3

บทที่ 3


 

บทที่ ๓

 

อาเชจอดพาหนะคันสีดำเก่าบุโรทั่งไว้ริมทางเท้าแล้วก้าวลงจากรถ เอื้อมมือหยิบกล่องกระดาษใบย่อมหลังกระบะท้าย เดินข้ามถนนไปยังตึกแถวสองชั้นห้องหัวมุมที่ช่วงบนขึงผ้าใบกันแดดสีดำ พิมพ์ชื่อและโลโก้โรงคั่วกาแฟ ‘ขุนเขา’

นอกจากกิจการโรงคั่วแล้ว ด้านหน้ายังเปิดเป็นร้านกาแฟขนาดเล็กให้คนมานั่งละเลียดชิมสารเสพติดยอดฮิตกระตุ้นประสาทคนครึ่งค่อนโลก บรรยากาศด้านในอบอุ่นน่านั่ง ถ้านับเฉพาะเขตตัวเมืองเชียงรายแล้ว ร้านนี้เป็นร้านโปรดของอาเช ที่สำคัญ...เพื่อนสนิทของเขาเป็นเจ้าของ

ความโปร่งใสของกระจกหน้าร้านเผยให้เห็นความเป็นไปภายในได้เป็นอย่างดี บาริสตาสาวก้มๆ เงยๆ อยู่หน้าเครื่องชงกาแฟตัวใหญ่ที่กำลังคายของเหลวสีน้ำตาลเข้มลงมายังแก้วรองด้านล่าง หัวเป่าฟองนมพ่นไอน้ำคละคลุ้งยามเปิดไล่อากาศก่อนทำการอุ่นนมให้ร้อน ผนังด้านหลังของเธอเป็นชั้นไม้สูงถึงฝ้ายาวตลอดแนวผนัง บนนั้นมีทั้งหนังสือ ถุงกาแฟ แก้วเซรามิก และอุปกรณ์เครื่องชงด้วยมือแบบต่างๆ วางเรียงรายเต็มทุกช่องชั้น แซมด้วยสีเขียวของกระถางพลูด่างแขวนห้อยอยู่ตรงมุมทิ้งก้านยาวลงมาเกือบถึงพื้น

กลิ่นหอมของเมล็ดกาแฟคั่วบดใหม่ผสมกับกลิ่นขนมอบลอยเตะจมูกเมื่อชายหนุ่มผลักประตูเข้าไป มะลิ หญิงสาวหน้าใสไว้ผมบ๊อบสั้นเต่อสวมผ้ากันเปื้อนสีดำกำลังง่วนคุยอยู่กับลูกค้าตรงเคาน์เตอร์ อาเชจึงหยิบหนังสือพิมพ์บนโต๊ะใกล้ตัวมาอ่านระหว่างรอ

พาดหัวข่าวใหญ่ยังคงเกี่ยวข้องกับปัญหาความสัมพันธ์ตึงเครียดระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านที่ลุกลามรุนแรงจนเกิดการปะทะกันของกองกำลังทหารสองฝ่าย หนึ่งในหัวข้อข่าวรองเป็นรายละเอียดของเครื่องบิน F5 ที่เพิ่งตก

ญาติอาลัย ทหารรับศพผู้กองสิงห์อย่างสมเกียรติ ทอ. เชิดชูปูนบำเหน็จ ๗ ขั้น (เอียง)

พร้อมภาพประกอบของกลุ่มญาติยืนรอเหล่าทหารอากาศโยธินแบกหีบไม้คลุมด้วยธงชาติลงจากท้ายเครื่องบินลำเลียง ผู้หญิงตัวผอมบางในชุดดำตรงกลางรูปดึงดูดความสนใจของชายหนุ่ม...เธอดูคุ้นตาเหลือเกิน

เสียงแหลมดังทักทายขึ้น

“พี่อาเช! วันนี้แวะมาหาพี่ขุนหรือมากินกาแฟคะ” มะลิยิ้มกว้าง อาการดีใจออกนอกหน้าและความกระตือรือร้นของเด็กสาวทำเอาเขาเขินได้ทุกครั้งไป

‘ความสงสัย’ ของชายหนุ่มจึงหยุดอยู่แค่นั้น

“มากินกาแฟฝีมือมะลิและก็อยากเจอไอ้ขุนด้วย สองอย่างเลย...จะได้ไม่รักพี่เสียดายน้อง”

“พี่ขุนเหรอคะ เห็นแว้บๆ ไปไหนแล้วล่ะ”

