3

บทที่ ๓


บทที่ ๓

 

แสงแดดอ่อนยามเช้าทอลำเข้ามาภายในห้องนอนบ่งบอกว่าสายมากแล้ว แต่เจนสุดายังคงไม่รู้สึกตัว เพราะความเหนื่อยอ่อนจากการเดินทาง บวกกับต้องวิ่งไปมาระหว่างบ้านกับโรงพยาบาลอยู่หลายวัน พอได้พักก็หลับยาว ซึ่งดูเหมือนลูกสาวตัวน้อยจะรู้ความ เธอไม่กวนมารดา ทำเพียงลุกขึ้นมานั่งมองคนที่หลับสนิท เฝ้ารออย่างใจเย็นเพื่อที่จะ ‘คิส’ ทักทายยามเช้าเป็นคนแรก อย่างที่มารดาของเธอทำเสมอเมื่อครั้งอยู่เมืองนอก

“อา รุณ ซา หวัด ค่ะ คุณ แม่ ขา”

นั่นคือคำทักทายใสๆ ที่ดังขึ้นเมื่อเจนสุดารู้สึกตัว ตามมาด้วยการโผเข้ากอดของคนตัวน้อย ขณะโน้มตัวเข้ามาจุ๊บปากมารดาอย่างอ่อนโยน

“วันนี้หนูชนะแหละ หนูตื่นก่อนคุณแม่ขา”

“อรุณสวัสดิ์จ้ะ คนดีของแม่”

เธอทักทายทั้งที่ยังคงงัวเงีย แม้จะยังลืมตาไม่เต็มที่ แต่ก็ยิ้มให้คนตัวน้อย สองแขนไม่ลืมโอบกอดลูกไว้ หอมแก้มอีกหลายฟอดก่อนจะชวนลูกลุกจากเตียงเข้าไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ ระหว่างนั้นก็พูดคุยกันอย่างเคย ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนตัวน้อยที่ช่างเล่า คราวนี้เธอถ่ายทอดเรื่องราวที่ไปพบเจอเมื่อวาน ตอนที่คุณแม่ขาของเธอวุ่นอยู่ที่โรงพยาบาล เธออยู่กับพี่เลี้ยงตามปกติ แต่มีช่วงหนึ่งที่เธอพบทางหมาลอดโดยบังเอิญ จึงมุดรั้วตามไอ้ด่างเข้าไป แล้วก็ได้ไปเจอขุมทรัพย์ส้มโอ

“หนูเล่นอยู่ ด่างพาหนูไปเจอคุณลุง คุณลุงมีส้มโอเยอะเลย”

“เหรอจ๊ะ” เจนสุดาไม่ได้เอะใจใดๆ เพราะปกติแล้วในบ้านเธอจะมีคนงานแวะเวียนเข้ามาเสมอ เป็นคนคุ้นเคยที่ไว้ใจได้ อีกทั้งก็บ่อยครั้งที่เรื่องเล่าเกิดจากจินตนาการของลูกน้อยเอง ชอบพูดถึงเทวดานางฟ้าที่มาเนรมิตของโปรดให้ “แล้วไงต่อจ๊ะ”

“คุณลุงหลับ หนูก็เรียกค่ะ ลุงจ๋า ขอหนูชิ้นนึงได้มั้ย”

“แล้วคุณลุงให้มั้ยคะ”

“ค่ะ” เด็กหญิงเล่าขณะเจนสุดาทาแป้งที่รักแร้ให้ คนตัวน้อยค่อนข้างบ้าจี้จึงถดตัวหัวเราะ แล้วเล่าต่ออย่างอารมณ์ดี “ทีแรกลุงทำหน้าดุ แต่พอหนูยิ้มหวานอย่างคุณแม่ขาสอน คุณลุงก็ใจดี แบ่งให้ คุณลุงชิ้น หนูชิ้น กินหมดเลย ชิ้นสุดท้ายคุณลุงใจดีให้หนูด้วย”

“หนูก็เลยได้กินเยอะเลยสิคะเนี่ย มิน่าล่ะ พี่อ้อยบอกว่าตอนเย็นหนูกินข้าวนิดเดียว”

“หนูกินข้าวเยอะนะคะ กินหมดจานเลย”

“เหรอคะ” เจนสุดารู้ทันมองตา คนตัวน้อยเลยยิ้มเก้อๆ รีบแก้

“เหลือนิดเดียวค่ะ”

