4

ปฏิบัติการลับ

4

ปฏิบัติการลับ

 

ผลพนันออกมาเป็นเสมอ เพราะไม่มีใครทายถูก แต่เพื่อนต่างวัยก็ยังมานั่งถกกันเรื่อง ‘แขก’ คนดังกล่าวอย่างเมามัน 

“นักเขียนอะไรกัน หุ่นอย่างกับนายแบบ หล่อเริดอย่างกับพระเอกหนัง” ไข่หวานคิดถึงใบหน้าหล่อเหลานั้นแล้วใจก็สั่น จนต้องยกมือมากุมอกตัวเอง 

เหมือนมาลีหรี่ตามองแล้วถอนหายใจ นี่แหละนะ...เด็กวัยแรกรุ่น เจอผู้ชายหล่อหน่อยก็หวั่นไหวไปไกล แต่เธอก็ไม่ปฏิเสธหรอกว่าเขาหล่อมากจริงๆ 

แต่เหนือสิ่งอื่นใด เธอรู้สึกเหมือนกับเคยเห็นเขาที่ไหนมาก่อน 

คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก 

“สงสัยจะจำผิดคิดไปเอง คนรูปร่างหน้าตาแบบนั้น ถ้าเคยเจอจริงๆ ก็ไม่น่าจะลืมได้ง่ายๆ” 

“พี่แยม ว่าอะไรนะ” ไข่หวานไม่เข้าใจว่าเหมือนมาลีพูดเรื่องอะไร 

“ไม่มีอะไร ว่าแต่เราเถอะ วันนี้ไม่ไปช่วยยายเก็บผักเหรอ มาอู้อยู่บ้านฉันเป็นครึ่งค่อนวัน”

“อยากอยู่กับผู้ชายสองต่อสองละสิ” 

เหมือนมาลีกลอกตาเป็นครึ่งวงกลม ผู้ชายหวงตัว ดูไม่เป็นมิตรแบบนั้นน่ะหรือ...เดาได้เลยว่าต่อให้เขาอยู่ร่วมบ้านกับเธอเป็นปีก็คงไม่สนิทกันหรอก 

เสียดายความหล่อ 

“เพ้อเจ้อ”

“โธ่! ก็ไข่หวานอยากเห็นหน้าเขาอีกสักนิดนี่ ไปก็ได้ พรุ่งนี้มาใหม่นะ” พูดแล้วร่างเล็กที่สูงเพียงร้อยห้าสิบห้าเซนติเมตรก็วิ่งปรู๊ดลงบันไดบ้านไป 

ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง เหมือนมาลีมองไปยังทิศทางของห้องพักแขกซึ่งชายผู้เป็นหัวข้อสนทนาของเธอและไข่หวานพักอยู่ แต่แล้วก็ต้องละความสนใจ เพราะหน้าที่ของเธอคือการให้บริการห้องพัก ต้องเข้าใจว่าลูกค้าบางคนต้องการความเป็นกันเอง ในขณะที่บางคนชอบความเป็นส่วนตัว 

ตอนนี้เธอเข้าใจตัวเองแล้วว่าการทำอาชีพที่ไม่ได้สร้างความร่ำรวยมากมายอะไรก็ทำให้เธอมีความสุขได้ อาจจะมากกว่างานที่เคยสร้างรายได้มหาศาลอย่างนักข่าวเสียด้วยซ้ำ 

คนที่เกิดมาพบแต่ความโชคร้ายอย่างเธอก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้าง เพราะหากไม่มีสายเลือดของปู่สำเริงอยู่ในตัว เหมือนมาลีก็คงไม่เข้าใจความรู้สึกของการมีความสุขที่แท้จริงอย่างวันนี้ 

 

ถึงเวลาอาหารเย็น เหมือนมาลีเคาะประตูร้องถามคนในห้องที่ปิดประตูเงียบอยู่ในนั้นหลายชั่วโมงแล้ว 

“คุณคะ อาหารเย็นเสร็จแล้วนะคะ”

ผลัวะ!

ประตูห้องเปิดออกอย่างรวดเร็วจนเหมือนมาลีเกือบหงายหลังล้ม ดีที่ทรงตัวไว้ได้ทัน หญิงสาวมองคนตัวโตด้วยความตกใจ 

“ตกใจหมดเลยคุณ”

“ขอโทษนะครับ” ชนกันต์เมินหญิงสาวแล้วเดินผ่านไปยังทิศทางของห้องครัว 

คนที่มีบางอย่างในใจยังทำใจไม่ได้กับการต้องเห็นหน้าคนที่เป็นต้นเหตุให้เพื่อนต้องตายทุกวัน ชายหนุ่มถอนหายใจแล้วนั่งลงที่โต๊ะอาหารซึ่งจัดสำรับไว้แล้ว 