หญิงสาวมองไปทางหลังร้านบริเวณที่ลดระดับจากร้านกาแฟลงไปอีกเกือบครึ่งชั้น แยกสัดส่วนชัดเจนเพื่อเป็นโรงคั่ว เครื่องจักรสีดำหน้าตาเหมือนหัวรถจักรไอน้ำโบราณขนาดย่อส่วนตั้งอยู่เกือบกลางห้อง ขนาบด้วยโต๊ะไม้ตัวยาว บนพื้นรายล้อมไปด้วยกระสอบสารกาแฟ๗ซ้อนกันอยู่หลายกอง โต๊ะทำงานตัวเก่าหันหน้าเข้าผนัง บนนั้นมีแลปทอปควบคุมระบบแต่ไร้ร่องรอยของผู้คน จักรยานเสือหมอบพาหนะคู่ใจเจ้าของร้านพิงอยู่ด้านใน แสดงว่าเจ้าตัวไม่ได้ไปไหนไกล

“สงสัยจะออกไปหลังร้าน เดี๋ยวมะลิชงกาแฟให้พี่อาเชเสร็จแล้วจะไปตามให้ วันนี้เอาอะไรดีคะ ลองแบล็ก๘เหมือนเดิม?”

“ครับ”

“พี่อาเชดื่มแบบเปรี้ยวหน่อยได้ใช่ไหม ลองเมล็ดของเอธิโอเปียไหมพี่ พี่ขุนสั่งมาใหม่ เพิ่งคั่วเสร็จเมื่อวันก่อนเอง เปรี้ยวหน่อยแต่สดชื่นดีนะ กลิ่นผลไม้คล้ายพวกลูกพลัม หรือพี่จะเอาตัว ‘ฟ้าประทาน’ เฮาส์เบลนด์๙ของที่ร้าน”

“มะลิเลือกให้พี่เลย อันไหนก็ได้ ยังไม่เคยกินทั้งคู่”

 

“ไอ้เช มานานยัง”

เสียงมาก่อนตัว ผู้ชายตัวสูง ผิวขาวแบบคนเหนือ ผมด้านข้างไถสั้นแนบศีรษะ ครึ่งบนปล่อยยาวรวบไว้ด้านหลัง แม้จะ

สวมเสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนเรียบง่าย แต่เพิ่มความพิเศษด้วยผ้าพันคอลายตารางหมากรุกสีแดงริ้วขาว...มันคือผ้าขาวม้าดีๆ นี่เอง

คนนั่งรออยู่ก่อนเห็นแล้วอดยิ้มไม่ได้กับการแต่งตัวนำแฟชั่นอันเป็นเอกลักษณ์ของเพื่อนสนิท

“ผมทรงใหม่? เห็นแล้วนึกว่าพระเอกหลุดมาจากกองถ่ายละคร”

“อ้ายสาด เจอหน้าก็แซวเลยนะ ไอ้หล่อยอดดอย หายไปเป็นเดือนเลย”

“ช่วงนี้บนหมู่บ้านโคตรยุ่ง ไหนจะต้องเก็บกาแฟแล้วยังมามีเรื่องเครื่องบินตกอีก ไม่มีเวลาให้ได้ออกไปไหนเลยว่ะ”

“เห็นข่าวอยู่ เป็นไงวะ หัวใจจะวายกันเลยสิ โชคดีแม่งไม่ตกกลางหมู่บ้าน ไม่งั้น...” คำพูดถูกแทนที่ด้วยสีหน้าสยอง

“ก็เกือบไป” ภาพเหตุการณ์วันนั้นแวบขึ้นมาในหัว “นักบินพยายามบังคับเครื่องให้พ้นหมู่บ้าน ไม่งั้นคงไม่เหลือรอดมานั่งคุยอยู่ตรงนี้แล้ว” แววตาของอาเชเคร่งเครียดขึ้น “แต่ตัวนักบิน...ไม่รอด”

“เหี้- ฟังแล้วเศร้า”

“เป็นพี่ใครน้องใครไม่รู้ พ่อแม่เขาจะเสียใจเท่าไหร่ กูนึกไม่ออกเลยว่ะ”

ขุนเขาตบไหล่เพื่อนเพื่อเรียกขวัญ “เอาน่ะ มันผ่านไปแล้ว ว่าแต่วันนี้แวะมามีอะไรรึเปล่าวะ หรือมาหาเพราะอยากเจอหน้าเพื่อน”

“สำคัญตัวผิดตลอดเลยนะมึงนี่ กูเอาสารกาแฟลอตแรกของปีนี้มาให้ช่วยคัปปิง๑๐” ตาเหลือบมองลงไปยังกล่องกระดาษที่วางอยู่แทบเท้า “เอามาห้ากิโล”

