4

บทที่ ๔


บทที่ ๔

 

น้ำอ้อยผู้ดูแลหวันยิหวา คือเด็กสาววัยสิบแปดที่ไม่ได้รู้เรื่องราวในอดีตเมื่อห้าปีก่อน เพราะเธอเป็นสาวน้อยจากประเทศลาวที่มาทำงานในสวน ความขยันทำให้เธอได้มาทำงานบ้าน พอเจนสุดาและลูกสาวมาอยู่เมืองไทย เธอจึงได้รับหน้าที่ดูแลเด็กตัวจ้อย เธอเป็นสาวช่างฝัน ชอบดูละคร ชอบตามดารา ช่วงนี้มีข่าวดังเรื่องปีเตอร์ ดาราโปรดของเธอทำสาวท้อง เธอจึงค่อนข้างติดโทรศัพท์เพื่อตามข่าวสาร ทำให้เผลอละสายตาจากหวันยิหวา

วันแรกน้ำอ้อยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหวันยิหวาหายไป ด้วยความกลัวว่าจะถูกตำหนิ จึงต้องนัดแนะกับหวันยิหวาว่าไม่ให้บอกคนอื่น

“นะคะ ถ้าใครถามน้องแตงหวานต้องบอกว่าเล่นอยู่กับพี่อ้อยตลอดเลย ไม่ได้ไปไหน”

“แต่หนูไปเล่นกับคุณลุงภีม”

“คุณลุงภีม? บ้านนั้นมีคนชื่อคุณลุงภีมด้วยเหรอคะ พี่อ้อยรู้จักแค่ลุงชุม ป้านวล พี่นาต แล้วก็พี่เอก”

“มีคุณลุงภีมด้วยค่ะ เมื่อวานคุณลุงภีมใจดีให้ส้มโอหนูกินด้วย”

“อ้อ คงจะเป็นเจ้านายของคนบ้านโน้น” เมื่อคิดได้อย่างนั้นก็ยิ่งกังวล จึงต้องรีบกำชับ “เราจะไปกวนคนบ้านโน้นไม่ได้นะคะ ไปวิ่งเล่นไม่ได้นะ”

“ทำไมด่างไปได้ หนูตามด่างไปนะคะ”

“ไม่มีใครว่าหมาหรอกค่ะ” น้ำอ้อยตอบชัดเจน

“ไม่มีใครว่าเด็กหรอกค่ะ” คนตัวน้อยก็มั่นใจอย่างนั้น

“ใช่ค่ะ ไม่มีใครว่าเด็ก แต่เขาจะว่าคนดูแลเด็กอย่างพี่อ้อย นะคะน้องแตงหวาน อย่าบอกใครนะว่าพี่อ้อยปล่อยให้น้องแตงหวานไปบ้านโน้น นะคะๆๆ ถ้าคนอื่นรู้พี่อ้อยต้องโดนดุแน่เลย เผลอๆ โดนไล่ออกด้วย พี่อ้อยก็จะไม่ได้เจอน้องแตงหวานอีก ต้องกลับประเทศลาว โอ๊ย แย่แน่ๆ คนที่บ้านพี่อ้อยก็ต้องแย่ ถ้าพี่อ้อยไม่ทำงาน ที่บ้านก็ต้องอด”

หวันยิหวาไม่ได้เข้าใจสิ่งที่น้ำอ้อยพูดมาก แต่เธอเข้าใจคำว่าอด “ไม่มีส้มโอกินเหรอคะ”

“ไม่ใช่แค่ไม่มีส้มโอกิน แต่ไม่มีข้าวกินเลยละค่ะ”

“แย่จังค่ะ”

“ใช่ค่ะ เพราะงั้นอย่าบอกใครนะคะ อย่าพูดเรื่องที่เจอคุณลุงภีมด้วยนะคะ นะคะคนดี ทำเพื่อพี่น้ำอ้อยนะ ไว้พี่น้ำอ้อยจะไปเก็บส้มโอมาให้เยอะๆ เลย”