“คราวหลังต้องกินให้หมดนะคะ ว่าแต่หนูขอบคุณคุณลุงที่แบ่งส้มโอให้รึเปล่าคะ”

แตงหวานทำท่าคิด แล้วทำหน้าตกใจ “หนูลืม”

“ไม่ได้นะคะ เวลาผู้ใหญ่ให้ของต้องขอบคุณ” เจนสุดาเสียงดุ แต่เมื่อเห็นสีหน้าจ๋อยๆ ของลูกเลยรีบให้คำแนะนำ “ไว้เจอคุณลุงวันหลังก็ขอบคุณด้วยนะ”

“ค่ะ หนูนัดคุณลุงด้วย บอกว่าจะเอาส้มโอไปแบ่งให้ด้วยค่ะ วันนี้หนูเจอคุณลุงได้มั้ยคะ คุณแม่ไปเจอคุณลุงกับหนูนะคะ คุณแม่อยากเจอคุณลุงมั้ยคะ”

“อยากเจอค่ะ แต่วันนี้แม่กับลุงโชติต้องไปรับยายทวดกลับมาอยู่บ้าน ไว้วันหลังนะจ๊ะ”

คนตัวน้อยพยักหน้าหงึกๆ “งั้นแตงหวานไปขอส้มโอพี่อ้อยหนึ่งลูกนะคะ”

เจนสุดาไม่ได้ใส่ใจบทสนทนาของแตงหวานเท่าไรนักจึงพยักหน้า “แต่ก่อนอื่นต้องทานข้าวให้ได้เยอะๆ โอเคมั้ยคะ แล้วหนูก็อย่าซนวิ่งไปมาเวลาคุณทวดมาบ้าน เข้าใจมั้ยคะลูก”

“ค่ะ แตงหวานไม่ซนค่ะ” คนตัวน้อยรับคำแข็งขัน วันนี้เธอแต่งตัวสวย ชุดที่เพิ่งได้มาใหม่เป็นชุดผ้าไทย เสื้อสีแดงคอกระเช้า กระโปรงทรงผ้าถุงโจงกระเบน ผมยาวเกล้าสองจุกติดโบน่ารักชวนมอง

“ไปค่ะ เรียบร้อยแล้ว ไปกินส้มโอกัน อ้อ กินข้าวด้วยค่ะ”

 

“จ๊ะเอ๋”

เสียงทักทายใสๆ ทำให้อติรุจเงยหน้าขึ้นจากแลปทอป สิ่งที่เห็นคือ เจ้าของร่างจ้อยในชุดผ้าไทยเสื้อคอกระเช้าสีแดง กางเกงผ้าถุงโจงกระเบน เกล้าผมมัดสองจุก

“ซาหวัดดีค่ะ วันนี้ไม่มีส้มโอเหรอคะ”

อติรุจรู้สึกประหลาดใจปนดีใจที่ได้เห็นเด็กหญิงอีกครั้ง ชายหนุ่มอมยิ้ม “จะมาไถส้มโอฉันอีกเหรอวันนี้”

“เปล่าค่ะ มาขอบคุณค่ะ เมื่อวานหนูลืมขอบคุณที่แบ่งส้มโอให้หนู”

เด็กน้อยว่าพลางเดินเข้ามาหา อติรุจพินิจมองเด็กหญิงตัวจ้อย ชุดของเธอดูน่ารัก แถมยังสวมรองเท้าแตะคีบ แต่ที่สะดุดตาคือที่เข่ามีรอยดินติด

“ขอหนูนั่งหน่อยได้มั้ยคะ”

“ได้สิ” อติรุจขยับให้เธอมานั่งข้างๆ “ทำไมเข่าเปื้อนอย่างนั้น ไปทำอะไรมา”

“ไปทำอะไรมาคะ” เด็กหญิงพูดสิ่งที่ทำให้อติรุจต้องขมวดคิ้ว “เวลาตั้งคำถามกับคนอื่นต้องพูดเพราะๆ มีหางเสียงค่ะ”

“ทีเมื่อวานยังไม่เห็นจะให้พูดแบบนี้เลย...นี่คะ” คำลงท้ายมาช้านิดหนึ่ง แต่ก็ยอมทำตามที่คู่สนทนาบอก “หรือเพราะว่าเมื่อวานมีส้มโอ...แสดงว่าถ้าฉันมีส้มโอ จะพูดยังไงก็ได้งั้นเหรอ...คะ”

