พิมพ์พิสุทธิ์ก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารมากมายที่ภูรินท์ให้เลขาฯ ของเขาขนมาให้เธอ อ่านเพลินเสียจนรู้ตัวอีกทีก็เมื่อเลขาฯ ของเขาเข้ามาในห้องตอนสี่โมงเย็นนั่นละ
“โห! คุณพิมพ์พิสุทธิ์ยังไม่เลิกอ่านอีกเหรอครับ”
เสียงทักนั่นเรียกให้เธอเงยหน้าจากแฟ้มกระดาษหนาเป็นกองๆ ก่อนจะส่งยิ้มแหยๆ ให้เขา “ก็ยังอ่านไม่หมดเลยนี่คะ”
“เอกสารเยอะแยะขนาดนั้น อ่านวันเดียวก็ไม่หมดหรอกครับ”
พิมพ์พิสุทธิ์หันไปมองทางเจ้านายที่นั่งอ่านสรุปงานและเซ็นเอกสารสำคัญอยู่ที่โต๊ะทำงานขนาดใหญ่ ก่อนจะโอดครวญให้ชายหนุ่มได้ยิน
“วันนี้พริ้มคงไม่ได้ไปเดินดูไร่แน่ๆ เลยค่ะ” นึกแล้วก็เสียดายอยู่นิดหน่อย แต่ไม่เป็นไร ไว้วันหลังเธอค่อยไปเดินดูไร่ก็ได้
“คุณภูครับ เหลือเวลาอีกไม่มากนักก็จะเลิกงานแล้ว ถ้ายังไงผมขออนุญาตพาคุณพิมพ์พิสุทธิ์ไปเดินดูรอบๆ ไร่นะครับ อีกอย่างเธอจะได้พักสายตาด้วย เพราะอ่านเอกสารมาทั้งวันแล้ว”
ภูรินท์เหลือบตาขึ้นจากตัวอักษรตรงหน้า ก่อนจะหันไปมองพิมพ์พิสุทธิ์ที่เขาเห็นความเหนื่อยล้าจากแววตาเธอ เขาก้มมองนาฬิกาแบรนด์หรูที่ข้อมือ เห็นว่ายังพอมีเวลาจึงไม่ค้านอะไร ได้แต่กำชับเลขาฯ ตน
“งั้นก็ฝากนายด้วยแล้วกัน อ่อ พากลับมาก่อนห้าโมงครึ่งด้วยล่ะ ฉันจะเคลียร์งานต่ออีกสักพัก”
“ได้ครับคุณภู”
เท่านั้นรอยยิ้มกว้างอย่างดีใจราวกับเด็กได้ของเล่นก็ปรากฏขึ้นทั้งบนใบหน้าและดวงตากลมโตคู่สวยของพิมพ์พิสุทธิ์ และตามมาด้วยคำขอบคุณมากมายที่สรรหามาเยินยอเขา
เลขาฯ ของภูรินท์พาเธอเดินดูรอบๆ ออฟฟิศก่อน พร้อมกับอธิบายแผนผังว่าห้องไหนเป็นห้องไหน ซึ่งเธอรู้สึกขอบคุณเขาเป็นอย่างมากที่ช่วยเป็นไกด์ชั่วคราวให้
“คุณพิมพ์พิสุทธิ์เป็นแฟนกับคุณภูหรือเปล่าครับ” อัครเดชเอ่ยถามขณะที่ทั้งคู่นั่งรอเครื่องดื่มเย็นๆ ในคาเฟ่ของไร่ ใกล้ๆ กับออฟฟิศ
พิมพ์พิสุทธิ์เพิ่งได้รับแก้วเครื่องดื่มชาเขียวเฟรปเป้มาดื่มไปยังไม่ทันไรก็แทบจะพ่นน้ำออกมา เมื่อเลขาฯ หนุ่มเอ่ยถามคำถามนั้น
“แค็กๆๆ” หญิงสาวสำลักเครื่องดื่มอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะถามกลับเมื่ออาการดีขึ้นแล้ว “ทำไมคุณอัครเดชถึงคิดแบบนั้นคะ”