“ค่ะ ถ้าไม่บอกหนูจะได้กินส้มโอเยอะๆ ใช่มั้ยคะ”

ตอนนี้น้ำอ้อยยิ้มแฉ่ง รู้แล้วว่าถ้าเกิดเรื่องจะใช้อะไรต่อรองกับคุณหนูตัวน้อย ถึงกระนั้นเธอก็รู้แล้วว่าไม่ควรปล่อยหวันยิหวาให้คลาดสายตา นึกโทษตัวเองที่มัวแต่ตามข่าว โชคดีเหลือเกินที่ไม่เกิดเรื่องร้ายแรง โดยหารู้ไม่ว่าเธอได้พลาดครั้งใหญ่ไปแล้ว พลาดที่ปล่อยให้หวันยิหวาไปเจออติรุจซึ่งเริ่มหันกลับมาขุดคุ้ยเรื่องราวในอดีตเพื่อหาความจริงว่าหวันยิหวาเป็นลูกของเขาหรือไม่ ถ้าใช่ รับรองได้ว่านับแต่นี้ เจนสุดาและคนในบ้านหลังนี้จะไม่ได้อยู่อย่างเป็นสุข

 

รถสปอร์ตหรูคันเดิมที่แล่นออกจากบ้านต้นลำพูมาถึงจุดหมาย คือ ‘คฤหาสน์บ้านโสภณเมธากุล’ คนขับรถเป็นใครไปไม่ได้นอกจากอติรุจซึ่งเวลานี้มีสีหน้าเคร่งขรึม ทันทีที่รถจอดสนิท คนในบ้านรีบออกมาต้อนรับ แต่เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของผู้เป็นนาย พวกเขาก็ถึงกับชะงัก นานเท่าไรแล้วที่ไม่เห็นผู้เป็นนายมีท่าทางไม่น่าเข้าใกล้ ถึงกระนั้นก็ต้องออกไปหา

“ถ้าทนายสุพลมาถึง พาไปหาฉันที่ห้องทำงานได้เลยนะ” เขาสั่งโดยไม่หยุดเดิน ชายหนุ่มมุ่งหน้าเข้าไปในบ้าน ผ่านโถงใหญ่ในห้องรับแขก เขาไม่มองเข้าไปด้วยซ้ำ จึงไม่รู้ว่ามีคนมารอพบอยู่ กระทั่งมารดาเรียก

“ตาภีม กลับมาแล้วเหรอลูก”

ชายหนุ่มชะงักเท้าก่อนจะขึ้นบันได

“หนูแพรไหมแวะมาหาน่ะลูก น้องเขาอยากไปดูหนัง ลูกพาน้องเขาไปหน่อยสิจ๊ะ”

“ผมไม่ว่าง ให้ยายภัคพาไปละกันครับ”

“ไม่ได้นะลูก จะให้น้องผู้หญิงไปดูหนังกันสองคนมันน่าเกลียด หนูแพรไหมอุตส่าห์มาชวน”

อติรุจคงปฏิเสธไปได้ง่ายกว่านี้ ถ้าตอนนี้แพรไหมไม่ได้ออกมายืนอยู่ข้างมารดา หญิงสาวยกมือไหว้

“คุณป้าอย่ารบเร้าพี่ภีมเลยค่ะ ไว้วันหลังก็ได้ วันนี้แพรไหมไปกับภัคได้ค่ะ”

“ไม่ได้หรอกลูก ยังไงซะวันนี้พี่ภีมก็ไม่ได้มีงานอะไร” พิสมัยพูดกับแพรไหมก่อนจะหันกลับมาหาลูกชาย “แม่เช็กกับเลขาฯ ของลูกแล้ว ลูกบอกว่าสามสี่วันนี้งดรับงาน”

“คงเข้าใจผิด ผมนัดทนายสุพลมาหาวันนี้” เขาบอกมารดาก่อนจะหันไปสบตาแพรไหม “ไว้วันหลังพี่พาไปนะครับ วันนี้พี่มีธุระจริงๆ ต้องขอตัว”

“สัญญานะคะ”