“แกงจืดกับหมูทอดค่ะ จริงๆ มีเมนูอาหารพื้นบ้านนะคะ แต่กลัวคุณจะทานไม่ได้ เลยทำอะไรง่ายๆ ก่อน” เหมือนมาลีลืมไปเลยว่าลูกค้าคนนี้ไม่ต้องการให้เธอมายุ่งวุ่นวายด้วย 

กว่าจะรู้ตัวก็เมื่อตัวเองพูดจบแล้วอีกฝ่ายทำเพียงแค่ตักอาหารรับประทานโดยไม่พูดอะไรสักคำ 

คนที่อยากสานสัมพันธ์ด้วยหน้าเจื่อนสนิทเลย

“งั้นไม่กวนแล้วนะคะ ทานให้อร่อยค่ะ” 

พูดจบหญิงสาวก็ถอยออกจากตรงนั้นไป เธอรู้สึกเหมือนมีรังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากร่างหนา เธอขนลุกเกรียวอย่างไร้เหตุผลเพียงเขาเปรยตามองมา 

ไม่ใช่หวั่นไหวแน่ๆ ตรงกันข้าม นี่มันเรียกว่า ‘หวาดกลัว’ ต่างหาก 

 

ผ่านไปหนึ่งวัน ความสัมพันธ์ของเหมือนมาลีกับลูกค้าผู้จองห้องพักยาวหนึ่งเดือนยังอยู่ในฐานะคนแปลกหน้า 

จริงอยู่ว่าเขาต้องการความเป็นส่วนตัว แต่ไม่เคยมีลูกค้าคนไหนจองห้องพักนานขนาดนี้มาก่อน แล้วจะเป็นอย่างไรหากว่าเธอกับเขาต้องอยู่กันแบบคนแปลกหน้าแบบนี้ไปตลอดหนึ่งเดือน

‘แค่คิดก็อึดอัดจะแย่’

ขณะที่คิดวกวนอยู่นั้น คนในความคิดก็เดินออกจากห้องมาพอดี หญิงสาวเตรียมวัตถุดิบมื้อกลางวันอยู่ในครัว ห่างจากจุดที่เขายืนมากพอให้ได้มีโอกาสแอบมองเจ้าของร่างสูงนั้น 

ชนกันต์มีรูปร่างใหญ่ เนื้อตัวเต็มไปด้วยมัดกล้าม ไม่เหมือนภาพนักเขียนในจินตนาการของเธอเลยแม้แต่น้อย ถ้าจะบอกว่าเขาเป็นนักกีฬา หรือเป็นหน่วยรบพิเศษที่ต้องฝึกร่างกายอยู่เป็นประจำยังน่าเชื่อมากกว่า 

นอกจากร่างกายกำยำแล้ว เขายังมีใบหน้าหล่อเหลาชนิดที่ทำให้คนมองต้องหยุดสายตาไว้ที่เขา คิ้วเข้มหนา จมูกโด่ง ริมฝีปากหยักน่าจูบ แนวสันคางมีไรหนวดจางๆ ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ดึงดูด 

ทว่าเสน่ห์ของเขากลับถูกกลบด้วยท่าทีไม่เป็นมิตรนั่นจนหมดเลย 

“ขอโทษนะครับ”

เพราะมัวแต่คิดเรื่อยเปื่อย จึงไม่ทราบว่าชนกันต์เดินมาถึงตัวเธอตอนไหน เหมือนมาลีต้องปรับอารมณ์อย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้รู้ว่าเธอคิดถึงเรื่องของเขาอยู่ 

“คะ?” 

“คือ ผมอยากทราบว่าบ้านของกำนัน...เอ่อ! ผู้นำหมู่บ้านที่นี่อยู่ไกลจากบ้านนี้หรือเปล่า” 

คำถามของชนกันต์ทำให้เหมือนมาลีนิ่วหน้า 

“ขอโทษนะคะ มีอะไรหรือเปล่าคะ หรือว่าคุณมีปัญหาอะไรต้องการความช่วยเหลือ”

ชนกันต์มีสีหน้าลำบากใจ การพบเหมือนมาลีแบบไม่ได้เตรียมใจไว้ก่อนทำให้ระบบการทำงานของเขารวนไปหมด จากเดิมที่เขาต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งเพื่อสร้างความไว้ใจให้เจ้าของที่พัก เมื่อสนิทสนมมากพอค่อยใช้โอกาสนี้ให้เธอพาเข้าไปรู้จักคนคนหนึ่งซึ่งเป็นตัวเชื่อมโยงกับคนร้าย 

