4

บทที่ 4


 

บทที่ ๔

 

ฟ้ายามพลบค่ำแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงส้ม พระอาทิตย์ฉายลำแสงสุดท้ายยังปลายขอบฟ้า ช่วงเวลาที่ความสว่างทั้งหมดทั้งมวลกำลังจะลาลับดับสิ้น บรรยากาศในวัดเงียบสงบวังเวง เมื่อขบวนรถยนต์หลวงสีงาช้างจอดเทียบหน้าศาลาพิธี ผู้แทนพระองค์อัญเชิญน้ำหลวงอาบศพก้าวลงมาจากรถ พลเอกนรสิงห์และโสนยืนอยู่ด้านหน้า ถวายความเคารพด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและถือเป็นเกียรติสูงสุดแด่ผู้วายชนม์

ก่อนเวลาเริ่มงานสวด หญิงสาวถือโอกาสแยกตัวออกมาจากกลุ่มคน ถอยห่างมาหยุดยืนดูศาลาพิธีอย่างเพ่งพินิจ เป็นงานศพที่สวยงามสมเกียรติ หีบไม้แกะสลักงดงามสีทองตั้งเด่นสง่าอยู่กลางศาลา ประดับเบื้องล่างด้วยช่อดอกไม้สีขาวแน่นเป็นพุ่มใหญ่ใต้ฐาน เบื้องหน้ามีชุดเครื่องเกียรติยศประกอบศพ อันได้แก่ เครื่องแบบชุดขาวเต็มยศสำหรับงานราชพิธีอยู่ในหุ่น หมวก ถุงมือ กระบี่ประจำตัวที่ได้รับพระราชทานในวันจบการศึกษาและธงชาติซึ่งเคยคลุมร่างถูกพับจัดวางอยู่บนพานลดหลั่นเป็นระดับ รูปเรืออากาศเอกสิงห์ในชุดบินใบหน้าแย้มยิ้มถ่ายคู่กับเครื่องบินคู่ชีพวางอยู่บนขาตั้ง ด้านข้างมีพวงหรีดพระราชทานจากพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ พวงหรีดจากนายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการเหล่าทัพและจากบุคคลระดับสูงอีกหลายท่าน ด้านหน้าพิธีทั้งเบื้องซ้ายและเบื้องขวา ทหารอากาศโยธินยืนยามเกียรติยศในชุดเครื่องแบบสวนสนามถือปืนยาวปลายกระบอกชี้ลงพื้น มือสองข้างประสานพักไว้ท้ายด้ามจับ ก้มหน้าแสดงความเคารพตลอดงานพิธี

“เป็นการจากไปอย่างสง่างามและสมศักดิ์ศรีที่สุด”

โสนหันกลับไปตามเสียงเจือเศร้าซึ่งดังขึ้นด้านหลังเธอ “พี่กระทิง”

ต้นเสียงมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เจ้าตัวยืนอยู่ข้างผู้กองช้างพลาย เพื่อนรักอีกคนของพี่สิงห์ ทั้งสองคนอยู่ในชุดเครื่องแบบ มีผู้หญิงสวย นัยน์ตาโศก รูปร่างอวบอัดสะดุดตายืนเยื้องไปด้านหลัง

“พี่เคยคุยกับไอ้สิงห์ ถ้าเลือกได้จะขอตายกับเครื่อง สำหรับทหารไม่มีใครอยากตายข้างถนน แต่พี่นึกไม่ถึงว่าที่คุยกันมันจะกลายเป็นความจริง ไม่คิดเลยว่าจะต้องมางานมัน” กระทิงทอดถอนใจ

“โสน พี่ขอโทษ” แววตาของช้างพลายหม่นเศร้า เขารู้สึกผิดมากในใจ เธอรับรู้ได้

“พี่พลายขอโทษโสนทำไมคะ”

“ก็พี่บินกับมัน พี่น่าจะช่วยมันได้มากกว่านี้” คนพูดก้มหน้ามองพื้น สันกรามนูนขึ้นเพราะพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ สำหรับช้างพลายแล้วการเห็นเพื่อนรักตายไปต่อหน้าต่อตาช่างหนักหนาสาหัสนัก เขาได้แต่โทษตัวเองว่าช่วยเพื่อนไม่ทัน

“พี่พลายจะช่วยพี่สิงห์ได้ยังไง มันเป็นอุบัติเหตุ เครื่องยนต์ขัดข้อง...อย่าคิดมากเลยนะคะ” เธอตอบเสียงแผ่ว ลูบหลังมือเขาอย่างปลอบใจ