อติรุจพยักหน้าแล้วเดินขึ้นชั้นบนไป พิสมัยทำท่าจะรั้งไว้ แต่แพรไหมห้ามไว้เสียก่อน

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณป้า วันนี้พี่ภีมไม่ไป วันหน้าก็ได้ค่ะ พี่เขาสัญญาแล้ว ยังไงพี่เขาก็ทำตามสัญญา อย่าไปเซ้าซี้พี่ภีมเลยค่ะ เขาจะรำคาญเปล่าๆ”

“โถ ลูก น่ารักจริงๆ เข้าใจพี่เขาด้วย หนูแสนดีอย่างนี้ ป้าเชื่อว่าไม่นานพี่ภีมจะต้องเห็นความดีของหนู”

พิสมัยเชื่อเช่นนั้น เพราะหล่อนเห็นบางอย่างในตัวแพรไหม บางอย่างที่เหมือนเจนสุดา ความน่ารักสดใส ความเรียบร้อย ถึงจะไม่ชอบผู้หญิงคนนั้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าลูกชายไม่เคยลืมเธอ ถ้าจะหาใครสักคนที่จะมาเอาชนะใจอติรุจได้ ก็ไม่เสียหายที่จะลองดูสาวบุคลิกอย่างแพรไหม ที่แตกต่างกับเจนสุดาตรงฐานะ ชาติตระกูลดี การศึกษาเยี่ยม

“พี่ภีมไปกินรังแตนที่ไหนมาคะ” ภัคธิดาซึ่งเพิ่งแต่งตัวเสร็จเดินลงบันไดมา ดูเหมือนจะสวนทางกับอติรุจ “หนูพูดด้วยก็ไม่พูด แค่จะชวนไปดูหนังด้วยก็ไม่พูดกับหนูสักคำ”

นั่นคือสิ่งที่พิสมัยสงสัยเช่นกัน แต่เมื่อมีแพรไหมอยู่ด้วยก็ไม่สะดวกที่จะคุยเรื่องนี้

“คงเรื่องงานนั่นละ ตาภีมไม่มีเรื่องอะไรให้กวนใจได้หรอกนอกจากเรื่องงาน” พิสมัยบอก “ไปเถอะ ไปเที่ยวกันให้สนุกนะ ไว้แวะมาทานมื้อค่ำด้วยกันก็ดีนะ ป้าจะบอกตาภีมไว้”

แพรไหมยิ้มดีใจ แต่ภัคธิดาปฏิเสธเสียก่อน “หนูมีนัดต่อค่ะ คงกลับดึกๆ นะคะ”

“งั้นไว้โอกาสหน้านะคะ” แพรไหมมีมารยาทกับผู้สูงวัยกว่า พิสมัยจึงบอกว่า

“งั้นนัดเป็นพรุ่งนี้เลยดีกว่านะ เป็นมื้อค่ำ ป้าจะให้พี่ภีมเขาไปรับนะจ๊ะ”

“ค่ะ ไว้แพรไหมจะรอนะคะ”

พิสมัยรอส่งสองสาวจนรถแล่นออกไป ก่อนจะหันกลับมาในบ้าน ครุ่นคิดถึงอาการหงุดหงิดของลูกชาย รู้ว่าอาการอย่างนี้ของอติรุจคงไม่ใช่แค่เรื่องงาน

“เกิดอะไรขึ้นนะ ทำไมรู้สึกไม่สบายใจแบบแปลกๆ”

 

‘ท้อง? แพงท้องงั้นเหรอ’

คำถามนี้ไม่ได้มาเพราะได้ยินสิ่งที่เจนสุดาบอกไม่ชัด แต่เป็นเพราะอาการตกใจ ไม่เคยเตรียมใจว่าจะมาฟังเรื่องนี้ ก่อนหน้านี้ที่หญิงสาวโทรศัพท์มาหาบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะปรึกษา อยู่ๆ เธอก็อาเจียนออกมา แม้ไม่ได้เห็น แต่เสียงที่ส่งมาถึงก็บ่งบอกความทรมาน นั่นเป็นเหตุผลให้เขาทิ้งงานทุกอย่าง ขับรถไปอัมพวาด้วยความเป็นห่วง กลัวว่าคนรักจะเป็นอะไรไป เมื่อมาถึง เขาก็เห็นเธอนั่งหน้าซีดอยู่บนเตียง มองเขาด้วยแววตาเศร้า ในมือถือที่ตรวจครรภ์ แล้วบอกเขาว่าท้อง

