1

ไร้การศึกษา?

1

ไร้การศึกษา?

 

เป็นครั้งที่เท่าไรณลิสาก็จำไม่ได้ที่ต้องมาได้ยินคนนินทาเรื่องพื้นฐานการศึกษาของเธอ ทำงานในวงการบันเทิงมาสิบกว่าปี แต่เพราะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่จึงทำให้ทนฟังเรื่องพวกนี้มาได้ตั้งนาน นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอลงทุนไปเรียนภาษาอังกฤษแบบติวเข้ม แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าความรู้ของเธอจะเอาไปใช้พูดได้คล่องเหมือนกับดาราสาวลูกครึ่งที่กำลังให้สัมภาษณ์กับนักข่าวพร้อมกับเธอตอนนี้

“เจสซีตื่นเต้นมากเลยค่ะ เพราะเป็นบทที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษเยอะมาก พี่ๆ ก็เลยบอกว่าเหมาะกับเจสซีมากกว่า อีกอย่างพี่ลิซเขาก็มีละครเยอะมาก คิวไม่ค่อยลงตัวอยู่แล้ว ไม่ได้มีปัญหาอะไรกันเลยค่ะ เนอะพี่ลิซ” เจสสิก้า ดาราสาวลูกครึ่งไทย-อเมริกันที่กำลังโด่งดังเทียบเทียมรัศมีของณลิสาหันมายิ้มด้วยท่าทางเป็นมิตร 

ณลิสาทำได้แต่เพียงยิ้มรับ ไม่ใช่เพราะเธอพอใจกับคำตอบของอีกฝ่าย แต่เป็นเพราะมันเป็นอย่างเดียวที่เธอทำได้ต่างหาก

“ใช่ค่ะ ลิซเองก็เหนื่อยมากเลย บทนี้หนักเกินไปจริงๆ ค่ะ น้องเจสซียังมาขอคำปรึกษาลิซเลยเวลาสงสัยเรื่องบท เรื่องที่ลือกันว่าเรามีปัญหากันไม่จริงเลยค่ะ เนอะ มาจากไหนก็ไม่รู้” ณลิสาหันไปพูดกับเจสสิก้า ต่างคนต่างแอบกัดฟัน พยายามจะกดหลายสิ่งหลายอย่างซึ่งเป็นนิสัยที่แท้จริงเอาไว้ข้างใน พวกเธอไม่เคยปะทะกันตรงๆ นอกบทมาก่อน มีแต่เหน็บแนมกันไปมาด้วยภาษาที่สุภาพ แต่อาบไปด้วยยาพิษ

หลังจากที่เลิกให้สัมภาษณ์แล้วเจสซีที่กอดแขนของณลิสาอยู่ก็ปล่อยมือออก เธอหยิบเจลล้างมือขึ้นมาแล้วบีบมันออก ก่อนจะถูไปทั่วมือต่อหน้าต่อตาณลิสา

“ช่วงนี้น้องไม่ค่อยสบายค่ะ คุณหมอบอกให้ระวังเชื้อโรค”

“ไม่สบายก็น่าจะพักนะคะ ไม่ต้องทำงาน เกิดคนอื่นเขาติดโรคไปด้วยก็จะลำบาก” ณลิสาพยายามข่มอารมณ์อย่างถึงที่สุด นิสัยเรื่องมากและอารมณ์ร้ายของเธอไม่ใช่ทุกคนที่จะรับรู้ได้ ทั้งเบื้องหลังและเบื้องหน้าเธอยังเป็นนางเอกแสนหวานน่าทะนุถนอม และมันจะเป็นอย่างนั้นตลอดไปถ้าไม่สติแตกเพราะเจสสิก้า ดาราดาวรุ่งที่อายุน้อยกว่า มีการศึกษา แถมยังพูดภาษาอังกฤษปร๋อ แย่งบทที่ควรจะเป็นของเธอไป

“คนที่ควรพักคือพี่ลิซนะคะ ลองไปหาคอร์สเรียนภาษาอังกฤษดูนะคะ เป็นดาราสมัยนี้ไม่มีการศึกษาก็อยู่ลำบากค่ะ แต่อายุขนาดนี้แล้วจะให้ไปเริ่มใหม่ก็เหนื่อยแย่ เจสซีเข้าใจ” 

สิ่งที่เจสสิก้าพูดทำเอาณลิสาหน้าชาไปทั้งแถบ คนที่พูดดูถูกคนอื่นเป็นคนที่สมควรจะอาย แต่เธอกลับเป็นฝ่ายที่พูดอะไรไม่ออกเพราะเรื่องนี้เป็นปมด้อยอย่างเดียวของเธอ

