เย็นวันนั้นพิมพ์พิสุทธิ์ครุ่นคิดเรื่องที่พูดคุยกับภูรินท์ตลอดขณะเดินทางกลับบ้านไร่ หลังจากอาบน้ำสระผมเสร็จ หญิงสาวก็โพกผ้าขนหนูม้วนเก็บผมยาวที่เพิ่งสระเสร็จหมาดๆ ไว้เป็นกระจุกบนศีรษะ มือเรียวบางหยิบมือถือรุ่นใหม่ที่ดีไซน์หรูหราทันสมัย อีกทั้งฟังก์ชันการทำงานก็แสนจะครบครัน และเมื่อช่วงเย็นภูรินท์ได้สอนวิธีใช้งานให้เธอเรียบร้อยแล้ว
นิ้วเรียวเลื่อนหน้าจอแบบทัชสกรีนไปเรื่อยๆ เพื่อค้นหาสมุดโทรศัพท์...ไม่นานก็พบ แต่ก็น่าแปลกใจมากที่มีรายชื่อบุคคลที่เธอติดต่อสื่อสารอยู่ด้วยไม่ถึงยี่สิบคนด้วยซ้ำ
นี่เธอไม่มีเพื่อนฝูงหรืออย่างไร ทำไมรายชื่อที่บันทึกไว้ถึงน้อยขนาดนี้ เลื่อนไปเรื่อยๆ ก็เจอหมายเลขที่บันทึกชื่อไว้ว่า ‘Mom’
“แม่?” น่าแปลกที่เธอเลื่อนดูรายชื่อไปกลับสองรอบแล้วแต่ไม่พบเบอร์โทร. ของผู้เป็น ‘พ่อ’ เลย
ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุจนถึงตอนนี้ก็เกือบๆ เดือนหนึ่งแล้วที่เธอไม่ได้ติดต่อกลับไปหาครอบครัวเลย ไม่รู้ว่าป่านนี้พวกเขาจะเป็นห่วงเธอมากมายแค่ไหน...เธอนี่ช่างเป็นลูกที่แย่เสียจริง
นิ้วเรียวกดโทร. ออกไปยังหมายเลขของ ‘Mom’ ทันทีที่ใจนึก ถือสายรอไม่ถึงสิบวินาทีด้วยซ้ำ เสียงตอบกลับจากปลายสายก็ทำให้ร่างบางรู้สึกอ่อนไหวอย่างประหลาด กระบอกตาร้อนผ่าว น้ำตารื้นเต็มหัวตา
“ฮัลโหลๆ พริ้ม! พริ้ม ใช่มั้ยลูก!” ปลายสายย้ำถามเธออย่างดีใจ
หญิงสาวตั้งสติ กลั้นเสียงสะอื้น หายใจเข้าออกลึกๆ ยาวๆ ก่อนจะตอบรับ “ค่ะแม่ พริ้มเอง” ท้ายเสียงสั่นแกว่งจนเธอรู้สึกได้
หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างขมขื่นที่เธอต้องแสดงละครแม้แต่กับบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่
“หายไปไหนมาลูก! แม่เป็นห่วงมากแค่ไหนรู้มั้ย หือ? แม่โทร. ไปทีไรก็ติดต่อไม่ได้สักที แม่นึกว่าลูกเป็นอะไรไปแล้วเสียอีก เพื่อนสนิทของลูกแม่ก็ไม่ค่อยรู้จัก คนที่แม่พอรู้จัก แม่โทร. ไป เขาก็บอกว่าไม่รู้เหมือนกันว่าพริ้มหายไปไหน บอกแค่ว่าแล้วจะช่วยแม่ตามหาพริ้มอีกแรง จนแม่ต้องไปแจ้งความคนหายไว้นี่”
แม้ว่าเธอจะจำไม่ได้แม้แต่ชื่อของแม่ จำไม่ได้แม้แต่ตัวเธอเอง แต่ที่เธอรู้สึกและรับรู้ได้คือความอบอุ่นอ่อนโยนของท่านยามเรียกขานชื่อเธอออกมา
“เอ่อ พอดีโทรศัพท์พริ้มพังน่ะค่ะ ยังไม่มีเวลาไปซื้อใหม่เลย ก็เลยติดต่อใครไม่ได้ วันนี้พริ้มเพิ่งซื้อเครื่องใหม่ก็เลยรีบโทร. หาแม่ทันทีเลยช่วงนั้นพริ้มวุ่นๆ แล้วก็เครียดเรื่องงานด้วยน่ะค่ะแม่ แถมโทรศัพท์ก็มารวนๆ จะพังมิพังอีกต่างหาก พริ้มเลยไม่ได้ติดต่อกลับหาแม่ พริ้มขอโทษนะคะ”