แผนที่ว่านี้วางระยะเวลาไว้ราวหนึ่งเดือน แต่ชนกันต์ต้องการให้แผนทุกอย่างแล้วเสร็จเร็วที่สุด เพราะเขาคงทนอยู่ร่วมบ้านกับคนเห็นแก่ตัวแบบเหมือนมาลีไม่ได้ 

เขาเกลียดเธอ เกลียดเข้ากระดูกดำ เกลียดจนแทบกระอักออกมาเป็นเลือด 

“คุณคะ” เหมือนมาลีเรียกเขาอีกครั้งเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มเงียบไปนาน 

“เปล่าครับ ไม่ได้มีปัญหาอะไร ผมแค่อยากได้ข้อมูลเขียนหนังสือ”

เหมือนมาลีมีหน้ายุ่งยากใจเมื่อนึกถึงคนที่ชนกันต์ต้องการพบ ไม่แน่ใจว่าควรพูดสิ่งที่รู้มาออกไปดีหรือไม่ เพราะชนกันต์ก็ยังถือเป็นคนแปลกหน้า แต่ถึงอย่างไรในฐานะที่เขาเป็นลูกค้าที่เธอต้องดูแล เขาก็ควรรู้เพื่อจะได้ระวังตัวไว้ก่อน 

“ถ้าเกิดว่าคุณอยากทราบข้อมูลอะไรก็ลองถามฉันดูก็ได้ค่ะ ถ้าฉันไม่รู้ ฉันจะช่วยพาคุณไปหาคนที่น่าจะรู้ให้ แต่ว่าผู้นำชุมชนที่นี่ไม่น่าเข้าหาหรอกค่ะ”

ชนกันต์ไม่ได้มีสีหน้าแปลกใจ เพราะข้อมูลเกี่ยวกับกำนันแสนสินมาก่อน ทว่าสีหน้าที่ดูเหมือนไม่ตกใจอะไรเลยของเขายิ่งทำให้เหมือนมาลีแปลกใจ 

“มีอะไรเหรอครับ” ดูเหมือนว่าชนกันต์จะจับกระแสความแปลกใจของเหมือนมาลีได้ เขาจำต้องแสร้งทำเป็นสนใจสิ่งที่เหมือนมาลีพูด 

“ผู้นำชุมชนที่นี่ชื่อกำนันแสนค่ะ เขาค่อนข้างดุ แล้วก็เป็นนักเลง ชาวบ้านที่นี่ไม่มีใครอยากข้องเกี่ยวด้วย”

ความจริงสิ่งที่เหมือนมาลีรู้ยังไม่ได้เสี้ยวของสิ่งที่เขารู้มาเกี่ยวกับกำนันผู้นี้ แต่ชนกันต์ก็พยักหน้าทำเหมือนเข้าใจ

“ครับ”

“คุณอยากได้ข้อมูลเรื่องอะไรล่ะคะ ลองถามฉันมาก็ได้”

“ไม่ดีกว่าครับ ผมไม่อยากรบกวน” 

“ไม่รบกวนหรอกค่ะ ถึงฉันจะเพิ่งมาอยู่ที่นี่ แต่เรื่องในชุมชนนี้ไว้ใจฉันได้ ว่าฉันรู้หมดทุกเรื่อง ทะลุปรุโปร่ง” 

“นั่นสินะครับ ดูก็รู้” 

คำพูดของเขาทำให้รอยยิ้มกระจ่างของเหมือนมาลีเจื่อนลง 

“เอ่อ...คุณพูดแบบนี้ ฉันรู้สึกเหมือนกำลังโดนด่าว่าเป็นพวกชอบ ‘เผือก’ ยังไงก็ไม่รู้นะคะ” 

เหมือนมาลีหัวเราะกลบเกลื่อน แต่ชนกันต์กลับไม่ขำด้วย

“เปล่าหรอกครับ อย่าคิดมากเลย” ชายหนุ่มบอกด้วยสีหน้าจริงจัง “ผมขอตัวก่อนนะครับ พอดีต้องส่งงานให้ บ.ก.”

“อ้อ! เชิญค่ะ”

ร่างสูงเดินกลับไปยังทิศทางของห้องพัก ทิ้งเหมือนมาลีให้จมอยู่กับความสงสัยมากมาย 

ไม่รู้ว่าเขาต้องการทราบข้อมูลอะไรถึงได้อยากไปพบกำนันแสน 

ไม่รู้ด้วยว่าภายใต้ใบหน้าหล่อเหลานั่น...เขากำลังคิดอะไรอยู่ 

 

“ไม่รู้ว่าคนหรือผีดิบนะป้า หน้าหงิกเป็นยักษ์ ไม่ยิ้มสักนิดเดียว”

