โชคดีที่ต่างจังหวัดรถไม่ได้ติดยาวเหยียดเหมือนกรุงเทพฯ ภูรินท์และพิมพ์พิสุทธิ์จึงกลับถึงบ้านไร่ราวๆ ทุ่มเศษ เนื่องจากมื้อเย็นภูรินท์พาเธอไปรับประทานสเต๊กในห้างดังแล้ว เมื่อกลับมาถึงบ้านจึงไม่ต้องรบกวนแม่บ้านให้ตั้งโต๊ะอาหาร
หลังจากที่ภูรินท์นำรถหรูไปจอดในโรงรถเรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นชายหนุ่มเดินมา หญิงสาวที่ยืนคอยอยู่ก็ถือโอกาสยกมือไหว้ขอบคุณจากใจจริงพร้อมกับเอ่ย
“ขอบคุณมากนะคะที่พาพริ้มไปซื้อของใช้”
คำขอบคุณกับการที่หญิงสาวไหว้เขานั้นทำเอาภูรินท์แปลกใจและยกมือรับไหว้แทบไม่ทัน ก็ตั้งแต่โตเป็นหนุ่มเต็มตัวมา เวลาที่เขาให้สิ่งของที่หญิงสาวต้องการและสมใจแล้ว สิ่งที่เขาจะ ‘ได้รับ’ ตอบแทนกลับมานั้นไม่ใช่ปฏิกิริยาแบบนี้แน่ แต่เป็นการขอบคุณอีกแบบที่ ‘แนบชิด’ และ ‘ลึกซึ้ง’ มากกว่า
“เอ่อ ไม่เป็นไรหรอก เรื่องแค่นี้เอง” ภูรินท์บอกอย่างไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรมากมาย “อีกอย่างคุณอยู่ในการปกครองของผม ผมก็ต้องดูแลคุณให้ดีสิ”
พิมพ์พิสุทธิ์ยกยิ้มอย่างสมใจเมื่อชายหนุ่มไม่มีทีท่าว่าจะทวงถามเรื่องจ่ายคืนในภายหลัง
“ยังไงก็ขอบคุณคุณมากๆ อีกครั้งแล้วกันนะคะ วันนี้รบกวนคุณมามากแล้ว ถ้างั้นฉันขอตัวขึ้นห้องก่อนแล้วกันนะคะ”พิมพ์พิสุทธิ์กล่าวจบก็หมุนตัวเดินเข้าบ้าน ตรงไปยังห้องพักแขกของตัวเอง
จริงๆ ก็เป็นเรื่องปกติ แต่ที่มันไม่ปกติก็เพราะว่าชีวิตของภูรินท์นั้น ล้วนข้องเกี่ยวแต่กับคนที่เข้ามาหาเพราะผลประโยชน์ทั้งนั้น ความจริงใจหรือคำพูดจากใจจริงที่หวังจะได้รับนั้นก็หายากแสนยาก
แต่ทำไมคราวนี้ภูรินท์กลับรู้สึกว่าเขากำลังได้รับมันจริงๆ...ทั้งคำพูดขอบคุณจากใจจริง ความจริงใจ และความใสซื่อบริสุทธิ์จากหญิงสาวที่ชื่อว่าพิมพ์พิสุทธิ์
เกือบห้าวันแล้วที่พิมพ์พิสุทธิ์มาอยู่ที่เชียงใหม่ กิจวัตรประจำวันของเธอก็ไม่มีอะไรมากมายนัก นอกจากกิน นอน แล้วก็เล่นกับเจ้าตูบ วนเวียนอยู่แบบนี้จนตัวเองเริ่มรู้สึกว่าชีวิตน่าจะมีอะไรให้ทำมากกว่านี้
เธอยังไม่หายสนิทดีก็จริง แต่ก็ไม่ได้ป่วยจนถึงขั้นที่ทำอะไรไม่ได้ ใช้ชีวิตแบบเรื่อยๆ ไปวันๆ งานการไม่ทำ เฮ้อ...ใช่ว่าเธออยากจะทำแบบนี้ที่ไหนกันล่ะ ยิ่งเห็นดวงตาฉายแววสงสัยใคร่รู้ของบรรดาสาวใช้ในบ้านแล้วเธอก็ยิ่งอึดอัด
“บางทีเป็นเจ้าตูบแบบแกก็ดีเนอะ ไม่ต้องคิดอะไรมากมายให้ปวดหัว”