“โถลูก ช่วงนี้งานที่บริษัทหนักมากเลยเหรอลูก”
“ก็...ค่ะแม่” หญิงสาวจำต้องอ้างเหตุผลเพื่อให้มารดาคลายสงสัยถึงสาเหตุที่เธอเครียดและไม่ได้ติดต่อท่านกลับไป “เอ่อ อีกทั้งพริ้มก็เร่งเคลียร์งานด้วย มันเลยยุ่งๆ วุ่นๆ ไปหมดเลยค่ะ กว่าอะไรหลายๆ อย่างจะเข้าที่ รู้ตัวอีกทีเวลาก็ผ่านไปเกือบเดือนเลยค่ะ”
“
“เฮ้อ ค่อยยังชั่วหน่อย ยังไงก็อย่าทำแบบนี้อีกนะลูก ถึงโทรศัพท์พังยังไงก็น่าจะไปซื้อเครื่องละไม่กี่ร้อยมาใช้โทร. เข้าโทร. ออกก่อน ใช้โทร. มาหาแม่บ้างก็ยังดี แม่จะได้รู้ว่าเราเป็นยังไง สบายดีมั้ย ไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วยหรือเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงขึ้นกับพริ้มไปจนแม่ติดต่อไม่ได้แบบนี้” มารดาเธอถอนหายใจยาวเสียงดังอย่างหนักใจ
“พริ้มขอโทษนะคะแม่ที่ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี ทำให้แม่ต้องเป็นห่วง กังวลใจ”
“จ้ะๆ ไม่เป็นไรหรอก แต่คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีก แม่แค่เป็นห่วง” มารดาของเธอตอบรับ
“อ้อ! แม่คะ พริ้มลืมบอกไปเลยว่าตอนนี้พริ้มเปลี่ยนที่ทำงานแล้วนะคะ พริ้มมาทำงานที่เชียงใหม่น่ะค่ะ”
“หืม เปลี่ยนงานหรือลูก ไปทำที่เชียงใหม่เลยเหรอ แล้วทำไมถึงไปไกลจังเลยล่ะลูก”
“พอดีว่า เงินเดือนและสวัสดิการดีกว่าที่บริษัทเดิมน่ะค่ะ อีกทั้งพริ้มเองก็อยากเปลี่ยนบรรยากาศด้วย ต่างจังหวัดบรรยากาศดีกว่าในกรุงเทพฯ เชียวค่ะ พริ้มมาอยู่แค่ไม่นาน ก็ยังชอบมาก อยากให้แม่มาอยู่ด้วยกันเลยค่ะ”
“โอย ไม่เอาหรอก ถ้าแม่ไป แล้วบ้านเราทางนี้ล่ะลูก” มารดาเธอบอกเสียงกลั้วหัวเราะที่เธอชวนไปอยู่ด้วยกันที่เชียงใหม่
“แม่คะ คือแล้วพ่อล่ะคะไปไหน” เธอเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัย แต่ปลายสายกลับเงียบและไม่ยอมตอบกลับมา จนเธอต้องถามซ้ำ “แม่คะ ได้ยินที่พริ้มถามหรือเปล่า”
“พริ้มล้อแม่เล่นหรือเปล่าลูก พ่อเราเขาเสียไปตั้งหลายปีแล้วนะ ตั้งแต่ที่พริ้มยังไม่ขึ้นมหา’ลัยด้วยซ้ำ”
คำตอบของผู้เป็นแม่ทำเอาพิมพ์พิสุทธิ์ตัวแข็งทื่อ “ก็...ก็พริ้มคิดถึงท่านมากเกินไปนี่คะก็เลยแกล้งถามถึง” เธอรีบแก้ตัวและแกล้งหัวเราะกลบเกลื่อนความผิดปกติ
“วันนี้แม่ว่าพริ้มแปลกๆ นะ เป็นอะไรหรือเปล่าลูก” มารดาเอ่ยอย่างแปลกใจ