“ก็ไม่รู้สิครับ ผมไม่เคยเห็นคุณภูสนิทสนมกับผู้หญิงคนไหนถึงขนาดพามาทำงานด้วย”
“คุณเดชเข้าใจผิดไปใหญ่แล้วค่ะ” พิมพ์พิสุทธิ์กล่าวอย่างขำๆ “เป็นแค่เจ้านายกับลูกน้องปกติเนี่ยแหละค่ะ อาจจะพิเศษหน่อยก็ตรงเป็นเพื่อนกันด้วยละมั้งคะ”
[M1] “งั้นหรือครับ” อัครเดชทวนคำอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไรนัก “ผมเห็นคุณภูดูแลคุณพริ้มอย่างดี เลยคิดว่าเป็นแฟนกัน”
“งั้นก็เข้าใจใหม่เลยค่ะ” เธอบอกยิ้มๆ ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ “จริงสิ ฉันว่าจะบอกคุณอัครเดชอยู่พอดีเลย คือว่าไม่ต้องเรียกพริ้มเสียเต็มยศขนาดนั้นก็ได้ มันฟังดูแปลกๆ นะคะ”
“อ่อ หรือครับ” เลขาฯ หนุ่มหัวเราะเบาๆ
“เรียกพริ้มก็พอค่ะ อีกอย่างพริ้มต้องรบกวนคุณอัครเดชอีกหลายเรื่องเลย”
“งั้นคุณพริ้มก็เรียกผมว่าเดชเฉยๆ ก็พอครับ” ชายหนุ่มบอกเธอบ้าง
“ได้เลยค่ะ คุณเดชเฉยๆ” พิมพ์พิสุทธิ์เรียกอย่างที่เขาต้องการ ทำให้อัครเดชเห็นแววขี้เล่นแสนซนของผู้หญิงตรงหน้า
“เฉยๆ ไม่ต้องครับคุณพริ้ม”
“อ้าวหรือคะ ก็คุณบอกให้พริ้มเรียกว่าคุณเดชเฉยๆ พริ้มก็เลยเรียกแบบนั้น” พิมพ์พิสุทธิ์กล่าวอย่างขบขัน ทำให้บรรยากาศในการพูดคุยเป็นไปอย่างผ่อนคลาย
หลังจากอัครเดชก็ทำหน้าที่ไกด์ชั่วคราวพาพิมพ์พิสุทธิ์ทัวร์ไร่บริเวณใกล้ๆ เท่าที่ชายหนุ่มจะสามารถพาหญิงสาวไปได้ ตลอดเวลาที่เดินดูพื้นที่รอบๆ ไร่ นิสัยขี้เล่นของหญิงสาวทำให้ผู้ชายอย่างอัครเดชไม่รู้สึกเคร่งเครียดเกินไปนัก การเดินดูไร่ในรอบนี้สนุกไม่ต่างจากการมาเดินเที่ยวเล่นกับเพื่อนคนหนึ่งเลย เจ้าถิ่นที่พาตระเวนเที่ยวไร่จึงเพลิดเพลินไปกับเพื่อนใหม่ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็พลบค่ำและเลยเวลาที่นัดกับเจ้านายหนุ่มไว้แล้ว
ภูรินท์นั่งรอพิมพ์พิสุทธิ์อยู่ที่หน้าออฟฟิศราวครึ่งชั่วโมงได้ โทร. ไปหาเลขาฯ หนุ่มสองครั้ง แต่อีกฝ่ายก็ไม่รับสายสักที จนเขาเริ่มหงุดหงิดแล้ว แต่ก่อนที่ภูรินท์จะได้หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดหาเลขาฯ หนุ่มอีกเป็นครั้งที่สาม คนที่เขารออยู่ก็เดินเลี้ยวเข้ามาทางออฟฟิศพอดี
