2

บทที่ ๒


บทที่ ๒

 

ณ บ้านต้นลำพู บ้านเรือนไทยประยุกต์หลังใหญ่กลางสวนผลไม้ ริมแม่น้ำในอัมพวา

เสียงบีบแตรหน้าประตูทำเอาคนดูแลบ้านวัยเลยเกษียณอายุซึ่งกำลังทำงานอยู่หน้าบ้านสะดุ้งตกใจ กระถางในมือตกแตก ยังไม่ทันจะได้หันหน้าไปดูแกก็สบถด่า เพราะคิดว่าเป็นลูกชายที่ออกไปข้างนอก แต่ก็รีบเดินไปเปิดประตูไม้บานใหญ่ที่ทึบจนไม่เห็นว่ารถที่จอดอยู่ข้างหน้าไม่ใช่รถกระบะเก่าๆ ของลูกชายแก แต่เป็นรถสปอร์ตหรูหราราคาแพง

“เออๆ รู้แล้ว เอ็งจะบีบแตรเรียกพ่อเอ็งหรือไงวะ” แกตะโกนออกไป ก่อนจะเปิดประตู และเห็นความจริงว่าทำพลาดร้ายแรง ใบหน้าเหี่ยวย่นซีดไปทันที “คุณภีม! ซวยแล้วไอ้ชุม”

ถึงตอนนี้นายชุมภาวนาให้คนในรถไม่ได้ยินที่แกตะโกนด่าเมื่อครู่ แล้วดูเหมือนคำภาวนาของแกจะเป็นจริง หรือไม่ชายหนุ่มอาจจะแค่ไม่ถือสา จึงให้สัญญาณบอกให้เปิดประตู แล้วเขาก็ขับรถผ่านเข้าไปในตัวบ้าน นายชุมรีบวิ่งตามไปรับใช้อย่างที่เคยทำ นานเท่าไรแล้วที่บ้านเจ้านายบ้านนี้ไม่เคยแวะมา ถ้าแกไม่เลอะเลือนจนจำไม่ได้ นี่คงเข้าปีที่ห้า จะครบหกอีกไม่นาน

ห้าหกปีที่รั้วบ้านฝั่งหนึ่งสร้างใหม่เป็นกำแพงสูงเกือบสามเมตรเพื่อตัดขาดจากบ้านสวนที่อยู่ข้างๆ

“สวัสดีครับคุณภีม ผมไม่ทราบว่าคุณภีมจะมา เดี๋ยวผมจะให้นังนวลรีบไปทำความสะอาดให้”

“ลุงกับป้าสบายดีนะ ป้านวลยังทำงานไหวอยู่เหรอ”

“พวกเราสบายดีครับ ถึงนังนวลแก่มากแล้ว ก็พอๆ กับผมละครับ แต่ก็ยังทำงานไหว ครั้นจะรอให้นังนาตกับผัวมันกลับมาจากตลาดก็กลัวว่าจะช้าไป นังนาตกับผัวมันเอาของที่สวนไปส่งในตลาดน่ะครับ”

“ไม่เป็นไร ฉันไม่รีบ ว่าจะไปนอนเล่นที่ท่าน้ำซะหน่อย” ชายหนุ่มบอกอย่างคุ้นเคยกับที่นี่ดี

“เดี๋ยวผมจะเอาน้ำไปให้ ว่าแต่คุณภีมจะรับอาหารเที่ยงเลยมั้ยครับ นังนวลทำต้มยำปลาทูไว้พอดี ผมจะได้ยกไปให้” นายชุมจำได้ว่านั่นเป็นอาหารโปรดของอติรุจ แม้เขาจะไม่ได้เจอผู้เป็นนายมากว่าห้าปีแต่ก็จำได้ “ผมเก็บส้มโอไว้หลายลูก แล้วจะแกะไปให้นะครับ”

“ฉันยังไม่หิว แค่ส้มโอก็พอ” ชายหนุ่มบอกก่อนจะเดินแยกไป ทิ้งชายชราไว้กับความงุนงงเล็กน้อย