“จะคัปปิงอะไรกันวะ ตั้งห้าโล”

“ก็ใจดีเอามาฝากให้มึงสอง อีกสองช่วยจัดการคั่วให้หน่อย จะเอากลับไปให้คนในหมู่บ้านลองชิม ส่วนอีกโลที่เหลือเอาไว้กินด้วยกันวันนี้ไง”

“ครับผมคร้าบ” คนทะลึ่งทำท่าตะเบ๊ะรับ “คุณพี่บัญชามาได้เลย กระผมจัดให้”

 

สารกาแฟดิบเม็ดสีเขียวอ่อนถูกป้อนใส่ลงไปในเครื่องคั่วที่ตั้งอุณหภูมิไว้จนร้อนได้ที่ ขุนเขานั่งเฝ้าใกล้ชิด สายตาไม่ละจากหน้าจอแสดงผลแม้แต่น้อย แต่ก่อนที่จะหลุดเข้าสมาธิไป ยังอุตส่าห์ยัดเยียดนิตยสารคอฟฟีแทรเวลเลอร์ใส่มืออาเช

“ลองอ่านเล่มนี้ดู หน้าที่พับไว้ให้”

บทความสัมภาษณ์ ‘คนล่ากาแฟ’

 

เบญจมินทร์ ไบร์ หนุ่มลูกครึ่งไทย-อังกฤษ ผู้มีอาชีพตามล่าหาเมล็ดกาแฟดิบหรือที่เรียกกันว่า สารกาแฟ หน้าที่หลักในแต่ละวันของเขาคือเดินทางไปตามประเทศต่างๆ ทั่วโลก ไปยังเมืองเล็กทุรกันดารอันเป็นแหล่งปลูกกาแฟคุณภาพ เพื่อดื่ม ชิม ค้นหาเมล็ดกาแฟรสชาติดีเลิศให้แก่ลูกค้า อันได้แก่ร้านเชนกาแฟชั้นนำของโลกที่มีสาขามากมาย รวมถึงส่งป้อนโรงคั่วทั้งขนาดกลางและใหญ่

 

ข้อความต่อมาเตะตาอาเชอย่างจัง

 

ถึงแม้คุณเบนจะอาศัยและทำงานอยู่สิงคโปร์ซึ่งเป็นศูนย์การซื้อขายและกระจายกาแฟหลักที่สำคัญในแถบภูมิภาคเอเชีย แต่สำหรับอนาคตอันใกล้นี้ คุณเบนได้วางแผนจะเดินทางไปสำรวจไร่กาแฟทางภาคเหนือของไทย เช่น เชียงราย เชียงใหม่ เพื่อค้นหากาแฟคุณภาพดีของเมืองไทย รวมถึงอยากศึกษาขั้นตอนการผลิตกาแฟด้วยตัวเอง

“ผมเชื่อว่าเมืองไทยน่าจะมีกาแฟแครักเตอร์น่าสนใจและรสชาติเป็นเอกลักษณ์ซ่อนอยู่ เพราะพื้นที่ทางเหนือมีอากาศและสภาพภูมิประเทศเหมาะสมอย่างมาก รวมถึงพันธุ์กาแฟส่วนใหญ่ที่ปลูกก็เป็นพันธุ์ดี”

 

เขาพิมพ์ชื่อ ‘เบญจมินทร์ ไบร์’ เก็บไว้ในโทรศัพท์มือถือ

เสียง ‘แคร็ก’ ของเมล็ดกาแฟปริแตกดังมาจากเครื่องคั่ว อาเชหันกลับไปสนใจเจ้าหัวรถจักรขนาดย่อมที่ตั้งอยู่กลางห้อง ขุนเขากำลังดึงกรวยขนาดเล็กบรรจุตัวอย่างกาแฟราวหนึ่งกำมือออกมาจากถัง เขาดมกลิ่นของมันและสำรวจดูสีอย่างตั้งใจ ตรวจสอบซ้ำไปซ้ำมาจนกระทั่งเมล็ดที่ได้มีสีเข้มถูกต้องเหมาะสม จึงปล่อยกาแฟในถังทั้งหมดลงมายังถาดรองด้านล่าง ตอนนี้กลิ่นแสนพิเศษแทรกไปทั่วทุกอณูของอากาศ หอมกรุ่นไปทั้งร้าน

“ได้เวลาชิมแล้วครับคุณเพื่อน”