“คุณลิซ สัมภาษณ์เสร็จหรือยังครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลัง 

คนพูดเป็นชายร่างสูงในชุดสูทสีดำเข้ารูปรับกับใบหน้าหล่อเหลาสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะน้ำเสียงหรือท่าทางก็ดูสุภาพอ่อนโยน เจสสิก้าเองก็ชอบมองเขาอยู่บ่อยครั้ง แต่เพราะอนาคินแทบจะไม่ได้ออกงานที่ไหนเลย ทำให้โอกาสที่จะได้เห็นเขานั้นมีน้อยมาก น่าเสียดายที่คนแบบนี้ดันมีเจ้าของแล้ว ไม่ใช่ณลิสา ดาราสาวสวยที่กลายเป็นตัวแม่ของวงการบันเทิง แต่เป็นน้องสาวท่าทางเด๋อด๋าของเธอที่ชื่อ ‘วันจันทร์’ ต่างหาก ข่าวการคบหาของอนาคินกับวันจันทร์นั้นค่อนข้างทำให้ทุกคนตกใจพอสมควรเพราะใครๆ ต่างก็คิดว่าเขากับณลิสาน่าจะมีความสัมพันธ์พิเศษต่อกัน 

“สวัสดีค่ะพี่คิน” เจสสิก้ายิ้มจนแก้มปริ 

“ครับ” อนาคินตอบสั้นๆ ก่อนจะหันไปมองณลิสา หน้าที่ของเขาวันนี้คือการดูแลพี่สาวของแฟนให้กลับถึงบ้านโดยไม่คลั่งไปทำร้ายใครจนเป็นเรื่อง นึกถึงครั้งที่ถูกณลิสาทุบตีเพราะรู้ว่าเขาแอบคบหากับวันจันทร์แล้วอนาคินก็ยังเสียวสันหลังอยู่จนทุกวันนี้

“ค่ะ กลับกันเถอะ” ณลิสาหันไปพูดกับอนาคินก่อนจะเดินนำออกไปด้วยท่าทางคุกรุ่นอยู่ภายใน เมื่อเธอเดินมาถึงรถตู้ของตนเอง น้ำหวาน ผู้จัดการส่วนตัวรีบกุลีกุจอเปิดประตูรถให้ หลังจากที่อนาคินกับณลิสาขึ้นไปบนรถแล้ว กระเป๋าแบรนด์เนมราคาแพงก็ถูกเหวี่ยงกระแทกเข้ากับประตูเฉียดใบหน้าของอนาคินไปเพียงนิดเดียว

“อีประสาท ด่าฉันโง่เหรอ ไม่เรียนหนังสือเหรอ” หญิงสาวกำหมัดแน่น เธอหันขวับไปมองชายหนุ่มข้างกายก็เห็นเขาหลบตาไปด้วยความหวาดกลัว 

“นายน่ะ คิดว่าไง” เธอถามอนาคิน

“คือ...ผมไม่ได้มีความเห็นอะไรกับเรื่องนั้น มันเป็นพื้นที่ส่วนตัว”

“ดาราน่ะไม่มีพื้นที่ส่วนตัว คิดว่าไงก็พูดออกมาเลย” หญิงสาวเม้มปากแน่น หลับตารอฟังความคิดเห็นของอนาคิน จะว่าไปคงมีแต่เธอคนเดียวที่หลังจากจบมัธยมปลายแล้วก็ไม่ได้เรียนต่อ เพราะต้องทำงานในวงการ หาเงินส่งให้ครอบครัว แต่เธอก็ไม่ได้คิดโทษพวกเขาเพราะตนเองเป็นคนเลือกที่จะเดินทางนี้เอง ทว่าหลังจากที่มีเงินแล้วเธอก็คิดว่าการเรียนนั้นคงไม่จำเป็นกับงานของตนเองเท่าไร จึงวางเฉยมาเรื่อยๆ จนถึงตอนที่ช่วงหลังบทนางเอกที่เธอได้รับนั้นต้องเป็นนักเรียนนอก ต้องพูดศัพท์ยากๆ เกี่ยวกับธุรกิจ เรื่องพวกนี้อาจจะท่องจำได้ แต่ไม่อาจพูดให้เป็นธรรมชาติได้