พิมพ์พิสุทธิ์นั่งลูบขนเจ้าโกลเดนรีทรีฟเวอร์ที่หมอบอยู่ข้างๆ คอยเป็นเพื่อนเล่นและคอยฟังเธอบ่นมาตลอดหลายวันที่ผ่านมา
“เฮ้อ! ไม่รู้ว่าชีวิตฉันจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน มันน่าเบื่อมากเลยนะ” หญิงสาวว่าก่อนจะค่อยๆ โน้มตัวลงโอบกอดเจ้าเพื่อนสี่ขาเอาไว้เพื่อปลอบประโลมหัวใจ “แกเข้าใจความรู้สึกฉันใช่มั้ย”
ระบายความรู้สึกออกไปแล้ว หญิงสาวก็ได้แต่หวังว่าจะดีขึ้นบ้าง ทั้งๆ ที่ดูเหมือนเธอจะใช้ชีวิตปกติ แต่ความจริงก็คือความจริงเธอสลัดความเศร้าหมองที่กัดกินหัวใจออกไปไม่ได้เลย
ที่เธอต้องระบายออกไปแบบนั้นก็เพราะไม่อยากให้ความรู้สึกแย่มากไปกว่านี้ ทุกอย่างต้องดีขึ้น เพียงแต่อาจต้องใช้เวลานานสักหน่อย นั่นเป็นคำที่หญิงสาวใช้ปลอบใจตัวเองมาตลอด คิดแล้วแรงฮึดสู้กับชีวิตก็มาเต็ม
ร่างบางสลัดความเศร้าหมองทิ้งไป ก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องโถงของบ้าน
แม้ว่าภูรินท์จะพอมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับงานในไร่มาบ้าง อีกทั้งยังเคยเห็นการทำงานเกือบทุกขั้นตอนจากผู้เป็นบิดามาตั้งแต่ยังเล็ก แต่การที่เขาจะเข้ามารับช่วงต่อนั้น มันก็ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างให้เขาเรียนรู้มากมายไปหมด ภูรินท์ที่เพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ จากการศึกษาเรียนรู้งานกับคนสนิทมาทั้งวัน นั่งพักได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงรถเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน บ่งบอกว่ามีแขกมาเยือนที่เรือน ยังไม่ทันที่จะวานให้เด็กรับใช้ในบ้านไปดูว่าแขกที่มาเป็นใคร เขาก็ได้คำตอบก่อน เพราะตอนนี้คนที่มาเยือนกำลังก้าวเดินฉับๆ ตรงเข้ามายังทางที่เขานั่งอยู่
“สวัสดีครับแม่” ภูรินท์ยกมือไหว้มารดา แต่กลับได้สายตาค้อนกลับมาแทน
“มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่บอกแม่! แล้วทำไมถึงไม่เข้าไปพักที่บ้านในเมือง” คุณหญิงชไมพรแว้ดเสียงเขียวใส่บุตรชายตัวดี ที่ทำตัวเอ้อระเหยไม่ต่างจากสายลมนัก นึกจะไปก็ไป นึกจะมาก็มา
“แล้วที่เขาลือกันนั่นมันอะไร ฮะ! มีคนมาบอกแม่ว่าเห็นภูพาผู้หญิงไปชอปปิงซื้อของกะหนุงกะหนิงกลางห้าง จนคนเขามาถามแม่กันใหญ่แล้วว่าที่บ้านกำลังจะมีข่าวดีหรือ นี่มันเรื่องอะไรกันหือตาภู” ผู้เป็นแม่ถามสิ่งที่คาใจจนต้องมาถึงที่นี่