จากที่พยายามไม่คิดอะไร กลับกลายเป็นว่าเหมือนมาลีเครียดจนต้องพาตัวเองมาถึงบ้านนางสมพิศเพื่อระบายความอัดอั้น 

“ตายละ คนดีหรือคนร้ายก็ไม่รู้” นางสมพิศฟังคำบอกเล่าจากเหมือนมาลีแล้วก็อดหนักใจไปด้วยไม่ได้

“ว่าแล้วไง” ไข่หวานเสริม เพราะเด็กสาวเคยเตือนแล้วว่าลูกค้าที่จองห้องนานถึงหนึ่งเดือนไม่น่าไว้วางใจเท่าไร ทำเอาคนมีวัยวุฒิสูงกว่าและน่าจะมีประสบการณ์ชีวิตมากกว่าถึงกับพูดไม่ออก 

“ไม่สบายใจ เราจะไล่เขาออกไปเลยดีมั้ย” นางสมพิศยังไม่เคยเจอลูกค้าที่เหมือนมาลีกับไข่หวานพูดถึง แต่นางก็อดคล้อยตามไข่หวานไม่ได้ 

“ไม่ได้หรอกป้า” หญิงสาวปฏิเสธทันควัน “ถ้าเขาไม่ใช่คนร้าย ไปไล่เขาแบบนั้นก็ไม่ถูก อีกอย่าง...ทำไปโดยมีหลักฐาน เกิดไม่พอใจไปเขียนรีวิวแย่ๆ โจมตีโฮมสเตย์เรา อาจจะทำให้ลูกค้าเทไม่มาพักอีกก็ได้นะ”

เหมือนมาลีรู้ซึ้งถึงพลังโซเชียล เพราะเธอโดนมาก่อน โดนมาหนักจนชีวิตแทบพังมาแล้ว บางครั้งเธออดรู้สึกไม่ได้ว่าโลกออนไลน์มันเป็นสังคมของการตำหนิ สังคมของการต่อว่าด่าทอและเหยียบย่ำซ้ำเติมแม้จะไม่เคยรู้จักกัน  

“ป้าก็ไม่รู้จักหรอก รีวงรีวิวอะไร” 

“โธ่! ยาย เช้ยเชย รีวิวก็คือการที่เขามาเที่ยวแล้วไปเขียนเล่าให้คนในโลกออนไลน์ฟังไง ถ้าดีก็ดี ถ้าแย่ก็พังเลยล่ะ” ไข่หวานบอกกับผู้เป็นยาย 

“เอ้า! แล้วจะให้ทำยังไงได้ ถ้าเกิดเป็นคนไม่ดีขึ้นมา คุณแยมไม่กลายเป็นศพเหรอ ศพไม่มีญาติด้วยนะโว้ย!”

คำพูดที่เกิดจากจินตนาการอันกว้างไกลของนางสมพิศทำให้เหมือนมาลีเบิกตากว้าง ยกมือห้ามให้หยุดพูด

“พอก่อนป้า พอก่อน รุนแรงไป อีกอย่างไม่เห็นจะต้องมาบูลลีเรื่องที่ฉันไม่มีญาติพี่น้องเลย จิตใจทำด้วยอะไรเนี่ย” 

ป้าสมพิศหยุดพูดแล้วทำหน้าเหยเก เหมือนมาลีถอนหายใจ เธออยู่ที่นี่มาครึ่งปี ได้ครอบครัวของนางสมพิศช่วยเหลือในหลายๆ อย่างจนเห็นถึงความจริงใจ เหมือนมาลีจึงวางใจมากพอจะเล่าเรื่องราวในชีวิตของตัวเองให้หญิงสูงวัยและเพื่อนรุ่นน้องอย่างไข่หวานฟัง 

บางครั้ง เราก็แค่ต้องการใครสักคนที่พร้อมจะรับฟังในทุกเรื่อง ก่อนหน้านี้ชีวิตของเหมือนมาลีนั้นไม่มีคนที่เรียกได้ว่า ‘เพื่อน’ จนกระทั่งได้พบกับคนทั้งคู่เธอจึงได้รู้ความหมายของคำนี้ 

เธอไม่โทษคนอื่น ไม่โทษโลกใบนี้ที่ผลักเธอให้ออกมายืนในจุดที่อ้างว้าง แต่เธอโทษตัวเอง โทษที่ทำตัวเองให้ไม่น่าคบหาเอง 

“อย่าเสียใจไปเลยพี่แยม ถึงพี่ตายจริงๆ ฉันกับยายก็จะจัดงานศพให้” 

คำพูดจริงใจนั้นทำให้เหมือนมาลียิ่งอยากร้องไห้ 

“ฉันควรจะซาบซึ้งใช่มั้ยเนี่ยไข่หวาน” 