หญิงสาวหัวเราะเบาๆ กลบเกลื่อน ก่อนจะเย้าผู้เป็นแม่ “แปลกยังไงคะแม่ ยังไงไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พริ้มก็ยังคงเป็นพริ้มคนเดิม เป็นลูกสาวคนเดิมของแม่อยู่เหมือนเดิม” เธอพูดแฝงความนัย
“จ้า ยังไงพริ้มก็ยังเป็นลูกสาวแสนสวยของแม่จนๆ คนนี้เหมือนเดิมนั่นแหละ” แม่ของเธอยังคงไม่เข้าใจความหมายที่เธอต้องการจะสื่อออกไปอยู่ดี
“ถึงแม่จะจนยังไง พริ้มก็ยังรักแม่มากที่สุดอยู่ดี อย่าพูดแบบนี้อีกนะคะ” เธอบอกเสียงเด็ดขาด และไม่รู้สึกอายเลยแม้แต่น้อยที่เกิดมามีแม่ไม่รวยเหมือนคนอื่น
“จ้า ตอนนี้ก็ยังรักแม่มาก ประเดี๋ยวถ้าแต่งงานมีครอบครัวไป แม่คงตกกระป๋องไปตามระเบียบ” แม่เย้ากลับพลางหัวเราะคลอไปด้วย
“โถ่ แม่ก็ ยังไม่มีสักหน่อย ยังไม่ถึงตอนนั้นง่ายๆ หรอกค่ะ อีกอย่างยังไงแม่ก็ไม่มีวันตกกระป๋องหรอกค่ะสำหรับพริ้ม แม่เป็นที่หนึ่งอยู่แล้ว เชื่อขนมกินได้เลย!” เธอเย้ากลับอย่างอารมณ์ดี
“จ้า เอาไว้ให้ตอนนั้นมาถึงแล้วแม่จะคอยดูแล้วกันนะ”
“คอยดูได้เลยค่ะ”
“แล้วนี่พริ้มย้ายไปทำงานไปไกลซะขนาดนั้นก็ดูแลตัวเองนะลูก ถึงแม่จะไว้ใจพริ้มให้ดูแลตัวเอง แต่ยังไงก็อย่าลืมระวังตัวดีๆ นะลูก จะไปไหนมาไหนก็ระวัง บ้านเมืองเราเดี๋ยวนี้น่ากลัว ไม่เหมือนสมัยแต่ก่อน”
“ค่ะแม่ พริ้มจะดูแลตัวเองให้ดีไม่ให้แม่เป็นห่วง พริ้มสัญญา แม่เองก็ดูแลตัวเองดีๆ เหมือนกันนะคะ” นี่เธอคุยโทรศัพท์กับผู้เป็นแม่อีกพักใหญ่ ก่อนจะเห็นว่าเริ่มดึกแล้ว จึงบอกให้ท่านไปพักผ่อน เพราะคนสูงวัยต้องพักผ่อนให้เพียงพอ ร่างกายจะได้แข็งแรง “นี่ก็ดึกมากแล้ว แม่ไปพักผ่อนเถอะค่ะ เอาไว้วันหลังเดี๋ยวพริ้มจะโทร. หาใหม่นะคะ”
หลังวางสายจากผู้เป็นแม่แล้ว พิมพ์พิสุทธิ์ก็ใช้ผ้าขนหนูซับน้ำจากผมที่เริ่มหมาดแล้ว ก่อนจะเดินออกไปยังระเบียงห้อง มองความมืดมิดที่โอบล้อมรอบตัว เเหงนมองท้องฟ้าแปลกที่ ถึงแม้ความทรงจำของเธอจะเลือนหาย แต่การพูดคุยกับคนรู้จักหรือคนที่สนิทสนมก็ย่อมให้ความรู้สึกผ่อนคลายและคุ้นเคยอยู่ดี
ท้องฟ้าวันนี้ดูงดงาม ดวงดาวมากมายทอประกายเปล่งแสงเจิดจรัส แน่นอนว่าดวงดาวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดย่อมต้องสะดุดตา แต่ถ้าหากดาวดวงใหญ่นั้นขาดแสงสะท้อนจากดาวดวงเล็กนับพันล้านดวงก็อาจจะไม่สวยเท่านี้ก็ได้
เสียงเรียกเข้าจากมือถือดังขึ้น พิมพ์พิสุทธิ์เลยละสายตาจากทะเลดวงดาวเพื่อหยิบโทรศัพท์มือที่ส่งเสียงดังอยู่
ใครโทร. มา หญิงสาวลังเลชั่วครู่ก่อนจะรับสาย “สวัสดีค่ะ”
“เป็นยังไงบ้าง โทร. ไปหาครอบครัวคุณบ้างหรือยัง”