“พี่น่าจะเตือนให้มันอีเจกต์เร็วกว่านี้”

“ทั้งพี่สิงห์และพี่พลายทำดีที่สุดแล้ว โสนเชื่อแบบนั้น อย่าโทษตัวเองเลย โสนไม่โกรธพี่ ไม่คิดว่ามันเป็นความผิดของใคร”

พี่ชายทั้งสองขยับเข้ามาใกล้ โอบหลังลูบไหล่เธอ แววตาอ่อนโยน กิริยาแสดงความห่วงใย เต็มใจปกป้อง

“ตั้งแต่นี้ต่อไป เราเป็นน้องสาวของพี่แล้วนะ พี่สองคนจะดูแลเราเอง”

เป็นความรู้สึกอบอุ่นอย่างอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้....คำสัญญาซาบซึ้งใจระหว่างเพื่อนทหาร

เมื่อเพื่อนรักจากไป คนที่เหลืออยู่จะดูแลหัวใจของคนจากไปอย่างดีที่สุด

“โสนเคยเจอหมอพลอยแล้วรึยัง” กระทิงพยักพเยิดไปทางนายทหารหญิงในเครื่องแบบชุดขาวติดยศเรืออากาศเอกที่ยืนฟังทั้งสามคนคุยกันอยู่นานแล้ว

‘คนนี้นี่เอง...หมอทหาร สาวสวยประจำกองบินที่พี่สิงห์เคยพูดถึง’

“ยังไม่เคยเลยค่ะ ตอนโสนไปหาพี่สิงห์ที่เชียงใหม่เมื่อต้นปี คุณหมอยังไม่ได้ย้ายไปประจำการ” เธอยกมือไหว้หญิงสาว ผู้มากวัยกว่ารับไหว้และยิ้มตอบอย่างเป็นมิตร “แต่โสนได้ยินพี่สิงห์พูดถึงหมอพลอยบ่อยๆ ยิ่งช่วงแรกที่คุณหมอเพิ่งย้ายไป พูดถึงให้ฟังบ่อยมาก”

“พี่ก็ได้ยินสิงห์พูดถึงโสนตลอดเวลา เหมือนรู้จักกันก่อนเจอตัวเสียอีก”

เธอถูกชะตากับพี่สาวคนนี้เสียแล้ว คุณหมอหน้าสวยที่ถึงวันนี้นัยน์ตาจะดูโศกเศร้าแต่ยังฉายแววเข้มแข็งอยู่เต็มเปี่ยม สมกับเป็นหมอทหาร

“พลอยเป็นคนอาบน้ำ แต่งแผล แต่งตัวให้สิงห์เป็นครั้งสุดท้าย” ช้างพลายเล่า

“โสนไม่ต้องห่วงนะ สิงห์ไม่เจ็บ ไม่รู้สึกอะไรเลย มันเหมือนจอทีวีที่ดับวูบ จากไปอย่างมีบุญที่สุดแล้ว”

คุณหมออธิบายเสียงแผ่วเบา พอพูดจบประโยค สีหน้าของทั้งคนพูดและคนฟังสลดลง ตาแดงเรื่อด้วยกันทั้งคู่ กระทิงต้องโอบโสนเข้ามาชิด บีบต้นแขนเธอแน่น ส่วนช้างพลายมองด้วยแววตาเป็นห่วงสุดแสน รู้ว่าเธอคงเสียใจกับเรื่องกระตุ้นเตือนความจำอันโหดร้าย แต่ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าแค่เป็นกำลังใจให้

แว่วทำนองเพลงมาจากลำโพงกระจายเสียงของศาลา เสียงร้องหวานเศร้าของผู้หญิงกับเนื้อเพลงสื่อความหมายลึกซึ้ง บาดหัวใจคนฟัง

 

แผ่นฟ้ายาวไกลสุดปลายเวิ้งว้าง ขอบฟ้าดูราวจะแสนยาวไกล

มองฟ้าคราใดคิดถึงเพียงเธอ ป่านนี้เธอคงอยู่บนท้องฟ้า

และคอยดูแลแผ่นดินของเธอ ด้วยใจที่มั่นคง

อยู่บนแผ่นฟ้าสีคราม อ้างว้างและเดียวดาย

ห่างแผ่นดินแสนไกล เธอไม่เคยนำพา เธอสู้ทนยอมเสี่ยงภัย

ท่องไปบนนภา พลีเพื่อปวงประชา เพื่อไทยคงเสรี

อยากขอให้เธอโปรดจงรู้ไว้ ว่าหัวใจคนบนพื้นแดนดิน

ยังรักและห่วง ทุกๆ คืนวัน ส่งรักลอยลมเพื่อเป็นแรงใจ

ให้คุ้มครองเธอตราบนานเท่านาน

ส่งใจไปให้เธอ...แด่เธอผู้ปกป้องฟ้าไทย๑๒

 

