ภูรินท์หงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูกที่พิมพ์พิสุทธิ์ปล่อยให้เขารอนานเกือบครึ่งชั่วโมง แถมเขาโทร. ไปก็ติดต่อไม่ได้ แม้ว่าฝ่ายที่เขาติดต่อไปจะเป็นเลขาฯ ของเขาเองก็เถอะ ทั้งๆ ที่เขาย้ำแล้วว่าให้กลับมาก่อนห้าโมงครึ่ง แต่นี่อะไร มาเลตไม่พอ ยังไม่เอ่ยขอโทษเขาสักคำ เอาแต่แก้ตัวแทนคนอื่นอีก
เมื่อกลับถึงบ้าน แทนที่เธอจะเอ่ยขอโทษเขา แต่กลับนิ่งเงียบราวกับไม่รู้ว่าตัวเองทำความผิดอะไรไว้...จนเขาอดไม่ไหวเลยต้องพูดออกไป
“ผมโทร. ไปหานายเดชตั้งหลายครั้งทำไมถึงไม่รับสาย มัวทำอะไรกันอยู่” ภูรินท์ถามเสียงเขียวขณะที่เธอกินข้าวมาได้สักพัก
“คุณโทร. มาหรือคะ ไม่เห็นได้ยินเสียงริงโทนโทรศัพท์ดังเลยค่ะ สงสัยพี่เดชเขาปิดเสียงไว้มั้งคะก็เลยไม่ได้ยิน” เธอตอบก่อนจะก้มลงจัดการกับอาหารตรงหน้าต่ออย่างเอร็ดอร่อย เพราะวันนี้ใช้พลังงานไปเยอะพอสมควร
“ไม่ใช่มัวแต่เที่ยวเล่นเพลินกันจนไม่ได้รับสายผมหรอกนะ โทรศัพท์เครื่องเก่าของคุณไปไหนซะล่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยถึงสมาร์ตโฟนเครื่องเล็กของหญิงสาวที่เก็บได้ในวันที่เกิดอุบัติเหตุกับเธอ[M1]
“อยู่บนห้องค่ะ พอดีว่าแบตมันหมดก็เลยเปิดไม่ติด”
“หน้าจอร้าวซะขนาดนั้น ไม่รู้ว่ายังใช้งานได้ปกติหรือเปล่า งั้นเดี๋ยววันหลังผมจะพาไปซื้อเครื่องใหม่แล้วกัน ไปไหนมาไหนมีมือถือติดตัวไว้จะได้ติดต่อได้สะดวกๆ” ภูรินท์ตัดสินใจให้เสร็จสรรพ พิมพ์พิสุทธิ์ก็ได้แต่พยักหน้ารับเบาๆ
“แล้วนี่...คุณไปสนิทกับนายเดชเร็วเกินไปหรือเปล่า อยู่ๆ ก็ไปเรียกเขาพี่เดชแบบนั้นน่ะ”
“อ๋อ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่เดชเขาอนุญาตให้พริ้มเรียกเขาแบบนั้นได้ พี่เขาบอกว่าไม่อยากให้เรียกเต็มยศ มันดูทางการเกินไป”
“แล้วก็ยอมเรียกตามที่หมอนั่นบอกเนี่ยนะ” ภูรินท์อดที่จะตงิดในหัวใจไม่ได้ “แล้วทำไมทีกับผมที่อายุเท่ากับนายเดช คุณถึงไม่เรียกพี่บ้าง เอาแต่เรียกคุณ คุณอยู่นั่น”
“ก็คุณไม่ได้บอกให้เรียกแบบนั้นนี่คะ”
“ต้องรอให้ผมบอกหรือไงถึงจะเรียก” ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างหงุดหงิดในใจนิดๆ
พิมพ์พิสุทธิ์พยักหน้าขึ้นลงอย่างเห็นด้วยกับคำถามนั้น
“หึ! งั้นต่อไปก็เรียกผมว่าพี่ภูแล้วกัน เพราะผมอายุมากกว่าคุณ”
“ได้เลยค่ะคุณภู เอ๊ย! พี่ภู” หญิงสาวยิ้มแหยๆ ที่หลุดเรียกเขาว่าคุณเหมือนเดิม
“แล้วคุณให้หมอนั่นเรียกคุณว่ายังไง”
“ก็ให้เรียกว่าพริ้มเฉยๆ ค่ะ เพราะถ้าเอาแต่เรียกพิมพ์พิสุทธิ์ๆ มันก็คงจะดูแปลกพิลึก”
รู้จักกันยังไม่ทันพ้นวันก็ให้เรียกชื่อเล่นเสียแล้ว หึ แล้วเขาล่ะ รู้จักกับเธอมาก่อนหมอนั่นด้วยซ้ำ เรื่องนี้เขาไม่ยอมหรอกนะ บอกเลย!
