1

บทที่ ๑


บทที่ ๑

 

ณ สนามบินสุวรรณภูมิ

“ผู้หญิงจะจับผู้ชาย ไม่งั้นไม่ปล่อยท้องหรอก”

คำพูดเหยียดๆ ที่ลอยเข้าหูขณะเดินผ่านกลุ่มวัยรุ่นทำให้เจนสุดาชะงักเท้า ริมฝีปากสีชาดเม้มเข้าหากันอย่างสะเทือนใจ ดวงตาโศกหรี่ลงด้วยความเจ็บแปลบที่หัวใจ เคยคิดว่าห้าปีที่ผ่านมาเธอลืมอดีตไม่น่าจำไปแล้ว เธอสามารถเดินต่อและมีชีวิตใหม่ได้แล้ว แต่ไยตอนนี้จึงหวั่นไหว เธอพร้อมจะกลับมาที่นี่จริงหรือ หรือนี่เป็นแค่อาการเหนื่อยจากการเดินทาง ไม่ใช่เพราะได้ยินได้ฟังสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อห้าปีก่อน

“ยายนี่ร่านจะตาย คิดจะจับปีเตอร์ ก็เขาหล่อนี่ เสียดายนะ กำลังรุ่งต้องมาจบเพราะข่าวทำผู้หญิงท้อง” ผู้หญิงอีกคนที่อยู่ในวงสนทนาแสดงความคิดเห็นไม่ต่างจากคนแรก “เนี่ย ตอนแรกฉันคิดว่านางจะแกล้งท้อง กลายเป็นท้องจริง แย่ชะมัด แต่คงต้องรอตรวจดีเอ็นเอ ถ้าใช่ลูกปีเตอร์จริงละแย่เลย ปีเตอร์คงหมดอนาคตจริง สงสารนะ ซวยแท้ๆ ไปเจอผู้หญิงแบบนี้”

“นั่นน่ะสิ หมดอนาคตเลยนะ ทำไมปีเตอร์ไม่โชคดีเหมือนภีม อติรุจนะ”

ชื่อที่ได้ยินทำให้เจนสุดาแทบหยุดหายใจ ใครว่าคนไทยลืมง่าย สุดท้ายเมื่อเกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้นอีก เรื่องในอดีตก็จะถูกยกขึ้นมาพูด ครั้งนี้ก็เช่นกัน

“อันนั้นผู้หญิงถูกจับโป๊ะแตกได้ว่ากุข่าวท้อง ภีมเลยยิ่งดัง แต่เสียดายนะ หลังจบหนังเรื่องสุดท้ายเขาก็ไม่รับงานบันเทิงอีกเลยทั้งที่กำลังดัง หาเงินได้อีกเยอะเลย”

“ก็ครอบครัวเขารวย ไปทำธุรกิจครอบครัวรวยกว่าอยู่แล้ว เขาเข้าวงการบันเทิงแค่สร้างชื่อเสียง ทำขำๆ ตอนเด็ก พอโตก็ต้องไปทำธุรกิจครอบครัว แต่เอาจริงๆ นะ ภีมน่ะ ตอนนั้นต่อให้ผู้หญิงท้องจริง ต้องออกจากวงการบันเทิง ชีวิตเขาก็ไม่แย่หรอก เพราะบ้านรวย ลูกชายคนเดียวด้วย ปีเตอร์สิ หมดอนาคตเลยนะ”

“ก็หวังว่าปีเตอร์จะโชคดี เด็กในท้องยายนั่นไม่ใช่ลูกปีเตอร์ ฉันไม่เข้าใจเลย ผู้หญิงอย่างยายพะแพงน่ะ ป่านนี้เป็นยังไงนะ หลังจากเกิดเรื่องเห็นว่าหนีไปอยู่ต่างประเทศนี่นา ชาตินี้จะกล้ากลับมาเมืองไทยรึเปล่าไม่รู้”