คนตัวน้อยยิ้ม “ค่ะ วันนี้ไม่มีเหรอคะ”

“มีค่ะ” อติรุจปิดแลปทอปเมื่อเห็นว่าการสนทนานี้ท่าจะยาว “เดี๋ยวคนของฉันก็คงเอามาให้...ค่ะ”

“แบ่งหนูด้วยนะคะ”

อติรุจทำเป็นคิด เด็กหญิงก็มีท่าทางลุ้น สุดท้ายก็ยิ้มแป้นเมื่อผู้ใหญ่ตกลง

“ยังไม่ตอบคำถามฉันเลยว่าหนูไปทำอะไรมา ทำไมถึงเปื้อนดินอย่างนั้นล่ะ”

“หนูลอดรั้วมาค่ะ” เด็กหญิงบอกเสียงเจื้อยแจ้ว

“ลอดรั้วมา? แล้วพ่อแม่อยู่ไหนคะ มานี่บอกใครไว้รึเปล่า”

“บอกพี่อ้อยไว้ค่ะ พี่อ้อยรู้ แม่หนูไปข้างนอกค่ะ ส่วนพ่อหนูไปสวรรค์ค่ะ”

“ไปสวรรค์...หมายถึงตายแล้วเหรอ...คะ”

คำถามง่ายๆ แต่ทำเอาเด็กตัวจ้อยขมวดคิ้ว ทำให้อติรุจรู้สึกตัวว่าอาจพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป

“ไม่ได้ตายค่ะ แค่ไปอยู่กับพระเจ้าค่ะ”

อติรุจดีใจที่เห็นเด็กหญิงตอบพร้อมกับยิ้มแป้น “ว่าแต่หนูชื่ออะไรคะ”

“หนูชื่อ...คุณแม่ขาไม่ให้บอกชื่อคนแปลกหน้าค่ะ”

“อะไรนะ” ชายหนุ่มอึ้งกับคำตอบที่ได้รับ “เจอกันสองครั้งแล้ว แถมเราก็เป็นฝ่ายมุดรั้วมาหาฉัน สรุปฉันยังเป็นคนแปลกหน้าอีกเหรอ...อีกเหรอคะ”

เธอพยักหน้าหงึกๆ “คุณลุงบอกชื่อหนูก่อนสิคะ แล้วก็แทนตัวว่าคุณลุงด้วย ถึงจะไม่เป็นคนหน้าแปลกไงคะ”

“คนหน้าแปลก...คนแปลกหน้ารึเปล่า”

“ใช่ค่ะ คนแปลกหน้า หนูพูดผิด”

“ฉันชื่อ...คุณลุงชื่อภีมค่ะ”

“มีชื่อเดียวเหรอคะ”

“ภีม อติรุจ ต้องเอานามสกุลด้วยมั้ยคะ”

เด็กหญิงพยักหน้า

“ภีม อติรุจ โสภณเมธากุล”

“หู้ นามสกุลยาวจัง”

อติรุจบอกว่าถึงตาเธอบอกชื่อบ้างแล้ว เด็กหญิงทำท่าคิด แต่สุดท้ายก็ยอมบอก

“หนูชื่อแตงหวานค่ะ เด็กหญิงแตงหวาน หวันยิหวา ศิริกร ค่ะ”

“ตะ...แตงหวาน?”

รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของอติรุจเลือนหายไปพร้อมกับอาการตัวชา พูดได้เพียงเท่านั้นก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาจุกที่คอ แต่ดวงตายังคงจับจ้องใบหน้าของเด็กหญิง มีคำถามมากมายที่เขาอยากถามและอยากรู้คำตอบ แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกสมองตื้อไปหมด

ประจวบกับคนบ้านฝั่งซ้ายดูจะรู้แล้วว่าแตงหวานไม่ได้อยู่ที่นั่น มีเสียงตะโกนเรียกหา ทำให้เจ้าตัวจ้อยรีบขานรับ

“อยู่นี่ค่ะ แตงหวานอยู่นี่ค่ะพี่อ้อย”

“น้องแตงหวาน...น้องแตงหวานอยู่ไหนคะ ตายแล้ว เข้าไปบ้านโน้นเหรอคะ กลับออกมาค่ะ ตายแล้ว เผลอแป๊บเดียวเอง”