“งั้นต่อไปผมก็จะเรียกคุณว่าพริ้มเหมือนกัน”
นั่นไม่ใช่ประโยคขออนุญาต แต่เป็นประโยคคำสั่งจากภูรินท์ แล้วพิมพ์พิสุทธิ์จะทำอะไรได้ นอกจากทำตามที่เขาต้องการ
เช้าวันต่อมาพิมพ์พิสุทธิ์ไปทำงานพร้อมกับภูรินท์ ยังไม่ทันจะขึ้นไปยังตัวตึกก็เจอเข้ากับเพื่อนใหม่ที่ลานจอดรถพอดี
“สวัสดีครับคุณภู” เลขาฯ หนุ่มเอ่ยทักทายเจ้านาย
เจ้านายเพียงพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะหันไปหาเพื่อนใหม่ “สวัสดีครับน้องพริ้ม”
“สวัสดีค่ะพี่เดช มาแต่เช้าเชียวนะคะ”
“แต่ก็ยังช้ากว่าคุณภูอยู่ดี” เลขาฯ หนุ่มกระเซ้าเจ้านาย
“พี่เดชทานมื้อเช้ามาหรือยังคะเนี่ย”
“ยังเลยครับ พี่กะมาอาศัยขนมปังปิ้งกับกาแฟดำที่ออฟฟิศน่ะ”
“โห! ทำไมไม่หาอะไรทานรองท้องที่หนักกว่านี้หน่อยล่ะคะ ทำงานหนักๆ ทานแค่นั้นไม่พอหรอกนะคะ”
เลขาฯ หนุ่มกับพนักงานสาวคนใหม่คุยกันจนลืมว่าเจ้านายก็ยังยืนอยู่ด้วย ภูรินท์ต้องกระแอมขึ้นเสียงดัง
“อะแฮ่ม! ถ้าทักทายกันเสร็จแล้วก็เดินตามเข้ามาแล้วกันนะ ตรงนี้แดดแรง ผมร้อน!” เอ่ยจบก็เดินดุ่มๆ เข้าตึกออฟฟิศไป
“เอ่อ สงสัยคุณภูเขาจะร้อนน่ะค่ะ ก็เลยรีบเข้าไปตากแอร์ในออฟฟิศ” พิมพ์พิสุทธิ์กล่าวอย่างตลกเพราะไม่อยากให้บรรยากาศอึมครึมแต่เช้า
“ถ้าอย่างนั้นพี่ว่าเรารีบเข้าตึกเถอะครับ แดดเริ่มแรงแล้ว” อัครเดชกล่าวชวนพิมพ์พิสุทธิ์เดินเข้าตึกตามเจ้านายหนุ่มไป
ช่วงเช้าพิมพ์พิสุทธิ์อ่านและศึกษารายละเอียดของเอกสารต่างๆ ที่ภูรินท์ยกมาให้จนเกือบหมดแล้ว หญิงสาวรู้สึกเมื่อยและปวดกระบอกตามาก จึงลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย และขณะที่เธอกำลังจะไปเข้าห้องน้ำ คนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ก็เอ่ยขึ้น
“นั่นจะไปไหน” ร่างสูงเงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสารเพื่อถามหญิงสาว
“ไปห้องน้ำค่ะ” เมื่อยและปวดตาสุดๆ แต่เธอไม่พูดออกไป เขาไม่เหนื่อยหรือเมื่อยหัวตาบ้างหรือไร ทั้งๆ ที่อ่านเอกสารตลอดเวลาแบบนั้น
“รีบไปรีบกลับล่ะ แล้วก็อย่าเอาแต่อู้...เอกสารน่ะอ่านถึงไหนแล้ว”
“ค่า รู้แล้วค่ะ” เธอลากเสียงยาวตอบอย่างล้อเลียน ก่อนจะออกไปเข้าห้องน้ำเพื่อพักสายตาและคลายความเมื่อยขบ
...