“ทำไมจะไม่กล้า หน้าด้านจับผู้ชาย ยอมกุเรื่องว่าท้องขนาดนั้นก็ต้องกล้าอยู่แล้ว เนี่ย แค่นึกฉันก็สงสารเด็กแล้วนะ ถ้ายายพะแพงท้องขึ้นมาจริงๆ เด็กคงน่าสงสารที่มีแม่แบบนั้น เกิดมามีแม่ร่าน หาคนเป็นพ่อไม่เจอ แย่ชะมัด”

“คุณแม่ขา”

เสียงใสๆ เรียกสติเจนสุดา หญิงสาวเบือนหน้าจากกลุ่มสาวช่างเมาท์กลับมาที่เด็กหญิงตัวน้อยที่เพิ่งตื่น แม่หนูน้อยชุดสีชมพูนั่งอยู่ในรถเข็นเด็ก แม้เพิ่งตื่นแต่เด็กแก้มชมพูก็ยิ้มแป้นอย่างคนอารมณ์ดี

“แม่ แพง ขา”

“อรุณสวัสดิ์จ้ะ แตงหวาน” คุณแม่วัยเบญจเพสสามารถสลัดความทุกข์ออกไปจากหัวได้เสมอเมื่อเห็นรอยยิ้มของเด็กน้อย คราวนี้ก็เช่นกัน “หนูจะเข้าห้องน้ำมั้ยคะลูก”

เด็กหญิงส่ายหน้า ขยี้ตายังคงงัวเงียบอกว่าหิว และทวงสัญญาที่จำได้ “หนูจะกินส้มโอ จะกินที่บ้านสวนค่ะ”

เจนสุดายิ้มกว้าง “โอเค งั้นไปบ้านสวนกันนะ แต่รอลุงโชติแป๊บนึงนะจ๊ะ”

แตงหวานพยักหน้าจ๋อยๆ ที่ต้องรอ แต่แล้วเด็กหญิงก็ยิ้มแป้น “นั่นไง ลุงโชกมาแล้วค่ะ ไปกินส้มโอกัน”

“โตขึ้นแล้วยังเรียกลุงโชกอีกเหรอแตงหวาน หนูต้องเรียกว่าลุงโชติสิ ไหนมาอุ้มหน่อยซิ โตขึ้นแล้วหนักขึ้นมั้ยนะ” ชายหนุ่มว่าพลางถลาเข้าไปยกตัวเด็กหญิงวัยสี่ขวบเกือบห้าขวบขึ้นสูง ทำให้เธอหัวเราะเอิ๊กๆ อย่างชอบใจ “ตัวหนักขึ้นจริงด้วย”

โชติ คือชายหนุ่มหน้าตาดีที่ดูโดดเด่นจนสามารถเรียกสายตากลุ่มสาวนักเมาท์ที่อยู่บริเวณนั้นให้หันมอง ทำให้เห็นภาพเหมือนครอบครัวอบอุ่น พ่อมารับแม่และลูกสาวตัวน้อยที่สนามบิน ช่างเป็นภาพชวนมองเพราะหน้าตาดีกันทั้งบ้าน ดูเหมือนพวกหล่อนๆ จะไม่ได้เอะใจสักนิดว่า คุณแม่ยังสวยคนนั้นคือคนเดียวกับที่หล่อนพากันพูดถึงอย่างเสียๆ หายๆ และเด็กน้อยน่ารักสดใสคือเด็กที่เกิดขึ้นมาจริงๆ...เด็กที่พ่อของเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีเธออยู่

“ปะ งั้นกลับบ้านกันเลย”

“แพงอยากไปที่โรงพยาบาลก่อนค่ะ แพงเป็นห่วงคุณยาย” นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เจนสุดาต้องกลับมาเมืองไทย และการกลับมาครั้งนี้ก็เพื่ออยู่อย่างถาวร อยู่ดูแลยายที่แก่มากแล้วและเริ่มป่วยถี่ขึ้น