เมล็ดคั่วใหม่สดๆ ร้อนๆ ถูกบดละเอียดนอนอยู่ในถ้วยเซรามิกปากกว้างขนาดเล็ก ขุนเขารินน้ำร้อนจนผงกาแฟลอยฟูปริ่มขอบแก้ว รอเพียงครู่พอให้ความร้อนลดลง ชายหนุ่มทั้งสองจึงก้มลงใช้ช้อนปาดกากด้านบนออก พร้อมจดจมูกดมกลิ่น ใกล้จนปลายจมูกแทบจะจุ่มลงไปในแก้ว

“กลิ่นดี” ขุนเขาพูดจบประโยคแล้วจึงใช้ช้อนตักน้ำกาแฟสูดเข้าปากอย่างเร็วและดังลั่น

อาเชทำตาม แต่เสียงสำลักดังขึ้นตามด้วยเสียงไอไม่หยุด เจ้าเพื่อนตัวดีหลุดหัวเราะไม่เกรงใจ ส่วนคนสำลักส่ายหน้า

“ทำไม่ได้สักทีว่ะ ไอ้การสเลิร์ป๑๑อะไรของมึงเนี่ย” เขายิ้มเขิน

“มึงต้องฝึก สำคัญมาก เพราะมันทำให้น้ำเป็นละออง กระจายกลิ่นขึ้นจมูกได้ดี...ไง ได้กลิ่น รส อะไรบ้างไหม”

“ได้ห่าอะไรล่ะ สำลักซะขนาดนั้น”

“กูได้กลิ่นหอมเหมือนเปลือกส้มผสมกลิ่นวานิลลา หอมดีนะ”

ถ้วยเดิม รอเวลาให้อุณหภูมิเย็นลงอีกหน่อย รสชาติกาแฟจะเริ่มปรากฏชัดเจน แต่ละคนตักซดกันอีกคนละที

“หวานฉ่ำอมเปรี้ยวนิดๆ รสชาติสะอาดใสดี อาฟเตอร์เทสต์หวานค้างนานติดปลายลิ้น” ขุนเขาพยักหน้ากับตัวเอง ก่อนเอื้อมมือมาตบไหล่เพื่อน “เหี้-! ดีว่ะ”

“ตกลงเหี้-หรือดีวะ”

คนฟังยิ้มกว้าง “ดี กาแฟดีมากเลย กูว่าเข้าข่ายเป็นสเปเชียลตีคอฟฟีได้เลยนะมึง”

“อธิบาย!”

“ก็เป็นกาแฟคุณภาพสูง รสชาติดีงาม ถ้าให้คะแนนตามหลักเกณฑ์มาตรฐานของสมาคมกาแฟชนิดพิเศษยุโรป ไอ้กาแฟของมึงเนี่ยน่าจะได้เกินแปดสิบจากร้อยเลยนะโว้ย”

“อืม” หน้าตาคนตอบรับไร้ความตื่นเต้น

“อะไรวะ ไม่ดีใจเลยเหรอ”

“ก็ดีใจอยู่หรอกนะ แต่ไม่รู้จะไปบอกใครได้ แค่ลองเอาไปขายให้ร้านในเชียงรายยังไม่มีใครเอาสักร้าน แม่งบอกกาแฟไทยไม่ดี รสชาติแดกไม่ได้”

“มันพูดอย่างนั้นเลยเหรอวะ!”

“เปล่าหรอก ไม่ได้พูดตรงขนาดนี้ แต่ความหมายก็ไม่ต่างไปสักเท่าไหร่”

“เฮ้ย แต่ลอตนี้กูช่วยซื้อ”

“ไม่เอา ไม่ต้องช่วย”

“อะไรของมึงเนี่ย คนจะซื้อแต่ไม่ขาย เจริญละ”

“ถ้าจะช่วยเพราะสงสาร กูไม่เอา” ปฏิเสธอย่างจริงจัง “ถ้าจะซื้อก็ต้องซื้อเพราะของคุณภาพดี”

“ไอ้นี่มันเรื่องเยอะ” ขุนเขาเปรยกับตัวเอง “เออ ก็จะซื้อเพราะของมันดี แล้วอยากช่วยด้วยไม่ได้เหรอวะ”

“งั้นก็ดี ขอบใจ”

“กูจะเอามาผสมเป็นเฮาส์เบลนด์ของที่ร้านและคั่วสำหรับขายส่งด้วย ต้องอร่อยมากแน่ๆ” เจ้าของร้านหนุ่มทำหน้าชวนฝัน “แต่ขายตัวเดี่ยวๆ แบบซิงเกิลออริจินคงยังไม่ได้ จริงอย่างมึงว่า คนไทยยังไม่ยอมรับกาแฟไทย ท่าจะขายยากอยู่”