“คุณ?” หญิงสาวเอ่ยถามอย่างสงสัยที่อีกฝ่ายดูเหมือนจะรู้ว่าเธอเป็นใคร
“ผมภูรินท์ไง นี่จำไม่ได้หรือไง เอ๊ะ หรือว่าผมไม่ได้เมมเบอร์ผมใส่เครื่องคุณไว้” เสียงชายหนุ่มเอ่ยถามทั้งตัวเธอและตัวเขาเอง
“ค่ะ คุณไม่ได้เมม มันก็เลยไม่ได้ขึ้นชื่อคนที่โทร. มา”
“เหรอ อืม งั้นก็เมมใส่เครื่องไว้ ต่อไปนี้เวลาคุณไปไหนมาไหน หรือไปเที่ยวเล่นเพลิน ผมจะได้ตามตัวง่ายๆ หน่อย อ้อ แล้วก็อย่ารับสายผมช้านะ ถ้าผมโทร. ไปหา คุณก็รีบๆ รับสายผมด้วยล่ะ ผมขี้เกียจคอยนานๆ” ภูรินท์กำชับ
หลังจากได้ยินคำสั่งแปลกๆ นั้น พิมพ์พิสุทธิ์ก็อยากจะเอ่ยถามว่าทำไมต้องรีบรับสายเขาขนาดนั้นด้วย แต่ก็ไม่กวนโมโหหรือชวนเขาทะเลาะรอบดึกนัก เธอชักจะง่วงแล้วด้วย
“ค่ะ ได้ค่ะ”
“โอเค ดีมาก แล้วนี่พริ้มได้โทร. ไปหาครอบครัวแล้วเป็นยังไงบ้าง”
ภูรินท์ได้รับคำตอบจากหญิงสาวก็รู้สึกว่าเรื่องราวชักจะวุ่นวายมากขึ้นๆ แม้ว่าตอนนี้เธอจะรอดตัวจากการถูกมารดาจับได้ว่าโกหกเรื่องอุบัติเหตุและความทรงจำที่หายไป แต่ยังไงความจริงก็คือความจริงอยู่วันยังค่ำ ตอนนี้ทั้งเธอและเขาก็ไม่ต่างอะไรกับการลงเรือลำเดียวกันแล้ว ก็ต้องช่วยกันพาย ช่วยกันแจวไปให้ถึงฝั่ง
“พริ้มเริ่มง่วงแล้วอะคะ คุณภูมีธุระอะไรจะคุยอีกหรือเปล่าคะ”
“พี่ภู” ชายหนุ่มย้ำ “บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกพี่ภู พี่ภู เรียกบ่อยๆ ซะจะได้ติดปาก ทีชื่อคนอื่นยังเรียกได้เลย”
“ค่าๆ พี่ภูมีอะไรอีกหรือเปล่าคะ พริ้มง่วงมากแล้ว ถ้ามีเรื่องอื่นไว้คุยกันต่อพรุ่งนี้นะคะ”
“ซะงั้นนะยายบ๊อง ถ้าง่วงมากนักก็รีบไปนอนซะไปยายเด็กเอ๋อ อ้อ! แต่อย่าลืมเมมเบอร์พี่เก็บไว้ในเครื่องล่ะ นอนหลับฝันดีนะยายบ๊อง”
“ไม่ได้เอ๋อสักหน่อย แล้วก็ไม่ได้บ๊องด้วย” เธอหน้ามุ่ยเพราะคำเรียกขานที่เขาสรรหามาเรียก
“ไม่ได้เอ๋อน้อยน่ะสิ เอาเถอะ ง่วงไม่ใช่เหรอ งั้นก็รีบๆ เข้านอนซะ ฝันดี”
“ค่า แค่นี้นะคะ ฝันดีค่ะ” พิมพ์พิสุทธิ์เอ่ยลา ก่อนจะวางสาย แม้จะหน้ามุ่ยใส่โทรศัพท์ แต่รอยยิ้มที่แต้มมุมปากบ่งบอกว่าเธอกำลังมีความสุข
ขณะกำลังจะล้มตัวลงนอน พิมพ์พิสุทธิ์ก็ไม่ลืมเมมเบอร์โทรศัพท์ของภูรินท์ไว้ในเครื่อง โดยใช้ชื่อว่า ‘PP’ คนประหลาดๆ ก็ต้องเหมาะกับชื่อประหลาดๆ ริมฝีปากอวบอิ่มยิ้มอย่างขันๆ แล้วกดบันทึก ล็อกหน้าจอแล้วเอื้อมมือไปวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะหัวเตียง ก่อนจะหลับไปพร้อมกับรอยยิ้มแต่งแต้มบนริมฝีปาก
ความคิดเห็น |
---|