เธอไม่ได้รักที่จะเป็นนักแสดง...แต่มันเป็นอาชีพเดียวของเธอ

“ถ้าคุณลิซไม่ได้คิดจะเป็นนักแสดงไปตลอดก็ควรต้องเรียน หรือหาทางของตัวเองให้เจอ” ชายหนุ่มว่า เขากลัวณลิสาก็จริง แต่ไม่กลัวที่จะพูดความจริง วันจันทร์กับพี่สาวแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ถ้าเป็นเรื่องการค้นพบตัวเอง แฟนสาวของเขาเก่งในเรื่องนั้นมาก อีกฝ่ายรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร และต้องทำอย่างไรถึงจะไปให้ถึงฝัน แต่กับณลิสาที่ดูเหมือนจะเป็นคนเด็ดเดี่ยวมั่นใจในตัวเอง แท้จริงแล้วกลับเป็นคนที่กลัวการเปลี่ยนแปลง ไม่กล้าออกจากพื้นที่ของตัวเอง

ณลิสาเงียบไปพักหนึ่ง เธอคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มาสักพักแล้ว ตอนนี้น้องสาวของเธอมีคนดูแล พ่อแม่ก็อยู่กันอย่างสุขสบายที่ต่างจังหวัด เงินทองที่หามาก็แทบใช้ไม่หมดแล้ว 

“คุณว่าอายุขนาดฉันยังไปเรียนได้ไหม” เธอถามขึ้น

“อายุเท่าไหร่ก็เรียนได้ทั้งนั้น แต่ว่าคุณจะมีเวลาหรือเปล่า”

“ตอนนี้ฉันว่างงานมากกว่าที่คุณคิด”

“งั้นก็เรียนต่อเลย ช่วงเวลาที่คุณทำหายไป ลองหาความสุขกับมันดู” ชายหนุ่มพูดเสียงเรียบ คล้ายกับเขาเป็นบิดาของเธอกับวันจันทร์ แม้ว่าเธอจะเคยแปลงร่างเป็นนางยักษ์ทุบตีเขาก็ตาม ถึงจะกลัวหญิงสาวตรงหน้าและไม่อยากเกี่ยวข้องด้วยแค่ไหน แต่อนาคินก็ยังคงให้คำตอบที่ชัดเจนทุกครั้งที่อีกฝ่ายมีคำถาม

ส่วนณลิสาก็คิดแค่ว่าเธอคงฝากวันจันทร์ไว้กับผู้ชายแบบนี้ได้อย่างหมดห่วง

เรื่องเรียนก็ค่อยๆ คิดไปแล้วกัน

 

ณลิสาได้รับโทรศัพท์จากน้องสาวที่ตอนนี้เรียนอยู่ต่างประเทศตั้งแต่ตอนเช้ามืด แม้ว่าจะงัวเงีย แต่เพราะไม่ได้คุยกันนาน เธอจึงพยายามตั้งสติฟังที่วันจันทร์พูด

“พี่ลิซจะเรียนต่อเหรอ!!” เสียงใสร้องดังจนเธอต้องเอาโทรศัพท์มือถือออกจากหู ก่อนหน้านี้วันจันทร์เคยพูดกับเธอหลายครั้งเรื่องเรียนต่อ แต่เพราะตอนนั้นเธองกเกินกว่าที่จะปล่อยให้งานไหนหลุดมือ จึงได้แต่ปล่อยเวลาให้ผ่านมาเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้

“แกกับแฟนแกนี่มีจิตเชื่อมกันหรือไง ทำไมรู้เรื่องเร็วขนาดนี้” 

“พี่คินเขาก็เป็นห่วงพี่ลิซเหมือนกันนะ เราเลยปรึกษากันไงว่าพี่ลิซควรจะเรียนต่อที่ไหน”

“แกไม่ต้องวุ่นวายขนาดนั้นหรอก ฉันจะค่อยๆ คิด”

“ค่อยๆ คิดไม่ได้นะ พี่ลิซอายุจะสามสิบแล้ว ถ้าเรียนช้ากว่านี้ก็จะยิ่งเรียนจบช้าไปกันใหญ่ วันที่รับปริญญาก็จะหน้าแก่กว่านี้อีก พี่ลิซจะยอมให้เป็นแบบนั้นเหรอ” สิ่งที่วันจันทร์พูดทำให้เธอหน้ากระตุกเป็นระยะ คำว่า ‘หน้าแก่’ เป็นคำพูดที่บั่นทอนจิตใจของเธอเป็นอย่างมาก 

“นี่แกไม่ได้ตั้งใจจะหลอกด่าฉันใช่ไหมนังวันจันทร์” 