“ไม่ต้องซึ้งหรอก เป็นน้ำใจของเพื่อนมนุษย์”

“โอ๊ย!” เหมือนมาลีซบหน้าลงกับฝ่ามือ 

เห็นแบบนี้ไม่แน่ใจแล้วว่า เธอควรดีใจไหมที่มีไข่หวานเป็นเพื่อน 

“พอแล้วนังไข่หวาน” นางสมพิศเขกกะโหลกหลานสาวไปหนึ่งที ก่อนจะวกกลับมาพูดเรื่องที่เป็นกังวลอยู่ “ให้นังไข่หวานไปอยู่ด้วยมั้ย จะได้ช่วยเป็นหูเป็นตา” 

เหมือนมาลีถอนมือที่ปิดหน้าออก ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยตอบ 

“ไม่เป็นไรหรอกป้า ถ้าไม่ไหวจะมารบกวนนะ” 

เหมือนมาลีบอกแม้จะหนักใจ แต่หากว่าไข่หวานต้องมาอยู่เป็นเพื่อนเธอ นางสมพิศก็จะต้องขาดคนช่วยงาน ครอบครัวของหญิงสูงวัยทำอาชีพปลูกผักสวนครัวส่งขายตลาดสด เป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือนซึ่งนับเป็นอาชีพหลักของคนในละแวกนี้ เหมือนมาลีเองก็เพิ่งลงแปลงทดลองไว้สองสามแปลง หวังจะเป็นรายได้อีกทางหนึ่ง รู้ดีว่างานค่อนข้างหนักเพียงใด

“แน่รึยายหนู”

“จ้ะ! ฉันอาจจะคิดมากเกินไปก็ได้” 

 

เวลาสองทุ่มโดยประมาณ ความเงียบเริ่มปกคลุมหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้อย่างรวดเร็ว ชนกันต์ออกมายืนที่ริมระเบียงบ้าน ซึ่งเป็นชานเรือนกว้างพอให้วางโต๊ะรับประทานอาหารตัวใหญ่ๆ ได้หนึ่งตัว เขาทอดตามองไปยังภูเขาทะมึนที่ปรากฏดวงจันทร์อยู่เหนือแนวเขานั้น 

ชายหนุ่มวัยสามสิบปีเติบโตมาในครอบครัวเศรษฐี บิดาเป็นนายตำรวจระดับหัวหน้าภาค และเขาก็เจริญรอยตาม มารดาเป็นนักธุรกิจเจ้าของโรงแรมห้าดาวในกระบี่ ภูเก็ต และพัทยา ถึงแม้ครอบครัวของเขาจะแตกสลายเนื่องจากบิดามารดาจะแยกทางกัน แต่เขาก็ไม่เคยรู้สึก ‘ขาด’ แต่อย่างใด เพราะความเป็นอยู่นั้นเกินคำว่าสุขสบายเสียด้วยซ้ำไป เส้นทางเดินของเขาโรยด้วยกลีบกุหลาบตลอดมา   

ต่างกับภควัต

เขากับภควัตรู้จักกันตั้งแต่เมื่อครั้งสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจได้ใหม่ๆ ภควัตมาจากครอบครัวยากจน บิดามารดาทำอาชีพรับจ้างทั่วไป อดทนส่งลูกชายให้เรียนหนังสือ หวังพึ่งพาในวันข้างหน้า เขาเป็นความภาคภูมิใจของพ่อแม่อย่างที่สุด แต่ภาคภูมิใจนั้นกลับเป็นเหมือนสายลมพัดมาเพียงวูบหนึ่ง เพราะก่อนวันเกิดเหตุนั้นภควัตเพิ่งได้เลื่อนยศจากร้อยตำรวจโทเป็นร้อยตำรวจเอกพร้อมกับเขา 

แต่กลับต้องมาตาย ทั้งที่ยังไม่ทันได้ชื่นชมกับความสำเร็จที่ได้มาเลย 

ทำไมต้องเป็นภควัต ทำไมต้องเขาที่ต้องมาตาย

“คุณคะ”

เสียงเรียกนั้นดึงชนกันต์ให้ออกจากภวังค์ความคิด เขาได้ยิน แต่ไม่อยากจะมองหน้าคนที่เป็นต้นเหตุให้เพื่อนเขาต้องตาย

หญิงสาวสวมชุดนอนกางเกงขายาวคลุมด้วยผ้าคลุมไหล่สีทึม ในมือถือตะเกียงที่มีแสงไฟสีส้มส่องสว่างนวลตา 