‘เป็นความจริงเหรอแพง แพงไม่ได้หลอกพี่นะ’

เป็นอีกครั้งที่คำถามหลุดออกมาเพราะความตกใจ ไม่ใช่จะคาดคั้นให้หญิงสาวเป็นทุกข์ แต่มันทำให้เธอร้องไห้โฮ พร่ำพูดแต่คำว่า ‘ขอโทษ แพงขอโทษ’ นั่นเองที่ทำให้เขาได้สติ รีบตรงเข้าไปโอบกอดเธอไว้ กอดแน่นๆ เพื่อปลอบโยน รู้ดีว่าเวลานี้คนรักรู้สึกอย่างไร

‘ไม่ต้องขอโทษพี่ ไม่มีอะไรที่แพงต้องขอโทษ พี่ต่างหากที่ต้องขอโทษ พี่ต่างหากที่เป็นคนทำให้เกิดเรื่องนี้ พี่ทำผิดกับแพง ผิดที่ไม่ห้ามใจจนทำร้ายแพง’

เจนสุดายังคงร้องไห้ เธอตัวสั่นพร่ำพูดสิ่งที่ทำให้ทุกข์ ‘แพงจะทำยังไงดีคะ แพงจะบอกตากับยายยังไง แพงต้องทำยังไง แพงจะทำยังไง พี่ภีม...ช่วยแพงด้วย แพงกลัว แพงไม่รู้จะทำยังไง’

‘แพงไม่ต้องทำอะไร...แพง’ เขาพยายามบอก แต่เธอไม่ฟัง เอาแต่พร่ำพูดสิ่งที่ทุกข์ใจ จนเขาต้องดันตัวเธอออกจากอก ใช้สองมือประคองใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตาแล้วเรียกชื่อ แต่ดวงตาที่เคยสุกสกาวกลับยังคงเลื่อนลอยสับสนไร้สติ เขาจึงดึงเธอเข้ามาประทับจูบแผ่วเบา ริมฝีปากร้อนผ่าวเหมือนจะทำให้อีกฝ่ายรู้ตัว

‘พี่ภีม...’

‘ครับ นี่พี่ภีม ฟังพี่นะแพง แพงไม่ต้องกลัว ปัญหาทุกอย่างพี่จะจัดการเอง’

‘จัดการยังไงคะ’ เจนสุดายังมองไม่เห็นทางออก

‘พี่จะแต่งงานกับแพง พี่จะรับผิดชอบแพงกับลูก’

‘ได้เหรอคะ พี่ภีมจะแต่งงานกับแพงได้เหรอคะ’

ท่าทางหวาดกลัวระคนประหลาดใจ กับท่าทางเหมือนจะร้องโฮอีกหนของเจนสุดาทำให้เขาหลุดขำ

‘พี่ภีมหัวเราะทำไมคะ พี่ภีมหลอกแพงเหรอ’

‘ก็แพงน่ารักน่ะ’ ชายหนุ่มยังไม่หยุดเย้า ‘ถามมาได้ไงคะว่าพี่ภีมจะแต่งงานกับแพงได้เหรอคะ ทำไมพี่จะแต่งงานกับแพงไม่ได้ล่ะ ก็พี่รักแพงและเราก็กำลังจะมีลูกด้วยกัน’

‘แต่พี่ภีมมีงาน...ทางบ้านพี่ภีมด้วย’ นั่นคือปัญหา ‘แล้วถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป พี่ภีมจะต้องเสียหาย’