“ค่ะ เดี๋ยวแตงหวานกลับเดี๋ยวนี้ค่ะ” เด็กหญิงตะโกนบอกพี่เลี้ยง แล้วหันมาทางคุณลุงที่ยังตกอยู่ในภวังค์ “หนูกลับก่อนนะคะ ไว้วันหลังหนูจะมาเล่นด้วยนะคะ คุณลุงภีม”

“เดี๋ยว...แตงหวาน”

“คะ”

“มะ...แม่ของหนูเป็นใคร ชื่ออะไร”

“คุณแม่ขาชื่อพะแพงค่ะ แม่แพงค่ะ หนูไปนะคะ ไว้มาเล่นใหม่นะคะ คุณลุงภีม”

“พะ...แพง...” อติรุจอยากรั้งเจ้าตัวจ้อยไว้ แต่ดูจะช้าเกินไป เพราะเมื่อเขาขยับตัวลุกได้ คนตัวน้อยก็วิ่งหายไปแล้ว “ลูก? หนูคือลูกของพะแพง...หนูเป็นลูกพ่อ?”

‘แม่จะบอกให้เอาบุญนะตาภีม แกเลิกคิดถึงเด็กนั่น เลิกตามหามันได้แล้ว แกเชื่อที่มันบอกสื่อว่าไม่ได้ท้องด้วยเหรอ มันโกหกทั้งเพเพื่อรักษาหน้าตัวเองเท่านั้นแหละ ความจริงคือมันท้อง ไปท้องกับใครก็ไม่รู้ มันไม่กล้าเอาเด็กไว้ เพราะเวลาตรวจดีเอ็นเอ ความจริงจะประจานมัน พอมันได้เงินจากครอบครัวเรา มันก็ไปเอาลูกออก มันฆ่าลูกมันอย่างเลือดเย็น นี่เหรอคนดีของแก เลิกโง่คิดถึงมันได้แล้ว เอามันออกไปจากชีวิตแกได้แล้ว เพราะถ้าเด็กนั่นเป็นลูกแกจริง ผู้หญิงคนนั้นก็ฆ่าลูกแกไปแล้ว!’

แตงหวานวัยเท่านี้ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นลูกเขา...

แต่สิ่งที่พะแพงบอกทุกคนก่อนหน้านี้ล่ะ คืออะไร...

อติรุจสับสนและไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น...

แต่แน่นอนว่านับจากนี้ เขาจะต้องหาคำตอบเรื่องนี้ให้จงได้!

 

“ว่ายังไง คำถามของฉันเข้าใจยากนักเหรอ”

อติรุจเสียงขรึมกว่าตอนแรก ยิ่งทำให้นายชุมและนางนวลลำบากใจ ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจคำถามของผู้เป็นนาย แต่ทั้งสองไม่รู้จะพูดอย่างไรดี

“ถ้าถามว่าเด็กแตงหวานเป็นลูกของพะแพงกับใครแล้วตอบยากกันนัก ฉันจะถามใหม่...ทำไมลุงกับป้ารู้เรื่องของแตงหวานแล้วไม่บอกฉัน! เด็กคนนั้นวิ่งเข้าออกบ้านหลังนี้ เด็กที่ลุงกับป้าก็สงสัยว่าจะเป็นลูกของฉัน แต่ทำไมไม่บอกฉัน!”

“พวกเราไม่กล้า” นางนวลเป็นคนตอบ ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นสบตาผู้เป็นนายที่กำลังเกรี้ยวกราด “คนที่บ้านใหญ่แสดงออกชัดเจนว่าไม่ยอมรับหนูพะแพง ตัวคุณภีมเองก็ไม่แม้แต่จะอยากได้ยินชื่อหนูพะแพง เราเลยไม่กล้า เราคิดว่าคุณเกลียดหนูพะแพง”

“ใช่! ฉันเกลียดพะแพง!” คำว่าเกลียดสะท้านไปทั้งห้อง “แต่นั่นไม่ได้หมายถึงลูก...ลูกที่เกิดจากฉันและผู้หญิงที่ฉันเคยรัก! ทำไมไม่บอกว่ามีเด็ก ทำไมปล่อยให้ฉันอยู่กับความรู้สึกว่าลูกของฉันตายเพราะมือผู้หญิงที่ฉันเคยรัก”

“เราเองก็เพิ่งรู้นะคะคุณภีม” นางนวลกลัว “เราเพิ่งได้เจอหนูแตงหวานเมื่อไม่กี่วัน หนูพะแพงเพิ่งพาหนูแตงหวานกลับมาจากเมืองนอก แล้วเธอก็บอกว่า หนูแตงหวานเป็นลูกของเธอกับสามีใหม่”