“นั่นฉันไม่ได้ตาฝาดใช่มั้ยไอ้แก่ นั่นคุณภีมไม่ใช่เหรอ” หญิงวัยเดียวกับนายชุมถือตะหลิวเดินตามเสียงแตรรถก่อนหน้านี้มาถึงหน้าบ้าน เห็นรถและทันเห็นหลังชายหนุ่มที่เดินเข้าสวนผลไม้ไปทางศาลาริมน้ำที่เห็นอยู่ไกลออกไป “เกิดอะไรขึ้น ทำไมเธอมาที่นี่”

“นั่นน่ะสิ ตั้งแต่เกิดเรื่องคุณๆ ที่บ้านใหญ่ก็ไม่เคยมาที่นี่เลย” นายชุมรู้สึกใจไม่ดี

“ไม่ใช่ว่าคุณภีมแกจะมาบอกเราว่าจะขายที่นี่นะ ถ้าเป็นอย่างนั้นเราจะไปอยู่ที่ไหนกันไอ้แก่”

“เหลวไหล ถ้าจะขายแกคงขายนานแล้ว คุณนายใหญ่พยายามจะขายที่นี่ แต่คุณภีมแกก็ไม่ให้ขาย” นายชุมให้เหตุผล “แต่ที่น่าแปลกใจ ทำไมต้องมาช่วงนี้”

“ช่วงนี้ทำไม” นางนวลดูจะยังคิดไม่ทัน แต่ครู่ต่อมาก็ทำตาโต “ตายแล้ว! หนูพะแพง...”

ถึงตอนนี้สองสามีภรรยาก็หน้าซีด อดหวั่นใจไม่ได้เมื่อหวนนึกถึงเรื่องราวเมื่อห้าปีก่อน

“ไม่เป็นไรหรอกมั้ง” นายชุมว่า พยายามปลอบใจตัวเอง “ก็หนูพะแพงเขามีลูกมาด้วยนี่ ถึงจะบอกว่าสามีใหม่ตายแล้วก็เถอะ”

“แกเชื่อจริงๆ เหรอว่าหนูพะแพงมีสามีใหม่ที่เมืองนอก แกไม่คิดบ้างเหรอว่าหนูแตงหวานเป็นลูกหนูพะแพงกับคุณภีม ฉันว่าหนูแตงหวานที่เราไปเจอเมื่อวานหน้าเหมือนคุณภีมนะ เหมือนมากด้วย เด็กสี่ขวบกับห้าขวบต่างกันไม่มาก

นะแก อาจจะเป็นไปได้นะว่าที่มีข่าวว่าหนูพะแพงแกล้งท้อง หรือว่าข่าวไปทำแท้งน่ะจะเป็นเรื่องไม่จริง คนอย่างหนูพะแพงน่ะเหรอจะกล้าทำแท้ง เรื่องโกหกว่าท้องยิ่งเป็นไปไม่ได้”

นายชุมพยักหน้าคล้อยตามภรรยา แต่ยังไม่พูดอะไร นางนวลก็พูดต่อ

“แล้วมาลองคิดกันเล่นๆ นะว่า ถ้าหนูแตงหวานเป็นลูกคุณภีมจริงๆ จะเกิดอะไรขึ้น คุณภีมจะทำยังไง”

“ฉันไม่รู้ว่าคุณภีมจะทำยังไง แต่ฉันว่าทางบ้านใหญ่คงไม่อยู่เฉยแน่ แล้วที่สำคัญหนูพะแพงกับหนูแตงหวานคงต้องวุ่นวายกันอีกมาก”

“แต่ฉันกลับไม่ได้กลัวพวกคุณๆ บ้านใหญ่นะ ฉันกลัวใจคุณภีมมากกว่า” นางนวลบอก “เธอเจ็บเพราะหนูพะแพงมาก เจ็บจนเกลียดไม่ยอมให้พูดถึง ถ้ารู้ว่าถูกหลอกอีกครั้งเรื่องลูก แกคงไม่ให้อภัยหนูพะแพง แล้วด้วยนิสัยแกตอนนี้ แกเล่นหนูพะแพงหนักแน่”