“เขาบอกแม่ว่ายังไงบ้างล่ะครับ ก็ตามนั้นแหละ” ภูรินท์ไม่ปฏิเสธ ยิ่งทำให้ผู้เป็นแม่ไม่พอใจกว่าเดิม
“นี่ภูไปเอาผู้หญิงที่ไหนติดสอยห้อยตามกลับมาด้วยจริงๆ อย่างนั้นหรือ โอ๊ย! ฉันจะเป็นลม” นางบ่นความไม่ได้ดั่งใจสักอย่างของลูกชาย
“ทำแบบนี้ได้ยังไงฮะ! แล้วถ้าเรื่องนี้มันไปถึงหูหนูกิ่งเข้า จะทำยังไง! แม่อุตส่าห์ไปทาบทามลูกสาวเขาไว้ให้ แต่ลูกกลับพาผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ไปเดินทั่วห้าง”
ภูรินท์ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน “แม่ครับ ผมว่าเราพูดเรื่องนี้กันรู้เรื่องแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
“รู้เรื่องที่ไหน แม่บอกภูไว้ก่อนเลยนะ คราวนี้ภูต้องเลิกทำตัวแบบนี้ได้แล้ว อายุอานามก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ครั้งนี้แม่ไม่ยอมเราง่ายๆ แน่” นางบอกเสียงเข้ม
“แล้วแม่ถามจริงๆ หนูกิ่งมีอะไรไม่ดีรึ หน้าตาก็สะสวย ชาติตระกูลก็ดี การศึกษาก็ดี ไม่มีอะไรด้อยเลยสักอย่าง ลูกยังไม่ทันเจอน้องก็ตั้งท่าปฏิเสธท่าเดียว”
“แม่กำลังจะจับผมคลุมถุงชนว่างั้น นี่มันยุคไหนแล้วครับ”
“แม่อยากให้แกรู้จักสนิทสนมกับน้องไว้ก่อน น้องสวยน่ารักแบบนั้น เดี๋ยวคบๆ กันไปไม่นานแกก็จะรักจะชอบน้องได้ไม่ยากหรอก”
“เราไม่สามารถบังคับจิตใจเราให้ทำนู่นทำนี่ได้หรอกนะครับแม่ ยิ่งเรื่องความรักยิ่งแล้วใหญ่” ภูรินท์พยายามอธิบายให้ผู้เป็นแม่เข้าใจ
“แล้วการที่แกทำตัวแบบนี้ ไม่จริงจังกับใคร คบเล่นแก้เบื่อ คลายเหงาไปวันๆ จะให้แม่เข้าใจว่ายังไงดีฮะตาภู แล้วไหนล่ะความรักที่แกว่า บอกแม่มาสิ”
“ถ้าเป็นเรื่องนั้น...แม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ” ภูรินท์พูดอย่างใจเย็น ผิดกับเมื่อสักครู่ลิบลับ
ดวงตาคมเหลือบไปเห็นสาวร่างบางที่คุ้นตาในหลายวันมานี้ยืนนิ่งอยู่ตรงหัวมุมทางเข้าห้องโถงของบ้าน คงกำลังแอบฟังบทสนทนาระหว่างเขากับมารดา
“เพราะผมมีคนที่ผมรักอยู่แล้ว อีกอย่างเราก็กำลังจะแต่งงานกันเร็วๆ นี้ด้วย แม่เตรียมตัวตัดชุดไว้ได้เลย!” ภูรินท์พูดขึ้นและยิ้มราวกับผู้ชนะ หลังจากคิดแผนอันปราดเปรื่องขึ้นมาได้สดๆ ร้อนๆ
และแผนที่ว่านี้ก็จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากคนบางคนด้วย!
ความคิดเห็น |
---|