“แพงแน่ใจนะว่าพร้อมจะเผชิญความจริงแล้ว” โชติถามอย่างระมัดระวัง “จริงๆ แล้วพี่ช่วยแพงดูแลยายได้นะ แพงไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้ก็ได้ถ้าแพงไม่พร้อม”

“แพงพร้อมค่ะ เขามีชีวิตของเขา และแพงก็มีชีวิตของแพง ทุกอย่างมันจบแล้วค่ะ”

โชติเห็นแววตาที่เปลี่ยนไปของเจนสุดา ชายหนุ่มจึงคลายกังวล “นั่นสินะ ตอนนี้แพงมีชีวิตใหม่แล้ว และพี่ก็หวังว่าในชีวิตใหม่ที่แพงมี จะมีพี่อยู่ด้วยนะ”

“ต้องมีอยู่แล้วสิคะ ก็พี่โชติเป็นพี่ชายที่แสนดีของแพง เป็นลุงโชกของแตงหวานนี่นา”

นั่นคือสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแม้เวลาจะผ่านไปห้าปี เจนสุดาไม่เคยเปลี่ยนความรู้สึกที่มีให้โชติ เช่นเดียวกับที่โชติเองก็จะไม่เปลี่ยนความรู้สึกรัก เขาจะไม่มีวันยอมแพ้ สักวันเขาจะเอาชนะใจเจนสุดาให้ได้

“จ้ะ พี่ชายที่แสนดีก็ได้” เขาพูดกับเจนสุดาก่อนจะก้มลงพูดกับเด็กน้อย “ไปกันเถอะแตงหวาน ลุงโชกจะพาหนูไปหาคุณยายทวดนะ”

“ค่ะ ไปหายายทวดกัน ไปกินส้มโอกันค่ะ ลุย!”

 

ภายในห้องชุดหรูวิวสวยริมแม่น้ำเจ้าพระยา แสงแดดยามเช้าสาดเข้ามาในห้องที่เปิดม่านไว้เพียงเล็กน้อย เพื่อไม่ให้รบกวนการนอนของอติรุจซึ่งยังคงหลับอยู่บนเตียงกลางห้อง เรือนร่างเปลือยเปล่ามีเพียงผ้าห่มสีขาวที่ปกปิดของสงวนท่อนล่าง อาการหลับสนิทไม่ใช่แค่เพราะเพิ่งผ่านศึกหนักเมื่อคืนกับสาวสวยซึ่งกำลังแต่งตัวอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง แต่เพราะหลายวันที่ผ่านมาเขาทำงานหนักและเพิ่งได้พัก จึงนัดคู่ควงออกเที่ยวแล้วจบลงที่ห้องพักของเธอ

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของทั้งคู่ แต่นี่ก็ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบคู่รักทั่วไป เรียกให้ถูกคงใช้คำว่า ‘คู่ควง’ คลายเหงา ต่างฝ่ายต่างต้องการกันแค่นั้น แล้วนั่นอาจเป็นเรื่องดี เพราะทำให้ทั้งคู่รักษามิตรภาพแบบนี้มากว่าห้าปีแล้วตั้งแต่วันที่ศรีริตาได้รู้จักกับชายหนุ่มที่มีข่าวฉาว เรื่องราวของเขาเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ว่าทำสาวท้อง แต่คดีพลิกกลายเป็นว่าสาวเจ้าไม่ได้ท้องจริง ทำให้เขายิ่งโด่งดัง ได้รับคะแนนสงสารจากคนที่ด่าไปก่อนหน้า ช่วงที่ดังเป็นพลุแตกชายหนุ่มกลับเลือกหันหลังให้วงการบันเทิง ไปเรียนต่อต่างประเทศ แล้วกลับมาบริหารธุรกิจโรงแรมและห้างสรรพสินค้าใหญ่ในไทยของตระกูลที่ไม่มีใครไม่รู้จัก อย่างตระกูล ‘โสภณเมธากุล’ ผู้มั่งคั่ง