สองสามีภรรยาหน้าซีด รู้สึกสยอง ก่อนนางนวลจะตั้งสติได้ผลักหัวสามีอย่างเคืองๆ

“แกจะพูดให้น่ากลัวทำไม หนูแตงหวานจะเป็นลูกคุณภีมไปได้ยังไง ไอ้แก่เพ้อเจ้อ ฉันไปโทร. ตามลูกให้มาทำความสะอาดห้องให้คุณภีมดีกว่า” ว่าพลางเดินหนีไปดื้อๆ “ไร้สาระเพ้อเจ้อ แก่แล้วแก่เลย”

“อ้าว...ก็เอ็งไม่ใช่เหรอที่เปิดประเด็นขึ้นมา” นายชุมงงที่โดนโยนขี้ใส่ แต่ก็ไม่วายตะโกนไล่หลังภรรยาไป “แกะส้มโอเป็นของว่างให้คุณภีมด้วยนะ ฉันจะเอาไปส่งแกที่ท่าน้ำ”

นายชุมขมวดคิ้วอีกครั้ง นึกภาพเมื่อวานที่ไปข้างบ้านเพื่อต้อนรับเจนสุดากับลูกสาว เห็นเด็กหญิงตัวน้อยที่กินส้มโอหมดเป็นลูกๆ แล้วใจสั่น

“ไม่หรอกมั้ง...เป็นไปไม่ได้...ต้องไม่ใช่...ต้องไม่ใช่ ไม่งั้นไฟไหม้ที่นี่แน่ๆ”

 

“สวัสดีค่ะ”

เสียงใสๆ ดังขึ้นพร้อมการถูกสะกิดแขน ทำให้อติรุจซึ่งเผลอหลับไปบนแคร่ยาวของศาลาริมน้ำรู้สึกตัว ลืมตาตื่น ภาพแรกที่เห็นคือเงาร่างของใครบางคนกำลังชะโงกหน้ามองเขา ใครบางคนที่สวมหมวกปีกกว้าง

“หนูกินได้มั้ยคะ หนูขอกินส้มโอได้มั้ยคะ”

คำถามมาพร้อมน้ำลายเป็นฟองฝอยที่กระเซ็นใส่หน้าทำให้ตื่นเต็มตา เห็นคนตัวน้อยใบหน้ากลม แก้มยุ้ยขาวอมชมพูนั้นแทบจะปิดดวงตาดำนิล ขนตายาวงอนกะพริบไหวเมื่อเจ้าตัวยิ้มเห็นฟันขาว มือป้อมๆ จับปีกหมวกไว้เมื่อมีลมเย็นพัดผ่าน

“หนูกินส้มโอได้มั้ยคะ”

เด็กที่ไหน นั่นคือคำถามแรกที่อติรุจถามตัวเอง ก่อนจะตามมาด้วยคำถามที่ว่าเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร หรือจะเป็นลูกหลานของคนงานในบ้านสวน อาจเป็นไปได้เพราะเขาไม่ได้มาที่นี่ห้าปี คงเป็นหลานของลุงชุมกับป้านวล แล้วทำไมมาที่ท่าน้ำคนเดียว ปล่อยเด็กมาที่นี่ได้อย่างไร

“หนูกินได้มั้ยคะ”

ดูเหมือนเจ้าตัวจ้อยจะสนใจส้มโอเนื้อขาวที่อยู่ในจาน เธอกลืนน้ำลายถี่ๆ เหมือนอยากกินเสียหนักหนา ดวงตากลมโตจ้องมองเนื้อขาวๆ นั้นไม่วางตา ส้มโอพวกนี้ลุงชุมหรือป้านวลคงเอามาวางไว้ตอนที่เขาหลับไป