เพลง “แด่เธอ ผู้ปกป้องฟ้าไทย”...ใครเปิดเพลงนี้

ทุกคนมองหน้ากัน ก่อนที่จะมีใครพูดอะไร พลเอกนรสิงห์ก็โบกมือเรียกเธอจากบนศาลาพิธี

“โสน! มาช่วยลุงรับแขกหน่อยลูก”

ผู้คนเนืองแน่นเต็มศาลา เธอรับหน้าที่เชิญแขกผู้ใหญ่ไปนั่ง ดูแลให้ได้รับความสะดวกสบาย พระสี่รูปมาถึงแล้ว พิธีสวดกำลังจะเริ่มเมื่อมีคนกอดเธออย่างสนิทสนมจากด้านหลัง โสนหันไปหาด้วยความตกใจ

“นี่แกจะไม่บอกฉันเลยใช่ไหม เรื่องสำคัญขนาดนี้ต้องให้รู้เอง?”

“น้ำมนต์!” เพื่อนสาวคนสนิทของเธอนั่นเอง ใบหน้าออกแนวสาวเท่ ผมสั้นตัดเข้ารูปศีรษะ ตัวผอมสูง ชุดกางเกงขายาวกับเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำที่ใส่อยู่ทำให้ดูหล่อขรึมดึงดูดสายตาสาวๆ อย่างที่ผู้ชายแท้

ยังอาย

“อ้าว ไปประชุมที่ภูเก็ตไม่ใช่เหรอ กลับมาได้ไง”

“เฮ้ย งานนี้ไม่มาได้ไง ก็ซื้อตั๋วแล้วก็บินกลับมาเลย แกเป็นไงบ้าง”

โสนก้มหน้าเงียบแทนคำตอบ เพื่อนสนิทต้องดึงเธอเข้ามากอดกระชับ ทั้งเห็นใจทั้งสงสาร แต่ไม่รู้จะปลอบให้หายเศร้าได้อย่างไร ไม่มีทางที่ใครจะเข้าใจความรู้สึกถ้าไม่เจอเข้ากับตัวเอง

“วันนี้ฉันไปนอนเป็นเพื่อนนะ”

“อืม ขอบใจ แล้วสายบัวล่ะ มาด้วยรึเปล่า”

สายบัวคือแฟนสาวที่น้ำมนต์คบมาตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัย ทั้งคู่เป็นเจ้าของบริษัทกราฟิกดีไซน์ร่วมกัน คือคนที่โสน

กำลังสอดส่ายสายตามองหา

“สายบัวยังติดประชุมอยู่ภูเก็ต งานไม่เสร็จเลยมาพร้อมกันทั้งสองคนไม่ได้ แต่ฝากพวงหรีดมาให้”

“มาคนเดียวแบบนี้สายบัวไม่ว่าเหรอ”

“จะว่าได้ไง นี่เรื่องสำคัญนะ ลองไม่ให้มาสิ มีได้ทะเลาะกันบ้านแตก”

“ไม่เอา อย่ามาทะเลาะกันเพราะฉันเลย ฝากขอบคุณเรื่องพวงหรีดด้วยนะ”

น้ำมนต์พยักหน้ารับก่อนเอ่ยประโยคเด็ด “ฉันมาเปิดเพลงให้พี่สิงห์ฟังด้วย เป็นไง ชอบไหม”

“แกนี่เอง ฉันก็งง” ประโยคหลังโสนพูดกับตัวเอง “ใครบ้าเปิดเพลงในงานศพกัน”

“ก็อยากให้พี่สิงห์ได้ฟัง ซึ้งออก ลุงนออนุญาตแล้วด้วย ไม่งั้นฉันไม่กล้าหรอก”

พลเอกนรสิงห์ปลีกตัวจากแขกผู้ใหญ่ตรงมาหาโสน พร้อมทักทายน้ำมนต์ เพื่อนสนิทของหลานสาวอย่างคุ้นเคย “น้ำมนต์ ขอบใจที่มานะ”

“ค่ะ คุณลุง”