“เปล่านะ หนูเป็นห่วงพี่ลิซ พอรู้ว่าพี่ลิซอยากเรียนต่อ หนูก็ตัดสินใจว่าจะเป็นคนส่งพี่ลิซเรียนเอง” 

“ฮะ! แกเนี่ยนะ”

“ใช่ หนูจะส่งพี่ลิซไปเรียนต่างประเทศ”

“แกมีเงินมากขนาดนั้นเลยเหรอ”

“มีสิคะ กำไรที่ร้านก็เยอะ ที่มาเรียนนี่พี่คินก็ออกเงินให้” 

ฟังน้องสาวพูดแล้วณลิสาก็นึกได้ วันจันทร์เรียนอยู่ที่ฝรั่งเศสด้วยเงินทั้งหมดของอนาคินที่เธอสั่งให้เขารับผิดชอบข้อหาล่อลวงน้องสาวของเธอ แต่วันจันทร์ไม่ใช่พวกที่จะยอมรับเงินจากแฟนหนุ่มง่ายๆ ทุกครั้งที่น้องสาวเธอเอาเงินของตัวเองออกมาใช้ อนาคินก็จะเอาเงินเติมเข้าไปในบัญชีเท่าจำนวนที่แฟนสาวใช้ไปเสมอ

แบบนี้ก็เท่ากับว่าว่าที่น้องเขยของเธอเป็นคนออกค่าใช้จ่ายอยู่ดี นานวันเข้าวันจันทร์ก็เลิกล้มความคิดที่จะเกรงใจแฟนหนุ่ม เพราะอย่างไรอีกฝ่ายก็รักษาคำพูดอย่างเคร่งครัด

“ถ้าแกเงินเหลือขนาดนั้นก็เก็บไว้แต่งงานเถอะ แค่เงินเรียนมหาวิทยาลัย ฉันมีปัญญาจ่ายน่า ว่าแต่เรื่องแต่งงานน่ะ ถ้าว่าที่เจ้าบ่าวมันลีลาบอกฉันเลยนะ จะไปจัดการเอง” ณลิสาว่า

“คนที่ลีลาน่าจะเป็นหนูมากกว่า ช่างเรื่องแต่งงานเถอะค่ะ เอาเรื่องเรียนของพี่ลิซก่อน จะไปเรียนต่อจริงๆ ใช่ไหมคะ”

“อืม” 

“งั้นหนูช่วยจัดการหาที่เรียนให้เลยนะ”

“ตามใจ หมดเรื่องแล้วใช่ไหม ฉันจะนอนต่อ” 

“จ้าหมดแล้ว” วันจันทร์ว่าก่อนจะวางสายไป 

ณลิสานั่งถอนหายใจอยู่สองสามทีถึงค่อยๆ เอนกายลงบนที่นอนเหมือนเดิม

 

ณลิสาตื่นขึ้นมาอีกทีตอนสายของอีกวัน เธอคิดว่าจะหาบทสัมภาษณ์ของเมื่อวานดูเสียหน่อย แต่พอเลื่อนดูความคิดเห็นด้านล่างแล้วก็ทำเอาหญิงสาวต้องปิดตาเพื่อข่มความโมโห

[ดีแล้วที่เอาเจสซีแทน ได้ยินนางพูดภาษาอังกฤษแล้วก็เพลีย]

[นางไม่ชอบออกรายการทีวีนะ กลัวว่าคนจะรู้ว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย โดยเฉพาะรายการที่ต้องใช้ความรู้ ก็จบแค่ ม. 6 อ้ะเนอะ]

[รู้แล้วว่าทำไมพี่คินไปเลือกน้องสาวแทน พี่สาวสวยแต่โง่ วงในว่าขี้วีนอีกต่างหาก]

[จริง...นิสัยไม่ดี เพื่อนที่เป็นช่างแต่งหน้าบอกว่าเรื่องมาก ด่าผู้จัดการจนร้องไห้ ก่อนคนนี้ไม่มีใครทนนางได้ นอกจากน้องสาวของนาง]

ณลิสารู้สึกหน้าร้อนผ่าวไปหมด เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทร. หาผู้จัดการของตัวเองทันที 

สมพงษ์รับสายด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยอ่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ถ้าเป็นสายที่มาจากณลิสาแล้วมักจะทำให้เขายุ่งวุ่นวายเสมอ

“พี่หมู ลิซจะฟ้องคนที่ด่าลิซทุกคน” ณลิสาเอ่ยขึ้นทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย

“เดี๋ยว ใจเย็นๆ นะน้องลิซ เรื่องอะไรกัน”

“มีคนด่าลิซในเน็ต บอกว่าโง่ภาษาอังกฤษ จบแค่ ม. 6”

“หายใจเข้าลึกๆ ค่ะ ไปปฏิบัติธรรมให้ใจสงบดีไหม ช่วงนี้น้องลิซไม่ค่อยมีงาน เดี๋ยวเขาก็ลืมๆ กันไปเอง กลับมาอีกครั้งก็เลือกบทปังๆ เอาฝีมือไปฟาดเลยค่ะลูก ไม่ต้องไปไล่ฟ้องหรอก เยอะเกิน พี่เก็บไม่ไหว” สมพงษ์ว่า 

ใช่ว่าณลิสาจะฟังเขาเสมอไป ยิ่งช่วงนี้วันจันทร์ไปเรียนต่างประเทศ คนที่โดนผลกระทบจากอารมณ์ของณลิสามีแต่เขากับน้ำหวานที่ต้องไปพบจิตแพทย์สัปดาห์ละครั้ง

“ลิซไม่ไปปฏิบัติธรรมหรอกค่ะ ลิซจะไปเรียนต่อ” ณลิสาว่า

“ฮะ! ว่าอะไรนะ” ปลายสายเสียงดัง

“ลิซจะไปเรียนต่อ รอดูเถอะ แค่ใบปริญญากับเรียนภาษาอังกฤษ เรื่องแค่นี้ถ้าจะทำจริงๆ ทำไมจะทำไม่ได้” หญิงสาวเม้มปากแน่นด้วยความเคียดแค้น ในเมื่อข้องใจกับวุฒิการศึกษาของเธอนัก เธอก็จะไปเรียนต่างประเทศอย่างที่วันจันทร์บอก แล้วจะเอาใบปริญญากลับมาตบปากพวกปากเสียทุกคนที่ว่าเธอ

“ลิซเดี๋ยวก่อน!”

“ไม่ต้องรับงานอะไรเลยค่ะสี่ปี แค่นี้นะคะ” พูดจบหญิงสาวก็กดตัดสาย ปีนี้เธออายุยี่สิบเก้าแล้ว การกลับไปเรียนมหาวิทยาลัยไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับคนวัยอย่างเธอ แต่ถ้าเป็นต่างประเทศก็คงไม่รู้สึกแปลกแยกมาก 

ภาษาอังกฤษของณลิสาไม่ได้แย่เกินเยียวยา แค่ขาดความมั่นใจในการใช้ ประกอบกับชีวิตประจำวันของเธอไม่ได้เกี่ยวพันกับภาษาอังกฤษเท่าไร ก่อนหน้านี้เธอก็ไปลงเรียนคอร์สพิเศษเพื่อที่จะเอามาใช้ในละคร แต่ก็ยังไม่วายถูกด่าอยู่ดี เพราะฉะนั้นเธอจะใช้เวลาในช่วงนี้เพื่อเตรียมตัว หากพร้อมเมื่อใดก็จะไปทันที

 

กวินทร์ถอนหายใจเป็นครั้งที่ยี่สิบ อุตส่าห์ดีใจที่วันจันทร์โทร. หา เขาคิดจะฝากอีกฝ่ายซื้อของเสียหน่อย แต่กลายเป็นว่าถูกฝากเสียเอง 

“เอาตามนี้แล้วกันนะกาย เราฝากจัดการเรื่องให้ด้วย อยากได้อะไรเดี๋ยวซื้อไปฝาก”

“เอาสาวฝรั่งเศสเด็ดๆ สักคนได้ไหมล่ะ”

“มีตั้งหลายคน เดี๋ยวพาไปให้เลือกเลย”

“ปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้วนี่ จะเอาไงก็เอา เดี๋ยวเรื่องพี่ลิซเราจัดการให้” พูดจบแล้วเขาก็กดวางสาย เมื่อได้ยินเสียงอนาคินหัวเราะเบาๆ ก็อดที่จะเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้ แฟนตัวเองก็มี ทำไมต้องมาใช้เขาด้วยล่ะ

“นายอยู่อเมริกานานกว่าพี่ ที่ไหนดีหรือไม่ดีน่าจะรู้” อนาคินว่า

“โถ คุณอนาคิน ผมอยู่แถวบ้าน ไม่ได้ตะลอนทั่วอเมริกานะครับ จะรู้ได้ยังไง”