“ขอชิ้นนึงได้มั้ยคะคุณลุง”

“ลุง?” เป็นเด็กที่หยาบคายมาก เรียกคนที่ยังไม่สามสิบดีว่าลุงได้อย่างไร “ไม่ให้ นั่นของฉัน แล้วเธอเป็นใคร”

“เธอเป็นเด็กค่ะ” ตอบเสียงใสชี้ตัวเอง ยิ้มแป้นดังเคย “ขอชิ้นนึงนะคะ”

“เป็นเด็กแล้วมาที่นี่กับใคร” คนเป็นผู้ใหญ่เสียงเข้ม คิดว่าวางท่าขรึมไว้เจ้าตัวจ้อยจะเกรงใจ

“เด็กมาคนเดียวค่ะ ขอชิ้นนึงนะคะ”

“มาเล่นริมน้ำคนเดียวได้ยังไง ไม่รู้เหรอว่ามันอันตราย แถมมาขอของกินคนแปลกหน้ากินแบบนี้ได้ไง ไม่มีใครสอนรึยังไง”

“สอนค่ะ อย่าไปกับคนแปลกหน้า อย่ากินหนมคนแปลกหน้า แต่นี่ส้มโอ หนูชอบส้มโอ...ขอชิ้นนะคะ”

อติรุจรีบดึงจานออกห่างเจ้าตัวจ้อย ไม่ใช่เพราะว่าเธอจะหยิบส้มโอไป แต่เพราะกลัวว่าน้ำลายเธอจะหยดแหมะใส่จาน ถึงตอนนี้เขาจึงจำเป็นต้องหยิบส้มโอชิ้นหนึ่งให้ เจ้าตัวน้อยยกมือไหว้ ร้องเย้ๆ อย่างดีใจ ก่อนจะถอยไปนั่งบนเก้าอี้ กินส้มโอชิ้นนั้นอย่างเอร็ดอร่อย เผลอครู่เดียวก็หมดชิ้น จากนั้นก็หันมายิ้มแป้น มองตาแป๋ว ไม่ต้องเอ่ยปากชายหนุ่มก็รู้ว่าเจ้าตัวน้อยอยากได้อีกชิ้น

“คุณลุงชอบส้มโอมั้ยคะ ชอบเหมือนหนูเลย”

อติรุจเลิกคิ้วมองเด็กหญิงอย่างพินิจ...เด็กตัวน้อยจัดว่าเป็นเด็กหน้าตาดีมาก ผิวขาว จำได้ว่านงนาตก็ไม่ได้ผิวขาวขนาดนี้ หรือจะได้ทางฝ่ายพ่อ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็แสดงว่าพ่อคงหน้าตาดีมาก จึงได้มีลูกหน้าตาน่ารักน่าชังขนาดนี้

“บ้านหนูก็มีส้มโอเยอะค่ะ แต่คุณแม่ขาบอกให้พอก่อน กินเยอะไม่ดี”

“เธอก็เลยมาไถส้มโอฉัน”

“ไถ?” เด็กตัวจ้อยไม่เข้าใจความหมาย “ไถก็ได้ค่ะ งั้นขอหนูอีกชิ้นนะคะ”

ท่าทางจะชอบเอามากๆ ยุ่งแล้วไหมล่ะ...แต่มาคิดดูอีกที การมีเพื่อนนั่งกินของว่างด้วยก็คงดีกว่ากินคนเดียว แม้จะเป็นเด็กก็เถอะ

“โอเค ฉันจะยอมแบ่งส้มโอของฉันให้ แต่รับปากก่อนว่า ถ้าเธอได้ส้มโอ เธอต้องเอามาแบ่งให้ฉันกินด้วย สัญญาได้มั้ย”

“สัญญาค่ะ” เด็กหญิงตอบรับเสียงหนักแน่น

จากนั้นปาร์ตีส้มโอของคนสองวัยก็เริ่มขึ้น เผลอครู่เดียวส้มโอในจานก็หายไปในพริบตา เหลือชิ้นสุดท้ายซึ่งเจ้าตัวจ้อยมองตาละห้อย แต่ก็ไม่กล้าหยิบเหมือนเกรงใจเจ้าของส้มโอ