‘พี่ไม่เสียหาย คนที่เสียหายคือแพง พี่ถึงต้องรีบทำเรื่องนี้ให้ถูกต้อง พี่จะกลับบ้านไปบอกเรื่องนี้กับคุณพ่อคุณแม่พี่ พี่จะให้พวกท่านมาสู่ขอแพง เราจะแต่งงานกันให้เร็วที่สุด’

‘ได้จริงเหรอคะ’

ดูเหมือนเจนสุดาจะยังไม่เชื่อ ก็ไม่แปลกที่เธอจะคิดเช่นนั้น แต่เขายังคงยืนยัน พยุงเธอยืนขึ้นก่อนที่เขาจะคุกเข่าลง เอ่ยคำพูดที่เขาควรพูดมานานแล้ว ถ้าพูดก่อนหน้านี้ ผู้หญิงที่เขารักก็คงไม่ต้องทุกข์ใจ ร้องไห้จนตาบวม ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงมองเห็นแต่ความสวย ความน่ารักที่เธอมีไม่เคยเปลี่ยน

‘พะแพงครับ’ เขามองตาหญิงคนรักขณะคุกเข่า บีบสองมือเธอเบาๆ พร้อมกับบอกสิ่งสำคัญ ‘แต่งงานกับพี่นะ แต่งงานกับพี่ภีมนะครับ’

แต่งงานกับพี่ภีมนะครับ...

คำพูดที่อติรุจเคยพูดกับผู้หญิงคนเดียว ผู้หญิงคนเดียวที่เขารักและอยากใช้ชีวิตด้วย แม้เวลาผ่านไปกว่าห้าปี แต่ภาพของผู้หญิงที่เขาขอแต่งงานยังชัดในหัว ใบหน้าเธอเปื้อนคราบน้ำตา เธอสะอื้นไห้จนตัวโยน ไม่อาจพูดตอบรับหรือปฏิเสธออกมาได้ แต่เขาก็ได้คำตอบที่ต้องการเมื่อเธอโผลงมากอดพร้อมกระซิบเสียงสะอื้นว่า ‘ขอบคุณ’ ขอบคุณซ้ำๆ ไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยครั้ง จากนั้นก็หลับไปในอ้อมแขนเขาเพราะความเหนื่อยล้า บอกให้รู้ว่าเธอคงทุกข์ใจเพราะเรื่องนี้มาหลายวันจนร่างกายแทบทนไม่ไหว กว่าจะรวบรวมความกล้ามาบอกความจริงเขา นั่นยิ่งทำให้เขารัก...รักเธอมากขึ้นกว่าที่เคยรัก รักจนไม่กลัวที่จะสูญเสียทุกอย่าง ขอแค่จะได้เป็นสามีและเป็นพ่อ

“พี่จะต้องรู้ให้ได้ว่าเธอทำอย่างนี้ทำไม ทำไมเธอถึงได้ใจร้ายและเลือดเย็นกับพี่นัก...พะแพง”

 

“เหลือเวลาอีกตั้งชั่วโมงก่อนหนังฉาย”

ภัคธิดาเดินออกมาจากร้านอาหารพร้อมแพรไหม หญิงสาวพยายามเอาใจอีกฝ่าย เพราะมารดาบอกว่าถ้าหาทางให้แพรไหมลงเอยกับอติรุจได้ เธอจะได้รถคันใหม่เป็นรางวัล นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เธอต้องทนอยู่กับผู้หญิงน่าเบื่ออย่างแพรไหม ยอมเป็นเพื่อนกินเพื่อนเที่ยวทั้งที่ไม่ชอบสักนิด

“แพรไหมแวะไปดูกระเป๋ากับภัคก่อนดีกว่านะ วันก่อนคุณนุชโทร. มาบอกว่าคอลเล็กชันใหม่เข้ามาที่ร้าน เผื่อแพรไหมสนใจ เดี๋ยวให้พี่ภีมซื้อให้”

“น่าเกลียดแย่ ทำไมพี่ภีมต้องซื้อให้แพรไหมด้วยล่ะ”

“ไม่เห็นจะน่าเกลียด แพรไหมเป็นว่าที่พี่สะใภ้ภัคนี่นา ไปเถอะ”