“ตรงนี้ไม่มีไฟฟ้า คุณปู่สำเริง เอ่อ! เจ้าของที่นี่ท่านอยากให้ลูกค้าได้สัมผัสบรรยากาศของธรรมชาติจริงๆ น่ะค่ะ เพราะมุมนี้เป็นมุมที่เห็นดาวสวยมากเลยถ้าไม่มีแสงไฟ แต่ฉันเห็นว่ามันมืดเกิดไปเลยเอาตะเกียงมาให้ ถ้าอยากดื่มชาร้อนก็จัดการได้ตามสบายที่ครัวเลยนะคะ หิวตอนดึกก็มีมาม่าค่ะ”

โชคดีที่บริเวณนั้นมืดมากพอให้เขาไม่ต้องปั้นสีหน้ามากจนเกินไป หากเป็นคนอื่น ชายหนุ่มคงมีมิตรไมตรีกลับไปได้ไม่ยาก เพราะเธอเป็นกันเอง เอาใจใส่ลูกค้าอย่างดีเยี่ยม 

แต่เพราะเป็นเหมือนมาลี...รอยยิ้มที่เกลื่อนใบหน้าอยู่เสมอนั้นทำให้เขารู้สึกรังเกียจ 

มีความสุขอยู่ได้ในขณะที่พ่อ แม่ ลูก เมียของภควัตต้องทนทุกข์ทรมาน

“ครับ ขอบคุณมาก แต่ผมคงไม่หิวอะไร” 

ชนกันต์บอกปัดแล้วเมินหน้าไปทางอื่น จงใจตัดบทสนทนา 

ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง เงียบพอให้ได้ยินเสียงลมกระทบใบไม้เบาๆ เหมือนมาลีวางตะเกียงไว้บนโต๊ะไม้ แต่ยังยืนอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน พอมองแผนหลังกว้างนั้นวูบหนึ่ง เธอก็รู้สึกคุ้นตา 

เธอเคยพบเขาที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า

“คุณ” 

ชนกันต์นิ่วหน้าเมื่อเห็นว่าเธอยังพยายามหาเรื่องคุยกับเขาต่อ เหมือนมาลีรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปใกล้เขาอีกนิด 

“คุณคะ”

“ขอโทษนะครับ ผมอยากอยู่คนเดียว”

“คุณไม่ได้มาที่นี่...เพื่อเขียนหนังสือจริงๆ อย่างที่บอกใช่มั้ยคะ” 

คำถามนั้นทำให้เกิดความเงียบงันมากกว่าความเงียบที่มีอยู่แล้วไปอีก เป็นความเงียบสงัดที่ก่อให้เกิดความวังเวงเมื่อชนกันต์ค่อยๆ หันกลับมามองหน้าเหมือนมาลีช้าๆ ดวงตาคู่นั้นวาวโรจน์ แต่คงเพราะมืดเกินไป เหมือนมาลีจึงไม่รับรู้กระแสความตระหนกนั้น 

ชนกันต์สาวเท้าเข้าไปหาเหมือนมาลี จับจ้องที่ใบหน้าของเธอ 

“คุณพูดเรื่องอะไร” 

เขามั่นใจว่าปฏิบัติการลับของลิตเติ้ลไทเกอร์รัดกุมทุกขั้นตอน ไม่มีทางที่คนนอกจะรู้ได้ว่าเขากับทีมกำลังทำอะไรกันอยู่ 

แต่ว่าผู้หญิงตรงหน้าเป็นนักข่าว เขาประมาทเธอไม่ได้ ไม่แน่ว่าการที่เธอโผล่มาเป็นเจ้าของโฮมสเตย์ที่นี่อาจเป็นแผนการของเธอเหมือนกัน หลายต่อหลายครั้งที่ปฏิบัติการลับของเจ้าหน้าที่ตำรวจถูกเผยแพร่เพราะนักข่าวที่จ้องจะหาข่าวไปขาย 

เหมือนมาลีขึ้นชื่อว่าเป็นนักข่าวผู้มีทักษะในการสืบเสาะเป็นเลิศ ไม่ว่าเรื่องราวจะซับซ้อนเพียงใด หญิงสาวก็ล้วงเอาข้อมูลออกมาเปิดเผยได้ไม่ยาก 

เธอเก่ง แต่น่าเสียดายที่ศีลธรรมต่ำ 

หากครั้งนี้เธอจงใจสืบข่าวการทำงานของตำรวจ ก็เท่ากับว่าเป็นศัตรูกับฝ่ายกฎหมาย หากไม่สำนึกถึงสิ่งที่ทำมา เขาสัญญาว่าขุดดินฝังกลบเธอ ไม่ให้ได้ผุดได้เกิดอีกเลย

“คือว่า...” พอร่างสูงขยับเข้ามาใกล้ เหมือนมาลีจึงได้รับรู้กระแสความไม่พอใจของเขา มันรุนแรงจนทำเอาเธอพูดไม่ออก 

“ว่าไง คุณคิดว่าผมมาที่นี่เพื่ออะไร” 

“ก็...” 