“เอาไปเถอะ ฉันให้ แต่คราวหน้าชิ้นสุดท้ายต้องเป็นของฉันนะ”

เจ้าตัวจ้อยพยักหน้า รับเอาชิ้นสุดท้ายที่มือใหญ่ยื่นให้ อติรุจมองคนตัวน้อยด้วยแววตายิ้มๆ ก่อนจะเลือนหายไปเมื่อหวนนึกถึงเรื่องของตัวเอง เด็กคนนี้อายุเท่าไรนะ สามหรือสี่ปี คงไม่ถึงห้าปี เพราะเขาเคยเห็นเด็กอายุห้าขวบคนหนึ่งดูโตกว่านี้

“คุณลุงเป็นอะไรคะ ทำไมทำหน้าเศร้า เสียใจที่ส้มโอหมดเหรอคะ”

เสียงใสดึงอติรุจออกจากภวังค์ความคิด “เปล่าหรอก ฉันแค่สงสัยว่าเธออายุเท่าไหร่”

“สี่...อ้อ สามขวบค่ะ”

“สี่หรือสามเอาให้แน่” ชายหนุ่มถามไม่ได้จริงจัง ก่อนจะยิ้มเมื่อเห็นแตงหวานทำหน้าครุ่นคิด “ไม่ต้องจริงจังขนาดนั้น ฉันแค่ถามเล่นๆ”

“เล่น?” คำว่าเล่นเหมือนจะทำให้เด็กตัวจ้อยนึกอะไรได้ “หนูมาเล่นไกล เดี๋ยวโดนคุณแม่ขาดุ หนูกลับแล้วนะคะ บ๊ายบายค่ะคุณลุง ไว้หนูมาเล่นใหม่นะคะ จะเอาส้มโอมาฝากด้วยค่ะ บ๊ะบาย”

เด็กหญิงพูดรัวเร็ว แล้ววิ่งออกจากศาลาไปตามทางเดิน ไม่ทันไรร่างเล็กๆ ก็ถูกพุ่มไม้สูงบังหายไป ทิ้งอติรุจไว้กับความงุนงง แต่ก็เดาเอาเองว่าเด็กหญิงคงวิ่งเข้าบ้านไป

“ยังไม่ทันได้ถามชื่อเลย” เขาพึมพำยิ้มๆ แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นเศร้าเมื่อเสียงในอดีตตามมาหลอกหลอน

‘ถ้าเป็นลูกชายแพงขอตั้งชื่อ แต่ถ้าเป็นลูกสาวแพงให้พี่ภีมเป็นคนตั้งนะคะ พี่ภีมจะให้ชื่อแตงหวานก็ได้ แพงไม่เถียง แต่ถ้าเป็นลูกชายต้องชื่อพระพาย’

“บ้าจริง คิดถึงเรื่องนี้อีกทำไมนะ ไร้สาระชะมัด ไอ้ภีมเอ๊ย! แกเลิกฟุ้งซ่านซะที ลูกแกไม่มีจริง มันไม่มีจริง ไม่มีทางเป็นจริง...”

 

บ้านต้นลำพูค่ำนี้ดูวุ่นวายกว่าทุกวันในรอบห้าปี ครอบครัวนายชุมอันประกอบด้วยนางนวล ภรรยา นงนาต ลูกสาว และเอก ลูกเขย ต่างช่วยกันทำอาหารเย็นให้เจ้านายของบ้านซึ่งขึ้นไปอาบน้ำบนห้อง เมนูวันนี้มีกุ้งแม่น้ำเผา ปลาทูต้มยำ ปลาช่อนลุยสวนตัวใหญ่เป้ง ของหวานเป็นลูกจากลอยแก้ว และที่ขาดไม่ได้คือส้มโอสายน้ำผึ้งแช่เย็น เมื่อตั้งโต๊ะเสร็จ นางนวลสั่งให้ลูกเขยขึ้นไปเรียกผู้เป็นนาย แต่ยังไม่ได้ขึ้นไปบนบ้าน เจ้าตัวก็ลงมาเสียก่อน