หลังเหตุการณ์นั้น ทุกฝ่ายดูพอใจกับความเปลี่ยนแปลงของอติรุจ พอใจที่หลังเรื่องร้ายชายหนุ่มเปลี่ยนตัวเองกลายเป็นผู้ใหญ่ แม้จะมีบางอย่างเปลี่ยนไปก็ตาม จากคนที่อารมณ์ดี มีมนุษยสัมพันธ์กับผู้คน กลายเป็นคนจริงจังกับชีวิต วันๆ แทบไม่ยิ้ม ชีวิตสนใจแต่เรื่องงานที่บริษัท ทำตามคำสั่งของบิดาที่เสียชีวิตไปในช่วงที่เขาก่อเรื่อง

‘คุณพ่อตายไปก็เพราะทุกข์ใจเรื่องแก ทำไมยังไม่เข้าใจ! แกต้องให้แม่เครียดตายตามคุณพ่อไปใช่มั้ยถึงจะพอใจ ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ดีพอจะให้แกรัก แม่ขอได้มั้ย คิดว่าทำเพื่อแม่ที่เลี้ยงดูลูกมา ไม่มีคุณพ่อแล้ว ภีมต้องเป็นเสาหลักให้แม่และน้องทั้งสองนะลูก ลืมผู้หญิงคนนั้นซะ มีชีวิตต่อ แม่ขอลูกแค่เรื่องนี้ แล้วนับจากนี้แม่จะไม่บังคับลูกอีกเลย จะไม่ขอให้ภีมทำเรื่องฝืนใจตัวเองอีกแล้ว’

อติรุจให้อย่างที่มารดาขอ ทำตัวให้แข็งแกร่งพอที่จะเป็นเสาหลักแทนบิดาที่เสียชีวิตไป เป็นที่พอใจของคนในครอบครัว สองสามปีที่เขาเข้ามาบริหารงานอย่างจริงจังหลังเรียนจบ ทำให้ธุรกิจดำเนินไปด้วยดีและมั่นคงเสียยิ่งกว่าตอนที่บิดาทำ สิ่งที่ทำส่งผลให้เขามีอำนาจในการตัดสินใจทุกอย่าง รวมถึงการตัดสินใจเรื่องตัวเอง เขาเลือกที่จะไม่แต่งงาน แม้มารดาและน้องสาวจะพยายามจับคู่ให้และตัดพ้อหลายครั้ง

‘อย่ายุ่งเรื่องส่วนตัวผม ผมให้อย่างที่คุณแม่ขอ คุณแม่ก็ควรจะรักษาคำพูด จะไม่บังคับหรือบอกให้ผมทำสิ่งที่ผมไม่อยากทำ ถ้าผมพร้อมจะแต่ง ถ้าผมพร้อมจะรักใคร ผมจะบอกเอง’

ถึงจะออกตัวไปอย่างนั้น ทว่าคนในครอบครัวก็ไม่ได้ยอมแพ้ แต่ไม่กล้าทำแข็งเข้าใส่ ได้แต่หวังว่าสักวันชายหนุ่มจะหลงรักผู้หญิงสวย ชาติตระกูลดี โพรไฟล์เยี่ยมที่วนเวียนเข้ามาในชีวิต หนึ่งในนั้นอาจจะรวมศรีริตา หญิงสาวที่ดูเหมือนอติรุจจะให้ความสำคัญมากกว่าใครๆ ในเวลานี้ อย่างน้อยก็มีสัมพันธ์ลึกซึ้งยาวนานที่สุด แต่ก็ยังไม่นานพอจะให้ชายหนุ่มฝันถึงในยามหลับ เพราะเวลานี้เขากำลังฝันถึงผู้หญิงที่ชื่อเจนสุดาถึงขั้นละเมอออกมา

“แพง...พะแพง...เธออยู่ไหน อย่าทิ้งพี่ไป...อย่าทิ้ง...ได้โปรดกลับมา...”