“เพลงเพราะมาก สิงห์คงได้ยิน” คุณลุงของเธอดูจะไม่มีปัญหาอะไร “ไม่ได้เจอนานเลย สบายดีนะลูก”

“สบายดีค่ะ หนูเสียใจเรื่องพี่สิงห์ด้วยนะคะ”

ชายผู้มากวัยกว่าพยักหน้ารับ แล้วหันไปถามหลานสาว “ลุงยังไม่เห็นพระนายมาเลย”

ชื่อนี้ทำให้น้ำมนต์หน้านิ่วคิ้วขมวด เขม้นมองเพื่อนสาว

“เขามาไม่ได้ค่ะ เผอิญอยู่ต่างประเทศ”

“ไม่อยู่ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวโสนไปนั่งใกล้ๆ ลุงนะ”

“ค่ะ” หญิงสาวมองตามหลังญาติผู้ใหญ่คนเดียวของเธอไป ก่อนจะหันมาสบตาเพื่อนรักที่จ้องเขม็ง โสนเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“แกเลิกกับพี่พระนายมานานมากแล้วนะ ลุงยังไม่รู้อีกเหรอ”

“ชู่ เบาๆ” โสนยกนิ้วชี้ขึ้นแตะปาก “ไม่ได้บอก ไม่อยากให้เขาเป็นห่วง แล้วแกก็ห้ามปากโป้งด้วย” เธอไม่อยากให้คนใกล้ตัวรู้ว่าตอนนี้เธอไม่เหลือใครเลยสักคนเดียว...ไม่มีแม่ ไม่มีพี่ชาย ไม่มีแม้กระทั่งคนรัก

“เออ ไม่เสือกหรอก ไม่ต้องห่วง พระเริ่มสวดแล้ว ไปนั่งกันเถอะ”

 

รุ่งขึ้นหลังจากพิธีพระราชทานเพลิงศพเป็นวันที่ฟ้าอึมครึม ฝนตกโปรยปราย ไม่ร้อนรุ่มเช่นวันก่อน บนเมรุมีเฉพาะญาติและเพื่อนสนิทเพียงไม่กี่คนยืนรายล้อมรอบโต๊ะวางถาดบรรจุเศษกระดูกกองเล็กบนผ้าสีขาว กลิ่นน้ำอบผสมกลิ่นดอกไม้สดหอมกรุ่น โสนกอบกำเถ้ากระดูกพี่ชายไว้ในอุ้งมือผอมซีด

นี่ใช่ไหม สิ่งที่พิสูจน์ว่า...จะรักชาติจนชีวิตเป็นผุยผง

คนเราตายไปกลับกลายสภาพเป็นเถ้าธุลีคืนสู่พื้นดิน ไม่สามารถเอาอะไรติดตัวไปได้สักอย่าง สิ่งที่เหลืออยู่มีแค่คุณความดีของบุคคลนั้นที่คนข้างหลังจะยังจารึกไว้ ความสุข ความทรงจำ และรอยยิ้ม พิมพ์เก็บไว้ในส่วนลึกของจิตใจ

ไม่มีน้ำตาแล้ว งานพิธีที่มีทุกวันทำให้ทั้งคุณลุงและเธอยุ่งกับการรับแขก เตรียมงาน สมาธิทั้งหมดทั้งมวลถูกทุ่มเทไปเพื่อให้งานออกมาสวยงามสมเกียรติที่สุด พิธีลอยอังคารถูกกำหนดให้จัดขึ้นบริเวณคลองเมืองไหลรอบเกาะอยุธยา จุดที่แม่น้ำสามสายไหลมาบรรจบกัน บริเวณหน้าวัดที่พี่สิงห์เคยบวชเรียน จุดเดียวกับที่เคยลอยอังคารแม่ แม่กับพี่สิงห์จะได้กลับไปอยู่ด้วยกัน

น้ำมนต์ซึ่งยืนอยู่ข้างโสนตลอดหันมากอดเธอไว้แน่นเมื่อเห็นเพื่อนสาวจ้องกองกระดูกนิ่งนาน

จนกระทั่งโสนเหลือบไปเห็นสาวปราดเปรียวในชุดดำซึ่งยืนอยู่ด้านล่างเมรุมองเธอตาแทบลุกเป็นไฟ

“พอเหอะแก สายบัวจะฆ่าฉันให้ตายด้วยสายตาอยู่แล้ว อย่าทำให้เขาโกรธเลย”