สองสาวเดินคล้องแขนกันมา แต่แล้วจู่ๆ ภัคธิดาก็ชะงักไปเมื่อเห็นใครบางคนที่คุ้นตาเดินผ่านหน้า

“มีอะไรเหรอภัค” แพรไหมถาม มองตามสายตาภัคธิดาไป เห็นผู้ชายกับผู้หญิงคู่หนึ่งเดินผ่าน เป็นใครนั้นเธอไม่รู้จัก “คนรู้จักเหรอ”

ภัคธิดาไม่ตอบ เธอเดินตามไป

“เดี๋ยวก่อน เธอน่ะ...พะแพง!”

เจ้าของชื่อที่ถูกเรียกหันกลับมา “ภัค...”

“เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ไหนว่า...ไหนว่าจะไปให้ไกลจากพี่ภีมไง” ภัคธิดาเสียงดังจนคนเริ่มหันมอง แพรไหมเดินเข้ามาห้ามเตือนสติ “ไหนว่าเธอไปอยู่เมืองนอก กลับมาทำไม”

เจนสุดาค่อนข้างตกใจที่มาเจอคู่กรณีที่นี่ ถ้าเจอที่บ้านอัมพวาจะไม่ตกใจเท่านี้

“เธอกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่ตอบ”

การที่เจนสุดาไม่ตอบ ยิ่งเป็นการกระตุ้นภัคธิดาให้หงุดหงิด ก้าวเข้าหาอย่างไม่เป็นมิตร แต่ก่อนจะเข้าถึงตัวอีกฝ่าย เธอก็ถูกผลักไหล่จนเซ

“ไอ้โชติ แกกล้าดียังไงมาผลักฉัน”

“ผมกล้าทำยิ่งกว่านี้ ถ้าคุณคิดจะทำร้ายพะแพงอีก”

“ปกป้องกันไม่เปลี่ยนเลยนะ คิดว่าฉันจะกลัวแกเหรอ” ภัคธิดาทำท่าจะโผเข้าใส่ แต่แพรไหมดึงแขนไว้ พยายามห้าม

“ไม่เอาน่าภัค ใจเย็น คนมองเต็มแล้ว อายเขา”

“ทำไมต้องอาย คนที่สมควรอายคือนังนี่ กับไอ้นี่” ภัคธิดาชี้หน้าเจนสุดาและโชติขณะพูดกับแพรไหม แล้วอยู่ๆ ก็ตบมือเรียกสายตาทุกคนในบริเวณนั้นให้หันมอง “เจ้าข้าเอ๊ย ยังจำเรื่องเมื่อห้าปีก่อนได้มั้ยคะทุกคน เรื่องของผู้หญิงหน้า

ด้านที่อยากจะจับดารา สร้างข่าวว่าท้อง พอเขาจับได้ก็บอกว่าแท้ง พอเขาถามหาหลักฐานก็บอกว่าไม่ได้ท้อง แค่อยากรู้ว่าผู้ชายรักตัวเองหรือเปล่า คุ้นๆ มั้ยคะท่านผู้ชม คุ้นบ้างมั้ยคะ”

“หยุดนะ ภัคธิดา” โชติเข้าไปกระชากแขน “อย่าพูดเรื่องไม่จริงที่ทำให้คนอื่นเสียหาย”

“ทำไม ปกป้องมันดีจริงนะ ไอ้ผู้ชายหน้าโง่ รักคนผิดแล้วแกน่ะ”

“ภัค!”

“ปล่อยฉัน!” ภัคธิดาสะบัด แต่ไม่หลุด เธอจึงตบหน้าชายหนุ่มไปฉาดใหญ่แล้วทำท่าจะตบอีกครั้ง แต่เป็นเจนสุดาที่เข้ามาจับมือนั้นไว้ “แกจะทำอะไร! อยากโดนใช่มั้ย”

คราวนี้ภัคธิดาเปลี่ยนมาจะตบเจนสุดาด้วยมืออีกข้าง แต่ช้าไปเมื่ออีกฝ่ายตบสวนไปก่อนเสียงดังสนั่น ทุกคนที่ยืนมองเหตุการณ์อ้าปากหวอ ไม่คิดว่าคนที่ท่าทางเรียบร้อยจะทำอย่างนี้

“เลือด...” คนโดนตบคว่ำหน้าชา เมื่อรู้สึกเจ็บที่ปากและใช้มือแตะดูเห็นหยดเลือดเหนียวเหนอะก็ยิ่งโกรธ “แกกล้าตบฉัน!”