อติรุจอยู่ในชุดสบายๆ เดินมาที่ห้องอาหาร นงนาตเตรียมตักข้าว ในขณะที่นางนวลรินน้ำใส่แก้ว นายชุมและเอกอยู่ในห้องครัว โผล่หน้าออกมามองเป็นระยะๆ ทุกคนดูลุ้นว่าเจ้านายจะชอบสิ่งที่พวกเขานำมาเสิร์ฟหรือไม่

“กับข้าวน่ากินมาก แต่ไม่คิดว่าเยอะไปเหรอสำหรับคนเดียว” ชายหนุ่มเข้าไปนั่งมองของบนโต๊ะ จับช้อนเตรียมตักข้าว แต่นึกอะไรได้จึงพูดกับทุกคน “ปกติใครเป็นคนดูแลเด็กในบ้าน”

ทุกคนดูไม่เข้าใจคำถาม อติรุจไม่คิดว่ามันจะเป็นคำถามที่เข้าใจยาก แต่เมื่อเห็นทุกคนยังไม่ตอบจึงขยายความ

“เมื่อกลางวันฉันเห็นลูกสาวนาตอยู่ที่ท่าน้ำ ถึงจะอยู่ที่นี่กันตั้งแต่เกิดก็ไม่ควรปล่อยเด็กขนาดนั้นให้ไกลตานะ ริมน้ำมันอันตราย”

“ลูกนาต?” คนถูกกล่าวหาว่ามีลูกยังไม่เข้าใจ

“เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ อายุสี่ห้าขวบที่วิ่งเล่นในบ้านเรา ไม่ใช่ลูกของนงนาตแล้วลูกใคร ป้านวลแก่เกินจะมีลูกแล้วมั้ง”

คนถูกกล่าวหาว่าแก่ถึงกับสะดุ้ง แต่อาการของทุกคนทำให้อติรุจคิดได้ว่าเขาคงพูดอะไรผิด

“ถ้าไม่ใช่ลูกคนบ้านนี้ แล้วเด็กที่ไหนล่ะ”

ทุกคนในบ้านสบตากัน โดยเฉพาะนายชุมกับนางนวล ทั้งสองดูกังวลเพราะพอจะเดาได้ว่าเด็กที่เอ่ยถึงน่าจะเป็นใคร แต่ที่น่าประหลาดใจคือ ทำไมคนบ้านนั้นจึงได้ปล่อยให้หลุดรั้วเข้ามาถึงบ้านนี้ได้

“คงเป็นเด็กที่มาจากรีสอร์ตฝั่งขวาของสวนมั้งครับ” เอกออกความเห็น ชายหนุ่มเพิ่งมาอยู่บ้านนี้ได้ไม่ถึงสองปี จึงไม่รู้ความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีระหว่างเจ้านายบ้านนี้กับบ้านฝั่งซ้ายเท่าไรนัก “บางทีนักท่องเที่ยวชอบมาเดินเล่นริมคลอง คงจะเผลอแล้วเด็กเข้ามากวนคุณภีม ไว้ผมจะไปกำชับคนที่รีสอร์ตให้นะครับ”

อติรุจนิ่งไปกับคำตอบที่ได้รับ ก่อนจะพยักหน้าแล้วหันไปกินมื้อค่ำต่อ โดยไม่ทันสังเกตว่านางนวลค่อยๆ เดินออกไปที่ครัว ลากนายชุมออกไปข้างนอก

“หนูแตงหวานแน่ๆ เลยตาชุม ตอนกลางวันฉันได้ยินเสียงนังอ้อยพามาเล่นอยู่ข้างรั้ว”