ตลอดทางเดินที่พิมพ์พิสุทธิ์กลับจากห้องน้ำก็บังเอิญไปได้ยินคนกลุ่มหนึ่งกำลังพูดคุยกันอย่างออกรส จริงๆ เธอจะไม่สนใจเลยถ้าหากว่าในบทสนทนานั้นไม่มีชื่อของเธออยู่ด้วย
“เมื่อเช้าฉันเห็นแวบๆ ลงรถมาด้วยกัน กลับก็กลับพร้อมกัน นั่งทำงานในห้องด้วยกันซะขนาดนั้น พวกแกคิดว่าจะเหลือเหรอ”
“แหมๆๆ เรื่องแบบนี้ก็พูดยาก อาจจะเป็นแค่เพื่อนสนิทกันก็ได้ หล่อนก็เดาไป”
“เพื่อนสนิทท้องติดกันละสิไม่ว่า เพื่อนเพิ่นที่ไหนล่ะยะ เธอน่ะตกข่าวนะ” ผู้หญิงคนหนึ่งขัดขึ้น “เขาอยู่บ้านเดียวกันจ้า คุณพิมพ์พิสุทธิ์แสนสวยน่ะชีอยู่บ้านคุณภูเหอะ! ป่านนี้แล้ว ฉันว่าคงไปถึงไหนต่อไหนแล้วมั้ง ร้อยทั้งร้อย”
“หา! จริงอ้ะ”
“จริงสิ คนสวนที่ไปทำงานบ้านให้คุณภูเขาลือกันให้แซ่ดว่าเนี่ยคือว่าที่คุณผู้หญิง พวกแกอย่าได้เผลอไปเหยียบเท้า เหยียบหางเธอเข้าล่ะ เดี๋ยวเธอพานเกลียดขี้หน้าแล้วจะซวยโดนเด้งไล่ออกโดยไม่รู้ตัว”
“อืมๆ แต่ว่าดูๆ ไปแล้วก็ท่าจะจริงอยู่นะ คุณภูเคยควงสาวนานที่ไหน ยิ่งพามา บ้านแบบนี้ยิ่งแล้วใหญ่”
“แล้วข่าวกรองที่ฉันได้ยินมายังมีอีกว่าคุณหญิงชไมพรรับรู้ทุกอย่างจ้า”
“แปลว่าคนนี้ตัวจริง ร้อยเปอร์เซ็นต์”
“ก็คงต้องดูกันต่อไปยาวๆ แต่ตอนนี้พวกเราก็เก็บรายละเอียดกันไปเรื่อยๆ แล้วกัน”
พิมพ์พิสุทธิ์ไม่คาดคิดมาก่อนว่าคนอื่นจะเดาเรื่องราวของเธอไปต่างๆ นานาได้ไกลขนาดนั้น เธออยากจะออกไปแย้งและอธิบายให้พวกเขาเข้าใจ แต่ก็นึกขึ้นได้ว่า...การห้ามความคิดคนอื่นนั้นยาก หญิงสาวจึงเลือกที่จะถอยห่างและรีบเดินไปให้พ้นจากตรงนี้ หวังว่าเรื่องข่าวลือที่เขาพูดกันไปนั้นจะจบสิ้น แต่พิมพ์พิสุทธิ์ก็คิดผิด เพราะนอกจากคำนินทาและข่าวเสียๆ หายๆ จะไม่จบง่ายๆ แล้ว ยังกระจายเร็วยิ่งกว่าไฟลามทุ่งเสียอีก
ตลอดช่วงบ่ายของวัน พิมพ์พิสุทธิ์มีอาการหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างเห็นได้ชัด จนภูรินท์ที่ลอบมองอยู่ เขาจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งมานานหลายชั่วโมง แล้วเดินไปยังโต๊ะที่หญิงสาวนั่งอยู่
“เป็นอะไรหรือเปล่า พริ้มดูซึมๆ ไปนะ”
“คะ?”