คำอ้อนวอนที่คงไม่มีทางส่งไปถึงเจ้าของชื่อ เพราะมันเกิดขึ้นแค่ยามที่ชายหนุ่มอยู่ในความฝันเท่านั้น ทันทีที่สะดุ้งตื่น ความรู้สึกว่าถูกทรยศจะทำให้เขาเปลี่ยนท่าที และบอกตัวเองว่าจะไม่มีทางอ้อนวอนผู้หญิงเลือดเย็นออกไปอย่างนั้น ต่อให้ตายก็ไม่มีวันพูด ไม่มีวันแสดงออกให้ใครเห็นว่าเขาอาลัยอาวรณ์เธอ

“ปวดหัวชะมัด กี่โมงแล้วเนี่ย”

ชายหนุ่มพลิกตัวหนีแสงสว่าง บ่นกับตัวเอง แต่ก็ดังพอจะทำให้เพื่อนร่วมห้องได้ยินและหันมามอง เห็นผู้ชายโป๊ที่เธอนอนกอดเมื่อคืนรู้สึกตัวแล้ว

“จะเก้าโมงแล้วค่ะ”

“ริต้า?” อติรุจพยายามลืมตาขึ้นมอง “คุณตื่นนานรึยัง แล้วนั่นจะแต่งตัวไปไหน ยังเช้าอยู่เลยนะ”

“เรียกชื่อถูกด้วย” หญิงสาวเดินเข้ามาใกล้ หล่อนติดต่างหูเสร็จแล้วจึงนั่งลงบนเตียง เอื้อมมือแตะหน้าคนที่ยังมีอาการเหมือนโดนหมอนดูด ไม่มีแรงลุก “จะนอนต่อก็ได้นะคะ ริต้ามีประชุมตอนสิบโมง ต้องออกไปก่อน”

“ได้ไง” คราวนี้ร่างเปลือยเปล่าผุดลุกขึ้นนั่ง ทำเอาผ้าห่มหล่นไปกองที่ตัก เผยให้เห็นแผ่นอกกว้าง ซิกซ์แพ็กแน่น ที่ถ้าเป็นสาวน้อยคงเขินอาย แต่คงไม่ใช่กับศรีริตาที่กำลังขำอาการตีหน้าขรึมของคนโป๊ที่เริ่มโวย “แล้วใครจะอยู่กับผม ไหนว่าคุณพร้อมเป็นผู้หญิงของผมตลอดเวลา หลอกให้ผมหลงแล้วทำอย่างนี้ได้ไง จะฟันแล้วทิ้งเหรอ ผมไม่ยอมนะ”

“อย่ามาทำปากดีเลยค่ะ คุณน่ะเมื่อคืนยังละเมอเรียกชื่อเธอคนนั้นอยู่เลย”

“ผมเปล่าซะหน่อย”

“เหรอคะ เมื่อกี้ก็ยังละเมอเรียกอยู่เลย ชื่ออะไรนะ...พะแพงใช่มั้ย คงเป็นฝันดีสินะคะ”

“ฝันดีบ้าอะไร” คนพูดดูหงุดหงิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “อย่าพูดถึงผู้หญิงคนนั้นให้ผมอารมณ์เสียหน่อยเลย ผมไม่อยากได้ยินชื่อ แล้วอย่าเรียกให้ได้ยินอีก”

“คุณยังอารมณ์เสียที่พูดถึงเธอ แสดงว่าคุณยังไม่ลืมเธอ” ศรีริตารู้ว่าคนปากแข็งไม่มีทางยอมรับ “คุณยังรักเธอ ไม่อย่างนั้นคุณก็คงยอมแต่งงานกับผู้หญิงดีๆ ที่แม่คุณ น้องคุณพยายามจับคู่ให้ หรือไม่ก็ยอมขอริต้าแต่งงานไปแล้ว เรารู้จักกันมานานแล้วนี่ น่าจะแต่งกันได้แล้วนะ”

“แต่งเลยมั้ยล่ะ ผมจะได้ไปบอกคุณแม่ให้มาสู่ขอคุณ”

ศรีริตารู้ว่าคำพูดนั้นไม่ได้จริงจัง แต่เธอก็เล่นด้วย “ง่ายขนาดนั้นเชียว”

“ก็ไม่เห็นมีอะไรต้องยุ่งยากนี่ เราคบกันมานาน ถึงจะคบแบบไม่ผูกมัดก็เถอะ ถ้าแต่งกับคุณ ทุกคนก็คงแฮปปี”

“ยกเว้นคุณ?”