“เป็นไปไม่ได้หรอก รั้วสูงสามเมตรแบบนี้ หนูแตงหวานจะข้ามมาได้ยังไง”

“แล้วไอ้ด่างบ้านนั้นมันข้ามมาทำนังแดงบ้านนี้ท้องได้ยังไงล่ะ หนูแตงหวานอาจจะเห็นช่องนั้นแล้วคลานมาเล่นก็ได้”

“บรรลัยแล้ว เดี๋ยวฉันไปปิดช่องนั้นไว้ดีกว่า” นายชุมไม่พูดเปล่า ทำท่าจะไปทำอย่างที่พูดเสียเวลานี้นาทีนี้เลย

“เดี๋ยวๆ นั่นแกจะไปไหน”

“ก็ไปปิดช่องนั่นไง”

“มืดค่ำแล้ว พรุ่งนี้ก็ได้...ว่าแต่ไอ้แก่เอ๊ย แกว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญหรือว่าโชคชะตาวะ ร้อยวันพันปีไม่เคยมีเรื่องอย่างนี้ คุณภีมมาวันเดียว หนูแตงหวานมุดรั้วมาหา นี่ดีนะยั้งปากทัน ไม่ได้บอกว่าเป็นลูกคนบ้านนั้น ไม่อย่างนั้นฉันก็นึกไม่ออกเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทำไมนะ ทำไมคนบ้านโน้นไม่ขายที่หนีไปซะให้รู้แล้วรู้รอด ยังจะอยู่ให้พวกเราใจหายใจคว่ำทำไม”

“ยายฉวีแกไม่ทิ้งที่นี่หรอก นี่เป็นที่ผัวแก ถ้าแกยังไม่ตายแกคงไม่ขาย แล้วคงไม่คิดว่าคุณภีมจะมาที่นี่ละมั้ง” นายชุมพยายามเดาก่อนจะขยี้หัว “ไม่รู้แล้วโว้ย ไม่อยากคิด อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด”

“นั่นสินะ แต่ไอ้แก่...ฉันเสียดาย อยากเห็นภาพตอนที่คุณภีมเจอกับหนูแตงหวาน แกว่ามันจะเป็นยังไง”

“ไม่รู้สิ คุณภีมก็ดูไม่ใช่คนชอบเด็ก ไม่งั้นแกก็คงไม่ทำท่าเหมือนจะด่านังนาตที่ปล่อยเด็กไปกวนแกหรอก”

“แกว่านั่นคือการด่าว่าปล่อยหลานไปกวนเหรอ ฉันว่าคุณภีมแกห่วงเด็กที่พวกเราปล่อยเด็กไปเล่นคนเดียวมากกว่า”

“เออ แกว่ามีเหตุผล ชักอยากเห็นภาพนั้นแล้วสิ”

“งั้นแกก็อย่าเพิ่งปิดรูหมาลอดนั่น” นางนวลมีความอยากเห็นเกินกว่าจะกลัว “พรุ่งนี้เห็นคนบ้านโน้นบอกว่าจะไปรับยายฉวีกลับบ้าน คงปล่อยหนูแตงหวานไว้ที่บ้านอีก ให้คุณภีมเจอหนูแตงหวานก่อนแล้วค่อยปิดช่องนะ”

“เอางั้นเหรอ” คนเป็นสามีเหมือนจะไม่แน่ใจ ภรรยาจึงบอก

“ถ้าเขาเป็นพ่อลูกกันจริงๆ อย่างที่พวกเราสงสัย แกว่าไม่ใช่เรื่องดีเหรอที่จะให้พ่อลูกเจอกัน”

“แต่มันจะไม่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตเหรอ” คนสามียังขลาดแม้อยากให้เป็นอย่างนั้น

“อันไหนล่ะที่สำคัญกว่ากัน คืนนี้ฉันให้เวลาแกคิด พรุ่งนี้แกก็เลือกเอาว่าจะเปิดช่องไว้หรือไปปิด”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น