“ไม่สบายหรือเปล่า ทำไมทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเป็นชินจังแบบนั้น” ชายหนุ่มถามพร้อมกับอังหลังมือที่หน้าผากมนสวยของหญิงสาว
ร่างบางสะดุ้งตกใจกับการกระทำของชายหนุ่มที่ดูสนิทสนมชิดใกล้ ก่อนจะนั่งตัวแข็งทื่อพร้อมกับรีบเอ่ยปัด “เอ่อ สบายดีค่ะ พริ้มสบายดี”
“ตัวก็ไม่ร้อนนี่ หรือจะปวดหัวที่อ่านเอกสารมากๆ”
หญิงสาวก้มหน้าลงเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ ให้ชายหนุ่มเบาใจ
“งั้นก็พอเถอะ เดี๋ยวค่อยมาอ่านต่อวันหลังก็ได้ พริ้มเก็บของเถอะ”
“คุณภู เอ๊ย! พี่ภูจะไปไหนหรือคะ” พิมพ์พิสุทธิ์เอ่ยถาม
“เหลือเวลาอีกไม่มากก็จะเลิกงานแล้ว วันนี้วันศุกร์ เจ้านายอย่างผมขอเลิกงานเร็วกว่าปกติหน่อยแล้วกัน ไหนๆ ก็เคลียร์งานเสร็จแล้ว” ภูรินท์ตอบ ริมฝีปากบางได้รูปของอีกคนก็ยิ้มอย่างมีความสุข
ทันทีที่พิมพ์พิสุทธิ์เก็บกระเป๋าสะพายใบเล็กเสร็จ มือหนาก็คว้ามือเรียวบางมากุมไว้ ก่อนจะพาออกเดินไปจากห้องทำงาน โดยไม่ลืมฝากฝังงานที่เหลือไว้ให้เลขาฯ หนุ่ม
“พามาที่ห้างทำไมคะ?” พิมพ์พิสุทธิ์เอ่ยถามเมื่อเขาจอดรถเสร็จเรียบร้อย
“ก็มาเดินห้าง ซื้อของน่ะสิ ถามแปลก” ภูรินท์ตอบเหมือนแขวะเธอ
“พี่ภูจะซื้อของหรือคะ” เท่านั้นหญิงสาวก็เข้าใจแล้วว่าชายหนุ่มมาซื้อของ
พิมพ์พิสุทธิ์เดินตามชายหนุ่มไปก็พบว่าเขาเดินเข้าร้านโทรศัพท์มือถือแบรนด์ดัง ไม่นานก็แจ้งเจตจำนงว่าเขาต้องการสินค้าตัวไหน บอกเสร็จก็เดินไปลองสินค้าใหม่ที่มีไว้ให้ทดลอง สักพักพนักงานก็เดินมารับบัตรเครดิตจากชายหนุ่ม และกลับไปที่เคาน์เตอร์เซอร์วิซและส่วนของการชำระบิล
ครู่ใหญ่ต่อมาพนักงานก็เดินยิ้มแย้มกลับมาพร้อมกับถุงกระดาษแข็งหนึ่งใบ ซึ่งถ้าเดาไม่ผิดก็คงจะเป็นสินค้าที่เพิ่งซื้อมาเมื่อสักครู่นี้
“ป้ะ เสร็จแล้ว” ภูรินท์บอกพิมพ์พิสุทธิ์ที่ยืนรออยู่ข้างๆ เขา
“ไปไหนต่อคะ”
“ไปหาอะไรกินน่ะสิ หิวจนจะเขมือบหัวคุณได้อยู่แล้วเนี่ย” ชายหนุ่มบอกก่อนจะเอื้อมมือมาคว้ามือเธอไปกุมไว้อย่างหลวมๆ ก่อนจะพาเดินปลิวออกไปจากร้านเพื่อตรงไปยังร้านอาหาร
“อยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ย” ภูรินท์เอ่ยถามคนข้างกายที่จูงมือพาเดินหาร้านอาหาร