“ผมก็ไม่ได้เดือดร้อน เหลือแค่คุณ จะเอาไงล่ะ”

ศรีริตาเลิกคิ้ว ตีหน้าจริงจังก่อนจะหัวเราะ

“ไม่ละค่ะ ริต้าไม่อยากแต่งกับคนที่ไม่ได้รักริต้า แล้วที่สำคัญริต้าก็ไม่ได้รักคุณ คุณน่ะแค่คู่ควงยามเหงาค่ะ อย่าสำคัญตัวผิด” เธอบอกพลางก้มลงไปจุ๊บปากชายหนุ่มเหมือนผู้ปกครองจูบบ๊ายบายเด็กน้อยที่กำลังจะถูกทิ้งไว้ที่บ้าน “ไปละนะคะ”

“คุณจะทิ้งผมไว้อย่างนี้เหรอริต้า” แววตาขี้อ้อนนี้ใช้ได้ผลเสมอ แต่คงไม่ใช่กับคราวนี้

“อย่างอแงสิคะที่รัก อ้อ ริต้าลืมบอกคุณ ริต้าต้องบินไปอังกฤษนะคะ จะอยู่ที่นั่นสองสามอาทิตย์”

“คุณล้อผมเล่นใช่มั้ย แล้ววันว่างสามสี่วันที่เหลือผมจะอยู่ยังไง”

“ริต้าว่าคุณคงต้องหาคนควงแก้เหงาใหม่แล้วละค่ะ บ๊ายบาย”

ประตูห้องปิดลง อติรุจถอนหายใจ ขยับลงจากเตียง มองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก ดวงตาที่ดูเศร้ายิ่งทำให้หม่นหมอง เหมือนเคยมีเหตุการณ์อย่างนี้ในอดีต เขาเคยมีวันที่ดี วันที่ตื่นขึ้นมาแล้วมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาโอบหลัง เรียกชื่ออย่างอ่อนโยน

‘ตื่นแล้วเหรอคะพี่ภีม เดี๋ยวแพงไปทำอาหารเช้าให้ รอแป๊บนึงนะคะ...หือ?’

‘ไม่รอแล้ว จะกินตอนนี้ พี่จะกินพะแพงตอนนี้เลย หิวจะแย่ เมื่อคืนยังกินไม่อิ่มเลย ใครก็ไม่รู้หลับไปก่อน’

‘เอ๊ะ ไม่นะคะพี่ภีม ปล่อยแพงค่ะ อย่าค่ะ ไหนว่าวันนี้มีงานไงคะ...อย่า...’

เขาไม่เคยห้ามใจตัวเองยามอยู่ใกล้ผู้หญิงในอ้อมแขนได้เลย ทั้งหมดก็เพราะรัก เขารักเธออย่างที่ไม่เคยรักใคร แต่ทำไมเธอเลือกที่จะทิ้งไป แล้วทำไมเขายังเฝ้าคิดถึง คิดถึงผู้หญิงที่กล้าฆ่าลูกของตัวเองเพียงแค่เงินสิบล้าน!

“โธ่โว้ย!” คำสบถมาพร้อมเสียงกระจกร้าวที่ถูกหมัดเหวี่ยงใส่เต็มแรง รอยร้าวปรากฏขึ้นพร้อมกับที่เลือดไหลซึมจากกำปั้น

“เมื่อไหร่เธอจะออกไปจากหัวของฉันซะที...พะแพง เมื่อไหร่เธอจะไปจากชีวิตฉันซะที!”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น