“มีเหตุผลที่จะต้องไม่กล้าด้วยเหรอคะ” เจนสุดาถามหน้านิ่งเฉย “ฉันกล้าทำมากกว่าตบ ถ้าคุณยังไม่หยุดคลั่งกัดคนเขาไปทั่ว”

“ต่ำ!”

“ด่าตัวเองทำไมคะ เว้นให้ฉันด่าบ้างก็ได้นะคะ”

ภัคธิดาโกรธ ไม่เคยเจอใครกล้าทำอย่างนี้กับเธอ จึงตั้งตัวไม่ทัน

“ยุคสมัยเปลี่ยนแล้ว เลิกแสดงนิสัยที่ไม่ได้รับการอบรมออกมาประจานตัวเองได้แล้ว คุณเองก็รู้นี่ว่าการกระทำของคุณมันต่ำ ถ้าอยากรู้ว่าฉันมาอยู่ที่นี่ทำไม มาอยู่ได้ยังไง ฉันก็จะตอบให้ ที่นี่เป็นประเทศบ้านเกิดพ่อแม่ฉัน ครอบครัวฉันอยู่ที่นี่ ฉันจะกลับมาอยู่เมื่อไหร่ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตพวกคุณ แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ ยังไงพวกเราก็ต่างคนต่างอยู่ อย่างวันนี้ถ้าคุณไม่เสนอหน้ามาโดนตบเอง คุณก็คงไม่โดนหรอกค่ะ”

“แก...”

“ไม่ใช่แค่คุณหรอกที่เกลียดหน้าฉัน ฉันเองก็เกลียดขี้หน้าพวกคุณไม่น้อยไปกว่ากันหรอกค่ะ...จบนะคะ หวังว่าจะไม่เจอกันอีก”

หลังตอกหน้าไป เจนสุดาหยุดรออยู่ครู่หนึ่งเผื่อว่าภัคธิดาจะแย้งอะไร แต่สุดท้ายเจ้าหล่อนก็ทำได้แค่กัดฟันกรอด บีบมือแน่นแล้วกระทืบเท้าอย่างขัดเคืองใจ

“ไปเถอะค่ะพี่โชติ”

“คะ...ครับ” แม้แต่โชติเองก็ตกใจ ไม่คิดว่าเจนสุดาจะกล้าตอบโต้ภัคธิดาอย่างที่ทำก่อนหน้านี้ แต่เขาก็ชื่นชมและภูมิใจ และเช่นเดียวกัน เหล่าไทยมุงที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็กู่ร้อง บ้างปรบมือ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบดูการประจานคนอื่นอย่างที่ภัคธิดาทำ สิ่งที่หญิงสาวทำถือเป็นพฤติกรรมที่ต่ำในสายตาคนอื่นเช่นกัน

นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ภัคธิดาและแพรไหมอับอายจนต้องรีบวิ่งออกไปจากตรงนั้น ตามมาด้วยเสียงโห่ไล่ จนโชติต้องหันกลับไปมอง ในขณะที่เจนสุดาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

“แพง...ทำให้พี่แปลกใจมาก ไปกินอะไรผิดสำแดงมารึเปล่าเนี่ย” ชายหนุ่มชวนคุย “แพงโตขึ้นแล้วจริงๆ พี่ยังกลัวๆ อยู่เลยว่าแพงจะรับมือกับอดีตนี้ไม่ได้ วันหลังสอนพี่บ้างนะ ลูกตบเมื่อกี้น่ะ”