‘ตายห่า...เหมือนมาลีเอ๊ย! ไปแส่เรื่องของเขาทำไมวะเนี่ย ดูสิ โกรธจนหน้าดำหน้าแดงแล้วเนี่ย’ 

“พูด” เสียงเข้มนั้นดังมากพอให้คนตัวเล็กละล่ำละลัก 

“คุณไม่ได้มาเขียนหนังสือ แต่หนีมารักษาแผลใจใช่มั้ยล่ะ”

“ว่าไงนะ” ชนกันต์นิ่วหน้า 

“ฉันขอโทษนะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจยุ่งเรื่องของคุณ แต่เห็นว่ามาคนเดียว ท่าทางเศร้าสร้อยไม่พูดไม่จา ดูก็รู้ว่าน่าจะอกหักมาแน่ๆ”

ชนกันต์อึ้งไปเลย เขาขยับออกมาแล้วกุมขมับ นึกโทษตัวเองที่ปล่อยให้ความโกรธมาทำลายสติสัมปชัญญะ ทั้งที่มั่นใจว่าเหมือนมาลีไม่มีทางรู้ปฏิบัติการครั้งนี้ แต่ด้วยความระแวงทำให้เป็นเขาเสียเองที่เกือบ ‘ทำเสียแผน’

พอตั้งสติได้ชายหนุ่มจึงหันไปมองหน้าเธออีกครั้ง แสงจากตะเกียงให้ความสว่างมากพอที่จะทำให้เขาเห็นแววตาของเธอว่าไม่ได้โกหก 

“ไม่เป็นไรนะคะ ‘อกหักดีกว่ารักไม่เป็น’ สู้ๆ ค่ะ”

คนไม่เคยปลอบใจใครไม่รู้จะพูดหรือจะเริ่มต้นอย่างไร ไม่เคยแม้แต่รู้จักกับคำว่า ‘ความรัก’ สุดท้ายกลับทำได้แค่ใช้คำปลอบโยนแบบเชยสุดๆ 

เหมือนมาลียิ้มแหย น่าอายจริงๆ อยากจะปลอบใจใครสักคน แต่กลับไปพูดประโยคที่เหมือนกับว่าลอกคนอื่นมา 

ชนกันต์เพิ่งหาเสียงของตัวเองเจอ “ไม่ใช่หรอกครับ ผมไม่ได้อกหัก” 

“ไม่ต้องอายหรอกค่ะ นักท่องเที่ยวเดินทางมาที่นี่คนเดียว ร้อยทั้งร้อยช้ำรักมาทั้งนั้น” 

เหมือนมาลียิ้มกว้างอย่างจริงใจ นึกอยู่แล้ว คนดีๆ ที่ไหนจะเดินทางมาพักไกลบ้านนานเป็นเดือน มีหลายคนหนีรักมาที่นี่ แต่เรื่องของชนกันต์อาจหนักกว่าทุกคน 

ถึงเธอจะไม่เคยอกหักมาก่อน แต่ชีวิตก็เคยอยู่ในจุดที่หัวใจสลายเหมือนกันตอนที่ถูกเลิกจ้าง อนาคตนักข่าวดับลง แบบนั้นใกล้เคียงกับอาการอกหักหรือเปล่า เธอไม่รู้เลยจริงๆ 

“ยังไงก็สู้ๆ นะคะ”

ชนกันต์ยังมองเธอนิ่ง ปล่อยให้เข้าใจไปแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน 

“ครับ”

“มีอะไรให้ฉันช่วยอีกมั้ยคะ” 

ความจริงเขาอยากปฏิเสธเธอ แต่ก็เปลี่ยนใจ เขาคุยกับเธออย่างจริงจัง ไม่หลบเลี่ยงเธอเป็นครั้งแรก 

“ถ้าคุณไม่รีบเข้านอน นั่งเป็นเพื่อนผมสักพักได้มั้ยครับ” 

“ได้สิคะ” เหมือนมาลีตอบแบบกล้าๆ กลัวๆ เขาหล่อก็จริง แต่ท่าทางบางอย่างดูน่ากลัว ทว่าเธอเป็นเจ้าของที่นี่ จะปฏิเสธลูกค้าในเรื่องแค่นี้คงน่าเกลียดตาย

ด้านชนกันต์ เขาเพียงต้องการรู้ว่าผู้หญิงที่ทำให้คนอื่นตายจะมีชีวิตอยู่อย่างไรตลอดเวลาที่ผ่านมา 

ทำไมนักข่าวกระหายเงินอย่างเธอถึงได้มาอยู่ชนบทห่างไกลความเจริญอย่างที่นี่ได้ 

“คุณ...อยู่ที่นี่คนเดียวหรือครับ” 