อาเชมีสีหน้าครุ่นคิด “แล้วจะทำยังไงวะถึงจะทำให้คนไทยอยากลองชิมแล้วรู้ว่ากาแฟปลูกบ้านเรามันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าที่อื่น”

“ต้องหาคนมายืนยัน เอาแบบพวกมีความรู้ เป็นฝรั่งได้ยิ่งดี”

“ทำไมต้องเป็นฝรั่ง”

“กูว่าคนไทยส่วนใหญ่ชื่นชมฝรั่งว่าพัฒนากว่าเรา ฉลาดกว่าเรา พูดอะไรมาก็เชื่อตามไง อีกอย่างวัฒนธรรมการกินกาแฟมันเริ่มจากทางโน้น ก็เลยคิดเอาว่าฝรั่งน่าจะรู้ดีกว่า”

“เหรอวะ”

“กูยังเป็นเลย” ขุนเขายิ้มกว้างจริงใจ ยอมรับหน้าตาเฉย “แต่คิดแบบนี้ตั้งแต่ก่อนไปเรียนเมืองนอกนะ แต่พอได้ไปอยู่ที่โน่น ได้คลุกคลีกับคน ก็รู้ว่ามันไม่จริงเสมอไป ฝรั่งเก่งก็มี ไอ้ไม่เก่งมันก็มี คนของเราที่เก่งกว่าก็มี คนไทยก็ไม่ได้แย่นะโว้ย”

‘ไม่รู้มันหมายถึงตัวเองรึเปล่า’

“ขอแนะนำว่าให้ส่งตัวอย่างไปตามสมาคมกาแฟหรือไม่ก็พวกเว็บรีวิวกาแฟของฝรั่ง ให้เขาชิมแล้วประเมินผลออกมา ถ้าคะแนนดีนะ รับรองมีเท่าไหร่ขายไม่พอ...น้องเชื่อพี่”

‘ก็จะลองดู ไม่มีอะไรจะเสียนี่’ โอกาสอยู่ที่ไหนเขาจะเดินไปหามัน จะลองทุกทาง พยายามให้ถึงที่สุด อยากให้พ่อและแม่รวมถึงชาวบ้านขายผลผลิตได้ราคาสมกับที่ลงแรงเหนื่อยยาก อยากให้ทุกคนในหมู่บ้านมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น

“ตกลงกูสั่งสารกาแฟตันนึงแต่ทยอยส่งแล้วกัน เดือนละสองร้อยห้าสิบกิโล เริ่มปลายเดือนนี้เลยนะ” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนหน้าอาเช ดวงตาของเขาสดใส เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังและกำลังใจ

“มีข่าวดีไปบอกคนในหมู่บ้านแล้ว ขอบใจเพื่อน”

“งั้นเดี๋ยวกูคั่วส่วนที่เหลือทั้งหมดให้ แล้วมึงก็เอากลับไปให้ชาวบ้านลองกินดู เขาจะได้รู้ว่าที่ลงแรงปลูกกันไป ผลมันออกมาน่าชื่นใจแค่ไหน...รอสักครึ่งชั่วโมง ไม่น่าเกิน” คนบอกหันมาทำตาเจ้าเล่ห์ “นั่งให้มะลิจีบไปพลางก่อนนะ”

สำนึกบุญคุณอยู่หรอกนะแต่อดด่าในใจไม่ได้...‘กวนตีนละมึง’

 

อาเชเดินหนีมานั่งสั่งกาแฟอีกแก้ว หยิบหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าที่อ่านค้างไว้มาเปิดดูอีกรอบ เมื่อไร้เสียงดังของไอ้เพื่อนตัวดีจึงทำให้เขารวบรวมสติกลับมาอยู่กับความสงสัยที่ค้างคาใจ...ผู้หญิงในรูป

เขาเพ่งพิจารณาใบหน้าด้านข้างที่ก้มลง แก้มนวลมีรอยน้ำตาเปียกชื้น จมูกเชิดรั้นแดงระเรื่อ เธอดูคล้ายใครคนหนึ่งที่เขารู้จัก เพียงแต่ผอมกว่ามาก...คงไม่ใช่หรอกมั้ง

เธอน่าจะเป็นคนรักของผู้กองสิงห์...ตอนนี้กำลังร้องไห้อยู่หรือเปล่านะ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น