เธอคิดเมนูที่อยากกิน ก่อนจะมองไปรอบร้านอาหารที่อยู่ในห้าง แล้วก็ตัดสินใจได้ “อยากกินชาบูค่ะ”
“ชาบูเหรอ ก็ดีเหมือนกันแฮะ ไม่ได้กินนานแล้ว”
“งั้นเข้าร้านนี้เลยนะคะ” เธอบอกเชิงถามขณะชี้ไปที่ร้านชาบูสุกี้ร้านหนึ่งซึ่งมีลูกค้า แน่น เนื่องจากเป็นร้านขึ้นชื่อและรสชาติดี
“โอเค ได้” ภูรินท์ที่ไม่เรื่องมากกับอาหารการกินเท่าไรนักก็ตอบตกลงทันที
หลังจากท้องอิ่มแล้ว ภูรินท์ก็ถือโอกาสยื่นถุงกระดาษจากร้านขายโทรศัพท์แบรนด์ดังให้หญิงสาวตรงหน้า
“อะไรคะ” เธอเอ่ยถามเขาอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก
“โทรศัพท์เครื่องใหม่” ภูรินท์ตอบ “ผมซื้อให้เพราะเห็นว่าเครื่องเก่าคุณน่าจะพังไปแล้ว อ้อ ผมให้เขาใส่ซิมเบอร์เดิมของคุณให้แล้วนะ”
พิมพ์พิสุทธิ์เลิกคิ้วมองอย่างสงสัยที่เขาเอาซิมเบอร์เดิมเธอมาใส่ในเครื่องให้
“ไม่ต้องสงสัยหรอก ผมไม่ได้แอบเข้าห้องคุณแน่นอน สบายใจได้ ผมวานเด็กในบ้านไปหยิบมาเองแหละ มันอยู่บนหัวเตียงคุณนี่” ภูรินท์อธิบายให้หญิงสาวเข้าใจ ก่อนจะพูดต่อ
“ทีนี้คุณก็ใช้เบอร์เดิมของคุณไว้ติดต่อสื่อสารได้ อีกทั้งน่าจะมีเบอร์ของคนในครอบครัวคุณหรือแฟนคุณอยู่ในนั้นด้วยนะ คุณจะได้ติดต่อพวกเขาได้”
หญิงสาวคิดตามเขา ครอบครัวของเธอ แฟน...นั่นสินะ เธอลืมไปเสียสนิทเลย
“ขอโทษด้วยนะที่ผมไม่แจ้งไปยังครอบครัวของคุณว่าคุณถูกรถชนจนความจำเสื่อม ผมกลัวว่าเรื่องจะบานปลาย อีกทั้งช่วงแรกๆ ก็รอให้คุณฟื้นขึ้นมาด้วย พอหลังจากที่คุณฟื้นแล้วคุณเกิดความจำเสื่อมอีก...ผมก็เลยไม่ได้แจ้งใคร ทั้งครอบครัวผมและครอบครัวคุณจึงไม่มีใครรู้เรื่องอุบัติเหตุครั้งนี้” ภูรินท์อธิบายให้พิมพ์พิสุทธิ์ฟังอย่างช้าๆ
“ตอนนี้อาการโดยรวมทางด้านร่างกายของคุณก็ดีขึ้นแล้ว ผมว่าคงถึงเวลาแล้วละที่คุณต้องติดต่อกลับไปทางบ้าน อย่างน้อยก็เพื่อไม่ให้ทางบ้านคุณเป็นห่วงมากจนเกินไปที่จู่ๆ คุณก็เกิดหายเงียบไปเลยแบบนี้”
พิมพ์พิสุทธิ์คิดตามอย่างที่เขาพยายามจะให้เธอเข้าใจ ซึ่งเธอก็เข้าใจดีจึงพยักหน้าเห็นด้วย “ค่ะ พริ้มเข้าใจ คงถึงเวลาสักทีที่พริ้มจะติดต่อครอบครัวกลับไป”
ความคิดเห็น |
---|