ถึงน้ำมนต์จะเป็นเพื่อนสนิทที่สุดมาตั้งแต่สมัยมัธยม เป็นคนที่เธอพูดด้วยได้ทุกเรื่อง เข้าใจเธอทุกเวลา อยู่กับเธอทุกช่วงชีวิต มีอะไรคล้ายกันมากจนแทบจะเป็นคนเดียวกัน เป็นเพื่อนที่ไม่มีวันกลายพันธุ์เป็นอย่างอื่นไปได้ แต่พอสายบัวก้าวเข้ามา เธอ

จำต้องถอยห่าง ด้วยกลัวว่าจะทำให้ความสัมพันธ์ของคู่รักมีปัญหาเพราะสายบัวขี้หึงมาก ไม่เว้นแม้แต่เธอ โสนจำใจต้องถอย ทั้งที่ในใจเธอเหงาที่สุดที่ต้องห่างเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวไปแบบนี้

เมื่อเสร็จเรื่องรับเถ้ากระดูก โสนเดินลงจากเมรุไปหาสามทหารเสือเพื่อนรักเพื่อนตายของพี่สิงห์ซึ่งยืนรออยู่ด้านล่าง ทั้งสามคนมางานทุกวันไม่เคยขาด พี่สิงห์น่าจะรู้และคงดีใจ เพื่อนไม่ทิ้งเพื่อน

“พี่ๆ คะ โสนตั้งใจจะแบ่งเถ้ากระดูกพี่สิงห์ไว้ส่วนหนึ่ง อยากเอาไปฝังไว้ที่เชียงราย ตรงที่พี่สิงห์...” เสียงเธอสะดุดเล็กน้อย ก่อนเอ่ยประโยคต่อมาแผ่วเบาเหมือนกระซิบ “...ตกลงมา ช่วยเขียนแผนที่ให้โสนหน่อยได้ไหมว่ามันอยู่ตรงไหน แล้วไปยังไง”

เธออยากฝังเถ้ากระดูกของพี่ไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้เธอกลับไปหาได้ทุกครั้งที่คิดถึง ให้เถ้าธุลีกลับคืนสู่ดินเป็นอาหารให้ต้นไม้เติบใหญ่ ไม่ได้หายแล้วหายลับไปกับสายน้ำ

“โสนจะไปเมื่อไหร่ เดี๋ยวพี่พาไปเอง” กระทิงรับอาสาทำหน้าที่พี่ที่ดี

“ตั้งใจไปช่วงอาทิตย์หน้าค่ะ”

“เผอิญช่วงนั้นพี่กับไอ้พลายไม่อยู่ ไปดีพลอย๑๓ฝึกโคปไทเกอร์๑๔ที่โคราชพอดีเลย โสนเลื่อนไปหน่อยได้ไหม”

“พี่ทิงกับพี่พลายไม่ต้องไปด้วยหรอก แค่เขียนแผนที่ให้ก็พอ หมู่บ้านอยู่เชียงรายไม่ใช่เหรอคะ ไม่ใช่เชียงใหม่ซะหน่อย ไม่ต้องหนีงานพาน้องไปหรอก”

“จะไปยังไงคนเดียว” หมอพลอยเป็นห่วงด้วยอีกคน

“ไปได้ โสนชอบไปไหนเองคนเดียว ไปออกค่ายอาสาก็บ่อย แค่นี้ไม่น่ายากนะคะ”

ไม่มีใครเออออด้วยสักคน หน้านิ่วคิ้วขมวดกันหมด นี่ดูท่าเธอจะได้รับการประคบประหงมยิ่งกว่าอยู่กับพี่ชายแท้ๆ เสียอีก

“พี่สิงห์ฝึกโสนมาดี ปล่อยเดี่ยวตลอด เรื่องเดินทางแค่นี้ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ”

“งั้นก็ได้ เดี๋ยวพี่ให้เบอร์คนในหมู่บ้านไป เขาเป็นคนเจอสิงห์เป็นคนแรก ตอนพวกเจ้าหน้าที่เข้าไปก็คอยช่วยอำนวยความสะดวกให้ตลอด นิสัยดีไว้ใจได้ โสนลองโทร. นัดดู ให้เขาหาที่พักให้และนัดเวลามารับตรงจุดลงรถด้วย หมู่บ้านอยู่บนดอย ไม่มีรถประจำทางขึ้นไปถึง ไปมาลำบากหน่อย” ช้างพลายเปิดโทรศัพท์ไล่หาเบอร์ติดต่อ

“ชื่ออาเชนะ ส่งเบอร์ให้ทางไลน์แล้ว ได้ยัง”

 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น