“แล้วมีที่ดีๆ ที่ควรจะส่งคุณลิซไปเรียนไหมล่ะ” 

“แต่ว่า...จะให้ไปอยู่กับแม่เราก็ไม่ค่อยดี ถ้าเกิดคุณแม่ทนไม่ไหวขึ้นมาอาจจะไม่ยอมให้พี่ชายผมแต่งงานอีก” ชายหนุ่มถอนหายใจ ความจริงคือเขาไม่อยากหาเรื่องปวดหัวให้มารดาต่างหาก แล้วแบบนี้จะส่งณลิสาไปที่ไหนดี

“ปีที่แล้วได้ยินคุณแม่บอกว่าน้านวลย้ายไปอยู่อะแลสกา ตอนนี้กำลังหาคนช่วยเลี้ยงเด็ก” อนาคินพูดขึ้นมาลอยๆ เหมือนพยายามจะสื่ออะไรบางอย่าง 

ในขณะที่กวินทร์เริ่มได้กลิ่นไม่ดี พี่ชายของเขาเป็นหนุ่มน่ารักใจดีแต่เปลือก ถึงตอนนี้ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าอนาคินร้ายแค่ไหน

“อ้อ เหมือนจะได้ยินแม่เล่าว่าอยู่แองเคอเรจ[1] ก็ใช้ได้นะ แสงสีไม่เยอะถ้าเทียบกับแถวบ้านเรา แต่ว่ามันจะเข้ากันไหมกับสาวสวยขาวีน ดูเวิ้งว้างเกินไปหรือเปล่า” 

ในขณะที่กวินทร์กำลังตั้งคำถามกับตัวเอง อนาคินก็เอามือวางไว้บนไหล่ของน้องชายอย่างให้กำลังใจ เรื่องเหมาะสมหรือเปล่าน่ะไม่ควรต้องถาม แต่เพราะวันจันทร์ยืนยันจะเป็นคนจ่ายเงินส่งพี่สาวเรียน และณลิสาเองก็บอกว่าขอเป็นมหาวิทยาลัยที่ราคาไม่แพง ที่อะแลสกาก็น่าจะตอบโจทย์ 

ที่พักฟรี มีงานเลี้ยงเด็ก ต่อให้กรี๊ดดังลั่นแค่ไหนก็ไม่มีใครเอาใจอีกต่อไปแล้ว

“นายลองติดต่อน้านวลดู อาจจะช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น” อนาคินพูดจบก็อุ้มเจ้าซิลลา แมวแสนรักของเขาพาเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน

กวินทร์ส่ายหน้า สรุปทั้งวันจันทร์และอนาคินก็โยนเรื่องมาให้เขาจัดการ ทั้งที่เขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับณลิสาสักหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นวันต่อมาเขาก็ติดต่อไปหาน้านวล ญาติฝั่งมารดาที่ย้ายไปอยู่อะแลสกา ก็ได้ความว่าทางนั้นดีอกดีใจที่ได้ยินว่ามีคนสนใจจะไปเรียนต่อที่นั่น น้านวลชื่อจริงว่าศรีนวล แต่งงานกับชาวอเมริกันชื่อว่าเดวิด ซึ่งก็มีศักดิ์เป็นน้าเขยของเขา มีลูกสาววัยสิบหกปีชื่อเอวา และลูกชายอายุสิบขวบชื่อแอนดี้ ในระหว่างที่กำลังคุยโทรศัพท์ผู้เป็นน้าก็ถามเขาหลายอย่างเรื่องของณลิสา

“แล้วเขารักเด็กไหม มีความอดทนหรือเปล่า ใจเย็นใช่ไหม แอนดี้มันซนมากเลย ถ้าไม่ใช่คนมีความอดทน ใจเย็น รักเด็ก ต้องบีบคอมันแน่” ศรีนวลถามรัว ๆ

“อ่อ พี่ลิซเขารักเด็กครับ ใจดี ใจเย็น น้านวลไม่ต้องห่วง”

“อย่างนี้ก็ไม่มีปัญหา เดี๋ยวน้าช่วยถามที่มหาวิทยาลัยเรื่องเงื่อนไขการสมัครเรียนนะ” ศรีนวลว่าก่อนจะคุยกับหลานชายต่อสักพักเพื่อถามสารทุกข์สุกดิบ 

หลังจากคุยกันเสร็จก็วางสาย กวินทร์จึงส่งข้อความไปบอกวันจันทร์ว่าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว 

 


 


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น