“อะไรนะ สามีใหม่”

“ค่ะ สามีที่พาเธอไปอยู่เมืองนอก แต่สามีเธอเสียไปตั้งแต่เธอคลอดหนูแตงหวานได้ไม่ถึงปี เธออยู่ที่นั่นได้เพราะสมบัติที่สามีทิ้งไว้ให้ แต่ที่ตัดสินใจกลับมาอยู่เมืองไทย เพราะยายฉวีเริ่มแก่มากและป่วยกระเสาะกระแสะ เธอมายังไม่ถึงอาทิตย์ ยังวุ่นวายอยู่กับการติดต่อรับของที่ส่งมาจากเมืองนอกอยู่เลยค่ะ”

อติรุจนิ่งไป เป็นอีกเรื่องที่เขาไม่เคยรู้และไม่ได้เตรียมใจไว้ ไม่เคยเตรียมใจว่าเจนสุดาจะมีสามีใหม่ แต่เมื่อย้อนคิด ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ เพราะถ้าเธอไม่ได้รัก ไม่ได้คิดถึงเขา ก็ไม่แปลกที่เธอจะไปมีคนรักใหม่ แต่เขาไม่เชื่อว่าหวันยิหวาจะเป็นลูกของสามีใหม่ เด็กคนนั้นมีบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกถึงสายสัมพันธ์

“คุณภีมอย่าโกรธพวกเราเลยนะครับ” นายชุมบอกบ้าง “ไม่ใช่ว่าเราไม่สงสัยว่าหนู...คุณหนูแตงหวานจะเป็นลูกคุณภีม แต่เราไม่กล้าคิดเป็นอื่นในเมื่อหนูพะแพงบอกมาอย่างนั้น ตอนคุณภีมบอกว่าเจอเด็กเมื่อวาน พวกเราก็อดคิดไม่ได้ว่าอาจจะเป็นโชคชะตา เป็นสายสัมพันธ์ที่นำพาคุณหนูแตงหวานมาเจอคุณภีม”

อติรุจยังคงไม่พูดอะไร ยิ่งสร้างความกดดันให้สองสามีภรรยา

“คุณภีมจะลองไปคุยกับหนูพะแพงมั้ยคะ ป้าจะนัดเธอให้ จะได้คุยกัน” นางนวลลองแสดงความคิดเห็น “ถ้าได้ถามกันตรงๆ น่าจะดีกว่า”

ไม่มีคำตอบใดๆ กลับมา อติรุจยังคงกำมือแน่น จากนั้นจึงคว้าโทรศัพท์กดโทร. ออก แล้วเดินออกไปทางหน้าบ้าน

“ฉันเอง...ติดต่อนักสืบให้ฉันด้วย ฉันต้องการรู้ทุกอย่างของผู้หญิงคนหนึ่งตลอดห้าปีที่ผ่านมา”

สองสามีภรรยาเดินตามออกมาทันได้ยินบทสนทนา ทั้งสองใจคอไม่ดี ไม่รู้ว่าผู้เป็นนายจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ ดูจากสีหน้าแล้วคงไม่ใช่เรื่องดี แม้ที่ผ่านมาจะเป็นห่วงผู้เป็นนาย แต่ก็อดกังวลไม่ได้ถ้าจะเกิดอะไรขึ้นกับเจนสุดา แต่ยังไม่ทันได้หันไปปรึกษากัน อติรุจก็สั่งให้นายชุมเอากุญแจรถมาให้ จากนั้นก็ขับรถออกไปโดยไม่พูดไม่บอกสักคำว่าจะไปไหน หวังว่าคงจะไม่ได้ไปบุกบ้านข้างๆ สองสามีภรรยาเฝ้าภาวนา

“เจ้าประคู้น ขออย่าให้เกิดเรื่องร้ายๆ เลย ถ้าได้ อีนวลจะเอาหัวหมูมาถวาย” ฝ่ายภรรยายกมือไหว้ศาลพระภูมิ ในขณะที่นายชุมเองก็ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยกมือตามแล้วบอกว่า

“แถมไก่ต้มอีกสองตัวเลย ขออย่าให้เกิดเรื่องเถอะ ลูกช้างไม่อยากเห็นไฟไหม้แถวนี้เหมือนเมื่อห้าปีก่อนอีกแล้ว”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น