“ขอโทษทีนะครับคุณภูที่พาคุณพริ้มมาส่งช้าไปหน่อย” อัครเดชพูดอย่างรู้สึกผิด
ตอนแรกชายหนุ่มก็อยากจะตำหนิอยู่เหมือนกัน ถ้าหากว่าไม่มีเรื่องอื่นมาสะกิดใจเขาก่อน
“คุณภูอย่าตำหนิพี่เดชเลยค่ะ คือพริ้มเที่ยวดู เอ๊ย! ชมไร่คุณเพลินไปหน่อยน่ะค่ะ กว่าจะวนกลับมาที่ออฟฟิศก็เลยเลยเวลาที่คุณนัดไป” พิมพ์พิสุทธิ์ช่วยอธิบายอย่างร้อนรนเพราะเกรงว่าเพื่อนใหม่ของเธอจะถูกเจ้านายตำหนิ
พริ้ม...พี่เดช สองคนนี้ไปสนิทสนมกันตั้งแต่เมื่อไหร่ถึงเรียกชื่อเล่นกันแบบนั้น คิดแล้วคิ้วหนาเข้มก็ขมวดเล็กน้อย
“ช่างเถอะ” เขาบอกอย่างพยายามไม่ใส่ใจมากนัก แม้ในใจจะรู้สึกตงิดๆ อยู่ก็ตาม “รีบกลับบ้านกันเถอะ วันนี้ผมเหนื่อย อยากพักเร็วๆ”
ชายหนุ่มบอกเพียงแค่นั้น พิมพ์พิสุทธิ์ก็พอจะเดาได้แล้วว่าตอนนี้เขากำลังไม่สบอารมณ์ และอาจจะพาลฟาดงวงฟาดงามาโดนเธอเป็นแน่ ถ้าหากว่าเธอยังทำอะไรขัดหูขัดตาเขาอยู่ คิดได้ดังนั้นหญิงสาวจึงหันไปล่ำลาเพื่อนใหม่
“ถ้ายังไงพริ้มกลับก่อนแล้วกันนะคะพี่เดช ไว้เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ” หญิงสาวเอ่ยลาเลขาฯ หนุ่มของภูรินท์
“ครับ ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะครับ น้องพริ้ม” อัครเดชเอ่ยอย่างยินดีพร้อมกับยิ้มส่งหญิงสาวที่กำลังรีบกุลีกุจอเปิดประตูรถกระบะสี่ประตูของเจ้านายหนุ่มที่เดินดุ่มๆ ไปสตาร์ตรถราวกับกลัวว่าพายุฝนจะกระหน่ำใส่
“ค่ะ” เธอส่งเสียงตอบรับพร้อมกับรีบเหวี่ยงตัวขึ้นนั่งเบาะหน้าคู่คนขับ ที่จู่ๆ ก็รีบเดินดุ่มๆ ขึ้นรถ
ขึ้นรถมาเจอใบหน้านิ่วคิ้วขมวดเป็นปมของเขา พิมพ์พิสุทธิ์ก็อยากจะลงจากรถแล้ววานเพื่อนใหม่ไปส่งเธอที่บ้านแทน ไม่รู้ว่าภูรินท์ไปหงุดหงิดมาจากไหน...หรือว่าชายหนุ่มจะหงุดหงิดที่รอเธอนาน
คิดแล้วพิมพ์พิสุทธิ์ก็ได้แต่นั่งตัวลีบ ไม่กล้าแม้กระทั่งหายใจแรง เพราะกลัวว่าถ้าเกิดเธอพูดอะไรไม่เข้าหูเขา แล้วชายหนุ่มจะปล่อยเธอทิ้งไว้กลางทางให้เดินเท้ากลับบ้านเอาเอง แบบนั้นเธอว่าไม่เวิร์กแน่ๆ
ความคิดเห็น |
---|