นทางของเธอจริงๆ
เมื่อเห็นว่าณลิสายืนยันหนักแน่นว่าจะไปแล้ว สมพงษ์ก็ไม่คิดรั้งหญิงสาวเอาไว้ ทำงานด้วยกันมาหลายปี เขารู้ว่าเธอเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น ในเมื่ออีกฝ่ายตัดสินใจแล้ว เขาก็ได้แต่ยอมรับ
“น้องลิซ” สมพงษ์โผเข้าไปกอดดาราสาวคู่ใจของเขา
“พี่หมูทำอะไรเนี่ย ลิซออกกำลังกายอยู่นะ เหงื่อท่วมเลย”
“น้องลิซที่แสนจะเรื่องมากของพี่ ถ้าหนูไปแล้วพี่คงไม่ปวดหัว ไม่ต้องไปเหนื่อยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้หนูอีก แต่พี่คงเหงามากเลย ทำมาตั้งหลายปี” เขาถึงกับน้ำตาซึมเมื่อนึกถึงความว่างเปล่าในตอนที่ณลิสาไม่อยู่
“พี่หมูด่าลิซหรือเปล่าคะ” พอจะรู้สึกซึ้งใจสักหน่อย แต่เมื่อได้ยินคำพูดของสมพงษ์แล้วเธอก็ไม่รู้ว่าควรจะเศร้าดีหรือเปล่า ฟังดูแล้วเหมือนผู้จัดการของเธอจะสบายใจมากกว่า
“ใครจะกล้าว่าน้องลิซ ถ้าตัดสินใจแล้วก็ไปเถอะค่ะ พี่จะส่งกำลังใจให้ มีอะไรก็โทร. หาพี่ได้ตลอด” สมพงษ์พูดขณะที่ค่อยๆ คลายอ้อมกอด
“เข้ามาก่อนเถอะค่ะ ยืนคุยกันตรงนี้แปลกๆ” ณลิสาเดินนำเข้าไปในห้อง
สมพงษ์เดินตามเข้ามาก็เห็นว่ามีเอกสารเกี่ยวกับการเรียนต่อวางไว้บนโต๊ะ ท่าทางณลิสาจะจริงจังกับเรื่องนี้มาก
“แล้วน้องลิซจะเรียนได้เหรอคะ ภาษาอังกฤษยิ่งไม่ค่อยแข็งแรง”
“กายบอกว่าต้องลงเรียนภาษาก่อนสักหกเดือนแล้วค่อยสอบ ลิซว่าลิซทำได้” หญิงสาวยื่นขวดน้ำให้สมพงษ์ ที่ผ่านมาเธอไม่ค่อยมีเวลานัก แต่ก็ยังพยายามเรียนภาษาอังกฤษเพื่อที่จะลดปมด้อยของตนเอง แต่หากหยุดทำงานแล้วใช้เวลากับมันอย่างเต็มที่ ในสถานที่ที่บังคับให้เธอต้องใช้มัน แน่นอนว่าต่อให้สมองช้าขนาดไหนก็ต้องได้อะไรมากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้แน่
“ดีแล้วละค่ะ แต่ว่าพี่มีเรื่องหนึ่งอยากจะปรึกษาน้องลิซ สัญญานะว่าจะไม่โมโห” สมพงษ์เอ่ยขึ้น
ความคิดเห็น |
---|