คำถามแรกของชนกันต์ทำเอาเหมือนมาลีชะงักไป อาชีพนักข่าวทำให้เธอมีสัมผัสค่อนข้างไวกับสิ่งผิดปกติ และคำถามของเขาเหมือนประโยคแรกของคนร้ายที่ใช้ในการสนทนากับเหยื่อ 

“ไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไรนะครับ ผมไม่รู้ว่าจะชวนคุยอะไรดี”

‘คิดมากไปมั้ง หล่อเบอร์นี้จะเป็นคนร้ายไปได้ยังไง’ 

“ใช่ค่ะ ฉันอยู่คนเดียว” 

“ที่ถามเพราะผมคิดว่าบ้านหลังนี้น่าจะมีผู้ชายอยู่บ้าง เช่น แฟนของคุณ”

“โอ๊ย! ฉันไม่มีแฟนหรอกค่ะ โสด จีบได้” เหมือนมาลียิ้มอย่างเป็นกันเอง เธอแค่ต้องการให้เขาผ่อนคลายมากกว่านี้ ไม่ได้เปิดทางให้จีบจริง 

แต่การล้อเล่นที่อยากทำให้บรรยากาศดีขึ้นกลับทำให้อึมครึมลงอย่างบอกไม่ถูก 

“ขอโทษนะครับ ผมยังไม่อยากมีใคร”

“โห! เป็นคำปฏิเสธที่เจ็บปวดมากเลยนะคะ” เหมือนมาลีพูดออกไป หวังจะให้เขาขำ

...แต่เขาไม่ขำ 

เจ้าของใบหน้าหล่อเหลานิ่งเงียบจนเหมือนมาลีอยากย้อนเวลาไปตอบปฏิเสธตอนที่เขาชวนให้เธอนั่งด้วย แต่เพราะทำไม่ได้ เธอจึงได้แต่นั่งยิ้มแหย บรรยากาศก็ยิ่งวังเวง 

ทำไมนะ ทำไมเธอถึงได้รู้สึกว่าเขาอยากจะบีบคอให้ตายคามือ ดูไม่มีเหตุผลอะไรให้เขาทำแบบนั้นเลยนี่นา 

“คุณดูมีความสุขดีนะครับ ไม่ทุกข์ร้อนอะไร ทั้งที่...”

“คะ?” เธอถามเมื่อเห็นว่าเขาหยุดพูดไป “ทั้งที่อะไร”

“ทั้งที่โลกเราทุกวันนี้มีแต่เรื่องให้เครียดน่ะครับ” 

“โธ่เอ๊ย! ไม่ใช่เลยค่ะ ที่คุณเห็นเหมือนว่าฉันมีความสุขมันแค่ภายนอกค่ะ ฉันเองมีเรื่องทุกข์ใจเหมือนกัน แต่ว่าบางอย่างมันก็เกินความสามารถที่เราจะแก้ไขอะไรได้ ก็ต้องเรียนรู้ที่จะลืมๆ มันไป ปรับความคิดของตัวเอง เราจะจมอยู่กับเรื่องที่ทำให้ตัวเองทุกข์ใจไปทำไมล่ะคะ มันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาเลย”

ยิ่งฟังเธอพูด ชนกันต์ก็เจ็บใจ 

เรื่องที่มีส่วนทำให้ภควัตตาย ลืมง่ายจริงนะ มีความสุขเข้าไปเถอะ เขานี่แหละจะทำให้เธอยิ้มไม่ออก

“ที่คุณพูดก็ถูก บางคนแค่ลืมมันไปก็จบแล้ว” 

“ใช่ค่ะ สุขทุกข์อยู่ที่ใจ ถ้าใจเราเป็นสุข เราก็จะสุข” 

ชนกันต์ยิ้มให้อีกฝ่าย ภาพครั้งนั้นที่เขาพบเธอที่ทางหนีไฟกลับมาในหัวอีกครั้ง ผู้หญิงคนนี้คิดถึงแต่ตัวเอง สามัญสำนึกของเธอคงต่ำเสียจนไม่มีอะไรมาทำให้เธอรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองทำได้เลย

“ขอบคุณมากนะครับ ที่คุยเป็นเพื่อน แต่ว่าน้ำค้างตรงนี้แรง เราเข้าห้องกันดีกว่านะ”

“คะ!” เหมือนมาลีคิดดีไม่ได้เลย หน้าเธอก็เริ่มแดงโดยอัตโนมัติ 

“ผมหมายถึงเข้าห้องใครห้องมันน่ะครับ”

“อ้อ...” หญิงสาวพ่นลมหายใจ “แล้วไปค่ะ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น