ยังไม่มีเสียงใดๆ ตอบกลับมา เจนสุดายังคงเดินดุ่มๆ ไป จนเขาต้องรั้งแขนไว้ การสัมผัสทำให้รู้ว่าเจนสุดามือสั่นไปหมด บ่งบอกว่าหญิงสาวไม่ได้แกร่งอย่างคนที่พร้อมจะสู้คน แต่เธอพยายามสู้ทั้งที่กลัว

“แพง...” โชติเห็นหยาดน้ำตาในดวงตากลมโตนั้น นั่นยิ่งทำให้เขาภูมิใจ “อดทนได้เก่งมากเลยนะ”

“แพงจะไม่ให้คนพวกนั้นมาชี้หน้าด่าแพง จะไม่ยอมอยู่เฉยให้พวกเขาใช้คำพูดทำร้ายแพงอีกแล้วค่ะ การหนีไม่ได้ทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเสมอไป สิ่งที่ภัคทำในวันนี้บอกแพงอย่างนั้น ถ้าแพงยังต้องการอยู่ที่นี่ แพงต้องไม่กลัวพวกเขา...แพงจะไม่กลัวค่ะ”

“เก่งมาก พี่ภูมิใจในตัวแพง แล้วแพงไม่ต้องกลัวนะ การสู้ของแพงจะมีพี่อยู่ด้วยเสมอ” ชายหนุ่มกุมมือเจนสุดาไว้ “ให้พี่อยู่ข้างๆ แพงนะ”

เป็นอีกครั้งที่เจนสุดาทำเพียงยิ้มให้ แล้วดึงมือออกอย่างไม่ให้น่าเกลียด แต่ก็ยืนยันถึงความสัมพันธ์ที่ชัดเจน ผู้หญิงคนนี้ไม่เคยเปิดรับผู้ชายคนไหนเลยตั้งแต่ผิดหวังจากอติรุจคราวนั้น

“กลับบ้านกันเถอะค่ะ”

“ยังกลับไม่ได้สิ ยังไม่ได้หาของขวัญวันเกิดให้แตงหวานเลย” โชติยังจำได้ ในขณะที่เจนสุดาลืม แต่เธอก็ไม่อยากกลับเข้าไปในห้างนั้นอีกแล้ว “แต่ไม่เป็นไรหรอกนะ วันเกิดแตงหวานปลายเดือนโน่น ไว้เข้ามากรุงเทพฯ อีกทีค่อยแวะมาดู”

“ค่ะ สิ้นเดือนต้องพาคุณยายมาตรวจอีกครั้ง ไปซื้อตอนนั้นก็ได้ค่ะ”

โชติพยักหน้าแล้วเดินไปที่รถ ระหว่างนั้นก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนเจนสุดาทัก เขาจึงให้เหตุผลว่า

“พี่สะใจ เห็นหน้าภัคธิดาตอนโดนสวนแล้วสะใจชะมัด คงคาดไม่ถึงละสิ เมื่อก่อนเอาแต่รังแกแพงนี่นา ตอนนั้นแพงก็อดทนเหลือเกิน ทนให้รังแก”

“จริงๆ แล้วแพงก็ไม่ได้ทนอะไรนะคะ แพงแค่ไม่ใส่ใจ คิดว่าการไม่ถือสาจะทำให้อะไรดีขึ้น แต่เหมือนบางทีเรื่องแบบนี้ก็ใช้ไม่ได้กับทุกคน แพงกลัวค่ะ กลัวว่าถ้าแพงปล่อยให้เขาทำอย่างเดิม เขาจะไม่รังแกแค่แพง แพงกลัวว่า...”

“เขาจะทำร้ายแตงหวานสินะ” โชติเข้าใจเจนสุดา “ไม่ต้องห่วงนะ พี่จะไม่ยอมให้ใครมารังแกแพงกับแตงหวานแน่นอน พี่ขอเอาชีวิตเป็นประกัน”

“ขอบคุณค่ะ” เจนสุดาอุ่นใจที่มีพี่ชายคนนี้อยู่เคียงข้าง คอยให้กำลังใจเธอเสมอมา

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น